เรื่องของ "ฌาน" และ "ญาณ"
*****************************
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
บนเส้นทางนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง
ของฆราวาสผู้ใฝ่นิพพานนั้น
ท่านสามารถสร้าง "ฌาน" และ "ญาณ"
ให้ก้าวหน้าสู่ขั้นสูงสุดโดยมิต้องผ่าน
การปฏิบัติกรรมฐานทั้งวันคืนก็ได้
เพียงแค่ท่าน "ฉลาด" ดำเนินชีวิตเท่านั้น
โดยท่านจะต้องรู้ความจริงก่อนว่า
ทั้งฌานและญาณล้วนเป็นเครื่องมือสำคัญ
สำหรับผู้ใฝ่การหลุดพ้นทุกคนจักต้องใช้
มิใช่เฉพาะแต่นักบวช
ผู้ปลีกวิเวกไปจากทางโลกแล้วดอกนะท่าน
เพราะ "ฌาน" เป็นพลังอำนาจทางจิต
ที่เป็นเครื่องมือเพียงชิ้นเดียว
ที่จะช่วยให้ท่านเข้าถึง
พลังอำนาจทางปัญญาของสมอง
ที่เรียกว่า "ญาณ"
หรือคำเต็มว่า "ปัญญาญาณ" ได้
พวกนักบวชเขาใช้กลวิธีสมถกรรมฐาน
ค่อยๆเพียรยกระดับการสั่นสะเทือนจิตตนเอง
ให้เข้าถึงการสั่นสะเทือนสูงขึ้นเรื่อยๆให้ได้
ด้วยวิธีการ "กำหนดจิต" หรือ กำกับจิต
ให้อยู่ภายใต้การกำกับควบคุมของตนให้ได้
ถ้ากำกับมันให้นิ่งสงบได้มากเท่าใด
แสดงว่าขณะนั้นจิตกำลังสั่นสะเทือน
เป็นคลื่นความถี่สูงมากเท่านั้น
จิตที่สั่นสะเทือนเป็นคลื่นความถี่สูงมาก
จะเป็นจิตที่อยู่ในสภาวะสงบเป็นอันมาก
ซึ่งระดับความสงบมากนี่แหละที่เรียกว่า "ฌาน"
ถ้าสงบมากกว่าระดับฌานก็สูงกว่า
ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
ความจำเป็นของท่านต่อการเข้าถึง
ทั้ง "ฌาน" และ "ญาณ"
ถ้าปรารถนาการหลุดพ้นแท้จริงนั้น
ก็เพราะสาเหตุว่า
1.ฌาน ซึ่งเป็นพลังอำนาจทางจิตนั้น
เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการขับเคลื่อน
กระบวนการสื่อสารสัมพันธ์ทางจิต
อันเป็นภาษาสากล
ระหว่างตัวท่านกับสรรพสิ่งใดๆในจักรวาล
ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการด้านการคิดรู้
กระบวนการด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูล
กระบวนการถ่ายทอดพลังงานความรัก
จนแม้กระทั่งการเดินทางของจิตวิญญาณ
ในมิติที่สูงกว่ามิติโลกทางกายภาพ
ล้วนต้องใช้พลังอำนาจของจิต
เพื่อการขับเคลื่อนทั้งสิ้น
ดังนั้น
จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่าน
จะมีพลังอำนาจทางจิตวิญญาณได้
ก็ต่อเมื่อจิตหยาบของท่าน
สามารถเข้าถึงจิตที่เป็นสมถะ
ในสภาวะที่เรียกว่า "จิตสงบ" เท่านั้น
ซึ่งท่านฆราวาสทั้งหลายผู้มีเวลาน้อย
เพราะยังมีครอบครอบครัวยังมีสังคม
ที่ท่านจักต้องรับผิดชอบกันอยู่
จะสามารถสร้าง "ฌาน" ให้เกิดในตน
โดยมิต้องใช้วิธีของนักบวชก็ได้
เพียงแค่ท่านถือลูกแก้วสองดวง
ที่องค์จิตจักรวาลทรงประทานมาให้
ด้วยการปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
ขณะดำเนินชีวิตประจำวันเท่านั้นเอง
ลูกแก้วสองดวงที่ว่านี้ก็คือ
ดวงแรก หมายถึง ท่านต้องมีมหาสติ
นั่นคือ รู้สติ มีสติ และใช้สติ
ดวงที่สอง หมายถึง
ท่านต้องมีปณิธานแห่งนิพพานชัดเจน
นั่นคือ รักได้ ให้เป็น ไม่ก้าวล่วงใคร
และใช้จิตตปัญญาดำเนินชีวิต
คือ คิดก่อนพูดหรือกระทำ
ตาม "ปริญญาโมเดล" ว่าด้วย 6 ถูก
อันประกอบด้วย...
ถูกคน ถูกวิธี ถูกที่
ถูกเวลา ถูกต้อง และถูกใจ
หากผิดข้อใดข้อหนึ่งในหกถูกนี้
ท่านจักต้องสงบระงับ
การแสดงออกหรือกระทำใดๆนั้นเสียทันที
มิเช่นนั้นจะเป็นการก่อกรรมใหม่ขึ้นมาได้
2.ญาณ ก็เป็นพลังอำนาจของสมอง
ที่แสดงออกมาในรูปของความฉลาด
ซึ่งต้องอาศัย "พลังของฌาน"
ช่วยสั่นสะเทือนเซลสมองของท่าน
ให้มันสั่นสะเทือนตาม
เพื่อสร้างพลังอำนาจทางปัญญาสูงสุด
ที่เรียกว่า "ญาณ" นั่นเอง
ดังนั้น
ถ้าท่านสามารถเข้าถึงระดับฌานสูงๆได้
มันจะทำให้ท่านฉลาดมากขึ้น
เพราะมีญาณสูงขึ้นโดยแท้
การยึดมั่นในการครอง "มหาสติ"
กับการยึดมั่นใน "ปณิธานแห่งนิพพาน"
ในการดำเนินชีวิตประจำวันของท่าน
มันจะช่วยให้ท่าน "จิตใสใจสวย" ขึ้นเรื่อยๆ
อันหมายถึงท่านจะมีสภาวะจิตสงบ
เข้าสู่โหมด "สุญตา" ได้มากขึ้นเรื่อยๆ
ด้วยกระบวนการทางธรรมะ
ที่เป็นวิถีแห่งธรรมชาติโดยแท้
เราจึงจะกล่าวความจริงว่า
ถ้าท่านยอมรับว่าธรรมะคือธรรมชาติแล้ว
การยกระดับจิตตปัญญา
ให้เกิดฌานกับญาณในชีวิตประจำวัน
ซึ่งเราเรียกว่า "ธรรมชาติสมาธิ" นี้
จึงเป็นมรรควิถีธรรมชาติที่แท้จริง
คนมีฌาน คือ ผู้ที่จิตวิญญาณพร้อมหลุดพ้น
เพราะมีพลังอำนาจเหลือเฟือที่จะดีดตนเอง
ออกไปจากแรงดึงดูดของเอกภพทั้งระบบ
กลับคืนบ้านเกิดเมืองนอนทางจิตวิญญาณ
ที่เรียกว่าแดนสุญตาหรือแดนนิพพาน
ดินแดนของผู้อิ่มเอิบอยู่กับความว่างเปล่าได้
นอกจากนั้นพลังของฌาน
ที่ช่วยให้เกิดพลังของปัญญาญาณได้
ก็จะยังผลให้ท่านฉลาดคิด
ฉลาดตัดสินใจในบททดสอบต่างๆ
และฉลาดในการเรียนรู้โลก
ซึ่งมันจะช่วยให้ท่านสามารถที่จะ
ไม่ก่อกรรมใหม่ให้เกิดกรรมเวร
ที่มันจะสะท้อนกลับมาเป็น "เวรกรรม"
ให้ท่านต้องมารับผิดชอบในชาติหน้าอีก
อีกทั้งมันยังจะช่วยให้ท่าน
แก้ไขผลกรรมเก่าๆที่เคยก่อไว้ได้ด้วย
เพราะว่าท่านฉลาดดำเนินชีวิต
ด้วย "ญาณ" หรือ ปัญญาญาณ
ได้อย่างถูกต้องเหมาะสมดีงาม
อันหมายถึงการ "หลุดพ้น"
หรือว่านิพพานได้อย่างสิ้นเชิงนั่นแหละ
เพราะจิตที่สงบ คือ จิตสุญตานั้น
ต้องเกิดจาก "จิตสามนึก" หรือ จิตสำนึก
ที่เข้าถึงสภาวะแห่งจิตใสใจสวยได้
จนเป็นคุณสมบัติทางจิตของท่านไป
กับจิตวิญญาณที่มีผลกรรมต่ำกว่า 30%
เพราะไม่ก่อกรรมใหม่
และแก้ไขกรรมเก่าในชีวิตประจำวันได้
ทั้งสองประการที่กล่าวไว้นี้
นับเป็นคุณสมบัติหลักและสำคัญ
ที่จิตหยาบของท่าน
จักต้องให้รางวัลแก่แก่นแท้
หากปรารถนาจะนิพพานอย่างแท้จริง
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
5-4-2016
#สนทนากับพระเจ้า (21)
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ช่างเท็คนิกองค์หนึ่งในเจ็ดองค์
ซึ่งเป็นฑูตสวรรค์ของพระเจ้า
ผู้ถือขันเจ็ดใบบรรจุภัยพิบัติสุดท้ายมา
ได้กล่าวต่อเราว่า
"มาสิ...
ข้าพเจ้าจะให้ดูสตรี
ที่เป็นเจ้าสาวของลูกแกะ"
ความเหล่านี้หมายถึง
ช่างเท็คนิกหนึ่งในเจ็ด
ซึ่งเป็นฑูตสวรรค์ของพระเจ้า
ได้เชิญชวนให้เราดูบุตรมนุษย์จำนวนหนึ่ง
ที่ยังหยัดยืนอยู่บนโลกเสรี
เพราะถูกคัดไว้ให้อยู่รอดปลอดภัย
จากปฏิบัติการชำระโลกด้วยภัยพิบัติ
เพราะพวกเขาทั้งหลายเหล่านั้น
เป็นผู้ปฏิบัติตนเยี่ยงเจ้าสาว
ผู้จดจ่อรอคอยการกลับมาของเจ้าบ่าว
อย่างจริงจังและตั้งใจ
โดยพวกเขาได้เตรียมกาย เตรียมตัว
เตรียมใจและเตรียมสติปัญญา
ไว้รอคอยการกลับมาของเจ้าบ่าว
เหมือนดั่งตะเกียงที่พร้อมใช้งาน
จุดติดเมื่อใดก็พร้อมให้แสงสว่างเมื่อนั้น
พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
"เจ้าสาว" จึงหมายถึงบุตรมนุษย์
ผู้ที่ปฏิบัติตามพระโอวาทอย่างเคร่งครัด
ไม่ทำตัวเหลาะแหละโลเลเหลวไหล
เป็นผู้มีและใช้มหาสติอย่างเคร่งครัด
เป็นผู้ชัดเจนในปณิธานแห่งนิพพาน
ส่วน "ลูกแกะ" นั้น
หมายถึง "พระบุตรเอก" ของพระบิดาฯ
ผู้กลับมาตามสัญญาที่ให้ไว้ก่อนจากไป
ผู้กลับมาช่วยเหลือพี่ๆน้องๆที่ตกค้างอยู่
ให้ได้รู้หนทางคืนกลับบ้านยังแดนสุญตา
ทั้งชี้ให้รู้ว่า "ประตูมิติ" เพื่อการหลุดพ้น
ทางจิตวิญญาณต้องก้าวไปในทิศทางใด
จากนั้นฑูตสวรรค์นำเราขึ้นไป
บนภูเขาสูงใหญ่ลูกหนึ่ง
ชี้ให้เราเห็นมหานครแห่งพระผู้เป็นเจ้า
นครศักดิ์สิทธิ์ซึ่งกำลังลงมาจากสวรรค์
ความข้อนี้หมายถึง
พระเจ้าทรงประทานแบบแปลน
เพื่อสร้างมหานครแห่งใหม่บนโลกเสรีนี้
นครนี้จึงมีพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า
มีความสุกใสเหมือนเพชรพลอยล้ำค่า
คล้ายแก้วมณีโชติช่วงเป็นผลึกสดใส
มีกำแพงสูงใหญ่กับประตูสิบสองประตู
แต่ละประตูมีฑูตสวรรค์ประจำอยู่
และแต่ละประตูมีชื่อจารึกไว้
ทางทิศตะวันออกมี 3 ประตู
ทางทิศเหนือมี 3 ประตู
ทางทิศใต้มี 3 ประตู
และทางทิศตะวันตกมี 3 ประตู
กำแพงเมืองตั้งอยู่บนฐานศิลา 12 ฐาน
บนฐานศิลานั้นมีชื่อของประดาอัครสาวก
ทั้ง 12 องค์ ของลูกแกะจารึกอยู่
ฑูตสวรรค์ที่กล่าวกับเรา
ถือไม้รังวัดทองคำ
เพื่อจะใช้วัดนคร ประตู และกำแพง
นครนี้มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส
กว้างยาวเท่ากันทั้งสี่ด้าน
กำแพงนี้สร้างด้วยแก้วมณี
นครนี้เป็นทองคำบริสุทธิ์
เหมือนแก้วผลึกสุกสดใส
ฐานกำแพงของมหานครนี้
ประดับด้วยรัตนชาติมีค่าทุกชนิด
ฐานที่หนึ่งเป็น "เพชร"
ฐานที่สองเป็น "ไพลิน"
ฐานที่สามเป็น "รัตนชาติ" สีคราม
ฐานที่สี่เป็น "มรกต"
ฐานที่ห้าเป็น "โกเมน"
ฐานที่หกเป็น "ทับทิม"
ฐานที่เจ็ดเป็น "ไพฑูรย์"
ฐานที่แปดเป็น "เพทาย"
ฐานที่เก้าเป็น "บุษราคัม"
ฐานที่สิบเป็น "หยก"
ฐานที่สิบเอ็ดเป็น "นิล"
ฐานที่สิบสองเป็น "พลอย" สีม่วง
ประตูทั้ง 12 ประตูเป็น "ไข่มุก" 12 เม็ด
แต่ละประตูเป็น "ไข่มุก" เม็ดเดียว
ลานนครเป็นทองคำบริสุทธิ์
ที่สุกใสเหมือนแก้ว
พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
เราไม่เห็นพระวิหารใดในมหานครนี้
เพราะพระเจ้าองค์พระผู้เป็นเจ้า
ผู้ทรงสรรพานุภาพและลูกแกะ
ทรงเป็นพระวิหารของมหานครนี้
มหานครนี้ไม่ต้องการดวงอาทิตย์
หรือดวงจันทร์เพื่อส่องสว่าง
เพราะพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า
ส่องแสงเหนือนครนี้
และลูกแกะทรงเป็นตะเกียงของนคร
หมายถึงพระเจ้าจะทรงให้แสงสว่าง
แก่โลกและมนุษย์ผ่านพระบุตรเอก
ส่วนองค์พระบุตรเอกนั้น
จะทรงเป็นผู้ให้แสงสว่างทางปัญญา
แก่ประดาพี่ๆน้องๆที่ถูกคัดไว้
นานาชาติจะดำเนินในแสงสว่างของนคร
ประดากษัตริย์ของแผ่นดิน
จะนำความรุ่งเรืองของตนมาสู่นครนี้
หมายถึงผู้นำชาติต่างๆของโลก
จะให้การส่งเสริมสนับสนุนนครนี้
ตามกำลังของตนอย่างเต็มกำลัง
ความเหล่านี้หมายถึง
ชนทุกชาติบนโลกเสรีนี้
จะปฏิบัติตนตามพระโอวาทแห่งพระเจ้า
ที่ทรงพระเมตตาสื่อผ่านพระบุตรเอกมา
ยังความฉลาดทางปัญญาแก่ทุกคน
ประตูของนครจะไม่ปิดในเวลากลางวัน
และจะไม่มีกลางคืนในนครนี้อีกเลย
หมายถึงประตูนครแห่งนี้
จะเปิดกว้างสำหรับบุตรมนุษย์ทุกคน
โดยไม่แบ่งแยกความเชื่อและศาสนา
นานาชาติจะนำความรุ่งเรือง
และทรัพย์สมบัติมาสู่นครนี้
สิ่งที่เป็นมลทิน
หรือผู้ประพฤติตนน่ารังเกียจหรือผู้พูดเท็จ
จะไม่เข้าในนครนี้เลย
จะเข้าไปได้เฉพาะผู้มีชื่อบันทึกไว้
ในหนังสือแห่งชีวิตของลูกแกะเท่านั้น
นี่เป็นแบบแปลนและบริบท
ของมหานครใหม่บนโลกเสรีนี้
ในพระดำริแห่งพระเจ้าบนฟ้าสวรรค์
สำหรับโลกและมนุษย์ยุคพลังงานใหม่
ในพระนาม "จิตจักรวาลสถานธรรม"
มหานครแห่งองค์จิตจักรวาล
ซึ่งจะเป็นบ้านหลังสุดท้ายของบุตรมนุษย์
ผู้เลือกเส้นทางสู่การหลุดพ้นแท้จริง
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
05-01-2019
16-06-60
กลุ่มก่อตั้งเพื่อการแจ้งเตือน จากดวงดาว และทวยเทพ ในการชำระโลก ในครั้งนี้
ทางกลุ่ม ได้รวบรวม การสื่อผ่านทางจิต
โดย
1.กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)
จากดาว พลูโต
2.อาจารย์ ปริญญา ตันสกุล
จาก องค์จิตจักรวาล
3.คุณ ปพรธ์พงษ์ ชะหมู่
จาก ท่าน ทีอา แห่งเนปจูน
4.ศ.นพ.ดร.เทพพนม เมืองแมน
จากดาวอังคาร และดาวศุกร์
5.จาก กัลยานมิตร ที่รับการสื่อ
1.)การถ่ายทอดข้อความจาก....
#ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต วันที่ 5 กันยายน 2541
(คลื่นจากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต) ข้าพเจ้าจะขอบอกถึงภารกิจของข้าพเจ้า ในการที่จะช่วยเหลือภพมนุษย์ของเจ้าให้รอดพ้นจากภัยพิบัติตามส่วนของผู้ที่มีบารมีเท่านั้น
สิ่งที่เจ้าได้พูดมาข้าพเจ้าจะขออธิบายเพิ่มเติมว่า ภัยพิบัติที่ใหญ่หลวงยิ่งที่จะเกิดกับโลกของเจ้าทั้งโลกนั้น ถ้าไม่มีเทพที่จะลงมาช่วยเหลือภพมนุษย์ มันก็แทบจะไม่มีเหลือ ทั้งผู้ที่ไม่มีบารมี และผู้ที่มีบารมีเก่า ก็จะตายกันมากกว่านี้ จะไม่มีการเตรียมการ จะไม่มีการรวมคนที่มีบารมี และที่จะเหลืออยู่ก็แทบจะเป็นบ้าเป็นบอกันไปหมด
และผู้ที่มีบารมีเมื่อสิ้นชีวิตก็ขึ้นสวรรค์ไป แต่ผู้ที่จะดำรงเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้ดำรงต่อไปนั้นก็แทบจะไม่มีคุณภาพ ภพมนุษย์ก็แทบจะสูญสิ้นกันไปเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว
เพราะฉะนั้น จึงเป็นกฏของธรรมชาติ เป็นกฎของจักรวาล ซึ่งยิ่งใหญ่เหนือกว่าสิ่งใด ยิ่งใหญ่กว่าสิ่งที่เจ้าเคยรับรู้ ได้เห็น ได้สัมผัส เพราะนั่นอยู่เหนือวิสัยของมนุษย์ที่จะคิดได้
กฎของจักรวาลนั้น เป็นสิ่งที่ทวยเทพ และต่างจักรวาลทั้งหลายต้องลงมาช่วยกันเพื่อให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ที่มีคุณภาพ ให้มีการเตรียมพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ รวมทั้งมีการสืบทอดพระธรรมคำสั่งสอน จะหล่อเลี้ยงจิตใจพวกเขาให้อยู่ต่อไป
ดังนั้นในประเทศนี้ ซึ่งเป็นประเทศที่มีพระธรรมคำสั่งสอนของพุทธศาสนา เป็นประเทศที่มีบารมีคุ้มครอง ทวยเทพทั้งหลายได้ให้ความร่วมมือ รวมทั้งต่างจักรวาล รวมทั้งข้าพเจ้า และต่างดาวที่มาจากจักรวาลอื่น ได้ประชุมรวมกัน เห็นพ้องต้องกันก่อนที่พวกเจ้าจะลงมาเกิดนี้
ข้าพเจ้าก็ได้เล็งพระญาณเลือกสถานที่ที่เจ้านั่งกันอยู่นี้(เขากะลา) เป็นสถานที่ที่เหมาะสมในการที่เทพทั้งหลายจะอธิษฐานจิตกันลงมา อุบัติลงมาจากเทวโลก
พวกเจ้าคิดรึ ถ้าพวกเขาๆไม่อุบัติลงมาจากเทวโลก ภพมนุษย์ก่อนเก่านี่จะสามารถรักษาธรรมะอันทรงคุณค่าที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนไว้ให้อยู่เหลือรอดต่อไปได้ มันไม่ได้หรอกนะ มันต้องได้รับการรักษาจากผู้ที่มีบุญบารมีจากเทวโลกที่อธิฐานจิต อุทิศตนลงเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ ให้ดำรงเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้อยู่ต่อไป นั่นคือผู้ที่เสียสละ ให้ภพมนุษย์ได้ยืนหยัดอยู่ต่อไป
ถ้าภพมนุษย์ไม่ยืนหยัดอยู่ต่อไป ก็ไม่มีโอกาสที่เทวโลกพรหมโลก จะลงมาสร้างบารมี มันต้องมีการช่วยเหลือกันทั้ง 3 ภพนั้น มันเกี่ยวข้องกันอย่างแยกกันไม่ออก
- ก่อนเกิดภัยพิบัติ มาสำรวจ มาวางโครงการ นำจานบินมาปรากฏทั่วโลก เพื่อทำความคุ้นเคย มาสื่อสารกับมนุษย์เพื่อเตรียมช่องทางในการเตือนภัย และการช่วยเหลือในอนาคต
- ขณะเกิดภัยพิบัติ ให้การช่วยเหลือด้านต่าง ๆ ด้วยเทคโนโลยี ด้านอุปกรณ์ และด้านการรักษา และด้านอื่น ๆ โดยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยเหล่านั้น จะส่งจากเขาให้กับมนุษย์โลกได้ใช้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง ผ่านช่องทางที่เตรียมไว้ เช่นกลุ่มผู้เตรียมการช่วยเหลือเรื่องภัยพิบัติ กลุ่มผู้รับการสื่อสาร หรือกลุ่มผู้ปฏิบัติทางจิตที่มีกระจายอยู่ถึง 5000 คนทั่วโลก
- หลังเกิดภัยพิบัติ จะให้การช่วยเหลือเพื่อพื้นฟูด้วยเทคโนโลยีของเขา ทั้งด้านที่อยู่อาศัย ด้านอาหาร และด้านการรักษา เพราะตอนนั้นโลกของเราไม่มีอุปกรณ์ใด ๆ หลงเหลือให้มนุษย์ช่วยเหลือตัวเองได้ และก่อนกลับ จะมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีไว้ให้ และเขายังบอกอีกว่า เขาไม่สามารถอยู่ได้บนโลกของเรา เมื่อเสร็จสิ้นภาระกิจ ก็ต้องเดินทางกลับ เพื่อช่วยเหลือดาวดวงอื่นต่อไป
2.)สื่อจาก #องค์จิตจักรวาล
โดย อาจารย์ ปริญญา ตันสกุล
การเดินทางกลับสู่บ้านเกิดเมืองนอนของจิตวิญญาณ:
บ้านเกิดเมืองนอนของจิตวิญญาณมนุษย์ก็คือ สนามพลังงานที่อยู่นอกระบบเอกภพ ที่เรียกว่าแดนสุญตา อันหมายถึง ดินแดนของรูปธรรมทางพลังงานที่อิ่มเอิบอยู่กับความว่างเปล่า
จิตวิญญาณผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ของมนุษย์แต่ละคน คือ ผู้ที่ขันอาสาเดินทางข้ามมิติเข้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อทำหน้าที่ในพันธะสัญญา 6 ประการ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ การใช้เมตตาธรรมหรือความรักบริสุทธิ์ที่มีต่อเพื่อนมนุษย์และทุกสรรพสิ่งช่วยค้ำจุนความสมดุลของดาวเคราะห์โลกไว้ตลอดไป และหน้าที่สุดท้ายที่ทุกคนต้องทำก็คือ การนำพาจิตวิญญาณแก่นแท้ของตนคืนกลับบ้านนอกระบบเอกภพที่ตนจากมาให้จงได้ ภายในระยะเวลา 6 หมื่นปีก่อนวันสิ้นยุคพลังงานเก่า
มนุษย์แต่ละคน จะสามารถทำหน้าที่ในพันธะสัญญา 6 ได้สำเร็จ และสามารถนำพาจิตวิญญาณกลับบ้านในสภาวะนิพพานได้ ก็ต้องเรียนรู้ที่จะเหวี่ยงหมุน "ธรรมจักร" ภายในตนเองให้จงได้เสียก่อน ซึ่งหมายถึงเข้าให้ถึงการเป็นคนสองมิติของตนเองให้จงได้นั่นเอง
การกลับบ้านของจิตวิญญาณของมนุษย์แต่ละคนก็คือ การดีดตนเองออกไปจากระบบเอกภพได้เป็นผลสำเร็จ อันหมายถึง จะต้องนำพาตนเองหลุดออกไปจากแรงดึงดูดเหนี่ยวรั้งทั้งของดาวเคราะ
ช่วงระหว่าง การชำระโลก 56วัน 8ราตรี
โดย คุณ ประพรธ์พงษ์ ชะหมู่
01-07-12
เรา ทีอา แห่งเนปจูน ขอส่งข้อความนี้ผ่านชายผู้นี้(คุณปพรธ์พงษ์ ชะหมู่) ถึงบุคคลที่เข้ามาติดตามข่าวสาร พวกท่านฝึก ละวางอัตตาตัวตนนั้น พวกท่านฝึกกันไปได้มากน้อยเพียงใดแล้ว ถ้ายังไม่มากพอ ก็ขอให้จงเร่งฝึกกันต่อไป
เพราะ การละวางอัตตานี้ มีประโยชน์มากมายในหลายๆด้านที่ท่านบางคน หลายๆคน ยังไม่ทราบ จึงขอให้ศึกษาให้ดีในข้อมูลแล้ว จงอ่าน และพิจราณาตาม
เราไม่ได้ขอให้เชื่อในสิ่งทีเราบอกทุกอย่าง แต่จงเชื่อในธรรมชาติ และจักรวาล ถ้าท่านทั้งหลายติดตามข่าวสารจากสื่อของพวกท่าน พวกท่านจะเห็นว่าตอนนี้ ภัยพิบัติเริ่มทวีความรุนแรงกว่าเมื่อสมัยก่อนมากนัก
มนุษย์หลายคนไม่ได้ให้ความสนใจในเรื่องนี้ ทั้งๆที่มันสำคัญต่อพวกเค้าทั้งสิ้น ยังคงเสพของมึนเมา แก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่น กอบโกย ในสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง เป็นสิ่งสมมุติ ขึ้นมา ให้มีค่ามีราคา ทั้งๆ ที่สิ่งที่มีค่าที่สุดคือ พลังแห่งธรรมชาติ และจักรวาล
ซึ่งมนุษย์ที่กุมอำนาจไว้ในมือไม่ได้ให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้ เราจึงขอวิงวอนให้ท่านทั้งหลาย จงเตือนในผู้ที่เตือนได้ หรือพอเตือนได้ ให้เข้าใจในสิ่งที่กำลังอุบัติขึ้นในโลก ให้เลิกเสพของมึนเมา แก่งแย่ง หรืออะไรก็ตามแต่ที่จะบั่นทอน พลังธรรมชาติ และพลังของจักรวาลที่ไหลเวียนอยู่ในตัว
เพราะถ้าพวกเค้าเหล่านั้น เข้าใจในหลักธรรมชาติได้ เข้าใจในการละวางอัตตา ตัวตนได้ จะมาก จะน้อยก็ตาม อย่างน้อยที่สุด เมื่อถึงวันมหาภัยพิบัติมา พวกเค้าจะไม่ต้อง เป็นบ้า เพราะยึดติดในสิ่งที่ไม่มีตัวตน ตั้งแต่แรก ... เราจึงขอฝากข้อความมาเท่านี้..."
4.) #ท่านพาราซิทรัลแห่งดาวอังคาร
โดย ศ.นพ.ดร.เทพพนม เมืองแมน
วิญญาณ หรือจิต หรือพลังงานชีวิต มีจริง ในสิ่งที่มีชีวิตทั่วจักรวาล พลังชีวิตนี้ ไม่มีใครทำลายได้ เมื่อมนุษย์ตาย ร่ายกายเน่าเปื่อยไป แต่วิญญาณยังคงอยู่
และจะต้องไปจุติตามการกระทำ
หรือกรรมที่ตนทำไว้ อาจไปเกิดเป็นสัตว์ก็ได้ พวกที่เกิดเป็นมนุษย์อีก มักเกิดใกล้สถานที่ที่กำเนิดในชาติก่อน มีจำนวนน้อยที่ไปเกิดข้ามทวีป และมีจำนวนน้อยมากอย่างยิ่ง ที่ไปเกิดในอีกดาวหนึ่ง......
แจ้งเพื่อทราบ ผมจะโพส ซ่ำ อยู่เช่นนี้ เพื่อสมาชิกที่พึ่งเข้ามา ได้ศึกษา
ส่วนสมาชิกเก่า เป็นการทบทวน ของท่าน..
พันธะสัญญา 6:
รูปธรรมจิตวิญญาณใดก็ตาม ถ้าขันอาสาองค์จิตจักรวาล
ผู้ทรงเป็นพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ เพื่อข้ามมิติเข้ามาสู่การเกิดเป็นมนุษย์
บนดาวเคราะห์โลกเสรีนี้ตั้งแต่ภพชาติแรกนั้น ทุกรูปธรรมจักต้องให้สัจจะ
ต่อองค์จิตจักรวาล ผู้ประทานอนุญาตให้มาเกิดในระบบโลกว่า
ตนจะยินยอมพร้อมใจปฏิบัติตาม "พันธะสัญญา 6" อย่างเคร่งครัด
โดยให้สัญญาเอาไว้ว่า
1.จะมาเป็นเพื่อนร่วมงานกับดาวเคราะห์โลก:
..........................................................
ด้วยการยกระดับแรงสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกด้านบวกของตน ให้มันสั่นสะเทือนเป็นหนึ่งเดียวกันกับเพื่อนมนุษย์คนอื่นๆ เพื่อใช้พลังร่วมทางจิตสำนึกด้านบวกนั้นไปกระตุ้นให้เกิดการสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกด้านบวกของดาวเคราะห์โลกอีกทอดหนึ่งให้จงได้
ซึ่งหมายความว่า จิตวิญญาณผู้ขันอาสามาเกิดเป็นรูปธรรมมนุษย์แต่ละคนนั้น จะต้องยกระดับจิตสำนึกด้านบวกร่วมกัน ให้มันเป็นหนึ่งเดียวกันกับการสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกด้านบวกของดาวเคราะห์โลกให้สำเร็จให้จงได้ ให้สมดังคำกล่าวของพระศาสดาที่ว่า.....
"เราคือโลก โลกคือเรา"
มนุษย์โลกโดยจิตวิญญาณผู้เป็นแก่นแท้ในแต่ละคน จะสามารถเข้าถึงพันธะสัญญาในข้อแรกนี้ได้ก็ต่อเมื่อ "ทุกคนจะต้องรักกันอย่างไร้เงื่อนไข" เท่านั้น นั่นคือ การรักเพื่อรักหรือรักเพื่อให้ มิใช่รักเพื่อเอา นั่นเอง
2.จะไม่เบียดเบียนกันเองและทำร้ายทุกสรรพสิ่ง:
...............................................................
มนุษย์ทุกคนจะต้องไม่ใช้พลังอำนาจที่เหนือกว่า ทำร้ายหรือทำลายผู้อื่น สัตว์อื่น และทุกสรรพสิ่ง ที่ดำรงอยู่ในระบบโลกด้วยกันโดยเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นอำนาจเหนือในด้านการใช้ปัญญาคือฉลาดกว่า หรือการมีพลังอำนาจทางร่างกายที่เหนือกว่า เป็นต้น
เพราะการทำร้ายทำลายกันนั้น จะเป็นการกระทำตนให้เป็นอุปสรรคในการทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณของกันและกันโดยตรง และหากมีการทำลายกัน มันจะมีผลต่อการเสียสมดุลด้านน้ำหนักมวลในมิติแห่งเนื้อหนัง และเสียสมดุลในมิติทางพลังงานที่พวกเธอทุกคนจักต้องร่วมกันผลิตสร้างเพื่อมอบให้แก่ดาวเคราะห์โลกในทุกวินาทีอีกต่างหากด้วย ซึ่งมันจะทำให้ดาวเคราะห์โลกเสียสมดุลอย่างรุนแรงกันเลยทีเดียว โดยพระศาสดาก็ยังทรงเคยกล่าวเตือนเอาไว้ว่า
"เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก"
ถ้ามนุษย์ใจร้าย โหดร้าย ทำลายกัน
ดาวเคราะห์โลกก็จะขาดพลังงานความรัก ในรูปของพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก ที่จะนำไปใช้สร้างแรงสั่นสะเทือนด้านบวกในแกนโลก โลกก็จะเสียสมดุลทันที ภัยพิบัติต่างๆและเหตุอาเพศที่วิปริตผิดธรรมชาติทั้งปวงก็จะบังเกิดขึ้น มนุษย์โลกเองก็จะพากันล้มตายหรือเดือดร้อนจากมหันตภัยธรรมชาติกันแทบโงหัวไม่ขึ้นกันเลยทีเดียว อย่างเช่นที่เผชิญกันทุกวันนี้เป็นอาทิ
มนุษย์จึงต้องรู้เอาไว้ด้วยว่า การทำร้ายทำลายสรรพสิ่งต่างๆในระบบโลก ให้เสียหาย สูญหาย หรือเสื่อมไป นั่นเท่ากับว่ามนุษย์กำลังทำลายระบบของตนเองโดยแท้ การทำลายระบบตนเองของพวกเธอ ไม่ต่างจากมอดปลวกที่อาศัยอยู่ที่ใดก็จะกัดแทะสิ่งนั้นเพื่อกินบ้างทิ้งบ้างไปเรื่อยๆ โดยไม่สำนึกรู้เลยว่า วันหนึ่งข้างหน้าตนเองจะต้องเดือดร้อนจากการกระทำของตัวเองอย่างไร้สติ นั่นคือ พวกมันจะต้องโยกย้ายไปหาสถานที่อยู่ใหม่แล้วก็ทำลายมันอีกอยู่เช่นนี้เรื่อยไป
แต่สำหรับมนุษย์โลกดังเช่นพวกเธอนั้น ถ้าทำลายโลกกันจนแทบไม่มีอะไรเหลือแล้ว การจะโยกย้ายไปหาที่อยู่ใหม่ในอวกาศตรงดาวดวงอื่นอย่างที่พยายามจะกระทำกันอยู่นั้น มันมิใช่เรื่องง่ายๆเหมือนการโยกย้ายถิ่นฐานของมอดปลวกดอกนะ เพราะเหตุว่า ดาวดวงอื่นก็เป็นดินแดนของผู้อื่น การจะไปบุกรุกเอาดื้อๆด้านๆเจ้าของบ้านมีรึจะยอมง่ายๆ และแม้ว่าจะยอมก็ใช่ว่าจะไปดำเนินชีวิตอยู่บนนั้นอย่างยั่งยืนกันได้ เนื่องจากระบบนิเวศน์บนดาวดวงอื่นๆกับดาวเคราะห์โลกมันแตกต่างกัน ซึ่งไม่เหมาะสมต่อกระบวนการทางชีวภาพและไฟฟ้าเคมีในเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ของเธอเลย
ที่สำคัญ คือ การเดินทางออกไปจากระบบโลกด้วยวิธีที่ใช้อยู่นั้น คงต้องฝันกันต่อไปอีกนานเลยทีเดียว
3.จะหมุนธรรมจักรในตนเองให้สำเร็จ
เพื่อคนตนเองให้เป็นมนุษย์ให้จงได้
................................................
เนื่องจากพวกเธอเป็นคนสองมิติ คือ มิติของจิตหยาบกับกายหยาบ และมิติของจิตวิญญาณกับกระบวนการทางพลังงานซึ่งสองตาเปล่ามองไม่เห็น
หน้าที่ของเธอก็คือ จักต้องสั่นสะเทือนมันทางด้านบวกเพื่อให้กาย จิต และจิตวิญญาณแก่นแท้ของเธอมันสั่นสะเทือนร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวทางด้านบวกให้ได้ โดยอาศัยกลไกอายตนะภายนอกทั้งห้า สัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งต่างๆจากภายนอก แล้วจะต้องสั่นสะเทือนเป็นการรับรู้เพื่อเรียนรู้สิ่งนั้นเรื่องนั้น ด้วยจิตอันสุขสงบสมดุลให้ได้ โดยไม่ให้จิตตกเป็นทาสของสิ่งเร้านั้นง่ายๆไม่ว่ามันจะเร้าทางด้านบวกหรือลบก็ตาม
นี่คือ หลักการหมุนอายตนะทั้งห้า เพื่อถ่ายทอดสิ่งที่สัมผัสรู้ดูเห็นมาให้แก่จิตหยาบที่เป็นอายตนะภายใน จากจิตหยาบก็จะถ่ายทอดสิ่งที่ตนเรียนรู้นั้นให้แก่จิตวิญญาณที่อยู่ลึกเข้าไปข้างในแก่นแท้ เพื่อสั่นสะเทือนเป็นความรักและความคิดด้านบวกตอบสนองต่อสิ่งเร้านั้น ผ่านการสั่นสะเทือนของจิตหยาบออกมาภายนอกอีกทอดหนึ่ง ในรูปของการใช้อวัยวะร่างกายกระทำตอบสนองต่อสิ่งเร้านั้นเป็นด้านบวกต่อไป กระบวนการมันจะสั่นสะเทือนจากนอกเข้าสู่ภายในแล้วสะท้อนกลับออกมาภายนอก เป็นอย่างนี้เรื่อยไปไม่รู้สิ้นสุดยุติ
มันคือกระบวนการที่เรียกว่า "การหมุนธรรมจักรในตนเอง" โดยแท้
ถ้าใครไม่สามารถเข้าถึงกระบวนการนี้ได้ คนนั้นก็จะกลายเป็น "หมุนกรรมจักร" ให้เกิดผลกรรมที่เป็นขยะอันเป็นภาระสกปรกของจิตวิญญาณแก่นแท้ของตนแทน
มนุษย์โลกทั้งหลาย นิพพานไม่ได้ กลับบ้านไม่สำเร็จก็เพราะไม่เข้าใจสิ่งที่กล่าวมานี้เสียแทบทั้งสิ้น
4.จะสืบทอดเผ่าพันธุ์ตนเองไว้:
.........................................
หมายถึง การทำหน้าที่สืบพันธุ์เพื่อการดำรงเผ่าพันธุ์มนุษย์ไว้ เพื่อเปิดโอกาสให้จิตวิญญาณผู้มาใหม่ได้มีได้ใช้เครื่องยนต์แห่งกรรม ในการทำหน้าที่ตามพันธะสัญญาหก
การไม่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางชีววิทยาและระบบชีวภาพของเครื่องยนต์แห่งกรรมของตนให้เสื่อมทรุดและกลายพันธุ์ เพราะท่านพลียะเดี้ยนส์และอาร์คทอเรี่ยนได้กำหนดสร้างทุกสิ่งอย่างเอาไว้ให้อย่างแยบยลยอดเยี่ยมอยู่แล้ว
การไม่เข่นฆ่าทำร้ายหมายชีวิตกันเอง ในอันที่จะทำให้ความสมดุลด้านน้ำหนักมวลทางกายภาพและความสมดุลด้านพลังงานอันพึงจะได้จากเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ ต้องเสียสมดุลไปจากค่าคงที่ซึ่งพระบิดา่โดยช่างเท็คนิกได้กำกับไว้
การไม่ค้นคิดผลิตสร้างสารเคมีที่เป็นพิษร้ายต่อร่างกายตนเอง จนส่งผลถึงความเสื่อมของกลไกอวัยวะต่างๆภายในร่างกาย และความเสื่อมทางด้านพันธุกรรมต่างๆ ด้วยความมักง่าย ไร้สติ และขาดจิตสำนึก เป็นต้น
5.จะเป็นเงื่อนไขด้านบวกต่อผู้อื่น:
.............................................
หมายถึง ทุกคนจะต้องระมัดระวังหรือสำรวมตน ในการแสดงออกหรือกระทำพฤติกรรมใดๆทั้งต่อหน้าและลับหลังผู้อื่น ไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งจิตใจผู้อื่นโดยระวังไว้มิให้มันสั่นไหวไปในทางต่ำ เพราะมันเสี่ยงกับการก่อเวรเกี่ยวกรรมกับคนอื่นๆจนเป็นอุปสรรคต่อการหลุดพ้นของจิตวิญญาณของตนโดยใช่เหตุ
ในทางกลับกันก็คือ พยายามครองมหาสติเอาไว้ให้ได้ แล้วหยิบยื่นสิ่งดีๆให้แก่เขาไปด้วยกาย วาจา และจิตใจ ไม่ว่าเขาหรือใครจะดีต่อเธอหรือไม่ดีต่อเธอก็ตาม เพราะนั่นเท่ากับว่า ตัวเธอกำลังชักชวนให้พวกเขาเปลี่ยนจากการทำไม่ดีต่อเธอเพื่อยั่วให้เธอโกรธแค้น คือ ชวนเธอร่วมหมุนกรรมจักร (เกี่ยวกรรมกัน) ให้เปลี่ยนมาเป็นชวนเขาทำดีร่วมกัน คือ ชวนเขามาหมุนธรรมจักรร่วมกันกับเธอแทนเสีย เป็นต้น
จงระลึกเอาไว้เสมอว่า ถ้าชวนเขาหมุนธรรมจักรร่วมกันกับเธอ คือ ทำดีต่อเขา หรือหยิบยื่นเงื่อนไขด้านบวกให้เขาไม่ได้ ก็จงอย่าทำตนเป็นเงื่อนไขใดๆต่อเขาเสียเลยจะดีกว่า
6.จะย้อนคืนกลับสู่แดนสุญญตา:
..........................................
แดนสุญญตา ต้องผ่านออกไปจากเอกภพทางประตูมิติที่เรียกว่า "ด่านนภาลัย" เท่านั้น แดนสุญญตาเป็นถิ่นกำเนิดของจิตวิญญาณผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ในความเป็นมนุษย์ของพวกเธอทุกคน เป็นดินแดนที่พวกเธอทุกคนจากมาหลายหมื่นปีแล้ว
ดาวเคราะห์โลกดวงนี้ เปรียบเสมือนห้องเรียนขนาดใหญ่และทั้งยังเป็นเสมือนที่ทำงานของจิตวิญญาณของพวกเธอด้วย แต่ดาวเคราะห์โลกดวงนี้มิใช่บ้านเกิดเมืองนอนของพวกเธอ พวกเธอมิได้เกิดขึ้นหรืออุบัติขึ้นมาเองที่นี่ แต่พวกเธอมาจากพระบิดา และเกิดจากการแบ่งภาคออกมาของตัวตนภาคแรกที่สูงส่งของเธอเอง เพื่อข้ามมิติเข้ามาทำหน้าที่ในบทบาทคนสองมิติ ที่เรียกกันว่า "คน" โดยสิ่งแรกที่พวกเธอต้องทำเมื่อมาเกิดได้ครบสามขวบเป็นต้นไป นั่นคือ "คนตนเองให้เป็นมนุษย์" ไงล่ะ
ดังนั้น การนิพพาน หรือการกลับบ้าน จึงเป็นหน้าที่ของพวกเธอที่จะต้องรับผิดชอบต่อตนเอง โดยค้นหาวิธีการที่จะกลับบ้านกันให้พบ เมื่อพบวิธีการแล้วก็จะต้องฝึกฝนตนเองที่จะทำมันให้ได้ และเมื่อทำได้แล้วก็ต้องทำมันให้สำเร็จอีกด้วย
เรามาตามพวกเธอกลับบ้าน เราจึงนำโปรโมชั่นจากพระบิดามาฝากหากศรัทธาในพระองค์
เราพร้อมที่จะช่วยติดอาวุธทางปัญญาให้พวกเธอเอง
เพียงเธอแค่น้อมใจยอมหันหน้ามาฟังเรา...ก็เท่านั้น....
ด้วยรักและห่วงใย
ป.วิสุทธิปัญญา
29-05-2014
ความรู้เรื่องเวลา:
*****************
เราจะกล่าวความจริงเรื่อง "เวลา"
ต่อท่านทั้งหลายว่า
พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ของมนุษย์เช่นพวกท่านทั้งหลาย
คือ เอกองค์จิตจักรวาลพระองค์นั้น
ทรงกำหนดให้มี "กาลเวลา" ขึ้นไว้
เฉพาะแต่เวลาในมิติโลกทางกายภาพ
เป็นเพราะเหตุว่า
1.พระบิดาทรงมีพระสงค์ให้
บุตรมนุษย์ทุกคนบนดาวเคราะห์โลกเสรีนี้
ได้เรียนรู้ว่า "มนุษย์ คือ คนสองมิติ"
2.คนสองมิติ คือ
คนที่มี 2 ภาคในตนเอง
อันประกอบด้วยภาคแรก คือ
ภาคส่วนของจิตหยาบกับกายหยาบ
กับภาคที่สอง คือ
จิตละเอียดหรือแก่นแท้
ที่เรียกว่า "จิตวิญญาณ"
ผู้ขันอาสามาเกิดเป็นมนุษย์กันนี่แหละ
3.โดยทรงแยกแยะให้เห็นว่า
"กาลเวลา" ในมิติของกายหยาบนั้น
สมการของเวลาจะเป็น "เส้นตรง"
กล่าวคือจะมีทั้งจุดเริ่มต้น
จุดที่จะต้องเคลื่อนผ่านไป
และจะต้องมีจุดสิ้นสุดที่ดำรงอยู่
บนระนาบเดียวกัน
หรืออยู่ในมิติเดียวกันเท่านั้น
ที่สำคัญ คือ เวลาของใคร ใครคนนั้น
ต้องเป็นผู้ที่เคยดำรงอยู่ ณ จุดเริ่มต้น
เคยดำรงอยู่ ณ จุดที่ต้องเคลื่อนผ่าน
และใครคนนั้นจักต้องกำลังดำรงอยู่
ณ จุดสิ้นสุดนั้นด้วย
4.นอกจากนั้น...
ขณะที่ท่านกำลังดำรงอยู่ ณ จุดปัจจุบัน
อันเป็นจุดสิ้นสุดของกาลเวลาของท่าน
ซึ่งอยู่บนเส้นตรงระนาบเดียวกันนี้
ท่านยังมี "กาลเวลา" ที่ยังมิได้ใช้ไป
หรือท่านยังมิได้เคลื่อนที่ต่อไป
จากจุดสิ้นสุดที่เป็นจุดปัจจุบัน
นั่นเป็นจุดที่ท่านทั้งหลาย
เรียกกันว่า "อนาคต" น่ะเอง
5.พระบิดาทรงกำหนดสร้างให้
กาลเวลาในมิติโลกเป็น "มายา" ดั่งว่านี้
เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของลูกๆ
โดยเฉพาะองค์ความรู้ที่สำคัญ 3 เรื่อง
ดังต่อไปนี้ คือ
5.1 เพื่อให้เรียนรู้กฎหลักของจักรวาล คือ
กฎแห่งการเปลี่ยนแปลงของทุกสรรพสิ่ง
เพื่อการเป็นหนึ่งเดียวกันตลอดกาล
ภายในเอกภพหรือจักรวาลอันไพศาลนี้
นั่นคือ ทุกสรรพสิ่ง
จักต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปเสมอ
โดยมีวัฏจักรหรือวงรอบการเปลี่ยนแปลง
ดังต่อไปนี้ คือ ต้องเปลี่ยนแปลงตนเอง
เพื่อการดำรงอยู่
เพื่อการเสื่อมสลาย
และเพื่อการสร้างใหม่หรือเกิดใหม่
นับเป็นความเหมาะสมยิ่ง
ที่จะใช้กลไกอายตนะ
ของเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
เรียนรู้เรื่องของ "กาลเวลา"
ในมิติแห่งกายหยาบ
5.2 เพื่อให้ท่านทั้งหลายเรียนรู้ว่า....
แก่นแท้ที่เป็นจิตวิญญาณของท่านนั้น
ได้จากพระองค์ข้ามมิติมาเกิดเป็นมนุษย์
มาเกิดเป็นคนสองมิติกันบนดาวโลกเสรีนี้
ใช้เวลาผ่านมา "เนิ่นนานเท่าใดแล้ว"
ถ้าใครสามารถเกิดสติทางวิญญาณได้ว่า
จากพระองค์และบ้านเกิดทางจิตวิญญาณ
มานานมากโขแล้ว
ท่านผู้นั้นก็อาจสามารถ "คิดถึงบ้าน"
อันหมายถึง "ปรารถนาจะนิพพาน"
และท่านผู้นั้นอาจสามารถ
"รำลึกถึงพระบิดา" อันหมายถึง
ปรารถนาจะคืนกลับไปกราบพระบาท
ซึ่งมันจะยังผลให้ท่านผู้นั้น
เกิดการสั่นสะเทือนจิตตปัญญาครั้งใหญ่
เพื่อการเปลี่ยนแปลงตนเอง
สู่มรรควิถีแห่งจิตจักรวาล
บนเส้นทางของ "อริยบุคค"
ผู้มีเป้าหมายเดียวกัน คือ "การหลุดพ้น"
6.ส่วนกาลเวลาในภาคของ "จิตวิญญาณ"
ด้านของตัวตนแก่นแท้
ในมิติทางพลังงานนั้น
สมการแห่งเวลามิได้เป็นเส้นตรง
โดยมีจุดเริ่มต้น จุดที่เคลื่อนผ่าน
และมีจุดสิ้นสุดหรือจุดที่เป็นปัจจุบัน
อยู่บนระนาบเดียวกันเหมือนดั่ง "กาลเวลา่"
ในมิติโลกของกายหยาบที่กล่าวมา
เพราะกาลเวลาในมิติโลกนั้น
ใช้คุณสมบัติของการเดินทางของเส้นแสง
เป็นเครื่องเปรียบเทียบ
เนื่องจากแสงเป็นสรรพสิ่งหนึ่งในมิติโลก
ที่เคลื่อนที่เดินทางได้เร็วที่สุด
ในประดาสรรพสิ่งทั้งหลาย
ซึ่งเป็นสรรพสิ่งในมิติทางกายภาพ
แต่กาลเวลาในมิติทางพลังงาน
ด้านของแก่นแท้คือจิตวิญญาณนั้น
จะใช้ความเร็วในการเดินทางของแสง
มาเป็นเครื่องเปรียบเทียบอีกไม่ได้แล้ว
เพราะยังมีบางสรรพสิ่งในจักรวาลนี้
ที่มันสามารถเคลื่อนที่ไปได้ไวกว่าแสง
สรรพสิ่งนั้นก็คือ รูปธรรมจิตวิญญาณ
ผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ของท่าน
ที่ขันอาสาพระบิดามาเกิดเป็นมนุษย์นี่แหละ
7.ความเร็วในการเดินทางของจิตวิญญาณ
ที่เคลื่อนที่ไปในสนามพลังงานจักรวาล
ความเร็วเฉลี่ยเท่ากับ
"ความเร็วแสง ที่เปลี่ยนค่าเป็น 2 เท่า
ในทุกๆวินาที...!!!"
ระยะทางจึงไม่เป็นปัญหาหรืออุปสรรค
สำหรับจิตวิญญาณของท่านเลย
8.ดังนั้น....
พระบิดาจึงกำหนดให้ "กาลเวลา"
ในมิติจิตวิญญาณอันเป็นมิติสากล
อยู่ในรูปของ "จุด" เพียงจุดเดียวเท่านั้น
หมายความว่า
ขณะที่ท่านกำลังยืนอยู่ ณ จุดปัจจุบัน
ท่านก็กำลังยืนอยู่ ณ จุดเริ่มต้น
และท่านก็กำลังยืนอยู่ ณ จุดที่ผ่านมา
ซึ่งเป็นกาลอดีตไปแล้วด้วยสินะ
ขณะที่อนาคตซึ่งยังมาไม่ถึง
ก็ยังเป็นปัจจุบัน ณ จุดที่ท่านยืนอยู่เช่นกัน
แปลว่ากาลเวลาในมิติแห่งสากลจักรวาล
ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคตแล้ว
คงมีแต่เพียงปัจจุบันเท่านั้น
เพราะอดีตก็คือปัจจุบัน
อนาคตก็คือปัจจุบัน
หากผู้ใดสามารถเข้าถึงการใช้จิตวิญญาณ
เพื่อการดำเนินชีวิตประจำวัน
แทนการใช้จิตหยาบได้แล้ว
ท่านจักเป็นผู้หยั่งรู้และล่วงรู้
ในเรื่องราวต่างๆที่เป็นอนาคตหรืออดีต
ที่ใครคนอื่นทั่วไปเขาไม่รู้ได้ไม่ยาก
มันมิได้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่จะทำให้
ใครบางคนกลายเป็นผู้วิเศษเหนือมนุษย์
อย่างที่บางท่านเคยคิดเลยสักนิด
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
6-4-2016