โพธิปักขิยธรรม 37 ประการ(ธรรมะ 7 หมวด)
โพธิปักขิยธรรม คือ ธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งความตรัสรู้ ประกอบด้วยธรรมะ 7 หมวด คือ...
สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4
อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7
มรรคมีองค์ 8 รวมเป็น 37 จึงเรียกว่า .....โพธิปักขิยธรรม 37
1.) สติปัฏฐาน 4 คือ การเจริญสติระลึกรู้
1. กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ การหมั่นคิดใคร่ครวญโดยเน้นที่เรื่องรูปธรรม
2. เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ การหมั่นคิดใคร่ครวญโดยเน้นที่เรื่องนามธรรมในส่วนความรู้สึกจากสัมผัส
3. จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ การหมั่นคิดใคร่ครวญโดยเน้นที่เรื่องนามธรรมในส่วนของการรับรู้
4. ธรรมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ การหมั่นคิดใคร่ครวญโดยเน้นทุกเรื่องทั้งรูปธรรมและนามธรรม
2.) สัมมัปปธาน 4 คือ ความเพียรพยายาม
1. สังวรปธาน คือ เพียรระวังยับยั้งบาปอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด
มิให้เกิดขึ้น
2. ปหานปธาน คือ เพียรละบาปอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว
3. ภาวนาปธาน คือ เพียรทำกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ให้เกิดมีขึ้น
4. อนุรักขนาปธาน เพียรรักษากุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้วให้ตั้งมั่น
3.) อิทธิบาท 4 คือ ทางแห่งความสำเร็จในกิจอันเป็นกุศล
1. ฉันทะ คือ ความพอใจและเต็มใจ
2. วิริยะ คือ ความเพียรพยายาม
3. จิตตะ คือ ความเอาใจใส่ จิตใจจดจ่อ ไม่ปล่อยใจให้ฟุ้งซ่าน
4. วิมังสา คือ ปัญญาที่พิจารณาใคร่ครวญ หาเหตุผล เพื่อแก้ปัญหา หรือพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น
4.) อินทรีย์ 5 คือ ธรรมที่ทำหน้าที่เป็นใหญ่ในอารมณ์
1. สันธินทรีย์ คือ ความศรัทธาเป็นใหญ่
2. วิริยินทรีย์ คือ ความเพียรเป็นใหญ่
3. สตินทรีย์ คือ สติที่ระลึกรู้ในอารมณ์ปัจจุบันเป็นใหญ่
4. สมาธินทรีย์ คือ การทำจิตให้เป็นสมาธิตั้งมั่นจดจ่ออยู่ในอารมณ์กรรมฐาน
5. ปัญญินทรีย์ คือ ปัญญาทำหน้าที่เป็นใหญ่ด้วยการรู้แจ้ง
5.) พละ 5 คือ ธรรมอันเป็นกำลังที่เกื้อหนุนแก่อริยมรรค
1. สัทธาพละ คือ ความเชื่อ เลื่อมใส ศรัทธาที่เป็นกำลังให้อดทน และเอาชนะธรรมอันเป็นข้าศึก เช่น ตันหา
2. วิริยะพละ ความเพียรพยายามเป็นกำลังให้ต่อสู้ ความขี้เกียจ
3. สติพละ คือ ความระลึกได้ในอารมณ์สติปัฏฐาน อันจะเป็นกำลังให้ต้านทานความประมาทพลั้งเผลอ
4. สมาธิพละ คือ ความตั้งมั่นจดจ่ออยู่ในอารมณ์กรรมฐาน ทำให้เกิดกำลังต่อสู้เอาชนะความฟุ้งซ่าน
5. ปัญญาพละ คือ เป็นกำลังปัญญาที่เข้มแข็ง ซึ่งทำให้เอาชนะโมหะ คือความโง่ ความหลง
6.) โพชฌงค์ 7 คือ ธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้
1. สติสัมโพชฌงค์ คือ ความระลึกได้ สำนึกพร้อมอยู่ ใจอยู่กับกิจ จิตอยู่กับเรื่อง
2. ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ คือ ความเฟ้นธรรม ความสอดส่องสืบค้นธรรม
3. วิริยสัมโพชฌงค์ คือ ความเพียร
4. ปีติสัมโพชฌงค์ คือ ความอิ่มใจ
5. ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ คือ ความสงบกายใจ
6. สมาธิสัมโพชฌงค์ คือ ความมีใจตั้งมั่น จิตแน่วในอารมณ์
7. อุเบกขาสัมโพชฌงค์ คือ ความมีใจเป็นกลาง เพราะเห็นตามเป็นจริง
7.) มรรคมีองค์ 8 คือ หนทางปฏิบัติที่นำไปสู่การบรรลุมรรคผลนิพพาน
1. สัมมาทิฏฐิ คือ ปัญญาเห็นชอบ หมายถึงเห็นถูกตามความเป็นจริงด้วยปัญญา
2. สัมมาสังกัปปะ คือ ดำริชอบ หมายถึง การใช้สมองความคิดพิจารณาแต่ในทางกุศลหรือความดีงาม
3. สัมมาวาจา คือ เจรจาชอบ หมายถึงการพูดสนทนา แต่ในสิ่งที่สร้างสรรค์ดีงาม
4. สัมมากัมมันตะ คือ การประพฤติดีงาม ทางกายหรือกิจกรรมทางกายทั้งปวง
5. สัมมาอาชีวะ คือ การทำมาหากินอย่างสุจริตชน
6. สัมมาวายามะ คือ ความอุตสาหะพยายาม ประกอบความเพียรในการกุศลกรรม
7. สัมมาสติ คือ การไม่ปล่อยให้เกิดความพลั้งเผลอ จิตเลื่อนลอย ดำรงอยู่ด้วยความรู้ตัวอยู่เป็นปกติ
8. สัมมาสมาธิ คือ การฝึกจิตให้ตั้งมั่น สงบ สงัด จากกิเลศ นิวรณ์อยู่เป็นปกติ
< ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ต้องสมบูรณ์ >
ปฏิเวธ หมายถึง ทะลุปรุโปร่ง
เข้าใจหมด คือ เข้าไปอยู่ในใจหมด
ยก ตัวอย่าง เช่นมีตำราทำอาหาร จากกุ๊กแชมป์โลกมือ1
อ่านไป ท่องไป คิดไป อึม.. อร่อยแน่ๆ แต่ไม่รู้รสชาด
ไม่เคยทำ ไม่เคยชิม แต่คิดว่าอร่อย..แน่ๆ
ทีนี้ลองทำ ตำราเล่มเดียวกัน คนทำ คนละคนทำ
อร่อย..ไม่เหมือนกัน ....อาจจะมีเทคนิคต่างๆกัน
ถึงแม้..คนทำ คนเดียวกัน ก็ยังทำออกมาได้ ไม่ดีเท่ากัน
เพราะอะไรเล่า...เพราะยังมีประสบการณ์มากน้อยต่างกัน
บางคนขยัน ทำมากๆๆๆๆ รสชาดคงที่..เป็นหนึ่งเดียว
บางคนทำที นานๆจะทำที คนอื่นมากิน ก็ร้อง..หยี
เมื่อคล่องแล้ว ชำนาญแล้ว สูตรต่างๆ เทคนิคต่างๆ
เข้าไปอยู่ในใจแล้ว (เข้าถึงใจ เข้า..ใจ)
หลับตา..ก็ทำได้ ไม่ต้องใช้ตำรา อีกต่อไป
ยกตำราให้คนอื่นใช้ต่อ
แล้วที่นี้..เราคิดจะฝึกจากตำราเอง หรือคิดจะฝึกกับศิษย์เอก กุ๊กมือหนึ่งระดับโลกดี..
เทคนิคแพรวพราว ปรับได้ทุกรูปแบบ
นั่นคือเรียนจากพระอรหันต์
ผู้เดินตรงพระนิพพานได้แล้วนั่นเอง
อยากได้ไว อยากเป็นไว ต้องเรียนกับคนที่ทำได้
1) ปริยัติ เสมือนแผนที่
2) ปฏิบัติ เสมือนเดินทางจริง
3) ปฏิเวธ เสมือนพบเห็นความจริง เห็นของจริง
เอาแผนที่มาถกเถียง ยัดเยียด โอ้อวด ก็ไร้ประโยชน์
ทุกสิ่งสัมพันธ์กัน มี 1 มี 2 มี 3
จะเอา 1 มาแทน 3
จะเอา 3 มาแทน 2
ล้วนบิดเบือน ความเป็นจริง
ง่ายๆ แค่นี้เอง