ขันธ์ทั้งขันธ์ มันเป็น สมมุติ ทั้งนั้น
มันก็ต้องทำงาน ตามหน้าที่ของมัน เวลาของมัน
นอกจากเราจะระงับไปชั่วกาล ชั่วเวลา
เราจะระงับไปเลย ไม่ใช้ มันคิด...มันปรุง ไม่ได้
นั่น จึงเป็นขันธ์ !!
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เต็มตัวของมัน
.
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปัณโณ.
" เมื่อเรา ดูจิต...
คือ ตามรู้จิตเรื่อย ๆไป นั้น
สิ่งปรุงแต่ง จะดับไปตามลำดับ.....จนถึง...ความว่าง
แต่...ในความว่างนั้น ยังไม่ว่างจริง
มัน มีสิ่งละเอียดเหลืออยู่...คือ วิญญาณ
ให้ตามรู้จิต เรื่อย ๆ ไป
ความยึดใน...วิญญาณ...จะถูกทำลายออกไปอีก
แล้ว "จิตแท้จริง" หรือ พุทธะ จึงปรากฎออกมา."
(หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)
""จิต"ที่ถูกปรุงแต่งนั้น ไม่ใช่จิตแท้"
มันเป็นมายา เท่ากับสิ่งทั้งปวง
ความคิดปรุงแต่ง ก็เป็นอย่างเดียวกัน
ถ้าจิตปรุงแต่ง หรือความคิดปรุงแต่งกำลังมีอยู่หรือทำหน้าที่อยู่ จิตแท้หรือจิตหนึ่งนั้นจะไม่ปรากฎเลย
เมื่อใด...ไม่มีความคิดปรุงแต่ง จิตหนึ่งก็ปรากฎทันที
เรียกอีกอย่างหนึ่ง ก็เรียกว่า"จิตเข้าถึงความว่าง"
ตัวเองหาย กลายเป็นความว่าง หรือจิตหนึ่งไป
ความคิดปรุงเเต่งนั้น เจือด้วย"อุปาทาน"
หรือ"ความยึดถือ"ในของคู่ๆ...
ถ้าไม่"หลง"ในของคู่ "อุปาทาน"ก็ไม่เกิด คือ"กิเลส ตัณหา"ไม่เกิดนั่นเอง
สภาพจิตเดิมแท้จะปรากฎออกมาเป็น"ความว่าง"จาก"กิเลส...ตัณหา" หรือ"อุปาทาน"
โดยประการทั้งปวง....
พระพุทธเจ้า ต้องการให้มันมา รู้ใจเฉพาะ ให้เหลือแต่ จุดรู้อย่างเดียว
ถ้า ใจ ออกไปรู้ข้างนอกเป็น ดวงวิญญาณ ยินดีพอใจข้างนอกเป็น อารมณ์
ใจ มันอยู่ข้างนอก มัน ไม่อยู่ที่ตัวเอง ถึงวุ่นวาย
ให้มัน รู้ อยู่ที่ ใจ อย่าออกนอก อย่าไปรู้ข้างนอก มันไม่รู้จักตัวเอง วุ่นวาย
ให้รู้จัก ใจข้างใน ให้น้อมเข้ามาสู่ ดวงรู้ เข้าหา จุดรู้
ดู ลม ไม่ให้ เอาลม ให้ใจเข้าสู่ ดวงรู้ จุดรู้ เข้าสู่จุดนั้น น้อมเข้า น้อม ใจ เข้าสู่ จุดรู้ เลย ให้ รู้จักตัวเอง ที่ตั้งจุดรู้ จึงให้ ใจไปรู้ ดวงรู้ อีกครั้ง
ใจ ไม่มี ตัวตน รูปร่างสัณฐาน ใจ เป็นสภาวะ "รู้
อย่าให้ ใจ "รู้" ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ให้ ใจ มันรู้ ใจ
ใจ ไม่มีตน ไม่มีรูปร่าง เป็นเป็นสภาวะที่ "รู้" อยู่ในนี้
ใจมันออกไปรู้ รู้ รูป ข้างนอก มันจึงเป็น ภัย แก่ใจ ให้น้อม เข้ามาหา ดวงรู้ จุดรู้
ใจมันออกไป รู้ ข้างนอก จึงเป็นเหตุให้ใจมันยินดียินร้าย ไปตามอารมณ์ที่กอดสิ่งนั้น
อารมณ์ นั้นมันวางไม่ได้ มัน ติดรูป แม้จะหลับตามันยัง เห็นอยู่ในใจ อย่างนั้น เพราะใจมันจดจ่อสิ่งที่มันเห็นนั้น หรือจดจ่อสิ่งที่มันฟัง
ความประสงค์ของพระพุทธเจ้า ต้องการให้มันมา รู้ใจเฉพาะ ให้เหลือแต่ จุดรู้อย่างเดียว
ถ้ามันรู้มันถือในจุดอื่นอยู่ ใจมันยังข้องอยู่กับสิ่งนั้น(ต้องมีอารมณ์เดียว อยู่กับจิตเดิมตลอด อยู่กับ จิตหนึ่ง เท่านั้น อยู่กับ หนึ่ง เท่านั้น) เช่น มันติดอารมณ์ภายใน อารมณ์ภายใน มันก็ เก็บมาจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันจำไว้ มันเป็น สัญญาเวทนา ที่มัน เก็บ อยู่ที่ ใจ
สัญญา เวทนา เป็น จิตสังขาร
จะคิด จะปรุง จะแต่ง ก็ต้องอาศัย สัญญา กับ เวทนา คือสิ่งที่มัน จำไว้ ในสิ่งที่ มันสบาย ไม่สบาย
การทำใจ ให้ สงบ ให้ รู้อยู่ ใน จุดรู้ อยู่อย่างเดียว .......
ประคองเข้าสู่ จุดนั้น รักษาความรู้สึก ไว้ใน จุดเดียว
ถือเอาความรู้สึกนั้นให้ ไปรวม อยู่ในที่ จุดเดียว
หรือมิฉะนั้นให้ กลั้นลมหายใจ มันจะ จดจ่อ ที่ ตั้งของใจ เมื่อได้ที่ตั้งแล้ว ให้ จำตรงนั้น ประคองความรู้สึกไว้ที่ ตรงนั้น ให้มันอยู่ ให้ มันติดตรงจุดนั้น ให้ได้
เมื่อตั้งจนชำนิชำนาญ จิตมันจะติดตรงนั้น เมื่อใจมันติดตรงจุดนั้นได้ มันก็วางข้างนอก มันไม่ไปต่อข้างนอก มันจะต่อจุดนั้นอย่างเดียว เมื่อมันแน่วอยู่ในจุดเดียวแล้วมันเป็นสมาธิเบื้องต้น
รักษาจิตให้อยู่ใน จุดนั้น มากขึ้นเท่าใด ใจก็จะมั่นคงมากขึ้นเท่านั้น เป็น เอกัคตาจิต จิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว อยู่ใน จุดที่ตั้ง นั้น
หลวงปู่ชา สุภัทโท
สภาวะนิพพาน
อันว่านิพพานแท้ที่จริงแล้วก็ไม่ได้อยู่ที่ไหน ขอให้โยมพิจารณาตามสิ่งที่ได้ยิน เมื่อเราสำรวมความสงบด้วยกาย วาจา ใจตั้งมั่นดีแล้ว ก็กำหนดสมาธิ กำหนดรู้ลมหายใจอานาปานสติเข้าออก จนรู้ว่าลมนั้นสงบแล้ว..สงบที่ใดในกายก็วางลมนั้น ณ ที่แห่งนั้น เมื่อเราวางแล้วเห็นว่าสงบดีแล้ว สิ่งอื่นใดทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นเสียงอันใดก็ขอให้รู้ได้ยินแล้วก็วางเฉย
นั้นก็เรียกว่าเราต้องดับอารมณ์ในขันธ์ ๕ คือไม่สนใจ คือวางอุเบกขาให้มันเกิดขึ้น นั้นก็เรียกว่าอันดับแรกเราต้องวิตกในอารมณ์ก่อน วิตกอารมณ์ก็คือลมหายใจของเรานี้แล เมื่อเราวิตกแล้วกำหนดลมเข้าออก ล้างลมเสียออกจากปอดแล้ว เมื่อลมมันสงบนิ่งในขณะนี้ ก็เอาความสงบนิ่งของลมนี้แลดูอยู่ที่กาย
การดูอยู่ที่กายดูอย่างไร ดูที่กายคือดูความรู้สึกของกายของใจเรานี้ เมื่อมันสงบแล้วให้เราวางเฉยในความสงบนั้น ให้นิ่งสงบ จิตนั้นไม่ส่งออกไปภายนอก หยุดความคิดปรุงแต่งในอดีต หรือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าคืออนาคต รู้เฉพาะในปัจจุบันของจิต กำหนดจิตอยู่ในกาย เมื่อรู้กายแล้วก็รู้ว่าเราอาศัยกายอยู่
แล้วว่าการจะไปนิพพาน การดับอารมณ์ในขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขารล้วนแล้วแต่ทำให้เกิดเหตุแห่งทุกข์ทั้งหลาย ดังนั้นลองพิจารณาดูง่ายๆ ตั้งแต่เราเกิดมาจนถึงปัจจุบันนี้ มีอะไรที่เป็นสุขเป็นเรื่องเป็นราวที่มีแก่นสารหรือไม่ ความทุกข์อะไรที่บีบคั้นเรา ความน่าละอายสิ่งใดที่ทำให้เรานั้นขาดจากความเป็นมนุษย์ ขาดจากศีลจากธรรม ให้ระลึกรู้ว่าสิ่งที่เราทำมาอะไรนั้นมันมีแก่นสารหรือไม่
พิจารณาดูซิว่าเราเสวยสุขหรือทุกข์มากกว่ากัน เมื่อเห็นว่าสิ่งที่เราผ่านมาพิจารณาแล้วไม่มีสาระแก่นสารอันใดเลย อย่างนี้แล้วเราก็จะละออกจากกาย การละออกจากกายก็คือการดับรูป การดับรูปคืออะไร ก็เรียกว่าเมื่อจิตเราเพ่งรู้อยู่ในกายอยู่ในความสงบ ก็เห็นความสงบนั้นอารมณ์นั้นเกิดขึ้น..ตั้งอยู่..ดับไป ก็กำหนดรู้ในอารมณ์นั้น ให้เท่าทันในอารมณ์นั้นแล้ววางเฉย เรียกว่าวางเฉยอยู่ในกาย คือไม่ต้องสนใจกายแต่รู้อยู่ในกาย
เมื่อรู้อยู่ในกายแล้วก็ทำความรู้นั้นให้แจ้งด้วยปัญญา เอาปัญญานั้นไปพิจารณาอะไร พิจารณาความเสื่อมของสังขาร ความตายที่จะเกิดขึ้น ความไม่แน่นอน สิ่งทั้งหลายนั้นเป็นทุกข์ เป็นอนิจจัง เป็นอนัตตาคือความว่าง เมื่อจิตที่ว่างจากความคิดนี้แลเค้าเรียกว่า"นิพพานชั่วขณะ"
แต่ว่าจิตที่เราจะว่างจากความคิดมันเป็นอย่างไร มันต้องว่างจากอารมณ์ที่เราไปยึดมั่นถือมั่นของกาย ของสังขาร การจะถอนอุปาทานจากขันธ์นี้เราต้องเพ่งโทษในกายเสียก่อน เห็นว่ากายนี้เป็นที่รังของโรค อัตภาพนี้มันมีสุขน้อยมันมีทุกข์มาก ไม่ช้าไม่นานกายสังขารนี้ก็ต้องแตกสลายไป เพราะว่ามันประกอบขึ้นมาด้วยดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศธาตุ จิตวิญญาณธาตุ
เมื่อมันมีแต่ธาตุ มันมีแต่เกิดขึ้นมาปรุงแต่งอย่างนี้ เมื่อถึงเวลาของธาตุกายสังขารที่จะแตกดับออกไปแยกออกจากกัน ก็หามีประโยชน์อันใดไม่ เหมือนท่อนไม้ท่อนฟืนอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็แสดงว่ากายสังขารนี้มันไม่ใช่ของเรา สิ่งไหนที่เราบังคับบัญชามันไม่ได้สิ่งนั้นไม่ควรยึด เพราะเมื่อยึดแล้วมันก็จะเป็นทุกข์
เมื่อกายสังขารมันไม่ใช่ของเรา แต่ทำไมเรียกว่าเป็นเรา ที่ว่าเรียกเป็นเรา เป็นกู เป็นมึง เพราะเราเข้าไปยึดมั่นถือมั่น ตอนนี้เราไม่อยากเป็นมัน เราไม่อยากเป็นเรา แต่เราต้องอยากรู้เราว่าสิ่งที่เราอาศัยอยู่นี้ แท้ที่จริงแล้วมันคืออะไร เมื่อเราเห็นตามความเป็นจริงได้ว่ากายสังขารนี้เป็นเพียงกายชั่วคราว ที่เราได้มาอาศัยจุติให้สร้างบุญสร้างกุศลสร้างบารมี ดังนั้นเราจะเอากายสังขารนี้ได้ใช้ประโยชน์เป็นครั้งสุดท้าย
เมื่อเห็นว่ากายสังขารนี้มันมีแต่ทุกข์ มีความตายรออยู่เบื้องหน้า ก็ให้เพ่งโทษในกายจนถึงที่สุด ของที่สุดของอารมณ์เป็นอย่างไร อารมณ์เหล่าใดก็ตามที่เราเจริญแล้ว เราระลึกแล้วนั้นทำให้เราเกิดการสละ เกิดการปลงสังเวชเสียได้อย่างนี้ ด้วยการถอดถอนจากอุปาทานจากขันธ์ของจิตที่ยึดมั่นถือมั่นอย่างนี้ได้ นั่นแลไม่นาน..นิโรธมันก็บังเกิด
นิโรธก็คือการเห็นอารมณ์เกิดขึ้น..ตั้งอยู่..ดับไป เห็นสภาวะความไม่เที่ยงของอารมณ์ของจิต อย่างนี้แล้วก็เรียกว่านิโรธมันก็บังเกิด ผลจากเห็นอย่างนี้ของจิตที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เห็นสภาวะความไม่เที่ยงอยู่บ่อยๆ ก็เรียกว่ามรรคมันก็บังเกิด เมื่อมันเป็นอย่างนี้แม้จิตเราเองก็ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
ก็เมื่อเหลือแต่จิตแล้วตอนนี้ถ้าหากว่ากายมันดับไปเมื่อพิจารณาไปแล้ว ก็เอาอารมณ์ของจิตนั้นแล ที่มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปนั้นแลมาพิจารณา จนว่าอารมณ์ทั้งหลายนั้นมันดับลงไปไม่เหลือ ไม่นานสมาธิมันก็บังเกิด เมื่อสมาธิบังเกิด ฌานมันก็บังเกิด วิปัสสนาญาณมันก็บังเกิด เห็นว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เราเข้าไปยึดมั่นถือมั่นก็เพราะว่าอวิชชาคือความไม่รู้
เมื่อเราไปพิจารณากำหนดรู้ในกายเสียได้ว่า กายนี้ที่แท้จริงแล้วมันเป็นของชั่วคราว อัตภาพนี้มันมีแต่ทุกข์ที่ว่าอาศัยอยู่ เมื่อเราเห็นโทษภัยในกายสังขารนี้ว่า ไม่ช้าไม่นานกายสังขารนี้ก็ต้องดับสลายไปเหมือนกับทุกๆคน ไม่ว่าจะเกิดมาเพียงใดมากน้อยเพียงใด ก็ต้องตายหมดเท่านั้น อย่างนี้แล้วชื่อว่าความเป็นจริงได้บังเกิดขึ้น ได้ประจักษ์ขึ้นกับในจิต
เมื่อเห็นอย่างนี้ได้เราก็จะวางกายนี้ คือไม่สนกาย ไม่ไปยึดกาย แต่จะอาศัยกายนี้ประคองจิตจนว่าจิตนั้นมันรู้แจ้งแล้ว จิตมันสงบแล้ว ก็จะวางธาตุขันธ์นี้ไว้ตามฐานะของมันอย่างนั้น เมื่อเป็นอย่างนี้ก็เรียกว่าเรากำหนดอยู่ในกาย นี้แลจิตคือความรู้สึกไปกำหนดอยู่ในกาย จิตนั้นกับกายได้แยกกันอยู่แล้ว เพราะว่าจิตนั้นได้กำหนดรู้ว่านี่คือกายแต่ไม่ได้ยึดกาย แม้อารมณ์จะเกิดขึ้นในเวทนาของกายก็สักแต่ว่าเป็นเวทนา เป็นความรู้สึก..เราก็วาง นี่แลเค้าเรียกว่าอุเบกขามันก็บังเกิด
เมื่อจิตมันถอนอุปาทานแห่งขันธ์ ก็เรียกว่ายกจิตขึ้นมา เมื่อจิตมันมีกำลังก็ยกจิตขึ้นมาไว้กลางหน้าผาก ในขณะนี้ถ้าเมื่อเรายกขึ้นมาได้ ก็จะเห็นว่าร่างกายก็ดี ความรู้สึกก็ดีมีความเสียววาบเสียวซ่านไปทั้งส่วนสรรพางค์กายนี้แล ก็ให้เราประคองจิต วางจิต คือวางเฉยของจิตนี้เพ่งรู้อยู่ที่กลางหน้าผาก ทำความรู้สึกให้มันสงบนิ่ง ประคองจิตไว้
ถ้าเมื่อประคองแล้วมันยังไม่นิ่งก็ให้กลับมากำหนดลมเข้าไปใหม่ แล้วก็วางจิตที่มันสงบนี้อยู่ในกาย เมื่อสงบ..จิตมันตั้งมั่นก็ยกขึ้นไปใหม่ ทำอยู่อย่างนี้ เรียกว่ามีวิตกอยู่ในกาย วิตกในอารมณ์ วิจารละอารมณ์ดับแล้ว เมื่ออารมณ์มันสงบก็ยกขึ้นไปใหม่ ทำอยู่อย่างนี้
เมื่อผู้ใดเรายกขึ้นไปได้สำรวมจิตไว้ที่กลางหน้าผากได้ ขอให้ประคองจิตอยู่อย่างนี้ให้นิ่ง เพราะโดยธรรมชาติของจิตของทวารของจิต..ตัวปัญญาตัวญาณมันจะเกิดตัวรู้ทางนี้ ถ้าจิตที่ตั้งมั่นสงบนิ่งมากมันจะระงับทุกอย่าง แม้ความหนาวเหน็บความหนาวเย็นสิ่งใด เสียงอันใดก็ตาม จิตมันจะมีความละเอียดมากขึ้นมากขึ้นมากขึ้น
เมื่อจิตมีความละเอียดมากขึ้นมากขึ้น แม้เสียงอันใดก็ตามที่เราได้ยิน มันก็จะเบาบางลงจนเสียงนั้นดับไป นิ่งไปสงบไป ทีนี้แล้วจิตเราก็จะมีแต่ความสงบ อาศัยสมาธินี้แล อาศัยฌานที่เราจดจ่อเพ่งรู้อยู่เป็นอารมณ์ เป็นเอกัคคตา จิตและลมหายใจเป็นหนึ่งแล้ว ก็เรียกว่าจิตมันสงบระงับ
คำว่า"ระงับ"ก็คือนิโรธมันบังเกิด เห็นอารมณ์เหล่าใดเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปมันก็วาง เห็นจิตอะไรที่มันเข้าไปกระทบผัสสะก็รู้แล้วก็วางอยู่อย่างนี้ รู้แล้ววาง เห็นแล้ววาง ผัสสะมากระทบก็วาง นี้แลเรียกว่าจิตไม่เข้าไปยึดไม่เข้าไปปรุงแต่ง จิตที่ไม่เข้าไปยึดไม่เข้าไปปรุงแต่งนี้แล เค้าเรียกว่าจิตที่ว่างจากความคิด ว่างจากอุปาทานแห่งขันธ์ ว่างจากชรา ว่างจากมรณาอย่างนี้..
ถ้าโยมมุ่งมันอยากจะรู้ว่าสภาวะนิพพานที่โยมปรารถนา..ก็ขอให้โยมพิจารณาตามดู
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต