1079 ดวงตา+เห็นธรรม ?
เมื่อบุคคลใด เข้าถึงธรรม บ้างจากฟัง จากการพิจารณาค้นหา บ้างจากการภาวนา จนเห็น ความจริง เห็นไตรลักษณ์.เป็นกรรมฐาน ที่มี..วิปัสสนา..
เห็นว่า ..ขันธ์ทั้ง 5 นั้น ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตนที่ไหน “สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวง มีความดับไปเป็นธรรมดา” นั่นคือ เห็นตามความเป็นจริงในแก่นใจ บุคคลนั้น “มีดวงตาเห็นธรรม.”หรือ..ธรรมจักษุ..
บุคคลนั้น ได้โสดาปัตติมรรคญาณ คือญานรู้แจ้ง เส้นทางแห่งพระนิพพานเบื้องต้น..คือ พระอริยะบุคคลลำดับที่ ๑
..และ บรรลุธรรมไปตามลำดับ จนเป็นพระอรหันต์
**.เมื่อบุคคลใด มีดวงตาเห็นธรรม ท่านย่อมทราบว่าสังโยชน์เบื้องต้น ๓ ประการดับแล้วโดยสิ้นเชิง คือ
๑.สักกายทิฏฐิ ความเห็นว่าเป็นเรา เป็นของเรา เป็นตัวเป็นตนของเรา ดับลงแล้ว
๒.วิจิกิจฉา ความเคลือบแคลงสงสัย ในพระรัตนตรัย สิ้นสุดลงแล้ว
๓.สีลัพพตปรามาส การยึดถือระเบียบ แบบแผน วิธีการที่ไม่นำมาซึ่งกุศลสิ้นสุดลงแล้ว
1078.. พระโพธิสัตว์ กับ ฌานสมาบัติ
พระโพธิสัตว์ ทำสมาธิ ทำสมถะ ได้ฌานสมาบัติมาหลายภพหลายชาติ ที่สุดของสมถะนั้นคือ อรูปฌาน
ยังไม่ใช่ โลกุตระญาณ ยังไม่ใช่การวิปัสสนาถอนรากถอนโคนกิเลส แม้รู้เส้นทางเดิน แต่ไม่ได้ตัดเข้าวิมุติ..จึงยัง”ไม่มีดวงตาเห็นธรรม..”
.. เมื่อใดที่ พระโพธิสัตว์ ละความปารถนาเด็ดขาดในโพธิญาณ เดินวิปัสสนา จนรู้แจ้งกฎไตรลักษณ์ การเกิดขึ้นมา การตั้งอยู่ การดับไปของสรรพสิ่ง จิตตกกระแสนิพพาน และได้ดวงตาเห็นธรรม เห็นถึงพระนิพพาน
.. ในการตกกระแสพระนิพพาน เป็นสภาวะดับสนิทไม่เหลือ ไม่มีเรา เขา หรือสิ่งใดในอารมณ์
ดับหมดทุกข์ หมดเครื่องเสียบแทง หมดเครื่องวนเวียน สังสารวัฏ.
*..ดับอุปทาน ในธาตุ ขันธ์ คือธาตุ 18 มีอายตนะภายนอก อายตนะภายใน และวิญญาณในแต่ละอาตนะ เห็นความจริง ในธาตุทั้งหลาย ปล่อยวาง ไม่ยึด
*การปล่อยวาง ..ทำให้ วิญญาณธาตุบริสุทธิ เพราะไม่ตกในอำนาจกิเลส โลภ โกรธ หลง
** ดวงตาเห็นธรรม เรียก”จักขุกรณี “ เกิด”ญานกรณี” เกิด” อาสาวักขยญาณ” เห็นการเกิดดับในอาตนะ เห็นถึงพระนิพพาน.
....เมื่อเดินวิปัสสนา พบญาณ พบปัญญา พบความสว่าง ดับอวิชชาความไม่รู้ เห็นทั้งหมด เห็นทุกข์ทั้งหมด เห็นสุญญตา ความว่าง เห็นพระนิพพาน
**.. คาถาเพิ่มแสงในจิต+คาถากำแพงมนต์
กิเลสในจิต ทำให้จิตหมอง จะต้องแก้ด้วย ทาน ศีล ภาวนา และสวดคาถา สลายความมืด ความดำ โมหะในจิตออกไป เพื่อให้จิตเรามีแสง มีความแจ่มใส..ทำให้เหล่ามาร เข้ามาแทรกไม่ได้
คาถาที่เพิ่มแสงสว่าง หรือ คาถาสลายทุกข์ เรียกว่า ““คาถามณีจักรวาล”” เมื่อเราสวด พลังแห่งคาถาจะดึงแสงจากจักรวาล โดยเทวดาโพธิสัตว์ เพื่อ มาชำระล้างจิต
*.คาถามณีจักรวาล*
...”โอม มณีจักรวาลัง กุละกุลัง สวาโหม.” ...(อย่างน้อย ๓ จบ)
(คนไหนมีทิพจักษุ จะเห็นแสงสว่างวงกลมขึ้น ครอบตัวเรา ตัวบ้าน คนในบ้าน ถ้ามีทิพยจักษุละเอียด จะเห็นเทวดาที่ดูแลคาถา กำลังขับไล่มารอยู่ ).
**...เมื่อจิตเรามีแสงสว่างแล้ว..ให้สวด “คาถามงคลจักรวาล ๘ ทิศ” เพื่อดึงดูด ความเป็นมงคลทั้ง ๘ ทิศ เป็นการอาราธนา คุณบารมี ของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ที่สำเร็จเข้าสู่พระนิพพาน มาเป็นกำแพงมนต์..กำแพงแก้ว
..เพื่อครอบคลุม คุ้มครองภัย ในบ้าน +(คนในบ้าน) หรือ ขณะเดินทาง ทำให้ชีวิตปลอดภัย จากอันตราย ของสัตว์ร้าย อมนุษย์ และเทวดามิจฉาทิฐิทั้งหลาย จิตของเราจะเย็น สว่างไสว เป็นที่รักของมนุษย์ อมนุษย์ และเทวดาทั้งหลาย กระทำสิ่งใด ๆ ย่อมสำเร็จ
*พระคาถามงคลจักรวาลทั้งแปดทิศ..*
ตั้งนะโม ๓ จบ
....อิมัสมิง มงคลจักรวาฬทั้งแปดทิศ ประสิทธิจงมาเป็นกำแพงแก้วทั้งเจ็ดชั้น มาป้องกันห้อมล้อมรอบครอบทั่ว
อะนัตตา ราชะ เสมานา เขตเต สะมันตา สะตะโยชะนะสะตะสะหัสสานิ พุทธะชาละปะริกเขตเต รักขันตุ สุรักขันตุ
...อิมัสมิง มงคลจักรวาฬทั้งแปดทิศ ประสิทธิจงมาเป็นกำแพงแก้วทั้งเจ็ดชั้น มาป้องกันห้อมล้อมรอบครอบทั่ว
อะนัตตา ราชะ เสมานา เขตเต สะมันตา สะตะโยชะนะสะตะสะหัสสานิ ธัมมะชาละปะริกเขตเต รักขันตุ สุรักขันตุ
..อิมัสมิง มงคลจักรวาฬทั้งแปดทิศ ประสิทธิจงมาเป็นกำแพงแก้วทั้งเจ็ดชั้น มาป้องกันห้อมล้อมรอบครอบทั่ว
อะนัตตา ราชะ เสมานา เขตเต สะมันตา สะตะโยชะนะสะตะสะหัสสานิ ปัจเจกะพุทธะชาละปะริกเขตเต รักขันตุ สุรักขันตุ
...อิมัสมิง มงคลจักรวาฬทั้งแปดทิศ ประสิทธิจงมาเป็นกำแพงแก้วทั้งเจ็ดชั้น มาป้องกันห้อมล้อมรอบครอบทั่ว
อะนัตตา ราชะ เสมานา เขตเต สะมันตา สะตะโยชะนะสะตะสะหัสสานิ สังฆะชาละปะริกเขตเต รักขันตุ สุรักขันตุ