(โอวาทธรรมองค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต-
ที่เทศนาต่อองค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ)
--------------------------------------------------------------
" เมื่อก้าวมาสู่หนทาง...แห่งความดี
ต้องเดินหน้าสู้ทน
ตายเป็นว่า (ตายเป็นตาย)
อยู่เป็นว่า (อยู่เป็นอยู่)
เหตุเพราะ...
ทางอื่นนั้น ปราศจากความร่มเย็น
ไม่เป็นความสุข
อันนี้ ความดีจะเป็นผล ของตน
ผู้เดินอยู่ ในทางนี้ตลอดไปนั้น
จิตใจก็อยู่ใกล้ธรรม อยู่กับธรรม
ไม่ละทิ้งความดี
ตนก็จะเป็นผู้ราบรื่น ร่มเย็นผาสุข
ได้ในปฏิปทาแห่งตน"
ต่อจากนั้น...
เพิ่นครูอาจารย์มั่น ก็เทศนาต่อไปว่า
" ให้ตั้งใจเจริญพระพุทธคุณ
ตามรอยบาท ของพระพุทธเจ้า
ถือด้วยใจ ปฏิบัติด้วยใจ
เจริญพุทธานุสติ
ด้วยการประพฤติ เพื่อความหนักแน่นในธรรม
ผู้ถึงพระพุทธเจ้าด้วยหัวใจ เท่านั้น
ที่เป็นผู้ทรงธรรม ทรงวินัยอยู่ได้
อตฺทนฺตํ ฝึกตนด้วยดี หนาแน่นด้วย-
พุทธคุณทั้งหลาย
สมาหิตํ มีใจมั่นคง หนักแน่นสมเป็นบรมครู
เทวาปินํ นมสฺสามิ เทพเทวาทั้งหลาย-
ก็นอบน้อม
พฺรหฺมมฺนาปิ ปสํสิโต แม้พรหมก็สรรเสริญ
ชาวโลกก็นิยม
อรหฺนตสมฺมาสมฺพุทฺโธ เป็นพระพุทธเจ้า
ก็ทรงเป็นเอง ตกแต่งมาด้วยตนเอง รักษา-
ด้วยตนเอง
เป็นผู้ประมาณตนมาด้วยธรรม โดยตลอด
จิตของท่านผู้เข้าสู่นิพพาน ได้นั้น
ท่านก็กำหนดรู้จิต รู้ใจของท่านเช่นกัน
แต่ให้รู้เฉพาะการบุญ การบาป
การทุกข์ การโทษ
สารธรรม และอสารธรรม เท่านั้น
ด้วยการงานใน
การทาน การศีล การสมาธิ การปัญญา
การวิมุตติ รู้ด้วยการวางใจ ในสัตว์
ในบุคคล ในตัวตน ในเรา ในเขา
ในเทพเทวา ในหมู่พรหม ในหมู่นรกเปรตผี
กำหนดรู้
จนได้หมายเป็นว่ารู้ แต่ไม่ถือรู้
ไม่ถือจิต ไม่ถือใจ
วางใจคืนแก่อนัตตาธรรม
วางคืนแก่โลก เพิกตนออกเป็นแต่ธรรม
วางใจไว้...ดุจแผ่นดิน
เหมือนแผ่นดินวางต่อการรองรับสรรพสิ่ง
แม้ภพ แม้วิภพ ก็วางคืนแก่ภพและวิภพ
เป็นเช่นนี้...
จึงเข้าสู้นิพพานได้"
เมื่อ เพิ่นว่าจบเท่านี้แล้ว
เพิ่นก็สัมทับกับผู้ข้าฯ ว่า
"ท่านจาม เข้าใจไหม? จำไว้ให้ดีเน้อ"
ผู้ข้าฯ ก็พนมมือรับ "ครับผม".
_______________________________________
(หลวงปู่จาม มหาปุญโญ)
จิต เป็นสมบัติสำคัญมากในตัวเรา
ที่ควรได้รับการเหลียวแล ด้วยวิธีเก็บรักษาให้ดี
ควรสนใจรับผิดชอบต่อจิตอันเป็นสมบัติที่มีค่ายิ่งของตน
วิธีที่ควรกับจิตโดยเฉพาะก็คือ ภาวนา ฝึกหัดภาวนา
ในโอกาสอันควร ตรวจดูจิตว่ามีอะไรบกพร่องและเสียไป
จะได้ซ่อมสุขภาพจิต คือนั่งพินิจพิจารณาดูสังขารภายใน
คือ ความคิดปรุงแต่งของจิตว่าคิดอะไรบ้าง
ในวันและเวลาที่นั่ง นั่งมีสารประโยชน์ไหม
คิดแส่หาเรื่องหาโทษขนทุกข์มาเผาตนอยู่นั้น
พอรู้ผิดถูกของตัวบ้างไหม
พิจารณาสังขารภายนอกว่ามีความเจริญขึ้นหรือเจริญลง
สังขารร่างกายมีอะไรใหม่หรือมีความเก่าแก่ชราหลุดลงไป
พยายามเตรียมตัวเตรียมใจเสียแต่เวลาที่พอจะทำได้
ตายแล้วจะเสียการ ให้ท่องอยู่ในใจเสมอว่า
เรามีความแก่ เจ็บ ตาย อยู่ประจำตัวทั่วหน้ากัน
ป่าช้าอันเป็นที่เผาศพภายนอก และป่าช้าที่ฝังศพภายใน
คือตัวเราเอง เป็นป่าช้าร้อยแปดพันเก้าแห่งศพ
ที่นำมาฝังหรือบรรจุจะอยู่ในตัวเราตลอดเวลา
ทั้งศพเก่าศพใหม่ทุกวัน
พิจารณาธรรมสังเวช พิจารณาความตายเป็นอารมณ์
ย่อมมีทางถอดถอนความเผลอเย่อหยิ่งในวัน ในชีวิต
และวิทยฐานะต่างๆ ออกได้ จะเห็นโทษ
แห่งความบกพร่องของตัวและพยายามแก้ไขได้เป็นลำดับ
มากกว่าจะไปเห็นโทษของคนอื่นแล้วมานินทาเขา
ซึ่งเป็นความไม่ดีใส่ตน
นี่คือการภาวนา คือ วิธีเตือนตน สั่งสอนตน
ตรวจตราดูความบกพร่องของตนว่าควรแก้ไขจุดใด
ตรงไหนบ้าง ใช้ความพิจารณาอยู่ทำนองนี้เรื่อยๆ
ด้วยวิธีสมาธิภาวนาบ้าง ด้วยการรำพึงในอิริยาบถต่างๆ บ้าง
ใจจะสงบเย็น ไม่ลำพองผยองตัวและความทุกข์
มาเผาลนตัวเอง เป็นผู้รู้จักประมาณในหน้าที่การงาน
ที่พอเหมาะพอดีแก่ตัว ทั้งทางกายและทางใจ
ไม่ลืมตัวมั่วสุมในสิ่งที่เป็นหายนะต่างๆ
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
พระสาวกอรหันต์. ท่านมีกายเดียว. จิตดวงเดียว. และมีอารมณ์อันเดียว. ไม่ไหลบ่าไปหาความทุกข์. ไม่สั่งสมอารมณ์ใดๆ. ให้มาหนักหน่วงถ่วงตน. มาเพิ่มเติม. บางคนหนักเท่าไหร่ยิ่งขนมาเพิ่มเติม. ท่านเบาเท่าไหร่ยิ่งขนออก. ขนออกจนไม่มีอะไรจะขน. แล้วก็อยู่กับความไม่มี. ทั้งๆที่ผู้รู้ก็รู้ว่า. "ผู้ไม่มีคือใจ" ใจก็มีอยู่กับตัว คือไม่มีงานที่จะขนออกแล้ว. ไม่มีที่จะขนเข้าอีกต่อไป. บรรลุถึงคนว่างงาน. ใจว่าง. งานในศาสนาถือว่า. การว่างงานแบบนี้. มีความสุขอันยิ่งใหญ่. ผิดกับทางโลก พระสาวกอรหันต์ท่านนิพพานแบบนี้กันทั้งนั้น.
(หลวงปู่มั่น ภูริฑัตโต)
"การเทศน์เหมือนโปรยยาพิษทำลายผู้คนที่ไม่มีความเคารพอยู่ภายใน. ถ้าไม่เกิดประโยชน์ ก็ไม่อยากให้เกิดโทษ"
เวลาแสดงธรรมให้กับมนุษย์. แสดงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ. นอกจากไม่เข้าใจแล้ว. ยังคิดตำหนิผู้แสดงอีกด้วย. ว่าเทศน์อะไร. ฟังไม่รู้เรื่องเลย. บางรายยังเอากิเลสหยาบๆที่อยู่ภายในของตนเองมาตำหนิติเตียน. บางรายมาจะจับผิดพลาด. ด้วยความอวดตัวว่าฉลาด. แม้จะแสดงให้ฟังด้วยวิธีใดๆ ก็เหมือน "เทน้ำใส่หลังหมานั่นเอง มันสลัดทิ้งหมดทันที ไม่มีน้ำเหลืออยู่บนหลังของมันแม้แต่หยดเดียว"
ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ก็จะไม่เทศน์ เพราะการเทศน์เหมือน "โปรยยาพิษทำลายผู้คนที่ไม่มีความเคารพอยู่ภายใน" เมื่อใจเขาไม่ยอมรับแล้ว "ถ้าไม่เกิดประโยชน์ ก็ไม่อยากให้เกิดโทษ" เพราะผู้สร้างบาปจะสร้างกรรมของเขาอยู่ตลอดเวลา. แบบไม่สนใจอะไรทั้งนั้น. ก็ต้องปล่อยไปตามบุญตามกรรม. เมื่อหมดหนทางแก้ไขแล้ว. ก็เห็นว่าเป็นกรรมของสัตว์. ผู้มาแสวงหาสิ่งที่ไม่เป็นท่า. รู้สึกมีมากพรรณาไม่ถูก.
"... มองโลกในแง่ดี ก็หลอกตัวเอง
มองโลกในแง่ร้าย ก็หลอกตัวเอง
แท้จริง โลกไม่มีความดีและความเลวโดยตัวมันเอง
ความดีและความเลวของสิ่งใดๆ อยู่ที่ใจ
ไปแยกแยะกำหนดนิยามตามความนิยม
แล้วสร้างความยึดถือไว้ โลกกลางๆ เลยถูกเหมาเอา
เป็นโลกที่น่าพอใจบ้าง ไม่น่าพอใจบ้าง
โดยที่มันไม่ได้รู้เรื่องใด ๆ ด้วยเลย
เมื่อใดที่ "จิตว่าง" มันจึงจะเห็นโลกทั้งหลาย
ไร้ความหมาย ด้วยประการทั้งปวง ..."
โอวาทธรรม ปู่มั่น ภูริทัตโต
'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' สอน 'การเดินจงกรมและวิธีนั่งสมาธิ'
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระปรมาจารย์ใหญ่สายกรรมฐาน องค์ท่านเมตตาสอนว่า "การบำรุงรักษาสิ่งใด ๆ ในโลก การบำรุงรักษาตนคือใจเป็นเยี่ยม จุดที่เยี่ยมยอดของโลกคือใจ ควรบำรุงรักษาด้วยดี ได้ใจแล้วคือได้ธรรม เห็นใจตนแล้วคือ เห็นธรรม รู้ใจแล้วคือรู้ธรรมทั้งมวล ถึงใจตนแล้วคือถึงพระนิพพาน ใจนี่แลคือสมบัติอันล้นค่า จึงไม่ควรอย่างยิ่งที่จะมองข้ามไป คนพลาดใจ คือไม่สนใจปฏิบัติต่อใจดวงวิเศษในร่างนี้ แม้จะเกิดสักร้อยชาติ พันชาติก็คือผู้เกิดผิดพลาดนั่นเอง"
การนั่งสมาธิภาวนา คือการทำจิตใจของตนให้ตั้งมั่น ชำระจิตใจของตนให้ผ่องใส ทำใจให้สงบสบาย หลวงปู่มั่น องค์ท่านกล่าวว่า "การภาวนา คือ การอบรมใจให้ฉลาดเที่ยงตรงต่อเหตุผล อรรถธรรม รู้จักวิธีปฏิบัติต่อตัวเองและสิ่งทั้งหลาย ไม่ให้จิตผาดโผนโลดเต้นแบบไม่มีฝั่งมีฝา ยึดการภาวนาเป็นรั้วกั้น ความคิดฟุ้งของใจให้อยู่ในเหตุผล อันจะเป็นทางแห่งความสงบสุขใจ ที่ยังมิได้รับการอบรมจากการภาวนา"
ก่อนอื่นที่เราจะนั่งสมาธิภาวนา ให้หาสถานที่อันเป็นมุมสงบ นั่งเข้าที่เอาขาขวาทับขาซ้าย เอามือขวาทับมือซ้าย ตั้งกายให้ตรงดำรงสติให้มั่น ไม่เอียงซ้ายนัก ไม่เอียงขวานัก ไม่ก้มนัก ไม่เงยนัก ทำตัวให้สบาย ๆ ดูท่าการประทับนั่งของพระพุทธรูปเป็นแบบอย่าง (หากไม่สะดวกที่จะนั่งอยู่ขัดสมาธิอยู่กับพื้น ก็ให้นั่งบนเก้าอี้หรืออะไรก็ได้ตามแต่สะดวก) เราเริ่มฝึกหัดนั่งใหม่ ๆ อาจจะปวดแข้งเจ็บขาบ้างเป็นธรรมดา แต่ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า ให้พยายามอดทนต่อสู้กับเวทนาความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น หากสู้ไม่ไหวจริง ๆ ให้สลับสับเปลี่ยนอิริยาบถ ออกไปเดินจงกรมเพื่อผ่อนคลายความเจ็บปวด
เมื่อนั่งเข้าที่เรียบร้อยแล้วให้กล่าวคำอธิษฐานภาวนา เพื่อเป็นการบูชาคุณพระพุทธเจ้าผู้เป็นศาสดาเอกของโลก ผู้เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย บูชาคุณพระธรรม บูชาคุณพระสงฆ์ กล่าวตามดังนี้
"สาธุ ข้าพเจ้าจะนั่งสมาธิภาวนา บูชาคุณพระพุทธเจ้า บูชาคุณพระธรรม บูชาคุณพระสงฆ์ บูชาคุณบิดามารดา บูชาคุณครูอุปัชฌาย์อาจารย์ ตลอดจนผู้มีพระคุณทั้งหลาย ขอจงเป็นพลวปัจจัยแด่พระนิพพานของข้าพเจ้า และขอให้ข้าพเจ้ามีสติปัญญาเฉลียวฉลาด สามารถรู้แจ้งถึงพระนิพพาน เอาชนะกิเลสความไม่ดีทั้งหลายที่อยู่ภายในใจได้ตลอดกาลนานเทอญ"
ภายหลังจากที่กล่าวคำอธิษฐานเสร็จให้กำหนดคำบริกรรมภาวนาพร้อมกับลมหายใจเข้าว่า "พุท" หายใจออก "โธ" หายใจเข้า "ธัม" หายใจออก "โม" หายใจเข้า "สัง" หายใจออก "โฆ" และให้ระลึกคำบริกรรมภาวนา "พุทโธ ธัมโม สังโฆ" 3 หน แล้วให้ระลึกเอาคำบริกรรมภาวนาว่า "พุทโธ" แต่เพียงคำเดียว โดยตั้งสติไว้ที่ปลายจมูก ลมหายใจเข้า "พุท" ก็กำหนดรู้ ลมหายใจออก "โธ" ก็กำหนดรู้ สติกำหนดอยู่กับคำบริกรรมภาวนา หากจิตคิดแส่สายไปทางอื่น ก็ดึงจิตกลับมาให้อยู่กับคำบริกรรมภาวนานั้น หากยังไม่ได้ผล ให้เร่งคำบริกรรมภาวนาเร็ว ๆ "พุทโธๆๆๆๆๆๆๆๆ"
ให้หมั่นกระทำบำเพ็ญอยู่เป็นประจำ การทำครั้งสองครั้งอยากจะให้จิตสงบก็เป็นไปได้ยาก
ที่ครูบาอาจารย์พระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านสอนให้ใช้คำบริกรรมภาวนาบทว่า "พุทโธ" นั้น เพื่อต้องการให้น้อมเอาคุณของพระพุทธเจ้ามาไว้ที่ใจ "ธัมโม" น้อมเอาคุณของพระธรรมเจ้ามาไว้ที่ใจ "สังโฆ" น้อมเอาคุณของพระสงฆ์สาวกผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาไว้ที่ใจ ท่านถึงว่า "พระอยู่ที่ใจ" คือมีพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์อยู่ในใจของเรานั่นเอง
เมื่อจะเลิกจากการนั่งสมาธิภาวนา ให้ยกมือประนมขึ้นระหว่างคิ้วตรงศีรษะครั้งหนึ่ง พร้อมกับกล่าวคำว่า "สาธุ" ภายในใจ ต่อจากนั้นตั้งใจแผ่เมตตาให้กับตัวเอง ครั้นเมื่ออธิษฐานเสร็จ ก็ตั้งใจแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลที่ได้กระทำบำเพ็ญในครั้งนี้ ไปให้กับผู้มีอุปการะคุณ และสรรพสัตว์ทั้งหลาย กล่าวตามดังนี้
"ด้วยอานิสงส์ผลบุญที่เกิดจากการนั่งสมาธิภาวนา ข้าพเจ้าขอแผ่ส่วนบุญไปให้แก่บิดามารดา ปู่ย่าตายาย ญาติพี่น้องทั้งหลาย มิตรสหายทั้งหลาย เทวาอารักษ์ทั้งหลาย เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย พระอินทร์ พระพรหม ยม ยักษ์ ครุฑ คนธรรภ์ กุมภัณฑ์ นาคทั้งหลาย รุกขเทวดา อากาศเทวดา ภุมเทวดา เปรต ผี อสุรกายทั้งหลาย สรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั้งที่มีชีวิตอยู่และหามีชีวิตไม่ ขอให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้น จงมีแต่ความสุขกายสุขใจ อย่าได้มีเวรมีภัย อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย จงอยู่เป็นสุขเสมอเถิด ขอจงได้รับส่วนแห่งบุญที่ข้าพเจ้าได้กระทำบำเพ็ญในครั้งนี้ด้วยเทอญ"
การเดินจงกรม คือการเดินภาวนา เพื่อเป็นอุบายให้สงบใจ เดินกลับไปกลับมาพร้อมกับกำหนดคำบริกรรมภาวนาเหมือนวิธีการนั่งสมาธิ คำอธิษฐานก็ใช้แบบเดียวกัน เปลี่ยนแต่ตรงคำว่า "นั่งสมาธิภาวนา" เป็น "เดินจงกรมภาวนา" เวลาจะเดินจงกรม ให้กำหนดทิศทางที่จะเดิน แล้วไปยืนตรงต้นทาง ยกมือประนมขึ้นระหว่างคิ้วกล่าวคำอธิษฐาน ครั้นจบแล้ววางมือลง เอามือขวาทับมือซ้ายวางทาบไว้ใต้สะดือ ทอดตาลงเบื้องต่ำไม่แลซ้ายแลขวา ทำท่าสำรวมกาย ก้าวเดินขาขวาบริกรรมคำภาวนาว่า "พุท" ก้าวเดินขาซ้ายบริกรรมคำภาวนาว่า "โธ" บริกรรมภาวนา "พุทโธ ธัมโม สังโฆ" 3 หนแล้ว ให้กำหนดเอาคำบริกรรมภาวนาว่า "พุทโธ" แต่เพียงคำเดียว ครั้นพอถึงปลายทางที่เรากำหนดไว้แล้ว หมุนตัวกลับไปทางขวามือ เดินภาวนากลับไปกลับมา การกำหนดคำบริกรรมภาวนานั้น จะกำหนดอยู่ที่เท้าเวลาเดินก็ได้ หรือกำหนดไว้ในใจก็ได้ตามชอบ ไม่มีกฎเกณฑ์ข้อบังคับแต่ประการใด
ส่วนการกำหนดทิศทางเดินจงกรมนั้น หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต องค์ท่านกล่าวไว้ว่า ทางเดินจงกรมตามที่ท่านกำหนดรู้ไว้ และปฏิบัติตามเรื่อยมานั้นมีสามทิศด้วยกัน คือตรงไปตามแนวตะวันออก – ตะวันตกหนึ่ง ไปตามแนวทิศตะวันตกเฉียงใต้หนึ่ง และไปตามแนวตะวันออกเฉียงเหนือหนึ่ง การเดินจงกรมก็เดินไปตามแนวทั้งสามที่กำหนดไว้ในแนวใดแนวหนึ่ง
ความสั้นยาวของทางจงกรมแต่ละสายนั้น ท่านว่า ตามแต่ควรสำหรับรายนั้นๆ ไม่ตายตัว กำหนดเอาเองได้ตามสมควร แต่อย่างสั้นท่านว่าไม่ควรให้สั้นกว่าสิบก้าว สำหรับเวลาอยู่ในที่จำเป็นหาทางเดินมิได้ "การเดินไม่พึงเดินไกวแขน ไม่พึงเดินเอามือขัดหลัง ไม่พึงเดินเอามือกอดอก ไม่พึงเดินมองโน้นมองนี้อันไม่เป็นท่าสำรวม"
การนั่งสมาธิภาวนา หรือการเดินจงกรมนั้นเราจะทำที่ไหนก็ได้ ที่วัด ที่บ้าน ในที่ทำงาน ในร้านอาหาร ในช๊อปปิ้งมอลล์ ทำการทำงานทุกสิ่งทุกอย่าง ทำภาวนาได้ทั้งนั้น มีสติระลึกขึ้นมาได้ก็กำหนด "พุทโธ" ทันทีเลยไม่ต้องรอให้เสียเวล่ำเวลา ก้าวขาขวา "พุท" ก้าวขาซ้าย "โธ" เรียกว่าภาวนาได้ทุกเมื่อไม่มีกาลเวลา จึงสมดังที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า "อกาลิโก" ไม่มีกาล ไม่มีเวลา ไม่มีฤดู ทำได้เสมอ