ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อบุคคล"รู้อยู่"อย่างไร
"เห็นอยู่"อย่างไร อนุสัยจึงจะถึงความเพิกถอน ฯ
พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลรู้อยู่ เห็นอยู่ซึ่งจักษุ
โดยความเป็นอนัตตา อนุสัยจึงจะถึงความเพิกถอน ฯลฯ
เมื่อบุคคลรู้อยู่ เห็นอยู่ซึ่งหู จมูก ลิ้น กาย ใจ ธรรมารมณ์
มโนวิญญาณ มโนสัมผัส สุขเวทนา ทุกขเวทนา
หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย
โดยความเป็นอนัตตา อนุสัยจึงจะถึงความเพิกถอน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลรู้อยู่อย่างนี้
เห็นอยู่อย่างนี้แล อนุสัยจึงจะถึงความเพิกถอน ฯ
____________________________
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๘
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๐
สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค
อนุสัยสูตร
สติ คือ การระลึกรู้ หรือ รู้ตัว
สมาธิ คือการตั้งมั่น มั่นคง นิ่ง
ปัญญา คือ ความรู้จริง
สามสิ่งนี้ล้วนเกี่ยวเนื่องกัน
หากมี สติไว รู้ตัวไว ว่าจะทําผิด แต่ ขาดความมั่นคง แม้รู้ว่าผิดแต่ก็ยังเข้าไปทํา อย่างเช่น รู้ว่ากินเหล้าแล้วบาป มีสติรู้แต่ก็ยังกิน เพราะใจไม่มั่นคงพอ และ แม้มีใจที่มั่นคง แต่ขาดปัญญาที่รู้แจ้งที่ใจ ไม่ใช่ความรู้ในระดับอ่านฟัง ก็ยังสามารถทําผิดต่อไปได้
"สติ"เป็นฐานของการเกิดสมาธิ เพราะสมาธิที่ขาดสติจะไม่ใช่สัมมาสมาธิ แต่กลายเป็นมิจฉาสมาธิ
คนที่ขาดสติ ก็คือคนที่เผลอไม่รู้ตัว กว่าจะรู้ตัวก็ไหลไปตามอารมณ์ความคิดนานเลย มารู้ที่หลังๆทําผิดไปแล้ว
คนที่ขาดสมาธิ ก็จะไม่มีความสงบ ฟุ้งซ่าน แม้มีสติรู้ตัว แต่รู้แล้วอยู่นิ่งสงบไม่ได้ เดี๋ยวก็หลุดไปอีก ขาดความสงบตั้งมั่น
"สติ"กับ"สมาธิ" สัมพันธ์กันที่จะทําให้ เรารู้ตัวแล้วสงบตั้งมั่นได้นานขึ้น แต่หากเรายังละไม่ได้ ก็ยังหลุดได้อยู่ดี ต้องเอา"ปัญญา"มาละเพื่อตัดขาด เปลี่ยนอวิชชาให้เป็นวิชชา คือความรู้จริง
Trader Hunter พบธรรม
จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย (เหตุให้เกิดทุกข์)
ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก เป็นทุกข์ (ผล คือ ทุกข์)
จิตเห็นจิต เป็นมรรค (เหตุ คือ ทางดับทุกข์)
ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิต เป็นนิโรธ (ผล คือ การดับทุกข์)
หลวงปู่ดูลย์ ท่านชี้ให้เห็นว่า เป็นเพราะจิตส่ายแส่ออกนอกกายและจิตไปในความคิดนี้เอง ทำให้เราไปยึดติดอยู่กับความคิด เป็นต้นเหตุให้เกิดทุกข์ หรือ สมุทัย นำไปสู่ผลคือทุกข์
แต่เมื่อจิตเห็นจิตอย่าง แจ่มแจ้ง นั่นคือ "มีสติ" เห็น"จิต"
ว่ากำลังคิดอะไรอยู่หรือกำลังสั่งกายให้พูดหรือทำอะไรอยู่ตลอดเวลา นั่นคือ มรรค หรือทางดับทุกข์ เป็นเหตุให้นำไปสู่ผล คือการดับทุกข์ หรือ นิโรธ
เมื่อเข้าใจเช่นนี้จะทำให้ง่ายในการเข้าใจหลักธรรมและอริยสัจ 4 และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้สะดวก โดยการ "เฝ้าดูจิต ดูความคิด" กล่าวคือ เป็นการฝึกสติ และความรู้สึกตัว ให้คอยสอดส่องดูจิตอยู่ตลอดเวลานั่นเอง ไม่ให้จิตไหลไปตามความคิด
หลวงปู่กล่าวสอนอยู่เสมอว่า
“อย่าส่งจิตออกนอก”
“จงหยุดคิดให้ได้”
“คิดเท่าไร ก็ไม่รู้ ต้องหยุดคิดให้ได้จึงรู้ แต่ต้องอาศัยความคิด นั่นแหละจึงรู้”
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์
การคอนโทรลสมาธิ
ปรับที่ความละเอียดของ"สติ"
"จิต" มันก็จะไปตาม"สมาธิ" ตามที่เรากำหนดได้
ภาษาพระท่านเรียกว่า... วสี
พระพุทธเจ้าจะทรงสอน
ให้มีความชำนาญในสมาธิ ที่เรียกว่า...
ชำนาญในการเข้า
ชำนาญในการออก
ชำนาญในการเพิ่มสมาธิ
ชำนาญในการลดสมาธิ
ชำนาญในการหยุดแช่อยู่ในสมาธิ
แต่ละลำดับ ภาษาพระท่านเรียกว่า วสี
ตรงนี้พระพุทธองค์ตรัสว่า...
ผู้ที่มีความชำนาญในสมาธินี้
ก็จะเป็น"นายสมาธิ"
คือไม่ติดกับดักทางจิตต่างๆ
แล้วมีความชำนาญใน"การรู้เท่าทันจิต"ของตนเองได้
คือประโยชน์มันสูงมาก
แล้วฐานของความรู้สึกตัวนี้
เป็นอุปกรณ์ที่ดีที่สุดในการฝึกตรงนี้
ความชำนาญในการเข้าสมาธิ ออกสมาธิ
เพิ่มสมาธิ ลดสมาธิ เป็นต้น
เปรียบเหมือนรถ รถมันแรง มันดีไหมล่ะ
แล้วถ้าเราคอนโทรลมันไม่เป็น
เราจะเกิดอุบัติเหตุได้
การคอนโทรลนั้นก็คือการคอนโทรลสมาธิ
ปรับที่ความละเอียดของ "สติ"
จิตมันก็จะไปตามสมาธิ ตามที่เรากำหนดได้
................................
โดย พระมหาวรพรต กิตติวโร
รู้สึกตัวแท้ๆนั้น เป็นสัมมาสติ ไม่ใช่การไปคิดว่ามีสติที่ไปปรุงแต่งหรือไปเพ่งให้เกิดขึ้น เพราะเป็นการปรุงแต่งทั้งสิ้น
ทําความรู้จักความรู้สึกตัวของตัวเองก่อน ง่ายๆอย่างนี้ ความรู้สึกที่รู้ตัวแว๊ปแรกที่เกิดจาก เรารู้สึกที่กาย เช่นเราโดนลมพัด แล้วเรารู้สึก นั้นหล่ะที่เรารู้สึกตรงจุดนั้น เป็นความรู้สึกที่ว่างโล่งโปร่งเบา เป็นสัมมาสติ ที่ยังไม่มีการปรุงแต่ง แต่พอเราไปคิดว่าเรารู้สึกว่าลมแรงลมเบาลมร้อนลมเย็นตรงนี้เป็นความคิดเข้าไปปรุงแต่งอันนี้จะไม่ใช่แล้ว ดังนั้นความรู้สึกตัวจะเกิดแค่แว๊ปๆแรกๆเท่านั้นนะ
หมั่นรู้สึกแบบนี้บ่อยๆ นี้หล่ะธรรมแท้ๆนะ รู้สึกตรงนี้และ "คือใจเราที่รู้ตัว พอใจเรารู้ตัว มันเป็นสัมมาสติ " ตรงนี้สําคัญนะครับ เพราะเป็นสติที่กํากับใจ เราเข้าไปถึงระดับจิตใจเลยนะ ไม่ใช่การไปใช้ความคิดปรุงแต่งเอาว่ามีสติ
เราหมั่นรู้สึกตัวได้อย่างไร เราขยับกายแล้วรู้สึกทั่วๆตัวหลวมๆ นั้นหล่ะเหมือนกัน การขยับกายไม่ใช่ความรู้สึกตัว แต่การขยับกายหรือการที่กายไปสัมผัสกับอะไรจะทําให้เรารู้สึกตัว หรือเราหายใจแล้วเรารู้สึกตัว หมั่นรู้สึกตัว สะสมสัมมาสตินะ
รู้สึกตัวให้ได้ให้ชัดนะครับ สําคัญมากนะ ถ้าจะเอาพ้นจากสังสารวัฏให้ได้ สําคัญกว่าการทําสมาธิอีกนะ เพราะ สติเป็นตัวกํากับ ให้เกิดสัมมาสมาธิ ถ้าไม่มีสติกํากับ จะไม่ใช่สัมมาสมาธิ แต่เป็นมิจฉาสมาธิพวกเผลอเพลินนั่งไหลไปกับความคิดโดยไม่รู้ตัวหรือไม่ก็ไปนั่งแช่อยู่ในอารมณ์ว่างนะ สตินี้เกิดกับใจนะ ใจเรารู้ตัว จึงมีสัมมาสมาธิเกิดขึ้นได้นะครับ หลักเป็นอย่างนี้ แต่คนไม่ค่อยรู้ ไปพยายามนั่งสมาธิก่อน เลยยากนะ เพราะไม่มีสติ สมาธิก็ไม่มีนะ พอมีสติมากๆแล้วไปนั่งสมาธิดู จะรู้เลยว่าเราทําสมาธิได้อย่างง่ายๆนะ
ตอนนั้นคิดว่าตัวเองเข้าใจ
ต่อๆมา....ก็เหมือนจะลืมประเด็นนี้ไปเสียด้วย เป็นเวลานานพอสมควร
จวบจนหลายปีต่อมา...
เมื่อได้พิจารณากระจายให้กว้างออกไปจากที่เคยพิจารณาเดิมๆ....
วันละเล็ก ละน้อย....เพราะยังคงทำงานประจำ เหมือนหลายๆท่าน...
วันหนึ่งเหมือนภาพจิ๊กซอว์....ที่เริ่มเรียงเข้าที่ และถูกที่มากขึ้น....
ถึงได้เข้าใจว่า....ที่ได้ฟังท่านเทศน์ในวันโน้นนั้น...เป็นความเข้าใจด้วยสมอง...
เพราะเมื่อเข้าใจจริงๆ...มันอ๋อ...มันแจ้ง...ต่างจากวันโน้น...โดยสิ้นเชิง
ว่าที่จริง....
ขันธ์ทั้ง 5
หรือ
รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และ วิญญาณขันธ์
ล้วนเป็น "ธรรมชาติหนึ่ง" ที่เป็นกลางๆ
แล้วแต่ว่าจะตกอยู่ใต้อำนาจของอวิชชา หรือของธรรม
ขันธ์ 5 ของผู้คนส่วนใหญ่ มักจะตกอยู่ภายใต้การเรืองอำนาจของอวิชชา จึงมักคุ้นชินกับการปรุงแต่ง....เกิดสายโซ่แห่งภพ ชาติ...วันแล้ว วันเล่า....เกิด "วัฏฏะ" ...การเวียนว่ายตายเกิด
เมื่อ "เริ่ม" ฝึกเจริญสติสัมปชัญญะ
นี่คือการ "เริ่ม" นำขันธ์ 5 มาทำงานฝ่ายมรรค
เช่น นำมาบริกรรม พุทโธ แทนที่จะปรุงแต่งเรื่องอื่นๆ เป็นต้น
ขอรวบรัดลงมาภายในใจ
ผู้ไม่ได้ฝึกฝนการเจริญสติ เจริญสมาธิ เจริญปัญญา
ขณะที่ใจกระเพื่อม จึงกระเพื่อมไปตามอำนาจของอวิชชาล้วนๆ....
ปรุงแต่งไปตามความหลง....
มีแรงยึด...
มีตัวตน....
ไม่เป็นอิสระอย่างแท้จริง....
เป็น "วัฏฏะ"....คือ มีการหมุนวน มีการเวียนว่ายตายเกิด
ผู้ฝึกเจริญสติ เจริญสมาธิ เจริญปัญญา มาพอควร
ขณะที่ใจกระเพื่อม จักกระเพื่อมไปในฝ่ายมรรค ซึ่งสามารถพัฒนาต่อยอดเป็นความฉลาด สะสมๆไว้ วันแล้ว วันเล่า
เรียกว่า "ปัญญา"
เมื่อปัญญามีกำลังมากพอ ที่ครูบาอาจารย์ท่านเรียกว่าเป็นปัญญาอัตโนมัติ ซึ่งจะหมุนรอบตัวอยู่กับจิตอวิชชา ตราบจนเห็นไตรลักษณ์ส่วนละเอียดประจำวัฏฏจิตนี้
อันจักถูกทำลายด้วยอำนาจของปัญญา...ในที่สุด
ขันธ์ 5 และจิต จึงเป็นอิสระต่อกัน
ไม่มีแรงยึด...
ไม่มีตัวตน....
เป็นอิสระอย่างแท้จริง....
เป็น "วิวัฏฏะ"...ไม่มีการเวียนไปเกิดอีกแล้ว...นั่นเอง
ขอน้อมถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา อาจาริยบูชา
และน้อมถวายเป็นพระราชกุศลฯ
นฤมล สุมะโน
เมื่อ 2-3 ปีมาแล้ว
ครูบาอาจารย์ได้เมตตาเทศน์สั่งสอน
ประเด็นหนึ่ง ท่านกล่าวว่า "สติ ก็เป็นการปรุงแต่งเช่นกัน
แต่เป็นการปรุงแต่งฝ่ายมรรค"
" เมื่อเรายังมีสติ...อยู่
เมื่อนั้นแหละ เราได้ภาวนาอยู่
การภาวนาไม่ใช่ว่า...
เราจะนั่งสมาธิ อย่างเดียว
ยืน เดิน นั่งอยู่(ปรกติ)เรา ก็รู้จัก
นอนอยู่(ปรกติ)เรา ก็รู้จัก
เรา รู้จักตัวของเราอยู่...เสมอ
จิตเรา
มีความประมาท(จิตเผลอ)เรา ก็รู้จัก
ไม่มีความประมาท(รู้ตัวทั่วพร้อม)
เรา ก็รู้จักของเราอยู่...
ความรู้ อันนี้แหละ
ที่เรียกว่า...พุทโธ."
____________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
" ตั้งหน้า ตั้งตาปฏิบัติ
ใครอยู่ที่ไหนอย่า...เผลอสติ
ตั้งให้...ดี
สู้อยู่ ... เสมอ
ความมี...สติ
คือ...ความต่อสู้
คือ...ผู้มีความเพียรปัญญาพิจารณาไตร่ตรอง
อย่า นิ่งนอนใจ
อย่า ไปเชื่อใครยิ่งกว่าเชื่ออรรถ เชื่อธรรม
เชื่อพุทธ ธรรม สงฆ์
สรุปเข้ามาแล้ว
อย่า...เชื่อตัวเอง โดยปราศจากเหตุผล
อรรถธรรม เข้ามาเกี่ยวข้อง
เพราะ...ความคิดความปรุงทุกสิ่ง ทุกอย่าง
เป็นเรื่องหลอก เรื่องหลอนตัวเอง
อยู่...ตลอดเวลา
ใครจะได้ จะเสียอะไร
จะเสื่อมที่ไหน ก็ตามเถอะ
อย่า...ให้หนีจากตัวเอง
ให้รู้ความได้ ความเสีย
ความเสื่อม ความเจริญของตัว
เพราะ...
เราเอง เป็นผู้รับผิดชอบเรา
ให้สนใจอยู่...ตรงนี้
เชื่อว่า...ผู้มีความเพียร
อย่าคุ้น อย่าสนิทซึ่งกัน และกันอันเป็น
แบบโลก ๆ
ให้คุ้นโดยธรรม สนิทโดยธรรม
จะ(ได้ชื่อว่า...)ไม่ประมาท."
_____________________________________
(องค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
" จิต...
เวลา ปฏิบัติ
เวลา มันจะหยุดนิ่ง
ปล่อย ให้มันนิ่งไป
อย่า...ไปรบกวนมัน
ถ้า...เวลามันจะคิด
ปล่อย...ให้มันคิดไป
เรา...
เอาสติ...ตัวเดียว
เป็น ตัวตั้ง
เป็น จุดยืน."
___________________________________
(หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล)
🙏🙏🙏มิจฉาสมาธิ คือ ความที่จิตเข้าสู่สมาธิ เงียบ... หมด... ไม่รู้อะไรเลย ปราศจากความรู้ นั่งอยู่สองชั่วโมงก็ได้ กระทั่งทั้งวันก็ได้ แต่จิตไม่รู้ว่ามันไปถึงไหน เป็นอันตรายห้ามปัญญาไม่ให้เกิด ส่วน
🙏🙏🙏 สัมมาสมาธิ ที่ถูกต้อง ถึงแม้มันจะมีความสงบไปถึงแค่ไหน ก็มีความรู้อยู่ตลอดกาลตลอดเวลา มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์บริบูรณ์รู้ตลอดกาล
หลวงพ่อชา สุภัทโท
หลวงพ่อสอนให้ดูสภาวะ
~ไปฝึกเอานะ
ไปฝึกเอาจน"เห็นขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ เป็นโทษ เป็นภัย"
วันใด"หมดความยึดถือในขันธ์"
ขอบเขตแห่ง"ความเป็นตัวเป็นตน"ก็สลายไป
เราจะเห็น"นิพพาน"
.................................................................................
ใครตอบได้บ้างว่าหลวงพ่อสอนอะไร
เบื้องต้นหลวงพ่อสอนให้หัดดูสภาวะนะ
สิ่งที่เรียกว่าสภาวะคือรูปธรรมและนามธรรม
คือกายคือใจ หัดรู้ไป
เราจะรู้สภาวะได้ก็ต้องมีเครื่องมือ ๒ ตัว
คือ "สติและสัมมาสมาธิ"
สติเป็นความระลึกได้
อะไรเกิดขึ้นก็ระลึกได้ไม่หลงลืมไป
ไม่ใช่โมโหขึ้นมาก็ลืมไป ไม่เห็น
โลภขึ้นมาก็ลืมไป ไม่เห็น
สติเป็นความระลึกได้ถึงสิ่งซึ่งปรากฏขึ้นมา
ระหว่างที่ระลึกรู้ ถ้าจิตตั้งมั่น จิตเป็นกลาง
จิตจะเกิดปัญญาเห็นความจริงว่า
สิ่งที่สติไประลึกรู้นั้น"เกิดแล้วก็ดับไป"
ไม่มีสิ่งใดถาวร ไม่มีตัวตนถาวร
การที่เห็นว่าสิ่งต่างๆ
เกิดแล้วก็ดับไป เกิดแล้วก็ดับไปนั้น
ท่านบอกว่า"เห็นอนิจจัง"
สิ่งใดเกิดขึ้นสิ่งนั้นดับไป
สิ่งใดที่เกิดที่ดับอยู่นี่เป็นสุขหรือเป็นทุกข์
เป็นทุกข์ ทุกข์ตัวนี้หมายถึงทนอยู่ไม่ได้นานๆ
เพราะมันเป็นสิ่งที่เกิดแล้วก็ดับ
ไม่มีสิ่งที่ทนอยู่ได้นานๆ
ท่านถามบอกว่า สิ่งที่เป็นทุกข์นั้น
ควรหรือไม่ควรที่จะเห็นว่าเป็นอัตตาตัวตน
คำตอบก็คือไม่ควรจะเห็นว่าสิ่งที่เป็นทุกข์นั้นเป็นตัวตน
ท่านบอกว่า สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์
สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นไม่ใช่ตัวตน
ทำไมเห็นอนิจจังแล้วเห็นว่ามันเป็นทุกข์
เห็นอนิจจังแล้วก็เห็นว่าไม่มีอะไรทนอยู่ได้นาน
เมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งใดทนอยู่ได้นาน
ก็ไม่มีตัวตนถาวร จำเอาไว้นะ
ที่พระพุทธเจ้าถามพระปัญจวัคคีย์ว่า
ขันธ์นี้เที่ยงไหม
รูปเที่ยงไหม เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเที่ยงไหม
(พระปัญจวัคคีย์ตอบว่า) ไม่เที่ยงพระเจ้าข้า
สิ่งที่ไม่เที่ยงน่ะ สิ่งนั้นเป็นสุขหรือเป็นทุกข์
บอกเป็นทุกข์พระเจ้าข้า
สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นควรถือเป็นตัวเป็นตนไหม
บอกไม่ควรพระเจ้าข้า
ลำพังอ่านเท่านี้นะยังเข้าใจยาก ต้องขยายความ
สิ่งใดไม่เที่ยงสังเกตไหม
ในกายในใจนี้มีแต่ของเกิดแล้วดับๆ
สังเกตไหม กายก็ไม่อยู่ถาวร จิตก็ไม่อยู่ถาวร
เมื่อไม่มีสิ่งถาวรจะมีสิ่งที่เรียกว่าอัตตาไหม
อัตตาคือสิ่งที่เรียกว่าตัวตนถาวร
ไม่ใช่ self จัดนะ self จัดไม่ใช่ตัวอัตตาแท้ๆ
อัตตานี่คือรู้สึกว่ามีตัวตนที่ถาวร
ส่วน self จัดนี่จริงๆ ไม่ใช่คำว่า "อัตตา"
แต่คือคำว่า "อติมานะ" คือกูใหญ่ๆ
ทีนี้บางทีพวกเราไปเรียกมานะตัวนี้ว่าอัตตา
คำว่า "อนัตตา" แปลว่าตัวนี้ไม่มี
ไม่มีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่มันไม่ตื้นขนาดนั้น
สิ่งใดที่ไม่เที่ยง สิ่งนั้นทนอยู่นานๆ ไม่ได้
เรียกว่ามันเป็นทุกข์ มันทนอยู่ไม่ได้
สิ่งใดที่ทนอยู่ไม่ได้สิ่งนั้นก็ไม่ถาวร
ฉะนั้น ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าตัวตนถาวร
นี่แหละคือคำว่า "อนัตตา"
ต้องเรียนให้เห็นตัวนี้นะ
พอเห็นว่าไม่มีสิ่งที่เป็นอมตะ ไม่มีตัวตนที่ถาวร
ก็เป็นพระโสดาบัน
ถัดจากนั้นก็เรียนลงไปเรื่อยๆ
มีแต่ของร้อน มีแต่ทุกข์ มีแต่โทษ
พระพุทธเจ้าสอนธรรมะในขั้นสูง
สอนอนัตตลักขณสูตรให้พระปัญจวัคคีย์
พระปัญจวัคคีย์เป็นปัญญาชนนะ
พระพุทธเจ้าจึงสอนอนัตตลักขณสูตร
ตอนท่านสอนชฎิล ๑,๐๐๐ คน ให้เป็นพระอรหันต์นี่
ท่านสอนอาทิตตปริยายสูตร
ท่านสอนว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นของร้อน
รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์ เป็นของร้อน
"จิต"ที่ไปรู้รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์
ก็เป็นของร้อน นี่ท่านให้เห็นทุกข์เห็นโทษเห็นภัย
ของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ท่านสอนอายตนะ
สังเกตไหมตอนสอนพระปัญจวัคคีย์ท่านสอนขันธ์
ท่านสอนแต่ละคนไม่เหมือนกัน
แต่สุดท้ายก็ลงไปที่เดียวกัน คือ"ไม่ยึดถือ"
ไปฝึกเอานะ
ไปฝึกเอาจนเห็นขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ เป็นโทษ เป็นภัย
วันใดหมดความยึดถือในขันธ์
ขอบเขตแห่งความเป็นตัวเป็นตนก็สลายไป
เราจะเห็นนิพพาน
นิพพานมีอยู่แล้ว เต็มโลกธาตุอยู่แล้ว
ไม่เคยหายไปไหนเลย
ถ้าใจหมดความดิ้นรน หมดความยึดถือ
ก็สัมผัสอยู่อย่างนั้น
ใครจะเข้าใจหรือใครจะไม่เข้าใจ
ก็เป็นเรื่องของแต่ละคนนะ ไม่เกี่ยวกันหรอก
เรื่องอย่างนี้มันรู้เฉพาะตัว
กราบหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
"อย่าเข้าไปในความคิด
และอย่าพยายามหยุดความคิด
ความคิดเป็นกลไกของจิตใจ
บางคนอาจจะเข้าใจผิดเพราะคิดว่า
ความคิดนี่แหละทำให้เราลำบาก
ต้องหยุดมัน ..
อย่าพยายามหยุดความคิด
แต่ให้ทันการ อย่าเข้าตามความคิดไป
กลับมาที่ความรู้สึกตัว
กลับมาที่การเคลื่อนไหว
เล่นกันอยู่อย่างนี้สักพักใหญ่ในที่สุด
สัญชาตญาณชนิดหนึ่ง คือสัญชาตญาณ
การป้องกันตน ป้องกันสติไม่ให้คล้อยไป
ตามความคิด ไม่ให้ความคิดมันลากไป
ในที่สุดจะดีขึ้นภายในช่วงเวลาสั้นๆ
ถ้าปฏิบัติต่อเนื่องจริงๆ
ผมกล้ารับรองสามวันเท่านั้นรู้เรื่อง
รู้เรื่องในที่นี้หมายความว่า
ความทุกข์ทุเลาเบาบาง
เพราะความคิดมันบางลง
แต่สติมันไวขึ้นนั่นเอง"
ท่านเขมานันทะ
" ต้องตั้ง...สติ
มองดูจิต ของตนตลอดเวลา
ไม่เลือกกาล เลือกสถานที่
ไม่เลือกหนาว เลือกร้อน
เลือกฝนตก เลือกแดดออก
เลือกสบาย หรือเลือกป่วยไข้
ต้องเป็นผู้มีสติอยู่...ทุกกาล
ทุกสถานที่ และทุกอิริยาบถ
สติ...กำกับจิต
สติ...ต้องอยู่ตลอด ไม่ว่าจิตจะอยู่ขั้นใด
ขั้น เริ่มฝึกหัด
ขั้น จิตเป็นสมาธิ
ขั้น เริ่มฝึกหัดทางปัญญา
จะเจริญสมถะ หรือวิปัสสนาขั้นใด ก็ตาม
ต้องอาศัยสติ...
กำกับดูแลอยู่...ตลอด
หากขาดสติ...
สมาธิ และปัญญาก็จักไม่เจริญ ไปได้."
_________________________________________
(หลวงปู่ชอบ ฐานสโม)
ผู้ถาม : จากโอวาทธรรมของ หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง
ที่มา : เรื่องปัจจุบันธรรมเป็นธรรมโม ในหนังสือหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ของ กฟผ
"รู้… อยู่ที่เดียว
สติสัมปชัญญะ - สัมมาสติก็อันเดียวกัน นั่นล่ะ
มีหน้าที่"กำหนดรู้"
ที่เกิด ของธรรม ที่ดับ ของธรรม
รู้... อยู่ที่เดียวนี้ล่ะ
ละ อยู่ที่เดียวนี้ล่ะ
วาง อยู่ที่เดียวนี้ล่ะ
การปรารภความเพียร ก็เอา"สติ"นี้ล่ะ
เวลาเกิดความคับขัน ก็ให้น้อมเข้ามา
ปฏิบัติอยู่...
ให้เพียรเพ่งอยู่จนหายสงสัย-อันนี้ สำคัญมาก
เพ่งเข้ามาสู่จิต สู่ใจ-อย่าไปเพ่งออกภายนอก
เพ่งจนหายสงสัย-จนไม่มี เกิด ไม่มี ดับ
พราหมณาจารย์ ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่
เพียรเพ่งอยู่จนมันดับไปเอง
แม้… เกิดขึ้นแล้ว มัน ก็ดับไปเอง
แต่อย่าเข้าไปยึดถือในอะไร ๆ
สิ่งที่มันปรุงขึ้น แต่งขึ้น มักจับมัน ไม่ทัน
ให้เพ่งจับอยู่เฉพาะในปัจจุบัน
อย่าไปเพ่งอดีต - อนาคต
อดีต เป็นธรรมเมา
อนาคต เป็นธรรมเมา
พราหมณาจารย์ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่
เพ่งอยู่ภายใน ต้องเพ่งเข้าสู่ภายใน
สิ่งใดสิ่งหนึ่งเมื่อเกิดขึ้น
มัน ก็ดับไปเอง
อย่า เข้าไปยึดถือสำคัญมั่นหมาย
ว่า เป็นสิ่งนั้น ว่า เป็นสิ่งนี้
เพ่งอยู่… จนหายสงสัย
ถ้าหายสงสัย มันก็ได้บรรลุมรรคผล - นิพพาน
เท่านั้นล่ะ
การเพ่ง...อย่า ให้มันออกไปข้างนอก
ให้เพ่งเข้ามาหาใจ
ให้เข้าสู่… ใจ
ให้เข้าสู่… ฐิติภูตัง
ให้ตั้งอยู่… ในธรรม
อันไม่ไป ไม่มา ไม่เข้า ไม่ออก"
" เล่นกับลม รู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับลม "สติ"เด่นชัดขึ้นมา "
การพิจารณาลม อย่างอ่อนโยน อย่างแผ่วเบา ละเอียดอ่อน เล่นกับลมหายใจ ดึงลมเข้าผ่อนลมออก โดย "ระลึกรู้สึกอยู่กับลม" รับรู้สึกถึงลมสั้นลมยาว สติจะเด่นชัดมาก ขึ้นมากํากับใจ ทําได้อย่างนี้ สมาธิจะก้าวหน้ามาก ทําเหมือนเล่นลมรู้สึกไปกับลม เหมือนไม่ได้ตั้งใจทํา แต่เล่นรู้สึกไปกับลม ทําเล่นกับได้ของจริง ทําจริงกับได้ของเล่น
เอาใจเข้าไปรู้ แบบสบายๆนะ แค่ที่รู้สึกถึง เบาๆ ตรงนี้หล่ะ สําคัญมาก ใจมันปล่อยออกจากการคิดไปแล้ว แค่รู้สึก รู้สึกถึงลมหายใจ ลองหายใจแล้วรู้สึกดู จุดแว๊บแรกที่รู้สึก เป็นจิตเข้าไปรู้ ตรงจุดนี้เลยสําคัญที่สุด จิตยังไม่ปรุงแต่งอะไร หมั่นรู้ตรงจุดนี้แบบนี้บ่อยๆ เป็นการเจริญสัมมาสติ หรือสติปัฏฐาน(คือมีสติรู้ในอาณาเขตกายใจตน)
เจริญที่"ใจ" การปฏิบัติสุดท้ายแล้ว ล้วนเข้ามาสู่ใจทั้งสิ้น เพื่อที่จะปลดปล่อยใจให้เป็นอิสระ
______________________________________
หลวงตาเจ้าคะ ที่หลวงปู่แหวนท่านกล่าวว่า "เพ่งมาสู่จิตใจ เพ่งอยู่... จนหายสงสัย"
หมายความว่ายังไงเจ้าคะ เพ่งอะไร จนหายสงสัยอะไรเจ้าคะหลวงตา ขอหลวงตาโปรดเมตตาด้วยเจ้าค่ะ
หลวงตา : “เพ่งมาสู่จิตใจ” หมายถึง "อย่าถอนความสังเกตที่ใจ"
จนกว่า"รู้"..."เห็น"..."รู้เท่าทัน" ว่ามีความยึด ความอยาก (กิเลส ตัณหา อุปาทาน) อย่างใด ๆ ต่อสิ่งภายนอก ภายในร่างกาย ภายในจิตใจ ในปัจจุบันขณะบ้าง
"จะสิ้นยึด สิ้นอยาก" ต้องเห็น ว่าร่างกายและจิตใจ
เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จนหมดสิ้นกิเลส หรือ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ก็ไม่มีตัวตนของผู้ทุกข์ (นิพพาน)
“อวิชชา ตัณหา อุปาทาน” ล้วนเป็นสังขารปรุงแต่ง
หากรู้ เห็น รู้เท่าทันสังขารในใจตน ซึ่ง เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในปัจจุบันขณะ จนสิ้นหลงสังขาร หรือ สิ้นยึดถือสังขาร ก็จะพบใจ ซึ่งเป็นธาตุรู้ตามธรรมชาติ
มีคุณสมบัติ “รู้”.แต่ไม่มีตัวตนของผู้รู้ได้แต่รู้ปัจจุบันขณะ
ซึ่งเป็นคุณสมบัติของธาตุรู้ตามธรรมชาติที่ได้แต่"รู้"
ไม่มีตัวตนของผู้รู้ ไม่มีตัวเราเป็นผู้รู้ และ ผู้รู้ไม่ใช่ตัวเรา
แต่เพราะมีความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) และ อวิชชา (ความไม่รู้) จึงหลงยึดมั่นถือมั่น ว่าเราเป็นผู้รู้ หรือ ผู้รู้เป็นตัวเรา
จึงหลงยึดถือว่าเป็นของเรา จึงเป็นเหตุให้เกิดกิเลส ตัณหา จนเป็นความทุกข์เดือดร้อนในปัจจุบัน ในชาตินี้ และชาติต่อ ๆ ไป
เมื่อไม่มีตัวตนของ"ผู้รู้" จึงไม่มีตัวตนของ"ผู้ยึด"
เมื่อไม่มีตัวตนของผู้ยึด ก็ได้แต่รู้ ซึ่งเป็นธาตุรู้ตามธรรมชาติที่มีคุณสมบัติได้แต่รู้ปัจจุบันขณะ จึงไม่มีผู้ทุกข์ (นิพพาน-ซึ่งไม่มีตัวตนของผู้ถึงนิพพาน)
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2563
การฝึกสติในเบื้องต้น...
สามารถช่วยบำบัด ดีท็อกซ์อารมณ์ต่างๆ
ปรับระบบร่างกายให้สมดุลแข็งแรง
มีสุขภาพจิตที่ดี มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้
.
เมื่อเราเริ่ม"ฝึกสติ"อยู่เสมอ ๆ ก็คือ กระตุ้นความตื่นรู้ขึ้นมา
จะช่วยชะล้างอารมณ์ ความคิด ความกังวลต่าง ๆ
ที่ค้างคาให้คลายออกไป ....
เราจะรู้สึกได้ถึงความสงบ ผ่อนคลาย เบาสบาย ผ่องใสอยู่ภายใน
.
และเพราะความสบายใจที่เกิดขึ้นเรื่อย ๆ นั้น
เราจึงพบว่าที่จริงแล้ว ความสุขที่แสวงหานั้น
ไม่ได้อยู่ภายนอกที่ไหนเลย ....มันอยู่ภายในใจของเรานี่เอง
.
เราจะสัมผัสได้ว่า... ภายในปราณีตมากขึ้น
เป็นความสุขจริงที่เข้าถึงได้
แม้แต่เงินทองที่หามาทั้งชีวิตก็หาซื้อไม่ได้
.
เมื่อเข้าถึงความสุขที่ปราณีตลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ
เริ่มสัมผัสความผ่องใสความตื่นรู้อยู่ภายในได้แล้ว
... เเม้เราจะอยู่ที่ไหนก็มีความสุข
.
" มันคือพลังของการตื่นรู้ "
.
เมื่อเราพัฒนาสติ จนเกิดความตื่นรู้เบิกบาน ได้เสมอๆ...
สรรพสิ่งจะเกิดการหลุดคลายออกจากกัน
เกิดการแยกรูป แยกนาม เป็นของใครของมัน
มิติใคร มิติมัน เกิดดับ ของใคร ของมัน
แล้วแต่จริตของเแต่ละคน
.
จึงเข้าสู่ขั้น... " วิปัสสนาญาณ "
คือรู้สภาวะอาการตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ ซึ่งไม่ได้มาจากความคิดหรือเหตุผล
.
....จิตจะกว้างขึ้น จนเข้าถึงเนื้อสภาวธรรมที่บริสุทธิ์
ว่างจากตัวตน ความยึดมั่น ถือมั่น
ปราศจากการปรุงแต่งใดๆทั้งปวง
.
เมื่อฝึกพัฒนาสติมาถึงสภาวธรรมขั้นนี้...
เราจะพบกับความสงบสุข เบา โปร่ง โล่ง จากสมาธิ
ซึ่งไม่มีความสุขใดในโลกนี้เทียบได้เลย
.
....แต่ว่าการเข้าถึง
เนื้อสภาวธรรมที่บริสุทธิ์พ้นจากการปรุงแต่ง
มันบริสุทธิ์กว่านั้นมาก
มันเป็นสภาวะที่เป็นอิสระ ไม่เกาะเกี่ยวกับสิ่งใด
เพราะเป็นสภาวะที่มีความมั่นคงที่แท้จริง
.
ถึงเราจะมีสิ่งต่าง ๆ เพียบพร้อม
ก็ยังขาดชีวิตที่เป็นอิสระ ยังตกเป็นทาสอารมณ์ความคิด
ต่อให้ท่องเที่ยวหรือหนีไปสุดขอบโลก
ก็ยังทุกข์ใจห่วงหาอาลัยอยู่
เพราะว่ากรงขังที่เหนียวแน่นที่สุด... ก็คือใจของเราเอง
.
" การพัฒนาสติเป็นทางสายเดียว "
ที่จะทำให้เราหลุดออกจากโลกของความปรุงแต่ง
หลุดจากความหลงยึด ทุกข์จากความเร่าร้อนทั้งปวง
เข้าถึงธรรมชาติที่บริสุทธิ์เป็นอิสระจากทุกสรรพสิ่ง
เข้าถึงความมั่นคงที่แท้จริงของชีวิต
.
ที่เราต้องสะสมเงินทอง มีบ้าน มีรถ มีหน้าที่การงาน
ก็เพื่ออยากมีชีวิตที่มั่นคงใช่หรือไม่ ?
สิ่งเหล่านี้มันใช่ความมั่นคงที่แท้จริงหรือเปล่า ??
มันจะอยู่กับเราไปตลอดกาลไหม ???
.
....ไม่มีอะไรที่จะคงอยู่กับเราไปตลอดกาล
ต้องมีพลัดพรากสูญเสีย แม้แต่ร่างกายที่เราหวงแหน
.
" การเข้าถึงสภาวธรรมที่บริสุทธิ์ คือความมั่นคงที่แท้จริงและตลอดกาล "
ถ้าเข้าถึงสภาวธรรมตรงนี้ได้... เราจะพบกับคำตอบ
... ว่าเราเกิดมาทำไม เพื่ออะไร
.
การอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น
พระองค์ทรงตรัสรู้ความจริงของธรรมชาติ
ที่จะนำทางให้พวกเราทุกคน เข้าถึงความหลุดพ้น
เข้าถึงความบริสุทธิ์ที่แท้จริงของชีวิตได้
....นั่นคือสิ่งที่จะทำให้เราพบกับแก่นแท้ของตัวเราเอง
.
" การทำจิตว่างจากกิเลส...
เป็นสิ่งที่ไม่เกินวิสัยเราใคร ๆ ก็เข้าถึงได้
สามารถฝึกฝนเองง่ายๆในชีวิตประจำวัน
....ซึ่งมันอาจเปลี่ยนชีวิตของเราไปตลอดกาลเลยก็ได้ "
......................................
โดย พระมหาวรพรต กิตติวโร
สติเบื้องต้น เราเรียกว่า ศีล
สติเบื้องกลาง เราเรียกว่า สมาธิ
สติเบื้องสูง เราเรียกว่า ปัญญา
สติเบื้องบน เราเรียกว่า ญาณ
สติเบื้องลึกลงไป เรียกว่า ญาณทัสสนะ
สติเบื้องลึกสุด เรียกว่า ญาณทัสสนวิมุตติ
แต่ในนามของสติจะเปลี่ยนชื่อไปเรื่อยๆ
บางคนก็บอกว่าหลวงพ่อสอนแต่เรื่องสติ
คุณธรรมพุทธศาสนามีตั้งเยอะแยะ
ทำไมหลวงพ่อไม่นำมาสอนบ้าง
ผู้เขียนเคยถามหลวงพ่อเทียนเหมือนกันว่า
“ทำไมเราใช้คำว่า สติ
คำนี้คำเดียวละครับหลวงพ่อ
ธรรมคำสอนมีตั้งแปดหมื่นสี่พันเรื่อง”
หลวงพ่อบอกว่า
“พูดเฉพาะสติคำเดียวนี่
ก็ยังปฏิบัติไม่ถูกกันเลยท่านเอ้ย...
แล้วถ้าพูดไปเยอะแยะมากมาย
เหมือนใบไม้ในป่าทั้งนั้นแหละ
แต่ใบไม้ในกำมือนี้
เอาให้ได้เสียก่อนก็แล้วกัน”
ผู้เขียนก็เห็นด้วย เพราะเราใช้คำน้อยๆ
จะได้ไม่ลุ่มล่ามฟั่นเฝือ
Direk Saksith