การที่เราจะออกรบ นักรบพอจะออกรบเค้าจะมีอะไรบ้างจ๊ะ มีชุดเสื้อเกราะ มีอาวุธมั้ยจ๊ะ นั้นก่อนที่โยมจะไปสร้างบารมีอะไรก็ตาม โยมจะเจริญพรหมจรรย์ก็ดี ออกรบเพื่อเรียกว่าจะมาฆ่าสังหารนิวรณ์ ฆ่าสังหารกิเลสตัณหาอุปาทานมันไม่เป็นบาป แต่มันจะเป็นบุญกุศลบารมีอย่างเดียว
นั้นเสื้อที่โยมจะต้องใส่..โยมต้องมีศีล อาราธนาศีลให้ถือศีล ถ้าโยมรักษาศีลดีเสื้อเกราะโยมมันก็ดี ก็เป็นเกราะป้องกันภัย อาวุธก็คือสติ อ้าว..แล้วหมวกโยมต้องมีมั้ยจ๊ะ เอาไว้กันน๊อค เค้าบอกให้เรานั้นระลึกถึงมงกุฏพระเจ้า ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ รู้จักมงกุฏพระเจ้ามั้ยจ๊ะ..ให้เราอาราธนาเสกลูบหัวอย่างนี้
ศีลให้เราระลึกถึงอธิษฐาน ในศีล ในทาน ภาวนาที่เรานั้นได้บำเพ็ญมา ขอจงโปรดรักษากายสังขารของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอธิษฐานเอากายสังขารนี้เพื่อจะเอาไปประพฤติปฏิบัติเจริญในพรหมจรรย์ เจริญบารมีให้เกิดขึ้นในบารมีทั้ง ๑๐ ก็ให้เราอธิษฐานไป
แล้วให้อธิษฐานถึงครูบาอาจารย์ อธิษฐานบริวาร อธิษฐานบริวารเป็นอย่างไร คนที่มีบริวารมากๆทำอะไรมักประสบความสำเร็จได้ง่าย ไปอยู่ที่ใดก็เหมือนว่าเรานั้นมีกำลัง ไม่เหงา ไม่โดดเดี่ยว ไม่มีความกลัวสะดุ้ง โยมไปไหนคนเดียวถ้าไปเจอศัตรูไปคนเดียวโยมกลัวมั้ยจ๊ะ นั้นการอธิษฐานบริวารเป็นอย่างไร อธิษฐานบริวารคืออธิษฐานเมตตาจิต คือการแผ่เมตตาจิตออกไป ๑ ครั้งนั่นแหล่ะจ้ะ เค้าเรียกว่าอธิษฐานบริวาร
"อธิษฐานบริวาร"คือ..อธิษฐานเมตตาจิต ขอบุญกุศลที่ข้าพเจ้าเจริญภาวนา ถือศีลในพรหมจรรย์นี้จงขอสำเร็จกับดวงจิตวิญญาณทั้งหลาย เทพเทวดาเจ้าทั้งหลาย ไม่ว่าจะอยู่ภพใดอยู่ชั้นฟ้าใดวิมานใดก็ตาม ทั่วทุกจักรวาลพิภพแสนจักรวาลพิภพก็ดี หากได้รับรู้ในบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้เจริญความเพียร ประพฤติปฏิบัติในทาน ศีล ภาวนา
หรือเราจะบวชเนกขัมมะ หรือจะทำการสิ่งใด..ยกสิ่งนั้นมาเป็นประธานแห่งกรรมแห่งกุศล และอธิษฐานจิตให้กับเจ้ากรรมนายเวรจิตวิญญาณทั้งหลาย เทพยดาเจ้าทั้งหลาย พระแม่ธรณี พระแม่คงคา พระเพลิงพระพาย พญายมราช ท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ ที่รู้นามไม่รู้นาม จงได้มาโมทนา มีผลส่วนในบุญกุศลของข้าพเจ้าที่พึงจะได้ประโยชน์ในขณะนี้ ขอบุญนี้จงบังเกิดกับทุกดวงจิตดวงวิญญาณ..อย่างนี้ ให้มาโมทนาบุญกับเรา อย่างนี้เค้าเรียกว่าอธิษฐานบริวาร..
นั้นถ้าโยมอธิษฐานไปถึงกับผู้ที่เค้ามีบารมี เทพเจ้าองค์อินทร์เจ้าทั้งหลาย หรืออธิษฐานไปถึงพระอรหันต์ขีณาสพ พระอริยสงฆ์เจ้าทั้งหลายอย่างนี้ ถามว่าโยมจะมีกำลังมากมั้ยจ๊ะ เค้าเรียกว่ามี"กำลังมหาจักรพรรดิ์"
อ้าว..การอธิษฐานนั้นมีอานิสงส์มาก ถ้าโยมอยากรู้โยมก็ลองอธิษฐานดู..
ให้เราตั้งจิตอธิษฐาน แม้เราจะเดินก็ดี นั่งก็ดี ก็ให้อธิษฐานบุญกุศล เราจะอธิษฐานได้ตอนไหน..ที่จิตเรานั้นจะมีอานุภาพมหาศาล ไม่มีอะไรต้านทานได้ ก็จิตที่เรานั้นตั้งใจปรารถนาจะอธิษฐานแล้ว พร้อมแล้วที่เรานั้นจะรบ ก็อธิษฐานฟ้าดินได้ ถ้าจิตเรานั้นปราศจากเมฆหมอก ก็คือพ้นจากอนุสัยก็ดี พ้นจากนิวรณ์ทั้ง ๕ แล้วก็ดีนั้น เรียกว่า"จิตที่มีกำลังมาก"
จิตเมื่อไม่มีนิวรณ์มาปกคลุม โลกธาตุทั้งปวงย่อมมองเห็นแสงสว่างในกายเรา นั้นขอให้เราตั้งจิต การตั้งจิตให้เราระลึกถึง ถ้าเราไม่ว่านะโม ๓ จบให้เราระลึกถึง ขออำนาจแห่งพระรัตนตรัยอันมีพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ อย่าได้ลืมอย่าได้ขาด..ก็คือบิดามารดา และครูบาอาจารย์ ผู้มีคุณทั้งหลาย..อย่างนี้เราอย่าได้ลืมหรือขาด ไม่งั้นมันจะไม่ครบองค์ประชุม เค้าเรียกว่าไม่ครบองค์ของครูบาอาจารย์
เราอธิษฐานไป เข้าใจมั้ยจ๊ะ เค้าเรียกอธิษฐานบารมี เค้าเรียกอธิษฐานบริวาร ทอดกฐินต้องมีบริวารมั้ยจ๊ะ คนบุญไม่พอไม่มีบริวารเลยก็อาจจะไม่รอด นั้นอธิษฐานบริวารทำอะไรมันไม่เหนื่อย เข้าใจมั้ยจ๊ะ พอเราอธิษฐานบริวารกำลังจิตบารมีโยมจะมีกำลังประพฤติปฏิบัติ เมื่อเราจะเดินก็ดี นั่งก็ดี ก็ทำได้นานในความเพียร เข้าใจมั้ยจ๊ะ
มันจะทำให้เรามีความสุข สิ่งไหนที่เรามีความสุขในสิ่งนั้น มันทำให้เราเหนื่อยล้ามั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ไม่ค่ะ) มันทำให้เรามีความเพลิดเพลิน ในความเพลิดเพลินไม่ได้บอกว่าเรานั้นขาดจากสติ แต่ในความเพลิดเพลินนั้นทำให้เราคือมีสุข คนเมื่อมีสุขแล้ว..มันจะมีความพอใจตั้งมั่นในสิ่งนั้นได้นาน เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นเราต้องอธิษฐานบารมีอธิษฐานบริวาร..
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
โลกธรรม ๘ ก็ดี เมื่อเราอยู่กับกลุ่มหมู่คณะแล้วมันเป็นของธรรมดา แต่ผู้ใดที่สลัดมันออกได้ และข้ามพ้นจากอารมณ์โลกธรรม ๘ นี้ได้นั่นแล จึงเรียกว่าเป็นผู้อริยชนที่จะก้าวล่วงไปสู่การพ้นทุกข์ได้ ดังนั้นอารมณ์เหล่าใดนั้นแลที่มันมากระทบจิต มันจึงเป็นธรรมบททั้งหลาย
เค้าจึงบอกว่าถ้าไม่มีอะไรมาทดสอบ แล้วอะไรเล่าจะเป็นการฝึกฝนจิตฝึกฝนบารมีว่าเรานั้นจะข้ามพ้นอารมณ์หรือไม่ ความโกรธก็ดี ความหลงก็ดี มันทำให้เรานั้นจิตใจเรานั้นเศร้าหมองห่อเหี่ยว ดังนั้นแล้วการทำจิตให้เป็นปรกติ ให้สว่าง สงบ นั้นแล..เป็นหนทางดับทุกข์
แต่สิ่งที่กล่าวมาถ้าเราไม่มี"สติเท่าทัน" แล้วจะเอาตัวปัญญาตัวรู้ที่ไหนเป็นผู้บอกผู้สอน อันว่าจิตนั้นเป็นผู้รู้ อันว่าอารมณ์ทั้งหลายเป็นวิญญาณ
เมื่อวิญญาณนั้นมันยังไม่ดับ..จิตผู้รู้นั้นมันก็ยังรู้ไม่จริง เพราะถ้ารู้จริงแล้วต้องดับในวิญญาณได้ หรือดับอารมณ์ได้ หรือเท่าทันอารมณ์ได้..
นั่นคือตัวสติที่จะเหนืออารมณ์ เมื่อเราเหนืออารมณ์แล้วเราก็จะควบคุมอารมณ์ได้ เมื่อเหนืออารมณ์เห็นอารมณ์..เราก็จะเหนือกรรม เมื่อเราเหนือกรรมเราก็ควบคุมกรรมได้ ว่าเราจะวางมันหรือทำอย่างใดอย่างหนึ่ง
เค้าเรียกว่าควบคุม ก็เรียกว่าต้องมีศีลกำกับ มีสตินั้นคอยหนุนอยู่ตลอดเวลา
ดังนั้นถ้าเราดับ จิต กายสังขาร ไปแล้ว อารมณ์ที่จิตเรานั้นยังไปผูกพันอยู่..สิ่งเหล่านี้จะตามให้ผลให้เกิดภพเกิดชาติที่เราต้องไปเสวย ดังนั้นการจะประพฤติปฏิบัติในพรหมจรรย์ เพื่อมุ่งที่เรานั้นต้องการทำให้ถึงการดับทุกข์ ทำทุกข์นั้นให้แจ้งด้วยการเจริญปัญญาเจริญสติ
ในคราใดก็ตามที่จิตเรามีศรัทธา มีกำลัง ขอให้เจริญภาวนา เจริญสติ เจริญปัญญาพิจารณาในธรรมสังเวชก็ดี ธรรมอกุศลก็ดี ธรรมที่เป็นกุศลก็ดี เค้าเรียกว่าการเพ่งโทษในจิตในกายตนอยู่อย่างนี้อยู่บ่อยๆ นั่นแลเรียกว่าโยมนั้นมีการงานที่ตั้ง
เมื่อมีหลักอย่างนี้แล้วเรียกว่ามีสรณะ มีหลักคือพระรัตนตรัย คนไม่มีหลักไม่พระรัตนตรัยเป็นสรณะ จิตนั้นย่อมมีแต่ความวุ่นวายสับสน หาความสงบไม่ได้ จิตนั้นต้องเพ่งโทษแต่คนอื่นอยู่อย่างนี้อยู่เรื่อยไป หากผู้ประพฤติปฏิบัติอย่างแท้จริง ถือพรหมจรรย์ได้ เข้าถึงศีลถึงธรรมได้นั่นแลจึงเรียกว่าเข้าถึงในพระรัตนตรัย
เมื่อเข้าถึงแล้วก็เอาพระรัตนตรัยนั้นแลเป็นสรณะเป็นที่พึ่ง นั่นหมายถึงว่าเมื่อคราใดจิตเรานั้นเศร้าหมองหดหู่ใจ หาหลักที่พึ่งไม่ได้ ให้วางอารมณ์ทั้งหลายที่มันเป็นทุกข์ที่มันทำให้เรานั้นเร่าร้อนกลับเข้าสู่ในจิตในกาย คือการเจริญสติ คือการเจริญภาวนา หรือเจริญมนต์ก็ดี จนเข้าถึงความสงบแล้วแผ่เมตตาจิตให้กับสรรพสัตว์ ดวงจิตวิญญาณผู้มีอาฆาตพยาบาททั้งหลาย หรือเจ้ากรรมนายเวรนั้นแล
ให้อยู่กับ"ตัวรู้"ในปัจจุบัน ตัวรู้ในปัจจุบันนั้นแลย่อมรู้เป็นผู้กำหนดอนาคตได้ ถ้าเราทิ้งผู้รู้ในปัจจุบัน..อดีตแห่งกรรมทั้งหลาย อนาคตที่เราจะกำหนดได้..มันก็ไม่เป็นไปตามที่เราคิด ดังนั้นถ้าเราจะข้ามพ้นสิ่งเหล่านี้ได้ เราต้องข้ามพ้นอะไรก่อน..คือนิวรณ์หรือจิตที่เรายังเศร้าหมองอยู่
นั้น เราจงทำจิตให้เรานั้นสว่าง หลังจากที่เราได้สว่างแล้วมีอารมณ์เหล่าใดบ้างที่เข้ามาที่ทำให้จิตเรานั้นมืดมนหดหู่เศร้าใจ คือการเมื่อเราหลับนอนไปแล้วนั้นจะหาว่าสตินั้นจะตั้งอยู่ได้ ๑๐๐ นั้นก็เป็นไปได้ยาก แต่ถ้าเรานั้นในทุกขณะจิตทุกอิริยาบถในสภาวะของจิตนั้นไม่ว่าเราจะหลับจะนอน ถ้าเรากำหนดจิตให้เป็นฌานเป็นสมาธิ แม้เราจะหลับนอนก็เป็นหลับแค่กายสังขาร แต่จิตนั้นวิญญาณนั้นยังคงไหลเวียนอยู่ ยังรู้อยู่ นั่นก็คือแม้จะนอนเราก็รู้ว่าเรานอนอยู่ อย่างนี้แลเค้าเรียกว่าได้ฝึกฌานเป็นการเจริญสติ เจริญฌานอยู่
เดินอยู่ก็รู้ ตื่นอยู่ก็รู้ หลับอยู่ก็รู้ อย่างนี้เป็นผู้มีสติทั้งกลางวันและกลางคืน ไอ้ที่จะเผลอใผลไปบ้างนั้นเป็นของสุดวิสัย ดังนั้นเมื่อเราทำอย่างต่อเนื่องอยู่อย่างนี้ จิตย่อมมีกำลังอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นแล้วอารมณ์เหล่าใดก็ตามในอดีตที่ผ่านมาจะไม่ว่าเป็นปีนี้หรือเป็นปีที่ผ่านมาแล้ว
๑ ปีที่ผ่านไปเรียกว่าชาติ
ที่เราเสวย ๑ วันที่ผ่านไปเรียกว่าภพ หรือทุกขณะจิตนั้นคือการเกิดตายก็ดี
ดังนั้น ดูซิว่าที่ผ่านไปแล้วเท่ากับ ๑ ชาติ ที่เราเสวยเราได้กำหนด ได้สะสางหนี้กรรมอย่างไรบ้าง จิตที่เราฝึกมาเป็นอย่างไร เสบียงบุญนั้นมากพอหรือยัง ที่เรานั้นจะตัดอาลัยอาวรณ์ในสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ที่เป็นของเป็นมายาเป็นของหนัก..เราได้กำจัดออกไปบ้างหรือยัง
เราไม่ต้องดูว่าปีหน้าปีไหนๆอายุเท่าไหร่ หรือว่าอีกสิบปีห้าปีจะเป็นอย่างไร เราดูวันนี้ ดูในขณะนี้..คือภพ เมื่อสิ้นปีแล้วก็เป็นชาติที่เราเสวย รวมชาติมาเป็นอย่างไร การประพฤติปฏิบัติในทาน ศีล ภาวนาเราเป็นอย่างไร ขันติธรรมเราเป็นอย่างไร เมตตาเราเป็นอย่างไรบ้าง เรามีความเมตตาเกื้อกูลคนอื่นมากพอหรือยัง
คนที่มีเมตตาจิตที่มั่นที่ดี มีสติตั้งมั่นในเมตตาเป็นอย่างไร..ละความโกรธ ควบคุมความโกรธ เป็นคนโกรธยากนั่นแล อย่างนี้เรียกว่าเท่าทันในตัวโทสะ โมหะคือความหลง เมื่อหลงอะไรในอารมณ์ใดที่มาทำให้จิตเราเศร้าหมองก็ทำให้มีสติมีปัญญาเท่าทันนั่นแล..เรียกว่าเราได้เจริญปัญญา
ศีลคือการสำรวมอินทรีย์ของเรา ดังนี้..ใจที่ตั้งมั่นที่เราฝึกฝน เราลองพิจารณาดูซิว่าชาติหนึ่งที่เราเสวยมามันเป็นอย่างไร นี่เราควรตรวจสอบจิตเราอย่างนี้ นี่แลเค้าเรียกว่าการว่าเจริญอิทธิบาท ๔ ไม่ใช่ไปถามครูบาอาจารย์หลวงพ่อองค์ไหนว่าการประพฤติปฏิบัติมาเราเป็นอย่างไร ก้าวหน้าเพียงใด ตัวเรายังไม่รู้..แล้วใครจะรู้ดีเท่าตัวเรา..
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
ทุกข์อะไรก็ตาม..ไม่มีใครทำขึ้นมาหรอกจ้ะ ไม่มีใครทำให้เราด้วย เราต่างหากที่ไปแสวงหามา สิ่งที่แสวงหานั้นแลคือทุกข์ สิ่งที่เราหยุดแสวงหานั่นแหล่ะจ้ะคือสุข ลองไปพิจารณาดูให้ดี สิ่งไหนที่ตามแสวงหาอยู่..นั่นคือทุกข์ทั้งนั้น เพราะนั่นคือเรียกว่าการดำริในความพอใจนั้นเรียกว่ากาม เข้าใจมั้ยจ๊ะ
เมื่อเรามีความดำริความอยาก ความพอใจ นั้นแล..เรียกว่ากาม
เมื่อเรามีอารมณ์ไม่พอใจ เกิดความไม่พอใจนั้นแล..เรียกว่าโทสะ
ขาดจากปัญญาอบรมบ่มจิต..จึงเรียกว่าโมหะ เกิดความลุ่มหลง ไม่เท่าทันในอารมณ์ ในสติ ที่เกิดขึ้น
ดังนั้น แล้วเราจงหยุดความพอใจ จงมาละอารมณ์ อารมณ์เราไปละที่ไหน เราต้องมาละในกายในขันธ์ ๕ นี้ ขันธ์ ๕ นี้แลที่ทำให้เราเกิดทุกข์ เราจะไปละอะไรได้บ้าง
ถ้าเราดูจิตได้เราก็ดูจิต..คือละอารมณ์
ถ้าดูกายได้เราก็ดูกาย
ดูใจของเราเอง ความรู้สึกของเราว่าจิตตอนนี้ขณะนี้เสวยอารมณ์ใดอยู่ก็ให้รู้ มีความง่วงก็รู้ มีความเคลิ้มก็รู้ มีความหดหู่เศร้าหมองใจมีความง่วงก็รู้ พอรู้มันจะเริ่มตื่น
แต่ถ้าโยมไปเพลิดเพลินมันอย่างนั้น โยมจะตื่นรู้ไม่ได้ นี่เค้าเรียกว่ายังตกอยู่ใต้สมมุติบัญญัติ หรือตกอยู่ใต้แห่งอำนาจของนิวรณ์ เมฆหมอกแห่งตัณหาราคะอย่างนี้ จิตโยมจะตื่นรู้ไม่ได้ แต่ถ้าง่วงเราก็รู้..แล้วโยมก็เพ่งมันลงไปอย่างนั้น
เค้าถึงได้บอกว่าสมาธิ..นั่งไปแล้วไม่เห็นอะไร เห็นแต่ความมืด ยังมีจิตที่มีความรู้สึกว่ายังง่วงๆอยู่ แต่จิตโยมยังมีทรงสติอยู่ โยมก็เพ่งไปในความง่วงนั้นในความมืดนั้น เมื่อเราเพ่งไปนานๆแล้วจิตมันสงบมันจะตื่นของมันเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ดังนั้นอย่าคิดว่าการนั่งสมาธิตื่นมาใหม่ๆจักไม่ได้อานิสงส์ เพียงให้โยมมีสติอยู่ในกาย..โยมจะนั่งหลับตาแล้วจิตจะไม่สงบก็ตามก็มีอานิสงส์
เพราะขณะที่จิตไม่สงบนั้นแล้ว โยมกำหนดรู้ว่ามันไม่สงบ แล้วโยมไปเห็นเหตุของมันว่าไม่สงบเพราะอะไร แล้วโยมไปพิจารณาตรึกตรองในธรรม แล้วมีองค์ภาวนากำกับจิตนั้นให้จิตนั้นไม่ฟุ้งซ่านนั่นแล..เค้าเรียกว่ามันสะสม สะสมไป สะสมไป มันก่อเกิดแห่งฌานแห่งสมาธิแห่งญาณแห่งบารมีแห่งอภิญญา โยมจะมานั่งวันเดียวให้บรรลุธรรมนั้นมันยาก เข้าใจมั้ยจ๊ะ
นั้นคำว่า"บารมี"คือการสะสม สะสมวันนี้ทีละเล็กทีละน้อย สักวันมันก็จะเต็มของมันเอง แต่ต้องดูว่าที่โยมสะสมไปมันรั่วหรือเปล่า หรือมีใครขโมยเจาะตูดออมสินโยมหรือเปล่า เข้าใจมั้ยจ๊ะ ต้องดูภาชนะด้วย ภาชนะคืออะไร..สิ่งที่รองรับบุญ อะไรที่รองรับบุญเราอยู่ มีอะไรบ้างจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ศีลค่ะ) อ้าว..ศีลคือตัวเกราะป้องกันภัย หรือเรียกว่าเป็นเสื้อผ้าอาภรณ์มาห่มคอยปกป้อง
ถ้าศีลเราไม่ดี บุญที่เราใส่อะไรลงไปมันรั่วมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : รั่วค่ะ) งั้นศีลนี้เราจะไปรักษาตลอดได้มั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ :ไม่ได้) แสดงว่าตอนที่เราเจริญศีลได้สงบได้..เราก็อธิษฐานบุญตอนนั้น อธิษฐานบุญให้ใครเก็บไว้ (ลูกศิษย์ : พระแม่ธรณี) เค้าเรียกว่าฝังดินกลบให้พระแม่ธรณี อธิษฐานให้พระแม่ธรณีเป็นพยานในบุญ เหมือนครั้งหนึ่งที่องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าบอกให้พระแม่ธรณีเป็นพยาน เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ดังนั้นแล บุญนี้แลเมื่อเราทำไปในขณะที่ศีลเรายังไม่ดี ยังบกพร่อง..การจะสร้างบุญสร้างกุศลมันก็ทำลำบาก เค้าจึงให้เรานั้นสละทานเสียก่อน อบรมบ่มจิตให้รู้จักการให้เสียก่อน เมื่อให้ถึงที่สุดแล้วมันจะเกิดความเมตตาของจิตขึ้นมาเอง มีความโอบอ้อมอารี เห็นอกเห็นใจคนอื่นเค้า นั่นแหล่ะจ้ะเราจะมาเจริญศีลได้
ดังนั้น ศีลเราไม่สามารถรักษาได้ตลอดได้ เหมือนใจเรารักษาให้เป็นปรกติอยู่ตลอดไม่ได้ นั้นเมื่อรักษาไม่ได้อยู่ตลอดต้องทำอย่างไร ให้กำหนดรู้อารมณ์ที่มากระทบว่าพอใจไม่พอใจ เมื่อกำหนดรู้นั่นแล..เมื่อจิตเรากำหนดรู้แล้วมันจะมี"สติ"ขึ้นมา เมื่อมีสติเท่าทันอารมณ์ที่เกิดขึ้นได้นั่นแล..อารมณ์เราจะเริ่มปรกติ เมื่อปรกติแล้ว..นั่นเค้าเรียกว่าศีลบังเกิดแล้ว เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ดังนั้นการที่โยมมาประพฤติปฏิบัติธรรมได้อย่างนี้ มันจะเป็นต้นทุนบุญกุศลให้โยมนั้นสะสมไป เค้าเรียกว่าเสบียงบุญ เข้าใจมั้ยจ๊ะ แล้วถ้าโยมมาร่วมสร้างบุญกัน มาร่วมภาวนากัน มาร่วมสร้างทานกัน..มันมีมากมั้ยจ๊ะ เมื่อมันมีมากแล้วเมื่อถึงเวลาโยมก็แบ่งบุญกันไป
แบ่งบุญอย่างไร แล้วถ้าแบ่งบุญแล้วบุญไม่พอเล่าจ๊ะ โยมว่ามันจะพอมั้ย (ลูกศิษย์ : ยิ่งแบ่งยิ่งได้ค่ะ) เค้าถึงบอกว่าให้โยมมาร่วมกันภาวนา ร่วมกันอธิษฐาน ร่วมกันมาโมทนา แผ่ไปทีละครั้งมันกลับมามากมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : มาก) นี่มันเป็นอย่างนั้น..คืออานิสงส์ ถ้าเราทำคนเดียวเราไม่แน่ใจได้ว่าบุญกุศลเราจะมีมากเพียงใด แต่ถ้าต่างคนมุ่งหมายไปในทางเดียวกัน มีศรัทธาไปในทางเดียวกัน มีความเห็นไปในทางเดียวกัน มีศีลเสมอกัน เมื่อโยมมารวมตัวกันตั้งจิตอธิษฐานแผ่เมตตา..มันย่อมมีกำลัง เข้าใจมั้ยจ๊ะ
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
ประชาสัมพันธ์สื่อธรรม : เหตุที่ต้องถอนอธิษฐาน
ทุกภพทุกชาติที่ผ่านมาจนถึงในชาตินี้ เราอาจจะเคยอธิษฐาน สาบาน ให้คำมั่นสัญญา ตั้งความปรารถนาไว้มากมาย จะด้วยความตั้งใจก็ดี ไม่ตั้งใจก็ดี จำได้ก็ดี จำไม่ได้ก็ดี รู้ตัวก็ดี ไม่รู้ตัวก็ดี ประมาทพลั้งเผลอก็ดี รู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี ทำให้เราต้องติดเงื่อนไขที่เราสร้างมันขึ้นมาเองจากความไม่รู้ ความเห็นผิด หรือมิจฉาทิฏฐิ ไม่สามารถฟังธรรม เข้าใจธรรมจนถึงที่สุดแห่งทุกข์
ตัวอย่างเช่น เราอาจจะเคยขอสิ่งนั้น ขอสิ่งนี้ให้ตัวเอง ให้ครอบครัว ให้ญาติพี่น้อง กลายเป็นผูกปมต่าง ๆ ขึ้นมาจนพันกันยุ่งเหยิง หรือเราเผลอไปสาปแช่งใครโดยไม่รู้ตัว เช่น เวลาใครทำให้เราไม่พอใจ หรือไม่ถูกใจ เราก็เผลอพูดให้เขาได้รับกรรมเช่นนั้นบ้าง ไปยินดี ยินร้าย ไม่พอใจ เพ่งโทษ โกรธเคือง ผูกใจเจ็บ อาฆาตพยาบาท เป็นเหตุให้ต้องผูกพันใช้หนี้กรรมต่อกันไปมา เกลียดกันไป เกลียดกันมา ไม่มีวันจบสิ้นมานับภพชาติไม่ถ้วน
ตัวอย่างอีกกรณีหนึ่ง เช่น เราทราบข่าวจากโทรทัศน์ หรือหนังสือพิมพ์ หรือสื่อทางอินเทอร์เน็ต ว่ามีคนร้ายทำความผิด แล้วถูกจับหรือวิสามัญฆาตกรรม เราอาจเผลอไปแช่งเขา เช่น ตายเสียได้ก็ดี ขอให้คนร้ายไปตกนรก หรือมีข่าวทารุณกรรมมนุษย์ หรือสัตว์ เราก็เผลอไปแช่งคนที่ทารุณกรรมว่าใจบาปหยาบช้า ขอให้ได้รับกรรมอย่างนั้นอย่างนี้ กรณีนี้เท่ากับเราไปแช่งเขาโดยไม่รู้ตัว กรรมนั้นก็จะตกมาถึงเรา เพราะว่าเราเอาจิตไปเชื่อม ไปยินดี ยินร้าย หรือเข้าไปผสมโรงกับกรรมของผู้อื่น
เราอาจจะเคยล่วงเกิน เพ่งโทษคนนั้น เพ่งโทษคนนี้ ตำหนิติเตียนท่านผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ หรือผู้หนึ่งผู้ใด ทำให้ตนเองและผู้อื่นเป็นทุกข์เดือดร้อน แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็ไปดูถูกเขาไม่ได้ เพราะเขาอาจจะเกิดมาในภพที่ชดใช้กรรม แต่เมื่อเราเอาจิตไปเชื่อมด้วยการยินดี ยินร้าย เพ่งโทษ โกรธเคืองกับการกระทำของผู้อื่น ก็เท่ากับเราจะต้องได้รับผลกรรมนั้นตามไปด้วย
ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า...
“สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงมีกรรมเป็นของของตน, มีกรรมเป็นผู้ให้ผล, มีกรรมเป็นแดนเกิด, มีกรรมเป็นผู้ติดตาม, มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย, จักทำกรรมอันใดไว้, เป็นบุญหรือเป็นบาป, จักต้องเป็นผู้ได้รับผลกรรมนั้นๆ สืบไป”
การปฏิบัติก็เพื่อให้รู้จักตน รู้เท่าทันใจความคิด อารมณ์ ความรู้สึก ความปรุงแต่งของเราเอง อย่าไปแช่งใคร อย่าไปยินดี อย่าไปยินร้าย รู้เห็นอะไรด้วยใจเป็นกลาง แต่ละคนจะเป็นไปตามเหตุที่เขาสร้างไว้เอง
จึงต้องมีการถอนอธิษฐาน ถอนคำสาปแช่ง ขอขมา ซึ่งเป็นเหมือนการล้างข้อมูลผิด ๆ ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิอันเกิดจากความไม่รู้ เหมือนกับการล้างข้อมูลในโทรศัพท์มือถือ ล้างไวรัสในคอมพิวเตอร์ หรือล้างเครื่องใหม่ ถอนคืนคำอธิษฐานทั้งหมด แล้วจึงใส่ข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อปูพื้นฐานการปฏิบัติธรรมด้วย “สัมมาทิฏฐิ” คือความเห็นที่ถูกต้องตรงตามสัจธรรมความจริง
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการถอนอธิษฐาน
ฟังไฟล์เสียงจากยูทูปที่เกี่ยวข้องกับการถอนอธิษฐาน
160903 เหตุที่ต้องถอนอธิษฐาน
https://www.youtube.com/watch?v=iXI2sQGAz1A
190119A-5 ถอนคืนคำอธิษฐาน ปรารถนาพ้นทุกข์
https://www.youtube.com/watch?v=dwLUvoSS2-U
170919B-6 แรงอธิษฐาน
https://www.youtube.com/watch?v=CYdyf1DV8I4
191231B-2 แรงอฐิษฐาน ตอนที่ 1
https://www.youtube.com/watch?v=YfuoOmYxz_0
191231B-3 แรงอฐิษฐาน ตอนที่ 2
https://www.youtube.com/watch?v=Z_dxCLNz9IM
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
#สำหรับคำอธิษฐาน นะโยมนะ บางคนใช้
คำอธิษฐานนานเหลือเกิน อธิษฐานไม่ต้อง
ใช้มาก ใช้เพียงย่อ ๆ จะทำบุญที่ไหนก็ตาม หรือเวลาบูชาพระ แล้วก็ตาม อธิษฐานว่ายังงี้
#ผลบุญใดที่ข้าพเจ้าทำแล้วในวันนี้ขอผลบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าเข้าถึงพระนิพพานในชาตินี้ ถ้ายังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด ขอค่าว่าไม่มีจงอย่าปรากฏแก่ข้าพเจ้าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะเข้านิพพาน"
เพียงเท่านี้ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ตามแบบฉบับของพระอนุรุทธ ท่านอธิษฐานอย่างนี้ ความไม่มีจึงไม่ปรากฏกับท่าน
การจะอุทิศส่วนกุศลให้แก่ใคร ให้นึกในใจว่า ผลบุญใดที่ฉันทำแล้ว ในวันนี้ จะพึงมีประโยชน์แก่ฉันเพียงใด ขอท่านผู้นั้นจงมาโมทนารับผลเช่นเดียวกับฉัน ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป หรือ ผลบุญใดที่ฉันบำเพ็ญมาแล้วตั้งแต่ต้นจนจบกระทั่งปัจจุบัน
จะมีประโยชน์และความสุขกับฉันเพียงใด
ขอเธอจงโมทนารับผลเช่นเดียวกับฉัน ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป"
#อุทิศให้คนตาย ท่านบอกให้ใช้ภาษาไทย
ชัดๆ สั้นๆ อย่ายาวไม่ต้อง "อิมินา" ถ้ายาวไม่ทัน ดีไม่ดีพวกลากคอไปอีก
--------------------------------------------
(เล่มสีทอง)หน้าทีี ๓๐๑-๓๐๒
#พระธรรมคำสอน_หลวงพ่อพระราชพรหมยาน_วัดจันทาราม (ท่าซุง) จังหวัดอุทัยธานี
******************************************
ติดตามธรรมะเพื่อความพ้นทุกข์ในปัจจุบันได้ทาง...
ข่าวสารสื่อธรรมและโอวาทธรรม (สำหรับศิษย์ที่อยู่ประเทศไทย) :
ไลน์โอเพนแชท (Line OpenChat) : ธรรมจากหลวงตาณรงค์ศักดิ์
ข่าวสารสื่อธรรมและโอวาทธรรม (สำหรับศิษย์ที่อยู่ต่างประเทศ) :
WhatsApp Group Chat : ธรรมจากหลวงตาณรงค์ศักดิ์
สอบถามธรรมะและขอรับสื่อธรรม :
Official Line ID : @dhammaluangta
FB : เพจหลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
YouTube : เสียงธรรมะ หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
YouTube (English) : Luangta Narongsak Kheenalayo
Instagram : @luangta.narongsak
Podcast / Antenna : หลวงตาณรงค์ศักดิ์
Podbean : Luangta Narongsak
Soundcloud : เสียงธรรมะ หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
-----------------------
พระอนุรุทธ พระอรหันต์สาวกของพระพุทธเจ้า ท่านเป็นพระญาติในตระกูลศากยวงศ์ ที่มีบุญบารมีสูงมาก
เพราะตั้งแต่ประสูติเป็นเจ้าชายองค์น้อย ท่านไม่รู้จักความว่า "ไม่มี"
แม้จะขาดสิ่งของต้องประสงค์ มนุษย์อื่นใดไม่สามารถจัดหามาให้ท่านได้ แต่เทพยดาจะเนรมิตมาถวายท่านทุกครั้ง
ที่มามีอยู่ว่า.......
ครั้งเมื่อพระอนุรุทธเสวยชาติเป็น นายอันนภาระ คนรับใช้ในบ้านเศรษฐี
นายอันนภาระแม้ยากจนเข็ญใจยิ่งนัก แต่เป็นคนซื่อสัตย์ ใฝ่บุญให้ทานมิได้ขาด
ก็สมัยนั้นโลกว่างจากพระพุทธเจ้าและพระพุทธศาสนา แต่มีพระปัจเจกพุทธเจ้ามาประสูติ,ตรัสรู้ เพื่อนำพระสัทธรรมมาโปรดสัตว์ให้พ้นทุกข์สิ้นเชิง
นายอันนภาระได้มีโอกาสถวายทานแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง นาม "พระอุปริฏฐปัจเจกพุทธเจ้า" หลังจากพระองค์ท่านออกจากนิโรธสมาบัติ
นายอันนภาระตั้งจิตอธิษฐานขณะถวายทาน ว่า....
{เนื้อความพระคาถาบาลี ; แปลไทย}
‘‘อิมินา ปน ทาเนน, มา เม ทาลิทฺทิยํ อหุ;
นตฺถีติ วจนํ นาม, มา อโหสิ ภวาภเวฯ –
ภนฺเต เอวรูปา ทุชฺชีวิตา มุจฺเจยฺยํ, นตฺถีติ ปทเมว น สุเณยฺยนฺติ ปตฺถนํ ฐเปสิฯ ปจฺเจกพุทฺโธ ‘‘เอวํ โหตุ มหาปุญฺญา’’ ติ วตฺวา อนุโมทนํ กตฺวา ปกฺกามิฯ
ก็ด้วยทานอันนี้ ความเป็นผู้ขัดสนอย่าได้มีแล้วแก่ข้าพเจ้า, ชื่อว่าคำว่า ไม่มี อย่ามีแล้วในภพน้อยภพใหญ่. ท่านเจ้าข้า ขอข้าพเจ้าพึงพ้นจากการเลี้ยงชีพอันฝืดเคืองเห็นปานนี้, ไม่พึงได้ฟังบทว่า "ไม่มี" เลย."
พระปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวอนุโมทนาว่า " ขอความปรารถนาของท่านจงเป็นอย่างนั้นเถิด ท่านผู้มีบุญมาก" ดังนี้แล้ว ก็เดินทางจากไป"
หลังจากนั้นนายอันนภาระได้หมดสิ้นความยากจน กลายเป็นมหาเศรษฐี และทุกภพชาตินับจากนั้นเขาไม่ประสบพบความว่าไม่มี หรือ ความยากจน อีกเลย.
ลูกหลานเอ๊ย ๚
หลวงปู่ใหญ่จักอรรถาธิบายแก่ลูกหลานให้เข้าใจดังนี้ว่า......
การถวายทานแด่ผู้รับที่มีความบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ มีผลยิ่งใหญ่มหาศาล โดยเฉพาะท่านผู้เป็นต้นบุญ ต้นทางแห่งพระสัทธรรมประเสริฐ นำพาสรรพสัตว์สู่ความพ้นทุกข์สิ้นเชิง
การถวายทานแด่พระพุทธเจ้าหรือพระปัจเจกพุทธเจ้ายิ่งมีผลมาก โดยเฉพาะหลังจากท่านออกจากนิโรธสมาบัติซึ่งเป็นการปฏิบัติอุกฤษฏ์ ไม่ได้ฉันภัตตาหารเป็นเวลานาน
ด้วยแนวทางศรัทธาอันประเสริฐเช่นนี้ จึงทำให้เกิดประเพณีตักบาตรพระปัจเจกพุทธเจ้าขึ้น มุ่งหมายให้ทานที่บำเพ็ญจากการตักบาตรนั้นเกิดอานิสงส์ยิ่งใหญ่ ตามวิถีจิตวิธีปฏิบัติของนายอันนภาระ หรือ พระอนุรุทธะอรหันตเถระเจ้า นั้นแล
ครั้นถึงกาลพุทธศักราช 2472 เมื่อหลวงปู่ปาน โสนันโท (อาจารย์ของหลวงปู่ฤๅษีลิงดำ)ได้ธุดงค์ไปที่ปักษ์ใต้ ถึงนครศรีธรรมราช ได้พบครูผึ้ง หรือ บุญพึ่ง อายุมากถึง 99 ปีแล้ว แต่ยังแข็งแรง แต่ก่อนยากจน แต่ต่อมาร่ำรวย เพราะเจริญพระคาถาพระปัจเจกโพธิ์เป็นเนืองนิตย์
หลวงปู่ปานได้ขอเรียน "พระคาถาปัจเจกโพธิ์" จากครูผึ้ง ซึ่งครูผึ้งได้ร่ำเรียนมาจากพระธุดงค์ในดง ก็คือ หลวงปู่เทพโลกอุดร นั้นแล
พระคาถาปัจเจกโพธิ์นี้ศักดิ์สิทธิ์มาก ทำให้ศิษย์หลวงปู่ปานได้ร่ำเรียนท่อง,ปฏิบัติเป็นฌานแล้ว จากฐานะยากจนก็ร่ำรวยขึ้นอย่างมหาศาล นั่นคือ ตระกูล "ตั้งตรงจิตร"
โดยแก่นสารของพระคาถาปัจเจกโพธิ์ ก็คือ ให้จิตใจของผู้สวดมีพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งที่ระลึกอันประเสริฐบริสุทธิ์
ต่อมาหลวงปู่ฤๅษีลิงดำ ได้ตั้งสัจจาธิษฐาน นำพระคาถาปัจเจกโพธิ์มาเป็นแกนกลาง มีมโนมยิทธิอัญเชิญพระพุทธเจ้านับแต่องค์ปฐมเป็นต้นมา รวมทุกมหาบารมีอันบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์เข้าด้วยกัน ผนวกกันเป็นหนึ่งเดียว ให้ดวงจิตของผู้สวดพระคาถามีที่พึ่งที่ระลึกอันประเสริฐครบครันตั้งแต่ต้นจนปริโยสาน.. ต่อมาเรียกว่า "พระคาถาเงินล้าน"
ลูกหลานที่สวดพระคาถาปัจเจกโพธิ์ หรือ พระคาถาเงินล้าน ก็ตาม, หากได้เข้าใจถึงที่มาที่ไปแลแก่นสารแท้จริงของพระคาถาดังหลวงปู่ใหญ่เล่ามา ลูกหลานจักจำเริญจิตวิญญาณให้เป็นฌานได้ลึกซึ้ง จิตละเอียด ละเมียดละไม ปฏิบัติทางทางกาย-วาจา ได้อย่างนิ่มนวลอ่อนโยน
เช่น การถวายบิณฑบาตตามปกติแม้กับพระภิกษุสงฆ์ปุถุชนทั่วไป แต่ขณะนั้นดวงจิตลูกหลานน้อมรำลึกถึงพระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ ดุจดั่งได้ถวายบิณฑบาตแด่ท่านทั้งหลาย มิใช่ถวายแก่พระสงฆ์ปุถุชนทั่วไป การถวายทานแต่ละครั้งจึงย่อมมีผลมาก ยิ่งสั่งสมหลายครั้งผลก็ยิ่งมาก จนกระทั่งเกิดอานิสงส์มหาศาล สุดจะประมาณได้
พระคาถาที่ลูกหลานสวดท่อง ก็จักบังเกิดอานิสงส์เลิศล้ำ
ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับ บุญดั้งเดิมที่ลูกหลานสั่งสมมา และบาปเก่าที่ลูกหลานจักต้องรับใช้มิอาจหลีกเลี่ยงได้ ด้วย .. นะลูกหลานเอ๊ย ๚
แต่ถึงแม้บุญเดิมมีน้อย บาปเก่ามีมาก แต่หากไม่ท้อถอย ท่องบ่นพระคาถามากเข้า สร้างบุญใหม่มากเข้า ไม่ทำบาปเพิ่ม อานิสงส์ความสำเร็จย่อมจักเกิดขึ้นได้แน่นอน
หลวงปู่ใหญ่จักกฤษฏิยาภิเษก เสริมอานุภาพทิพย์เหนือทิพย์ ประจุพลังถ้อยคำ แห่ง "พระคาถาเงินล้าน" ของ หลวงปู่ปาน และ หลวงปู่ฤๅษีลิงดำ ซึ่งแต่เดิมก็ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งอยู่แล้ว ให้บังเกิดทิพยศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น ประสิทธิมอบแก่ลูกหลานทุกคนนำไปสวดท่อง ดังนี้......
(ตั้ง นะโม 3 จบ )
สัมปะจิตฉามิ นาสังสิโม พรหมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ (คาถาปัดอุปสรรค)
พรหมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภะวันตุ เม (คาถาเงินแสน )
มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันต ุเม (คาถาลาภไม่ขาดสาย)
มิเตภาหุหะติ (คาถาเงินล้าน)
พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิทถิโย พุทธัสสะ มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม (คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า)
สัมปะติจฉามิ (คาถาเร่งลาภให้ได้เร็วขึ้น)
เพ็ง ๆ พา ๆ หา ๆ ฤา ๆ (คาถารวมทุกมหาบารมีบริสุทธิ์)
(สวดบูชาวันละอย่างน้อย 9 จบจนถึง108จบ ตัวคาถาต้องว่าทั้งหมด)
-----------------