"ถ้าอยากปล่อยวางอย่าอ้างเหตุผล ต้องอยู่เหนือเหตุเหนือผล วางเหตุผลไปก่อน เพราะถ้าเรายึดมั่นถือมั่นว่าเขาทำแบบนั้นไม่ดี ทำแบบนี้ไม่ถูกเขาทำร้ายเรา ก็ไม่มีวันเลยที่เราจะอภัยให้เขาได้ แต่ถ้าเข้าใจหลักที่ว่า กรรมใคร กรรมมัน ใครทำใครได้ เราทุกคน เป็นทายาทของกรรมที่เราทำไว้เอง เราไม่ต้องโกรธต้องเกลียดใครหรอกส่วนหนึ่งที่เราโดนแบบนี้ นี่ก็ผลของกรรมเก่าเราเอง"
หลวงพ่อชา สุภัทโท
#ท่านควรฝึกจิตใจด้วยการ รู้แล้วปล่อย
จิตรู้เรื่องอะไรแล้ว ไม่ยอมปล่อย ก็ย่อมทุกข์
ซึ่งธรรมแท้ ๆ นั้น เป็นกลาง ใครปล่อยวางได้ ก็สบาย
ฝึกด้วยการ "มีสติจับรู้อยู่ในปัจจุบัน"
ภายในใจ ในกายตนนั่นเอง
มิต้องไปแสวงหา ที่แห่งใด
เมื่อท่านรู้ความจริง เช่นนี้แล้วว่า
เหตุเกิดแห่งความสงบนั้น อยู่ที่จิตหนึ่งนั่นเอง
แล้วท่านจะมัวหาความสงบ จากสถานที่แห่งใดเล่า...
#หลวงพ่อชา สุภัทโท
#เอาความจริงสอนจิต 🙏ค่ะ
เมื่อเราตาย....สมบัติทั้งหลาย...ก็เป็นของโลก
เป็นของคนอื่นไป
เรายึดติดอะไรไม่ได้ แม้แต่ร่างกายของเรา
ตายไปเมื่อไหร่ก็ต้องเผา เผาแล้วก็เหลือเถ้าถ่าน
สุดท้ายก็ไม่เหลืออะไรเลย
ไม่เผา...ทิ้งเอาไว้ก็เป็นอาหารของสัตว์ ของตัวหนอน
เน่าเปื่อยผุพังสลายไปหมด
ความจริง...มันไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเราอยู่แล้ว
เวทนา....ก็เกิดกับร่างกาย
ร่างกายก็ไม่ใช่ของเราแล้ว จะไปสนอะไรกับเวทนา
วางมันไปเลย สักแต่ว่าเวทนา
จิต....เป็นนามธรรม อย่าหลงว่ามันเป็นเรา
มันเป็นแค่นามธรรม คำว่านามธรรม คือ ไม่มีตัวตน ตั้งแต่แรกแล้ว มันเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง
มันเป็นธรรมชาติที่นึกคิดปรุงแต่งอารมณ์ได้ รู้อารมณ์ได้
แต่จิตนี่เราสามารถฝึกให้เกิดปัญญา
คือ รู้ความจริง รู้สิ่งทั้งหลาย แล้วก็ปล่อยวางจิต สุดท้ายจะรู้ว่าทุกอย่างต้องวางหมดต้องปล่อยหมด
แม้กระทั่งตัวจิตเอง จิตต้องวางจิตได้ด้วย จิตต้องทิ้งจิตได้ด้วย จิตต้องไม่หลงยึดจิตเอาไว้
ยึดอะไรไม่ได้เลย...แม้ผลของการปฏิบัติ...ก็สักแต่ว่า...
สภาวะอะไรเกิดขึ้น ก็ไม่ไปยินดียินร้าย มันจะชัด...ไม่ชัด...
รู้ เห็น...ไม่รู้ ไม่เห็น...ก็ไม่ยินดียินร้าย ไม่ต้องเอาอะไร
ให้ปล่อยวางอย่างเดียว พอ.....ทำเหมือนไม่เอาอะไร
นี่ล่ะบูชาพระพุทธเจ้าสูงสุดเลย ก็คือเอาธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้เข้ามาในจิตเรา โดยเฉพาะเนื้อหาของความเป็นพุทธภาวะ ก็คือการที่จิตไม่ยึดติดข้องอะไร
โอวาทธรรม 🙏ค่ะ
พระอาจารย์ครรชิต สุทฺธิจิตฺโต
ข้างนอกเขาเป็นธรรมชาติของเขา ความสะอาดสะอ้านข้างนอกเขาเป็นธรรมชาติของเขา ความรกรุงรังข้างนอกเขาเป็นธรรมชาติของเขา สะอาดสะอ้านหรือสกปรกรกรุงรัง ใจเท่านั้นว่าเป็น อันนั้นเป็นสังขารทั้งนั้น เป็นอนิจจังทั้งนั้น เป็นทุกขัง เป็นอนัตตาก็อันเดียวกัน คือเป็นของเกิดมาแล้วดับ( ๓ มี.ค.๔๒)
การภาวนาก็คือการค้นคว้าทำให้แจ้งในสิ่งที่เราไม่แจ้งไม่ชัด การศึกษาในสิ่งที่เราไม่แจ้งไม่ชัดนี้ล่ะเป็นการทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจแจ่มแจ้งในสิ่งที่เรายังไม่รู้นั้น ที่ใจของเรายึดนั้นก็เพราะใจของเราไม่แจ้งชัดตามความเป็นจริง ใจของเราอจ้งชัดตามความเป็นจริงขณะใด ขณะนั้นใจของเราปล่อยวางเอง โดยไม่ต้องตั้งใจที่จะปล่อยวาง
ในเมื่อเราปล่อยวางไปตามความเป็นจริงของเขาแล้ว ใจของเราก็ปรากฏว่าว่าง ว่างเพราะเราปล่อยวาง ว่างเพราะเราเห็นชัดตามความเป็นจริง ว่างจากสิ่งที่มากวนใจ ว่างจากเรื่องราวต่างๆ ที่เคยรุงรังอยู่ในใจ เรื่องที่เคยรุงรังอยู่ในใจขิงเราจะไม่มี เรียกว่าใจของเราว่าง แต่คำว่าใจว่าง ใจก็ยังมี ไม่ใช่ว่าใจว่างไม่มีใจ ใจว่างใจก็ยังมี (๒๕ ก.พ. ๓๗)
ใจของเราว่างนี่ ว่างคำว่าสัตว์ ว่างคำว่าคน เป็นอากาศธาตุไปเลย คำว่าอากาศธาตุมันเป็นอากาศไปหมด ว่างเปล่าเป็นอากาศจากคำว่าสัตว์คำว่าคน คือความเป็นคนความเป็นสัตว์ไม่มี ถ้าหากว่าความเป็นคนยังมีอยู่ความเป็นสัตว์ยังมีอยู่ ความเป็นนั้นเป็นนี้ยังมีอยู่ ใจมันก็ยังไม่ว่างมันก็ยังไม่เป็นอากาศธาตุ
แม้แต่อากาศธาตุ ก็สักแต่ว่าเราพูดกัน อากาศธาตุเขาก็ไม่ได้ว่าเขาเป็นอากาศธาตุ ที่เป็นอากาศธาตุเป็นเพราะเราไปสมมุติมาพูดกันเท่านั้น ความจริงแล้วเขาไม่ได้เป็นอะไรนี่ ปล่อยวาง ราบไปหมด ไม่มีอะไรจะไปยึดอะไรมันไม่มีอะไรจะให้ยึด ใครจะไปยึดของว่าง ใครจะไปยึดอากาศ จึงว่ามันว่าง ถ้าหากว่าใจของเรามันว่าง
โลกธาตุเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหมดใจของเรามันเป็น( ๑๖ ส.ค.๓๒)
🙏🏼 พระอาจารย์แบน ธนากโร วัดดอยธรรมเจดีย์
จากหนังสือทางแห่งมรรคผล มหาสติปัฏฐานภาวนา หน้า ๒๖๓ -๒๖๔
" ว่างเพราะวาง "
ศาสนาของพระพุทธเจ้าสอนให้รู้จิตเห็นจิต เรียกว่ารู้ธรรมเห็นธรรม
อะไรมันปกปิดเอาไว้ สมมุติบัญญัติทั้งหมดในโลกอันนี้ล่ะปกปิดธรรม ปกปิดธรรมก็คือปกปิดจิต ในเมื่อเปิดสมมุติบัญญัติทั้งหลายออกไปแล้ว ไม่ต้องปราถนาจะรู้ ก็รู้ก็เห็น เหมือนกับภาชนะครอบแก้วแหวนเงินทอง ครอบแล้วไม่เห็น ถ้าเปิดออกไปแล้ว ไม่ต้องไปหาก็เห็น ใจของเราก็เหมือนกัน เปิดออกให้หมด ไม่ต้องให้มีอะไรตกค้าง วางออกไปหมด
♡♡♡เจโตวิมุตติ♡♡♡ปัญญาวิมุตติ♡♡♡
♡เจโตวิมุติ หลุดพ้นด้วยจิต
จิต ครอง มหาสติ ปราศจากความคิด เคลื่อนไหวร่างกาย
ด้วย ตา ที่กำลังมองเห็น
ด้วย หู ที่กำลังได้ยิน
ด้วย กาย ที่กำลังสัมผัส
♡งาน ทุกอย่าง จิต แค่นำ ความคิด กาย คือสิ่งที่ทำให้ งานสำเร็จ
จิต คิด แต่ กายไม่เคลื่อนไหว งาน ไม่มีทางสำเร็จ
♡♡♡ปัญญาวิมุตติ♡♡♡ หลุดพ้นด้วย ปัญญา
หลังได้ มหาสติ - เจโตวิมุตติ แล้ว เดินกาย ทำงานตามปกติ จิตอยู่กับงาน
คือ สมาธินอกกาย ผลของงาน สำเร็จกลายเป็น เงิน บ้าน รถ คน สัตว์ สิ่งของ
จงใช้ สิ่งต่างๆนอกกาย อยู่ร่วมกับ สิ่งต่างๆนอกกาย ด้วยความสุข
แต่ไม่ยึดติด สิ่งใดไว้กับ จิต เลย ... ใช้มัน อยู่กับมัน แต่ไม่ยึดติดมัน
จุฬามเหศักดิ์ นักรบจักรวาล
หลวงพ่อชา สุภัทโท
" ปัจจุบันธรรม "
ปัจจุบันธรรม มันจะเป็นอย่างไร แก้มันเดี๋ยวนี้
ปัจจุบันธรรม เพราะว่าปัจจุบันธรรมคือปัจจุบันนี้
มันเป็นทั้งเหตุทั้งผล ปัจจุบันนี้มันตั้งอยู่ในเหตุผล
อย่างเราอยู่เดี๋ยวนี้ อดีตเป็นเหตุ ปัจจุบันเป็นผล
ทุก ๆ อย่างที่ผ่านมาถึงเดี๋ยวนี้มันมาจากเหตุทั้งนั้น
อย่างท่านมาจากกุฏิของท่าน นี่เป็นเหตุ มานั่งอยู่
นี่เป็นผล มันเป็นอย่างนี้ มันมีเหตุผลอย่างนี้เรื่อย ๆ
ไป อดีตเป็นเหตุ ปัจจุบันเป็นผล ปัจจุบันเป็นเหตุ
อนาคตเแนผล ที่เราอยู่เดี๋ยวนี้ก็เป็นเหตุ อดีตเหตุ
อยู่ในปัจจุบันนี้ก็เป็นผล ผลเดี๋ยวนี้มันก็เป็นเหตุของ
อนาคตอีก ฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงมองเห็นว่า
ทิ้งอดีต แล้วก็ทิ้งอนาคต คําที่พูดว่าทิ้งนี่ ไม่ใช่
ทิ้งนะ คือมันมาอยู่จุดเดี๋ยวนี้ อดีต อนาคตมันอยู่
ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันนี้มันเป็นผลของอดีต และมันเป็น
เหตุของอนาคตต่อไป ฉะนั้น ทิ้งเหตุและผลมันเสีย
เอาปัจจุบันนี้ เมื่อทิ้งมันก็เป็นเหตุผลของมันอยู่แล้ว
คําที่พูดว่าทิ้งนั้น ก็สักแต่ว่าภาษาพูดเท่านั้นละ
แต่ความเป็นจริงนั้น ก็เรียกว่าจุดนี้เป็นจุดครึ่ง มันตั้ง
อยู่ในเหตุผลอยู่แล้ว ท่านว่าให้ดูปัจจุบัน
ก็จะเห็น"ความเกิดดับ เกิดดับ อยู่เสมอเรื่อย ๆ"
Trader Hunter พบธรรม
วิชชาจะไปล้างอวิชชา แค่เราเห็นแจ้งต่อความเป็นจริง โดยอาศัยกําลังของสัมมาสมาธิ+สัมมาสติ ทําให้ใจเราไม่ไหลไปกับความคิด จะทําให้ใจเราเห็นความจริง ความจริงนี้หล่ะที่ทําให้เราอยู่เหนือโลกพ้นจากทุกข์ได้ เป็นความจริงที่จะรู้ลึกไปเรื่อยๆ เพื่อมาปรับจิตปรับใจของเราเอง จนในที่สุดจิตเราคลายจากการยึดเกาะในภพชาติ ที่จิตส่งออกไปยึด แม้ยึดภพชาติเพียงแค่แว๊ปเดียว ก็ทุกข์แล้ว จิตเห็นจิต จิตละจิต
ปล่อยวาง ไม่ได้หมายความว่า ต้องไป ดับ เขา
ก็ ปล่อยให้เขาอยู่กับที่อย่างนั้น [ อย่างที่เขาเป็น ]
จึงจะเรียกว่า ปล่อยวาง
ให้เขาเป็นไป ตามธรรมชาติของเขา
อย่าง เสียง เราก็ปล่อยเขาไป เราจะไป ดับเสียง มันเป็นไปไม่ได้
ต้องไปดับที่ ใจ
กล่าวคือ ธรรมทั้งหลายเกิด เพราะมีเหตุ
จะดับธรรมนั้น ต้องดับที่เหตุ , กิเลส เกิดขึ้นที่ใจต่างหาก
ท่านจึง ให้เข้ามา ดูที่ใจตัวเองก่อน
เพราะความจริง จะปรากฏที่ใจของเราทั้งหมด
คุณลุงหวีด บัวเผื่อน
พระธรรมคำสอน "สมเด็จองค์ปฐม"
ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
จุดนี้จักต้องพิจารณาให้หนัก
และเอาจริงจึงจักวางภาระขันธ์ ๕
ไปได้ ถ้าไม่พิจารณาธาตุ ๔
อาการ ๓๒ ให้เห็นจริงจัง
จิตก็จักเผลอไปเกาะขันธ์ ๕ ทันที
ให้เห็นสภาวะของจิต ใกล้สิ่งไหน
เกาะสิ่งนั้น สภาพของจิตยึดทุกสิ่ง
ทุกอย่างที่ใกล้ตัวของมัน รับสัมผัส
สิ่งดีก็ยึดดี รับสัมผัสสิ่งเลวก็ยึดเลว
สภาพของจิตมีอารมณ์ชอบยึด
ให้รู้สภาวะของจิต ซึ่งยึดทุกสิ่งทุกอย่าง
ที่เข้ามากระทบจิต เมื่อเราปรารถนา
จักหลุดพ้นเพื่อให้ถึงซึ่งพระนิพพาน
ก็จักต้องปล่อยวางอารมณ์ของจิต
ที่ยึดมั่นถือมั่นมาแต่เดิมนั้นเสีย
จุดนี้ให้ใช้ปัญญาพิจารณาทุกสิ่งทุกอย่าง
ในโลกไม่เที่ยง ทุกอย่างเป็นทุกข์ และ
ในที่สุดก็อนัตตาไปหมด พยายาม
ชำระจิตอย่าให้เกาะทุกสิ่งทุกอย่างในโลก
ทำได้เมื่อไหร่ จิตก็พ้นทุกข์เมื่อนั้น
ปลดปล่อย..ตนเอง.//
..ไม่มีอะไรสักอย่าง ที่ดำรงอยู่จริง
..เรา ต้องปลดปล่อยตนเอง
ออกจากความยึดมั่น ต่ออดีต อนาคต
..ต่อโลกธรรมทั้ง๘ การครอบครอง
หรือ การสูญเสียทั้งปวง
ไม่ยึดมั่นทั้งสังสารวัฏ และ พระนิพพาน
หลุดพ้นจากความหวังและความหวั่นไหวใดๆ
เมล็ดพันธุ์แห่งสติและปัญญา
ย่อมดำรงอยู่ในภายใน
มโนธาตุ โพธิญาณ
เวทนา สุข-ทุกข์-เฉยๆ เกิดขึ้น
เพราะ มีเหตุปัจจัย
เมื่อเหตุปัจจัยไม่มี เวทนาก็หายไป
สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็เสื่อมสูญไปหมด
ในผลที่สุด ... ก็ไม่มีสิ่งใด ที่แน่นอนถาวร
เห็นขันธ์ ๕ เป็นของไม่"แน่นอน"ถาวร ถึงจะ"วาง"ได้
"วาง" นั้นคือ ตัวอนัตตา
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
นักปฎิบัติกรรมฐานหลายท่านขาดความเข้าใจการปฎิบัติ ทิ้งกรรมฐานที่พระพุทธองค์ทรงประทานให้ หันไปทำสมาธินิ่งหรือฌานกันมากและเมื่อทำสมาธิบ่อยๆเข้าออกชำนาญก็ได้รับความสุขจากการรวมจิตของสมาธิจิตก็ว่างมีความสว่างมีความสงบและด้วยการทำสมาธิมักจะมีสัมผัสพิเศษรู้เห็นอะไรต่างๆด้วย ทำให้นักปฎิบัติหลายท่านมีความเข้าใจไปเองว่าตนเองบรรลุธรรมแล้ว
ซึ่งขอชี้แจงให้นักปฎิบัติทั้งหลายให้ท่านได้อ่านหรือผู้สนใจทั้งหลายลองทำความเข้าใจกันดู การเข้าบวชวันแรกของพระใหม่ทุกรูป จะต้องรับกรรมฐานห้า (ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,หนัง) ซึ่งก็คือกรรมฐานย่อของกายคตาสตินั่นเอง เหตุผลที่เอาแค่ห้าอย่างขั้นต้นเพราะเพื่อความกระชับเวลาและเมื่อได้อบรมกรรมฐานห้าแล้วความเห็นของตาในจะค่อยๆลุกลามเข้ากายภายในจนเห็นแจ้งครบอาการสามสิบสองอย่างแน่นอนด้วยความเพียรมุ่งมั่นอบรมอย่างมีระบบ และขอแจงเลยว่าท่านใดที่ละเลยซึ่งกายคตาสติอย่าได้หวังซึ่งมรรคผลนิพพาน
พูดง่ายๆใครไม่อบรมกายคตาสติไม่มีทางบรรลุธรรมนั้นเอง บางคนบอกว่าไม่พิจารณากายทำแค่สมาธิและดูจิตตามดูตามรู้จิตก็บรรลุธรรมได้ท่านใดพูดแบบนี้บอกเลยว่าไม่มีทาง ลืมไปแล้วหรือ พระโสดาบันละอะไรด่านแรกและด่านแรกนี้เป็นด่านใหญ่ที่สุด นั่นคือ...
สักกายทิฎฐิ คือการเห็นว่ากายนี้ไม่ใช่เรา
ผมถามว่าถ้าไม่พิจารณากายไม่เห็น ไม่ดูกายจะละสักกายทิฎฐิได้หรือ?
ทีนี้มาดูพระอนาคามีหละละอะไรได้? ละกามราคะ
ผมถามว่าถ้าไม่พิจารณากายไม่เห็นกายไม่ดูกายจะละได้หรือ? ทีนี้การอบรมกายตาสติต้องทำอย่างไร? ธรรมชาติของคนปุถุชนทั่วไปเวลาหลับตาแล้วนึกเห็นหน้าตารูปร่างคนอืนหรือสิ่งของนึกเห็นได้หมดแต่ไม่สามารถนึกเห็นรูปร่างหน้าตาตัวเองเห็นถ้าท่านไม่เชื่อก็ทดลองดูครับหลับตาหันจิตมามองตัวเองไล่ดูแขนขาหน้าตาตัวเองท่านจะเจอแต่ความมืดมองไม่เห็นนึกไม่ออก ที่เป็นเช่นนั้นเพราะตาในยังบอดครับ เราต้องเปิดตาในให้ได้ ด้วยเพราะมีดวงตาถึงได้เห็นเมื่อได้เห็นถึงได้รู้ครับ
ท่านคงได้ยินคำว่า"ดวงตาเห็นธรรม"ดวงตานี้หละครับคือดวงตาที่จะพาเห็นธรรมรู้ธรรม เห็นธรรมคือเห็นอะไร?คือเห็นความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่มีอะไรเป็นตัวตนร่างกายเราหรือเห็นขันธ์ห้าครับ
ขันธ์ห้า คือร่างกายแบ่งเป็น...
▪รูป คือร่างกายอาการสามสิบสอง
▪นามธรรมคือด้านจิต คือ
▪เวทนา(ความรู้สึก สุข ทุกข์ เฉยๆ)
▪สัญญา(ความจดจำ)
▪สังขาร(ความปรุงแต่ง)
▪วิญญาน(ผลของการทำงานของจิต)
จะเปิดดวงตาต้องทำตามพระพุทธองค์เพราะเราคือผู้ที่ปฎิบัติตามเดินตามรอยพระองค์ท่าน พระพุทธองค์ทรงวางแนวทางไว้ว่าให้ใช้สัญญา(ความจำได้หมายรู้)นำร่อง คือไปดูซากศพต่างบ้าง สมัยก่อนนิยมดูที่ป่าช้า ดูศพที่โดนแร้งกาสุนัขกัดกินบ้าง แต่สมัยนี้ทันสมัยก็ดูภาพอสุภะจากหนังสือ อินเตอร์เน็ต แล้วจำให้ติดตาขึ้นใจแล้วสมมติเห็นตัวเองเป็นเหมือนกับภาพสัญญาที่เราจดจำมา
▪พยายามชวนจิตมองดูกายให้เห็นแล้วชวนจิตคิดถึงเรื่องความไม่เที่ยงจีรังยั่งยืน ชวนจิตท่องเที่ยวดูในกายนึกแต่เรื่องตายๆพาจิตเห็นจินตนาการบนร่างแท้ของเราตายสองวันแรกตายห้าวันถัดไปกายจะเป็นอย่างไร สิบห้าวันถัดไปร่างกายคงจะมีหนอนแทะกินฯลฯหรือ
▪จะพิจารณาเห็นกายเป็นปฎิกูลสกปรกโสโครก หรือ
▪พิจารณาเห็นกายเป็นศพเก้าระยะ(ป่าช้าเก้า)หรือ
▪จะพิจารณากายเป็นแง่ของธาตุ
ทั้งหมดนั้นจัดเป็นธรรมหมวดเดียวกันหมด ให้ท่านพิจารณาเห็นกายตัวเองตามอุบายตลอดเวลาทุกอิริยาบถทุกการกระทำทั้งยืนเดินนั่งนอนไม่มีกลางวันไม่มีกลางคืนคือทำทั้งวันทั้งคืน
ถ้าเพศฆราวาสอย่างเราๆ ก็ทำให้ได้มากที่สุดครับ อีกอย่างหลายท่านเข้าใจผิดว่าต้องนั่งสมาธิพิจารณาขอให้ท่านเข้าใจใหม่ว่า เรากำลังเจริญสติ ถึงเรียกกว่ากายคตาสติ.สติปัฎฐานสี่ เราต้องเจริญสติให้แก่กล้าเพราะสติเป็นฐานของสมาธิ สติใหญ่กว่าสมาธิ
พระพุทธองค์ทรงกล่าว สติเป็นใหญ่ในธรรมทั้งหลาย
ธรรมทั้งหลายรวมลงที่สติครับ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาทำสมาธิครับ ก็ให้เห็นกายพิจารณากายซ้ำๆซากๆไปมาในกายภายนอกบ้าง กายด้านในบ้าง ให้จิตอยู่ในกายหัวเท้าเท่านั้น นักปฎิบัติใหม่สู้หน่อยครับเพราะจิตคอยรั่วส่งออกนอกประจำด้วยเพราะจิตเขาคุ้ยเคยไปนอกตัวไม่รู้กี่ชาติมาแล้วครับ แรกๆหลุดบ่อยก็หมั่นดึงจิตมาดูกายต่อเรื่อยๆ ล้มแล้วรีบลุกครับ
อีกเรื่องที่จะแนะนำอย่าดูกายเฉยๆ เพราะจะเห็นได้ไม่นานต้องชวนจิตคุยถึงความไม่เที่ยงด้วย ความตายบ้างจะดี จิตเหมือนเด็กถ้าปล่อยไว้โดยไม่มีของเล่นจะอยู่ได้ไม่นาน การที่เราชวนจิตคุยก็เหมือนของเล่นนั่นเอง และการพิจารณากายก็ต้องเป็นกายแท้ๆของเรา จะเน่าก็เน่าที่ตัวเราเปื่อยก็เปื่อยที่ตัวเราร่างเดียวครับ พิจารณานานไปผ่านวันผ่านสัปดาห์ผ่านเดือนหลายเดือน ดวงตาที่หลับไหลก็จะค่อยแง้มเปิดค่อยสว่างออกทีละนิดครับ บางท่านเป็นปีถึงจะเห็นกายได้ แล้วแต่บารมีแต่ละคนครับ
สำหรับท่านที่ทำสมาธินิ่งมาก่อนต้องวางสมาธิไว้ก่อนครับ เอามาร่วมไม่ได้ครับ / หากท่านไม่วางท่านต้องปฎิบัติอีกแนวคือถอนจิตมาอยู่สมาธิระดับกึ่งสติกึ่งสมาธิ(อุปจารสมาธิ)แล้วพิจารณาแต่จะเป็นกายนิมิตครับ ซึ่งข้อเสียของแนวนี้เวลาออกสมาธิความเห็นกายจะหายทำให้ความสลดสังเวชความเบื่อหน่ายค่อยๆหายไปด้วย แต่ถ้าไปด้วยสติปัฎฐานอย่างที่ผมแนะนำความเห็นกายจะไม่หายถ้าไม่เผลอสติเพราะเห็นกายด้วยสติครับ จิตจะซึบซับกายเรื่อยๆเป็นลักษณะผลไม้ดองผลไม้แช่อิ่มกายจึงเป็นเครื่องอยู่ของจิตนั่นเองทำให้เห็นกายตลอดเวลาการรักษาความเห็นกายได้เท่ากับรักษาธรรมได้
อ่านแล้วฟังแล้วเป็นอย่างไรกันบ้าง ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะได้เป็นชาวพุทธที่แท้จริง ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะปฎิบัติจนเข้าถึง ต่อให้จำตำราได้หมดหากไม่ลองพิสูจน์ปฎิบัติก็ไม่มีผลอะไร สาธุ สวัสดีครับ
(***ประมวลจากธรรมมะพ่อแม่ครูบาอาจารย์)
อรุณสวัสดิ์มิตรสหายทุกท่าน ขอให้เปี่ยมล้นทรงพลังกายใจ ให้รู้แจ้งแทงตลอดในศิลป์แห่งการดำเนินวิถีชีวิตเลี้ยงตัวตนและครอบครัว...ข้อนี้...สำคัญมาก ทุกคนมีสองมือ สองขา สองตา และมีสมอง เรียนรู้ ศึกษา ในสรรพวิชชาการเอาตัวรอดดำรงชีพชีวิตในโลกจักรวาลนี้ให้ได้
และ เมื่อถึงที่สุดแห่งการเรียนรู้และดำรงวิถีชีวิตได้แล้ว ขั้นตอนสุดท้ายก็คือ การยอมรับหลักสัจธรรมชาติของโลกจักรวาล ก็คือการปล่อยวางใจในความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของสรรพสิ่ง ให้มันเป็นไปตามธรรมชาติของมันเอง...ให้มันเป็นเช่นนั้นเอง
หลาย ๆ ท่าน อยากให้ผมโพสต์ธรรมในกลุ่มแต่ละกลุ่มบ้าง สัญญาณภายในจิตบอกว่า ธรรมอะไรล่ะ ในเมื่อทุกคนทุกชีวิตนั้นมีธรรมภายในตัวตน ทุกสรรพสิ่งเป็นธรรมะ และมีหน้าที่แสดงทำเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว ก็เหลือแค่...การปล่อยวาง ...ส่วนใหญ่ของมนุษย์ก็คือ ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมวาง ในสิ่งที่รับรู้มาแล้วนั้น เท่านั้นเอง...
เราคือธรรมชาติ เพราะ...เกิดแล้วแก่เจ็บตาย เราก็ต้องตาย เขาก็ต้องตาย มันก็แค่นั้นเอง....จะเอาอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้หรอก สรรพสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แปรปรวนเปลี่ยนแปลง...ดับสลาย ว่างเปล่า
พระพุทธเจ้า ท่านว่า ใครมองเห็นสัจธรรมนี้ เข้าใจสัจธรรมนี้แล้วพิจารณาชำระจิตให้ปล่อยวางสัจธรรมนี้ได้ จนสงบจิตสงบใจไม่ฟุ้งซ่านและไม่วุ่นวาย ไปกับความแปรปรวนของโลกได้ นั่นแหละ นิพพาน ณ กลางใจ
ธรรมชาติในธรรมชาติที่แท้จริง ไม่พูดมาก แต่ธรรมชาติของมนุษย์นั้น รู้มาก ปรุงแต่งมาก เข้าใจมาก พูดมาก ยึดมาก อยากมาก ทุกข์มาก เพราะ ไม่รู้จักปล่อยวาง....วางก็ว่าง นั่นแหละ นิพพาน (ดับ วาง ว่าง จากการรู้ การยึด) ถ้าปล่อยวางทั้งหมดได้จริง ๆ แล้ว ก็จะไม่รู้มากเพื่อจะพูดมาก จะพูดอะไรล่ะ เพราะมันวาง"รู้"ได้แล้วนั่นเอง "รู้ก็เป็นตัวทุกข์ ถ้า รู้แล้วยึด"
เห็นอะไร รู้อะไร เข้าใจอะไร ...ไม่พูดอะไร วาง มัน ซะ ก่อน...นั่นแหละ ดี...
ช"""
พงศ์พัฒน์ สุริยจันทร
ปุจฉา : วันก่อนพระอาจารย์อธิบายคำว่า
”ติดดี” พอเข้าใจค่ะ
แต่คำว่า “ติดธรรม”
มีความหมายอย่างไรคะ?
วิสัชนา :
ปฏิบัติด้วยความยึดไง
ยึดสิ่งใดมันก็เป็นทุกข์กับสิ่งนั้น
ยึดข้อวัตรปฏิบัติบ้าง
ยึดอะไรก็ตาม
ยึดสิ่งใดมันก็เป็นทุกข์กับสิ่งนั้นนั่นแหละ
ยึดข้อวัตรปฏิบัติ
ยึดรูปแบบในการปฏิบัติ
ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ
ก็เป็นเรื่องของการยึดติดทั้งนั้น
พระพุทธศาสนา
เป็นเรื่องของการสละ ละ วาง
ครั้งหนึ่งมีพราหมณ์ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า... ที่พระองค์ทรงแสดงธรรมไว้จำนวนมาก
มีไหมสักบทหนึ่งที่รวมทุกสิ่งทุกอย่างของพระพุทธศาสนา
พระพุทธเจ้าตรัสว่า... มี.... ก็คือ
" ธรรมทั้งปวง ใครๆ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น "
การไม่ยึดติด
พระพุทธเจ้าตรัสว่า...
ผู้ที่ได้ยินธรรมบทนี้ หรือ การปล่อยวาง
ชื่อว่าได้ยินธรรมทั้งหมดของพระพุทธศาสนา
เป็นหลักธรรม
เป็นหลักปริยัติเลย
ผู้ที่ปฏิบัติตามบทนี้คือ “ธรรมทั้งปวงใครๆไม่ควรยึดมั่นถือมั่น"
...ชื่อว่า
ได้ปฏิบัติตามธรรมทั้งหมดของพระพุทธศาสนา
เป็นทั้งหลักธรรม ปริยัติ เป็นทั้งวิธีการปฏิบัติ
ผู้ที่ปฏิบัติตามธรรมบทนี้แล้วได้รับผลจากธรรมบทนี้
ก็คือ ความไม่ยึดมั่นถือมั่น หรือ การปล่อยวาง
ชื่อว่า...ได้รับผลทั้งหมดของพระพุทธศาสนา
เป็นทั้งปริยัติ ปฏิบัติ แล้วก็ปฏิเวธ
เพราะฉะนั้น
พระพุทธศาสนา ก็คือ การไม่ยึดติด
หรือ การปล่อยวางนั่นเอง
ซึ่ง มันง่ายเหมือนการวางของไหม?
นึกอยากจะวางก็วาง มันง่ายแบบนี้ไหม
....ไม่ได้ง่ายแบบนี้
การปล่อยวาง มันเกิดจาก
การมีสติสัมปชัญญะ มีความรู้สึกตัว
สังเกตพอรู้สึกตัวปุ๊ป มันหลุดจากอารมณ์
ก็ค่อยๆ ปฏิบัติ
ที่สุดแล้ว มันก็หลุดจากการยึดมั่นถือมั่นทั้งหมด
เป็นเรื่องของการสลัดออก การสลัดคืน
โดย พระมหาวรพรต กิตติวโร
พระวิปัสสนาจารย์
ทุกอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่มีตัวกู ตัวเรา
.
" เรื่องนี้เคยอธิบายมากแล้ว คือข้อที่ให้ศึกษาจนเข้าใจว่า มันไม่มีอะไรไม่มีตัวเรา ไม่มีตัวใคร มีแต่ธรรมชาติ ธรรมชาติล้วนๆเท่านั้นเป็นไป ในลักษณะที่ flux เรื่อย คำนี้แม้จะเป็นคำของพวกฝรั่งเขาพูด ก็ถูกที่สุด และใช้ได้กับพุทธศาสนา พวกกรีกพ้องๆสมัยกับพุทธกาล พวกกรีกสมัย ๒,๐๐๐ กว่าปีมาแล้ว รู้จักพูดคำที่ว่า flux เรื่อย คือไหลเรื่อย perpetual flux คือไหลเรื่อย ไม่มีอะไรนอกจาก perpetual นี่เป็นคำฝรั่งพูดในที่สุดตะวันตกโน้นมันก็ยังถูก และเป็นพุทธศาสนา เราพูดว่าธรรมชาติล้วนๆไหลไปก็ถูกเหมือนกัน "สุทฺธ ธมฺมา ปวตฺตนฺติ - ธรรมชาติล้วนๆเป็นไป คือไหลไป" มันคือ กระแสของธรรมชาติที่เป็นไป ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ตัวกู
.
การเรียนธรรมะ การเรียนพุทธศาสนา โดยเฉพาะนี้ มันกลายเป็นเหลือนิดเดียว ที่ว่าเรียนให้รู้ว่า ไม่มีตัวกู มีแต่ perpetual flux หรือว่า สุทฺธ ธมฺมา ปวตฺตนฺติ หรือว่าธรรมชาติล้วนๆ เราใช้คำว่า "ไหลไป" แก่คำว่า เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป, เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป เราใช้คำว่าไหลไป ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรที่เป็นตัวกู เป็นตัวเรา มีแต่ธรรมชาติล้วนๆ "สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา" หรือ "สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย" ตัวนี้ มันคือธรรมชาติ ธรรมชาติล้วนๆ ไม่มีตัวกู พอเข้าใจผิด มันก็มีตัวกูเข้าที่ธรรมชาติส่วนใดส่วนหนึ่ง ระยะใดระยะหนึ่ง, ถ้าเข้าใจถูก เห็นอยู่ชัดเจน ก็ไม่มีตัวกู ที่ธรรมชาติอันไหนหรือส่วนไหน หรือกระแสไหน เวลาไหน
.
ฉะนั้น การเรียนธรรมะ คือการเรียนให้รู้ว่า ไม่มีตัวกู มีแต่ธรรมชาติ แล้วธรรมชาตินี้จะไหลเรื่อย อีกคำหนึ่งพูดว่า pentha rel ทุกอย่างไหล ทุกอย่างไหล perpetual flux อันเดียวกัน."
.
พุทธทาสภิกขุ
“…'ถ้าหากเราไม่เห็นความคิด
เรารู้มันคิดแล้วเป็นเรื่องเป็นราวไป'
อันนั้นท่านว่า ‘อวิชชา’ แปลว่า ‘ความไม่รู้’
วิชชานี่-‘วิชชา’ แปลว่า ‘ความรู้...รู้เท่า-รู้ทัน รู้จักกัน-รู้จักแก้
รู้แล้วออกจากความคิดอันนั้นได้
ความคิดนั้นก็เลยไม่ถูกปรุง’ มันเป็นอย่างนั้นนะ
ดังนั้นการหาพระอริยบุคคลนั้น ต้องหาที่ตรงนี้
หรือจะไปหาคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ไม่มีทุกข์นั้น
ก็ต้องหาที่ตรงนี้ ไม่ใช่ไปหาที่อื่น
ถ้าเราจะไปหาพระพุทธเจ้าองค์ใดมีฤทธิ์-องค์ใดมีเดชนั้น
ไม่มีโอกาส-ไม่มีเวลาที่จะได้พบได้เห็น
เพราะว่า ‘อันรูปคน(รูปร่างกาย)นั้น ไม่ใช่พระพุทธเจ้า’
ตัวพระพุทธเจ้านั้น เราก็ได้ยิน-ได้ฟังอยู่แล้ว
ที่พูดให้ฟังเรื่องพระวักกลินั่นแหละ
‘ผู้ใดเห็นธรรม ก็เห็นพระพุทธเจ้าโลดบัดเดียวนี้
ผู้ใดไม่เห็นธรรม ก็ไม่เห็นพระพุทธเจ้า’
พระพุทธเจ้านั้น ก็คือคนทุกคนนั่นแหละ
‘คนที่ไม่มีทุกข์’นั่นแหละ ท่านเรียกว่า‘พระพุทธเจ้า’
จิตใจนั้นมันสะอาด-มันสว่าง-มันสงบอยู่แล้ว
ที่ไม่สะอาด-ที่ไม่สว่าง-ที่ไม่สงบนั้น
เพราะเราหลงตัวเรา-ลืมตัวเรา
ภาษาธรรมะท่านจึงเรียกว่า ‘โมหะ’
ท่านเรียกว่า‘โมหะ’ ‘โมหะ’แปลว่า‘ความหลง’
ถ้าภาษาบ้านเรา เรียกว่า‘หลง’-เรียกว่า‘ลืม’
***ถ้าหากเราไม่หลง-ไม่ลืมตัวเราเสียแล้ว
จิตใจมันก็เป็นปกติอยู่ซั่นว่า มันก็ไม่ทุกข์ซั่นว่า***
พ่อต้องรู้จักหน้าที่ของพ่อ
แม่ต้องรู้จักหน้าที่ของแม่
ลูกต้องรู้จักหน้าที่ของลูก
*เมื่อทุกคนรู้จักหน้าที่ของการศึกษาเล่าเรียนแล้ว ก็สงบไปเอง*
‘ความสงบ’นั้นแหละ ท่านว่า‘นิพพาน’ หรือว่า‘สันติ’
หรือว่า‘ความสงบ’ หรือว่า‘ไม่เดือดร้อน’
จะว่าอย่างใดก็ว่าได้แล้ว เพราะว่ามันไม่เดือดร้อนแล้วนี่
ผู้อื่นจะเดือดร้อนก็ตาม-ช่างแล้ว เราอย่าไปเดือดร้อนกับเขา
ถ้าหากเราไปเดือดร้อนกับเขา เราก็เป็นทุกข์แล้ว
ไปทุกข์กับเขาทำไม ?
เขากับเรา มันเป็นคนละเรื่องกันเด๊!
เขาทุกข์-เราก็ไปทุกข์กับเขา มันก็บ่แม่นแล้ว
ดังนั้น *ความทุกข์-ความสุขนั้น ไม่มีใครทำให้ใคร
ตัวเองไม่รู้ เข้าไปยึด-ไปถือเอาเฉย ๆ*
‘ถ้าหากเรารู้แล้ว เราปล่อย-เราปละ
เราวางแล้ว มันก็ไม่มีอะไร’
คล้าย ๆ กับรูปไปติดอยู่หน้ากระจกนั่น
เอากระจกหันไปทางอื่นเสียแล้ว รูปก็ไม่มี
มันเป็นอย่างนั้นแหละ
ดังนั้น *เมื่อเราเห็นจิต-เห็นใจเราแล้ว
เราไม่เข้าไปยึด-ไม่เข้าไปถือ ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับมันแล้ว ความทุกข์นั้นก็เลยไม่เกิดขึ้น*
*เมื่อความทุกข์ไม่เกิดขึ้นแล้ว* จะเป็นอะไรละทีนี้ ?
*เป็นคนธรรมดานี่แล้ว*
กินข้าว-กินน้ำ ไป-มานั่นนี่ได้เหมือนกัน
ไม่ใช่สิว่าเป็นพระพุทธเจ้าแล้วเนาะ
(จะ)เหาะได้-บินบนได้เหมือนนกนี่
อันนั้นเป็นการเข้าใจผิด...”
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
.#การปล่อยวาง..
คำสอนที่เข้าใจผิดกันมาก แล้วก็ถกเถียง
กันมากที่สุด ตามความคิดเห็นของตนก็คือ
เรื่อง "การปล่อยวาง" .หรือ."การทำงาน
ด้วยจิตว่าง" .นี่แหละ.
การพูดอย่างนี้ เรียกว่า พูด "ภาษาธรรม"
เมื่อเอามาคิดเป็นภาษาโลก มันก็เลยยุ่ง
แล้วก็ตีความหมายว่า..ถ้าอย่างนั้นทำอะไร
ก็ได้ตามใจชอบละซิ.
ความจริงมันหมายความอย่างนี้ อุปมาเหมือน
ว่าเราแบกก้อนหินหนักอยู่ก้อนหนึ่ง แบกไป
ก็รู้สึกหนัก แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับมัน
พอมีใครบอกว่า ให้โยนมันทิ้งเสียโยนทิ้งไป
เถอะ แล้วจะดีอย่างนั้น เป็นประโยชน์อย่างนี้
แล้วก็ปล่อยมันตกลง.
ตอนที่ปล่อยมันตกลงนี่แหละ มันจะเกิดความ
รู้เรื่อง "การปล่อยวาง" .ขึ้นมาเลย เราจะรู้สึก
เบาสบาย แล้วก็รู้ได้ด้วยตัวเองว่า การแบกก้อน
หินนั้นมันหนักเพียงใด แต่ตอนที่เราแบกอยู่
นั้น เราไม่รู้หรอกว่า "การปล่อยวาง" .มันมีประ
โยชน์เพียงใด.
ต่อมาเราพอจะรู้แล้วว่า ผลของการแบกนั้น
เป็นอย่างไร เราก็จะปล่อยวางได้โดยง่ายขึ้น
และความเบาสบายของการปล่อยวางนี้แหละ
คือตัวอย่างที่แสดงถึงการรู้จักตัวเอง.
ความยึดมั่นถือมั่นในตัวของเรา ก็เหมือนก้อน
หินหนักก้อนนั้น พอคิดจะปล่อย "ตัวเรา" ก็เกิด
ความกลัวว่า ปล่อยไปแล้ว ก็จะไม่มีอะไรเหลือ
เมื่อปล่อยมันไปได้ เราก็จะรู้สึกเองถึงความเบา
สบายในการที่ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น.
ในการฝึกใจนี้ เราต้องไม่ยึดมั่นทั้งสรรเสริญ
ทั้งนินทา ความต้องการแต่สรรเสริญและไม่
ต้องการนินทานั้น เป็นวิถีทางโลก แต่แนว
ทางของพระพุทธเจ้านั้น ให้รับสรรเสริญตาม
เหตุปัจจัยของมัน และให้รับนินทาตามเหตุ
ตามปัจจัยของมันเหมือนกัน.
ใจของเรานี้ก็เหมือนกัน บางทีก็คิดดี บางทีก็
คิดชั่ว ใจมันหลอกลวง เป็นมายา จงอย่าไว้ใจ
มัน แต่จงมองเข้าไปที่ใจ มองให้เห็นความเป็น
อยู่อย่างนั้นของมัน ยอมรับมันทั้งนั้น ทั้งใจดี
ใจชั่ว เพราะมันเป็นของมันอย่างนั้น.
ถ้าเราไม่ไปยึดถือมัน มันก็เป็นของมันอยู่แค่
นั้น แต่ถ้าเราไปยึดมันเข้า เราก็จะถูกมันกัด
เอา แล้วเราก็จะเป็นทุกข์.
เรื่องใจมันเป็นอย่างนี้ ใช้ปัญญาเรียนรู้จักใจ
ใช้ความฉลาดรักษาใจไว้ แล้วเราก็จะเป็นคน
ฉลาดที่รู้จักฝึกใจ เมื่อฝึกบ่อยๆ มันก็จะสามรถ
กำจัดทุกข์ได้ ความทุกข์เกิดขึ้นที่ใจนี่เอง มัน
ทำให้ใจสับสน มืดมัว มันเกิดขึ้นที่นี่ มันก็ตาย
ที่นี่.
ถ้าใจเป็นสัมมาทิฏฐิแล้ว ก็จะมีแต่ความสงบ
จะเป็นสมาธิ จะมีความฉลาด ไม่ว่าจะนั่งหรือ
จะนอน จะมีแต่ความสงบ ไม่ว่าจะไปไหน
ทำอะไร ก็จะมีแต่ความสงบ..
โอวาทธรรม
หลวงพ่อชา สุภัทโท.