การปฏิบัติธรรมคือการปฏิบัติที่จิต : "ศีล" จึงไม่ต้องไปแสวงหา คำว่า "สมาธิ" ก็ไม่ต้องไปแสวงหา คำว่า "ปัญญา" ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องไปแสวงหา
เพราะเกิดขึ้นที่ "ใจ" ใจของเรา "เป็นเท่านั้น" จะไป "หาธรรม" ที่อื่นอาจจะเจอแต่ "ชื่อของธรรม""ชื่อของธรรม" กับ "ธรรมะ" คนละอัน "ยา" กับ "ชื่อของยา" ก็คนละชิ้นคนละอัน เรา "ปฏิบัติ" จนธรรมปรากฏขึ้นที่ใจ จนใจของเราสมบูรณ์ด้วยธรรม
ธรรมะ ธรรมชาติ เป็นธรรมกำจัดกิเลส เมื่อ "ธรรมปรากฏขึ้นที่ใจ" กิเลสจะสลายตัวในขณะนั้น "ธรรมะส่วนใดส่วนหนึ่ง" ปรากฏขึ้นในใจ "กิเลส" ที่เป็นข้าศึก ต่อธรรมะนั้นจะ"สลายตัว" ไปเป็นชิ้น เป็นอย่างๆ แต่ละอย่างๆไป
เมื่อ "ใจเราเป็นธรรม" ขึ้นทั้งดวง เป็นธรรมขึ้นทั้งใจ กิเลสตัณหาที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจ "อยู่ไม่ได้" การปฏิบัติธรรม คือ "การปฏิบัติที่จิต"
"ปัญญา" ก็ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหน เมื่อ "จิต" ของเราสำรวมไว้ดี "จิต" ของเราแน่วแน่ "ปราศจากอารมณ์" มีแต่ "ความผ่องใส" มีแต่ความสว่างไสว
ความผ่องใสหรือความสว่างไสวเรียกว่า "ปัญญา" หรือ "ปัญญา" เกิดขึ้นก็ได้ หรือ "ปัญญา" คือความสว่าง "จิต" ของเรา "เป็นปัญญา" ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหน
เมื่อ "องค์ปัญญา" เกิดขึ้นแล้ว "ความมืด" หรือ "กิเลสตัณหา" ยากที่จะซ่อนเร้นอยูใน "จิตที่สว่างไสว" สมบูรณ์เป็นธรรมขึ้นทั้งใจนั้น
เมื่อใจไปกระทบกับธรรมะ มีแต่จะทำให้เย็น ๆ ๆ มีความร่มเย็นเป็นสุขอย่างเดียวเท่านั้น
หลวงปู่ แบน ธนากโร.
ธรรมะไตรปิฎก วันที่ 12 มกราคม 2563
ตอนที่ 24 **การปฏิบัติที่ถูกต้อง 3 ขั้น**
+ +
ในเช้าของวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2563 ณ วัดพระพุทธเจ้าใหญ่ศรีเชียงของ
เมื่อท่านพระยาธรรมิกราช ได้ขึ้นเข้าเฝ้านอบน้อมต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่าน เพื่อเฝ้าฟังธรรมแล้วนั้น จึงได้นอบน้อมทูลถามธรรม ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเฝ้าฟังธรรม 3 ขั้น ถึงการประพฤติปฏิบัติ ที่ถูกต้อง
เพราะว่าการปฏิบัติ มีหลายรูปแบบในการประพฤติปฏิบัติ ตามจริตนิสัย ตามการสร้างบุญบารมีมา ของแต่ละบุคคล / แต่ละสายธรรม
ลูกจึงปรารถนาที่จะเรียนรู้ ทำความเข้าใจถึงการปฏิบัติที่ถูกต้อง ว่าเป็นแบบไหน ยังไง ถึง 3 ขั้น
แต่ละดวงจิตที่มีแนวทางการปฏิบัติ มีลู่ทางของแต่ละคน
ก็จะได้ขยับปรับเปลี่ยนการปฏิบัติของตนให้ถูกต้อง ตาม 3 ขั้น พระพุทธเจ้าค่ะ “
- - - -
ดีแล้วละ พระยาธรรมเอย.. ถ้าอย่างนั้น ก็จงทำใจให้ว่างๆ ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่าง
ปล่อยวางความคิด ปล่อยวางความรู้สึกต่างๆ ให้มันว่างเสียก่อน
การประพฤติปฏิบัติ ส่วนใหญ่แล้ว.. ก็จะพากันยึดในสิ่งที่ตนทำ จนใจมันไม่ว่าง ลูก
ฉะนั้น บุคคลผู้จะเข้ามาฟังธรรมในคลิปนี้ ที่จะสามารถเข้าใจ และน้อมไปประพฤติปฏิบัติได้
-- ก็จะต้องวางทุกสิ่งทุกอย่างให้มันว่างเสียก่อน..
พอว่างแล้ว จึงค่อยๆทำความเข้าใจตามกันนะ
พระยาธรรมเอย.. การประพฤติปฏิบัติ อาจจะดูเหมือนว่า มีหลายรูปแบบ
แต่ในความจริง ก็มีเพียงแค่หนทางเดียว ที่จะต้องดำเนินไป คือ..
การปฏิบัติเพื่อละ / ปฏิบัติเพื่อวาง / ปฏิบัติเพื่อลด ในสิ่งต่างๆทั้งหลาย..
ลด ละ ความยึดมั่นถือมั่น คือ กิเลสตัณหา กรรมวิบาก อัตตาและตัวตน
ลด ละ เลิก ในความยึดถือในสิ่งต่างๆทั้งหลาย - ให้เหลือน้อยลงไปเรื่อยๆ..
จิตนั้นสบายขึ้น ปล่อยวาง รู้ตื่น รู้แจ้ง เห็นทุกอย่างตามความเป็นจริงมากขึ้น
ดำเนินอยู่บนเส้นทางแห่ง มรรค 8
ประพฤติปฏิบัติ อยู่ในกรอบของ *ศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา*
เมื่อประพฤติปฏิบัติอยู่บนทางเส้นนี้ และทำไปเพื่อให้ละ เพื่อให้ลด ให้เลิก การยึดติด ลุ่มหลงต่างๆ
บุคคลผู้ทำเช่นนี้.. ย่อมเป็นผู้ที่ทำถูกต้อง และถูกวิธี
พระยาธรรมเอย.. แต่หากบุคคลผู้ใด ที่ไม่ได้ทำไป เพื่อละเพื่อลด เพื่อปล่อยเพื่อวาง เพื่อที่จะขัดเกลา ความยึดติด ลุ่มหลงต่างๆ บุคคลผู้นั้น.. ย่อมถือว่า เป็นผู้ผิดทาง ลูก
ทำไป ประพฤติปฏิบัติไป สร้างความดีไป.. ทำให้คลายความยึดติดลง
จิตยังคงมีแต่ความยึดดี ยึดมั่นถือมั่น.. ก็จะกลายเป็นการหลงไปในกิเลส คือ ความดี
มาร คือ ความดี มาร คือ บุญนั้น ก็จะขวางทางพระนิพพาน
ทำให้บุคคลผู้นั้น ต้องหลงเวียนว่ายตายเกิด อยู่ในวัฏสงสารนี้ ไม่รู้จบ.. !
พระยาธรรมเอย.. บุคคลผู้ประพฤติปฏิบัติ เพื่อมุ่งสู่พระนิพพานทั้งหลาย
และเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติ ถูกกต้องตามหลักธรรม ตามธรรมที่องค์พระพุทธเจ้า ได้ชี้ทางบอกทาง เอาไว้ให้เดิน
จะต้องเป็นบุคคลผู้ที่ทำไปแล้ว..
/ กิเลสเบาบางลง
/ ความยึดมั่นถือมั่นต่างๆ เบาบางลงไปเรื่อยๆ
/ จิตรู้ตื่นมากขึ้นเรื่อยๆ
จึงจะถือว่า ถูกต้องตามธรรม ตามทางที่ได้ชี้บอกเอาไว้ให้เดิน และการประพฤติปฏิบัติอย่างปลีกย่อย
แม้อาจจะมีกรรมฐาน ถึงตั้ง 40 กอง
แต่ละคนอาจจะปฏิบัติในกรรมฐานที่แตกต่างกันไป แต่ขอเพียงแค่ให้จุดมุ่งหมาย คือ ความสงบ
แล้ว***เอาความสงบนั้น - มาหนุนสติ หนุนปัญญา
ให้รู้แจ้งตามความเป็นจริง เพื่อถอดถอนกิเลส***
... เป็นใช้ได้ ลูก
ขอเพียงแค่บุคคลผู้นั้น.. ยังคงดำเนินอยู่บนกรอบแห่งศีล
ศีล ยังคงตั้งมั่น เป็นกรอบให้ทำความดี
ดำเนินอยู่บนเส้นทางแห่ง สมาธิ และปัญญา
อย่างในยุคของกึ่งพุทธกาลนี้ - ก็จะต้องมีเรื่องของ ธรรม คือ พระธรรมคำสอนเข้ามา
- เพื่อที่จะช่วยเป็นการชี้ทางบอกทางด้วย.
ฉะนั้น หากเดินอยู่บนเส้นทางแห่ง *ศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา* ไม่ว่าจะใช้กรรมฐานในรูปแบบใด ประพฤติปฏิบัติแบบไหน ยังไง..
-- ให้อยู่ในกรอบของ *ศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา*
-- อยู่ในทางสายกลาง คือ ไม่ตึงไป - ไม่หย่อนไป
-- ขับเคลื่อนด้วย *ศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา*
นำพาจิตของตน มุ่งสู่จุดมุ่งหมาย
และการยิ่งเดินใกล้พระนิพพานมากเท่าไหร่
-- จิตก็จะยิ่งคลายจากความยึดติด ยึดมั่นถือมั่น มากเท่านั้น !
ไม่ว่าจะเป็นการยึดดี / ยึดไม่ดี -- ก็จะไม่ยึดทั้งนั้นละลูก
จะมีสติและปัญญา ที่จะอยู่เหนือความยึดติด ยึดมั่นถือมั่น ความลุ่มหลง คือกิเลส / คือความอยาก / คือตัณหา
... สิ่งเหล่านั้นจะไม่มี.. พระยาธรรมเอย
ฉะนั้น บุคคลผู้อยากจะรู้ว่า..
ตนประพฤติปฏิบัติ ได้ถูกต้องหรือเปล่า ?
ตามคำสอนขององค์พระพุทธเจ้าหรือเปล่า ?
ตนนั้นปฏิบัติแล้ว ได้ผลหรือเปล่า ?
ก็จะต้องกลับมาตรวจเช็คที่จิตใจของตน ที่การกระทำของตน ว่าบัดนี้.. เรามีสภาวธรรมเป็นเช่นไรบ้าง ?
มีสติตามระลึกถึงสิ่งที่ยังเป็นอยู่ในเราเสมอ ลูก..
- สิ่งไหนดี เราก็ทำไป
- ทำตามโอกาส ตามเหตุตามปัจจัย
- ทำตามหน้าที่ ที่เราควรจะทำ แต่ไม่ต้องไปสนใจกับสิ่งที่ทำนั้น ให้สนใจว่าบัดนี้ ตอนนี้ เรานั้นเป็นยังไง.. ?
จิตใจสงบมั้ย
รุ่มร้อน เร่าร้อน ฟุ้งซ่านมั้ย
เป็นทุกข์ เป็นกังวลอะไรหรือเปล่า
มีสิ่งกระทบเข้ามา เป็นยังไงบ้าง
จิตใจของเรา ยังก้าวร้าว
จิตใจของเรา ยังดื้อด้าน ไม่เชื่อฟังในสิ่งที่ดี ที่พยายามจะเติมเข้ามาให้เราอยู่หรือเปล่า
จิตใจของเราน่ะ มันเป็นยังไง..
*ควรที่จะดูที่จิตใจของตน*
สิ่งไหนที่เป็นความดี - ที่ทำแล้วก็ให้มันแล้วไป
ที่ได้แล้ว - ก็ให้แล้วไป
ไม่ว่าจะบวชมาเป็น 10 ปี 20 ปี.. ก็ไม่เกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้น
สิ่งที่เกี่ยว ว่าจะได้ผล ไม่ได้ผล - *มันอยู่ที่ใจ อยู่ที่ดวงจิตของเรา*
ว่าเรา ลด ละ เลิก วาง สิ่งต่างๆทั้งหลายในโลกสมมุตินี้ ได้มากเพียงใด !
อันนั้นแหละ คือ ผล *
อันนั้น คือ สิ่งสำคัญ *
ไม่ใช่เรื่องอื่นเลยว่า.. ตนได้ทำสิ่งนั้นไว้ดีมาก สิ่งนี้ไว้ดีมาก ตนนั้น ได้บวชมาตั้งหลายปีแล้ว
-- ไม่ใช่สิ่งที่เราได้ทำแล้ว ทั้งหลาย ลูก
สิ่งที่จะวัดได้ว่า.. เรา
- ทำถูกวิธีมั้ย ?
- จะไปสู่พระนิพพาน ได้มั้ย ?
- ทำถูกต้องตามหลักธรรม แล้วหรือยัง ?
/ ไม่ใช่พรรษาของการบวช
/ ไม่ใช่ความดีที่ทำ
/ ไม่ใช่เพียงแค่การทำสมาธิ.. แล้วได้เห็นโลกทิพย์บ้าง เห็นลูกแก้วบ้าง
- ได้เข้าฌานสมาธิได้
-- ไม่ใช่เพียงแค่สิ่งเหล่านี้ ..
สิ่งเหล่านี้ คือเหตุที่เราต้องทำ ลูก
แต่ไม่ใช่สิ่งที่เราจะมายึดเอาเป็นผล
-- มันเป็นเพียงแค่เหตุ..
เมื่อเราจะเช็คดูว่า เรานั้นทำได้ผลมากน้อยเพียงใด -- เราจึงไม่ควรไปยึดติดกับเหตุที่เราทำ
เราควรที่จะเช็คดูที่จิตใจของเราว่า.. มันมีผลเป็นเช่นไร ?
อย่างนี้ จะเห็นผล.. พระยาธรรมเอย
บุคคลผู้ประพฤติปฏิบัติถูกต้องแล้ว ในขั้นที่ 1 - เขาจะต้องประพฤติปฏิบัติ ไปในทิศทางที่ทำเหตุเหล่านั้น.. แล้วผลที่ก่อเกิดกิเลส เบาบางจากเมื่อก่อน
คือ เราดูแล้ว ปัจจุบันนี้.. ความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ ของเราลดน้อยลง
บัดนี้ เมื่อถูกกระทบ เมื่อมีปัญหาเข้ามา - เรามีสติมากขึ้น แก้ไขปัญหาตามเหตุตามปัจจัย
ความทุกข์ไม่ค่อยเข้าครอบงำเราเท่าไหร่..
จิตใจของเราสงบมากกว่าเดิม
... เราดูแล้ว สภาวะจิตใจของเรามันต่างจากเมื่อก่อน - ที่ยังไม่มีศีล ไม่มีธรรม ไม่มีสมาธิ และปัญญา
เราตรวจดูจิตของตนเอง - ถึงแม้ว่า ยังทุกข์อยู่ ถึงแม้ว่ายังถูกกระทบได้อยู่
ยังรู้สึกว่า.. บางทีก็ยังท้อ ยังเหนื่อยอยู่ - แต่สติมีมากขึ้น ความสงบมีมากขึ้น +
เมื่อตรวจเช็คดูแล้ว.. สภาวจิตของเรา - มันเลื่อนจากดวงจิตที่รุ่มร้อนเร่าร้อน ขึ้นมาเป็นจิตที่สงบบ้าง มีสติบ้าง
-- ก็ถือว่า ประพฤติปฏิบัติดี ประพฤติปฏิบัติถูกต้อง ++
บุคคลผู้ทำเช่นนี้ และทำไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ..
เมื่อจิตนั้นเลื่อนถึงสภาวธรรมของ การปฏิบัติถูกต้อง ในขั้นที่ 2 -- จิตก็จะเริ่มขึ้นมา รู้เห็นสิ่งต่างๆที่กระทบเข้ามา ตามเหตุของมัน ตามความเป็นจริง
ทำดี ก็จะเริ่มเห็นอย่างชัดเจนว่า.. ผลที่ดีนั้น- ส่งผลอะไรบ้าง
ทำไม่ดี ผิดพลาดไว้ในกาลก่อน - ผลมันส่งอะไร
... เราก็จะเห็นอย่างชัดเจน..
... และเราก็จะแก้ไขสิ่งที่ไม่ดี - ด้วยสติ ด้วยปัญญา
แม้อาจจะทุกข์อยู่บ้าง เล็กน้อย
อาจจะกระทบอยู่บ้าง เล็กน้อย
อาจจะเบื่อหน่ายบ้าง เล็กน้อย
.. ก็ไม่เป็นไร..
เราเห็นเหตุเห็นผล รู้เหตุที่กระทบมา - เราก็แก้ไขไปตามนั้น
ยอมรับสภาพตามนั้น.. แล้วก็ดำเนินสิ่งที่ดีต่อไป
คลายความลุ่มหลง ยึดติด ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ด้วยความเพียร
ปัญหาสิ่งรุมเร้า กระทบต่างๆ -- เราก็แก้ไขไปตามเหตุ ไม่ค่อยจะเดือดร้อนใจสักเท่าไหร่ !
/ ทำไปตามเหตุเหล่านั้น
/ ความดีที่ทำมา ก็ไม่ค่อยได้ไปสนใจมัน
... ทำไปๆ ให้มันดีไปเรื่อยๆ ก็พอ..
บุคคล ผู้อยู่ในระดับของการการประพฤติปฏิบัติอย่างถูกต้อง
-- เขาก็จะตั้งมั่นอยู่ในระดับที่ 2 เช่นนี้ละ.. พระยาธรรมเอย
ส่วนบุคคลผู้ประพฤติปฏิบัติอย่างถูกต้อง ในระดับที่ 3 -- เมื่อถึงระดับที่ 3 แล้ว จิตของเขาจะหลุดลอยเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งสุข และทุกข์ ทั้งสิ่งที่กระทบเข้ามา
เขาจะมองเห็นมันอยู่แค่เพียงภายนอก - ไม่กระทบเข้ามาถึงตัวของเขา คือ ดวงจิต
เขาจะเห็นว่าเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ - เกิดจากเหตุนั้นเหตุนี้
ปรับเปลี่ยนสภาวะ ให้มันเป็นเช่นนั้นเช่นนี้.. ให้มันดีขึ้น
แต่เขาจะไม่ได้ไปปนเปื้อนอะไรด้วย กับสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น..
/ ดวงจิตของเขาจะทรงสภาวธรรมอย่างรู้ตื่น และสว่างไสว
/ เขาจะอยู่อย่างผู้ที่รู้ตื่น รู้แจ้ง
/ และลดละการยึดมั่น ยึดติดทั้งหลาย ได้อย่างแท้จริง
/ เป็นผู้ปราศจากกิเลสตัณหา อัตตาตัวตนทั้งหมด
เช่นนี้ละ ลูก
หรือถ้าจะเปรียบเทียบ - ก็ให้เทียบกับ การละสังโยชน์
บุคคลผู้ประพฤติปฏิบัติได้ ในขั้นที่ 1 ที่ถูกต้อง -- ก็จะต้องขึ้นสู่การประพฤติปฏิบัติ ที่ได้ในรูปแบบของพระอริยเจ้า - ในระดับที่ 1
เมื่อจะไต่เต้าขึ้นสู่ ระดับที่ 2 - ก็จะต้องเคลื่อนสภาวจิตของตน ขึ้นสู่พระอริยเจ้า ระดับที่ 2
เพื่อเข้าสู่ระดับที่ 2 - ของการปฏิบัติถูกต้อง
ก็คือ บุคคลผู้ทรงอารมณ์ของ พระโสดาบัน / พระสกิทาคามี
-- ยังคงอยู่ในการปฏิบัติได้ถูกต้อง ในระดับที่ 1 * อยู่
บุคคลผู้ประพฤติปฏิบัติ จนเข้าถึงอารมณ์ของพระอนาคามี ถือว่า..เป็นบุคคลผู้ปฏิบัติ จนเข้าถึงการปฏิบัติที่ถูกต้อง ในชั้นที่ 2 *
บุคคลผู้ประพฤติปฏิบัติได้ในระดับของพระอรหันต์ คือ ผู้ประพฤติปฏิบัติ จนถึงการถูกต้องในขั้นที่ 3 เช่นนี้ละ.. พระยาธรรมเอย
ถ้าจะเปรียบเทียบกับพระอริยเจ้า ก็ให้เปรียบเช่นนี้
การทำดี เว้นการทำชั่ว
มีศีลเป็นพื้นฐาน
ถูกกระทบได้บ้าง
ยังคงรู้สึกว่า มีตัวมีตนเยอะอยู่ - แต่ดีกว่าเมื่อก่อน
เลื่อนมาอยู่ในสภาวะของพระอริยเจ้า ในระดับที่ 1
ทำความดีไปเรื่อยๆ- จะเลื่อนเข้าสู่ ระดับที่ 2
ก็ อยู่ในการปฏิบัติถูกต้อง ขั้นที่ 1
ทำดีไปเรื่อยๆ จนเหลืออัตตาเพียงเล็กน้อย
รู้เหตุ เห็นผลของทุกสิ่ง และแก้ไขไปตามเหตุ
... อาจจะยังคงมีรับกระทบอยู่บ้าง ก็คือ อยู่ระดับที่ 3
บุคคลผู้ปฏิบัติจนอยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง ก็คือ อยู่ระดับที่ 3 - ของการปฏิบัติถูกต้อง
แต่ระดับที่ 4 ของพระอริยเจ้า คือ การเป็นองค์พระอรหันต์ เช่นนี้ละ.. พระยาธรรมเอย
การประพฤติปฏิบัติ ที่ถูกต้อง คือ จึงต้องเป็นการประพฤติปฏิบัติ เพื่อลด ละ เลิก
วาง ว่าง จาก"สิ่งสมมุติ"ทั้งหลาย..
ซึ่งจะต้องประพฤติปฏิบัติ อยู่บนทางที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้วางเอาไว้ให้
คือ *ศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา* ขับเคลื่อนกันไป
และทำไปด้วยทางสายกลาง
ทำแล้วเห็นผล คือ ตนสามารถละกิเลส จากหยาบ - เข้าสู่ละเอียดขึ้น
ละจากละเอียดขึ้น - เข้าสู่ละเอียดดี
ละสู่ละเอียดอีกนั้น - เข้าไปสู่ละเอียดมาก
-- และวางได้ทุกอย่าง **
ฉะนั้น ก็จงพิจารณาดูกันว่า.. ตนนั้น มีผลอย่างไรบ้าง - ในจิตของตน
ผลจากการรักษาศีล- ฟังธรรม- ทำสมาธิ- ฝึกฝนปัญญา
ผลจากการได้ออกบวชบำเพ็ญ ได้สร้างคุณงามความดี อีกมากมาย
.. ส่งผลมาอย่างไรในใจของเรา ?
ไม่ใช่ไปดูสิ่งเหล่านั้น - ให้กลับมาดูที่ใจของเรา..
บัดนี้ มีความโกรธ มากมั้ย ?
มีความหลง มากมั้ย ?
มีความรัก ความโลภ มากมั้ย ?
มีความอยาก หรือไม่อยาก มากน้อยเพียงใดในตัวเรา ?
ถ้าต้องรับกระทบจากสิ่งนั้นสิ่งนี้ เราเป็นยังไงบ้าง ?
-- อัตตาตัวตน มันหายไปมั้ย
-- ยังคงแบ่งแยก เราดี- เขาไม่ดี แบ่งแยกเราชั่ว - เขาดี
-- แบ่งแยกยึดดี หรือยึดชั่ว ไว้ในใจอยู่หรือเปล่า ?
-- คนนั้นทำไม่ดี ก็เอามายึดในใจ / คนนั้นทำดี ก็เอามายึดในใจ อย่างนี้หรือเปล่า ?
... หรือว่า สักแต่ว่าเห็นไป เป็นธรรมดา ..
- จิตของเรา ยังคงมีการเพ่งโทษผู้อื่น
- จิตของเรา ยังมีความโกรธเคือง ไม่พอใจต่างๆ อยู่หรือเปล่า ? นี่ละ ให้กลับมาตรวจเช็คดู
ในที่ที่เรานั้นควรจะตรวจสภาวธรรมของเราอยู่เสมอ คือ จิตใจของเรา *
เมื่อเราปฏิบัติถูกต้อง -- ผลของมันคือ เราจะว่าง จะวาง จะลด ละ เลิก ต่อสิ่งสมมุติทั้งหลาย **
... จนจิตของเราเบาสบาย เป็นอิสระ..
แต่ถ้าปฏิบัติไม่ถูกต้อง ต่อให้จะทำเป็น 10 เป็น 100 ปี -- ก็ยิ่งจะมีแต่กำแพงอันหนาทึบ
คือ ความยึดมั่นถือมั่น ที่ยึดถือว่าตนดีแล้ว เท่านั้นละลูก
พอจะเข้าใจเช่นนี้แล้วหรือยังเล่า.. พระยาธรรมเอย
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ ลูกพอจะเข้าใจแล้วพระพุทธเจ้าค่ะ
ว่า.. การทำความดีที่ถูกต้อง จะต้องอยู่ในกรอบของ *ศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา*
อยู่บนทางสายกลาง
กรรมฐาน หรือการปฏิบัติทำความดีที่ละเอียด.. มันมีเยอะแยะมากมายให้เราเลือก
แต่ยังไง ก็ต้องทำ..
* อยู่ในกรอบแห่ง *ศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา*
* อยู่ในกรอบของทางสายกลาง
และการที่เราจะดูว่า เราจะละกิเลส หรือประพฤติปฏิบัติได้ถูกต้องในขั้นใด ระดับใด
-- เราก็สามารถตรวจเช็ค จากสภาวจิตของเรา
- ไม่ใช่ตรวจเช็คจาก สิ่งที่เราทำภายนอก !
- ไม่ใช่ไปยึดถือเอาความดีต่างๆมา ว่า.. ทำได้เท่านั้นเท่านี้ แสดงว่าเราได้เท่านั้นเท่านี้
แต่เป็นการกลับมาตรวจดูในใจของเรา ว่าสภาวธรรมเป็นเช่นไรบ้าง
ลด ละ วาง กิเลสตัณหา ความยึดมั่นถือมั่น ได้มากน้อยเพียงใด
หรือเราจะเปรียบเทียบกับพระอริยเจ้า
ในระดับที่ 1, ที่ 2 - ก็คือ ขั้นที่ 1
ในระดับที่ 3 - ก็คือ ขั้นที่ 2
ในระดับที่ 4 - ก็คือ ขั้นที่ 3
ของการปฏิบัติอย่างถูกต้อง
จิตใจ ต้องเป็นอิสระ อยู่เหนือกิเลสตัณหา / อยู่เหนือโลกสมมุติ
-- จึงจะเป็นสิ่งที่ทำได้ถูกต้อง และดีอย่างแท้จริง **
ลูกพอจะเข้าใจเช่นนี้แล้ว เจ้าค่ะ..
วันนี้ ลูกต้องกราบลาก่อนนะเจ้าคะ เอาไว้ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่ พระพุทธเจ้าค่ะ...
สาธุ
~การบูชาพระพุทธเจ้าที่ดีที่สุดคือ การปฏิบัติธรรม~
[จากแม่น้ำกกุธานที พระพุทธเจ้าพร้อมเหล่าภิกษุสงฆ์ได้เดินทางไปยังฝั่งแม่น้ำหิรัญวดีที่ป่าสาลวันซึ่งเป็นที่แวะพักของมัลลกษัตริย์ใกล้นครกุสินารา เมื่อถึงแล้ว พระพุทธเจ้าได้กล่าวกับพระอานนท์ว่า]
พ: เธอจงตั้งที่นอนระหว่างไม้สาละสองต้น หันศีรษะไปทางทิศเหนือ เราเหนื่อย จะขอนอนพัก
[เมื่อนั้นพระพุทธเจ้านอนลงโดยนอนตะแคงขวา เท้าซ้ายซ้อนบนเท้าขวา มีสติสัมปชัญญะระลึกรู้อยู่ โดยระหว่างนั้น ดอกจากต้นสาละได้ร่วงหล่นโปรยปรายลงมายังร่างกายของพระพุทธเจ้า เป็นดั่งการสักการะบูชาพระพุทธเจ้า]
พ: อานนท์ ดอกจากต้นสาละได้ร่วงหล่นโปรยปรายลงมายังร่างกายของตถาคต เป็นดั่งการสักการะบูชาตถาคต
ผู้ใดก็ตามไม่ว่าจะเป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก หรืออุบาสิกา หากเป็นผู้ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติชอบ ประพฤติอยู่ในธรรม ผู้นั้นย่อมได้ชื่อว่าสักการะตถาคต อันเป็นวิธีบูชาที่ดีที่สุด
เพราะเหตุนี้แหละอานนท์ พวกเธอจึงควรระลึกอยู่เสมอว่าจะเป็นผู้ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติชอบ ประพฤติอยู่ในธรรม
___________
ที่มา: เรียบเรียงจากพระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ 13 (พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค ภาค 2 เล่ม 1 มหาปรินิพพาน ข้อ 128), 2559, น.297-298
ถ้าเราทำความสงบเงียบสนิทอยู่ในภาวะแห่งความไม่มีอะไร ในขณะนั้น พวกเรากำลังเดินอยู่แล้วในทางแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายโดยแท้จริง ดังนั้น เราควรเจริญจิตให้หยุดอยู่บนความไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
จิตคือพุทธะ
การปฏิบัติไม่ว่าโยมจะปฏิบัติมานานเพียงใด ฉันถามว่าโยมปฏิบัติตลอดรึเปล่า..ในหนึ่งวันของโยมดูจิตอยู่ตลอดหรือเปล่า อย่าบอกว่าต้องไปถามเป็นเดือนเป็นปี ถามวันต่อวันว่าเราดูจิตอยู่ตลอดเวลาหรือเปล่า (ลูกศิษย์ : ไม่ได้ดูตลอดค่ะ) ถ้าเราไม่ได้ดูตลอดแล้วกรรมฐานที่เราเข้าไปฝึกไว้ เวลาที่เราปฏิบัติกับเวลาที่เราไม่ได้ปฏิบัตินั้นอะไรมันมากกว่ากัน (ลูกศิษย์ : ไม่ได้ปฏิบัติมากกว่า)
แสดงว่ากำลังที่เราปฏิบัติมันได้น้อย ไอ้เวลาไม่ได้ปฏิบัติมันมีกำลังมากกว่ามั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : มากกว่าค่ะ) นั่นก็คือเวลาของมาร..ความขี้เกียจ อย่างนี้เรียกว่าเรานั้นยังติดอยู่ในสมมุติบัญญัติ เมื่อมันติดอยู่ในสมมุติบัญญัติ เมื่อเราจะมาเจริญความเพียรเพื่อข้ามสมมุติบัญญัติ มันก็เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก..มันเป็นการฝืน
ดังนั้น เมื่อเราทำนั้นไม่ต่อเนื่องไม่อยู่เป็นประจำแห่งฌาน สมาธิ ปัญญาที่เราฝึกเราฝนจิตมาเพียงน้อยนิดนี้ เมื่อมันมีอารมณ์มากระทบจิต มันก็ไม่มี การที่สตินั้นจะเท่าทันได้ มันก็ต้องมีพลั้งเผลอ..นั่นก็คือศีล ที่อารมณ์แห่งโทสะ ราคะ โมหะนี้เข้ามาครอบงำจิตได้ เมื่อจิตนั้นเรายังไม่ตั้งมั่น ยังไม่หนักแน่นพอ เหมือนน้ำที่มันไม่ลึกเพียงพอ เมื่อมีอะไรมากระทบมันก็สามารถขุ่นได้ง่าย
นั้นถ้าเราไม่พยายามเพียรขุด ทำจิตนั้นให้มันตั้งมั่น มันก็จะไม่เท่าทันอารมณ์ที่มากระทบได้ เมื่อเราไม่ขุดไม่พิจารณาอยู่บ่อยๆอย่างนี้ สายแม่น้ำทั้งหลายมันก็ตื้นเขิน สุดท้ายมันก็พอกพูนเข้าไปอีก..นั่นก็คืออุปกิเลส อุปกิเลสก็คือเครื่องเศร้าหมอง อารมณ์ที่ทำให้จิตเรานั้นเศร้าหมอง
เมื่อจิตเราไปเพ่งโทษดูผู้อื่นเค้า ไปดูจริตจริยาวัตรของผู้อื่นมากๆเข้าจิตเราก็เศร้าหมอง อุปกิเลสมันก็บังเกิดขึ้น แต่ถ้าเราย้อนมาดูเพ่งโทษตัวเอง พิจารณาเตือนตัวเองได้ จนจิตเราสงบถึงความเย็นอยู่ได้อย่างนี้ อุปกิเลสแห่งความเศร้าหมองทั้งหลายก็ดับ อย่างนี้แลเรียกว่าเราได้เจริญบุญเจริญกุศล
นั้นการไปเพ่งโทษไปพิจารณาคนอื่นว่าจะให้คนอื่นนั้นต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้แล้ว..มันไม่ใช่กิจธุระอะไรของเรา กิจธุระของเราก็คือการเพ่งโทษตักเตือนตน พิจารณาตนในความชั่วของตน เพราะว่าวิบากกรรมของมนุษย์นั้นมันก็มีของแต่ละบุคคลอยู่แล้ว ดังนั้นว่าความสุขความดีให้เราทำให้มากๆ
เมื่อเราจะทำความดีครั้งใด สิ่งการใดที่ล่วงมาแล้วก็ขอให้วางไว้ อย่าได้ไปใส่ใจมัน เพราะเหตุนี้เล่าสติของเราจึงไม่เท่าทันอุปกิเลสหรือความเศร้าหมอง มันมาครอบงำจิต ดังนั้นถ้าเราฝึกอยู่ตลอดทั้งวัน โอกาสที่เรานั้นจะทำผิดนั้นก็มีน้อย อันว่าศีลนี้เราไม่สามารถรักษาได้ตลอดเวลาได้ แต่เวลาไหนเล่าที่อารมณ์นั้นเราขุ่นหมอง แสดงว่าเหตุแห่งธรรมมันก็บังเกิดขึ้น ก็ให้กำหนดรู้ในอารมณ์นั้น หาใช่ว่าต้องมาเจริญกรรมฐานไม่
เมื่อรู้เหตุแล้วก็กำหนดรู้ เมื่อตัวรู้มันบังเกิดนั่นแล ก็เอาปัญญาไปพิจารณาอารมณ์นั้น ก็เหมือนจิตที่ไม่มีกายสังขารแล้ว ก็ไม่ใช่ว่าจะประพฤติปฏิบัติธรรมไม่ได้ ก็เอาอารมณ์ของจิตนั่นแล พิจารณาอารมณ์นั้นของจิตนั้น ให้จิตนั้นเข้าถึงความสงบระงับ จนสมาธิมันบังเกิด ปัญญามันบังเกิด ญาณมันบังเกิด มันก็จะพิจารณาดับ ละอารมณ์นั้นได้
ดังนั้นอุปกิเลสทั้งหลายคือความเศร้าหมอง ลองไปพิจารณาดูซิว่าอุปกิเลส ๑๖ อย่างมันเป็นอย่างไร นั้นการที่เราไปเพ่งโทษคนอื่นมันหามีประโยชน์อย่างใดเลย จะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย เราควรหันมาเพ่งโทษในตัวของเราเองดีกว่า อย่าไปเพ่งโทษหรือพิจารณาว่าเราดีกว่าใคร ใครดีกว่าเรา สิ่งเหล่านี้เรียกว่ามันทำให้จิตของเรานั้นเศร้าหมองทั้งนั้น
ดังนั้นใครจะเป็นอย่างไร จะชั่วจะดีหรืออย่างไรแล้ว มันเป็นเรื่องวิบากกรรมของเค้า การที่เราเอาจิตนั้นไปเกี่ยวข้องไปผูกพันด้วยแล้ว เท่ากับว่าเรานั้นไปรับกรรมเค้ามา ดังนั้นกรรมทั้งหลายก็ไม่สามารถจะจบลงกันได้ มันก็จะเกิดเวรเกิดพยาบาท จากเป็นมิตรก็จะกลายเป็นศัตรูอย่างนี้
ดังนั้นแล้วถ้าเราไม่คิดเพ่งโทษใครเลย..เราก็จะไม่มีศัตรูเลย แต่เมื่อใดเราไปเพ่งโทษคิดเอาชนะผู้ใด นี่แลเรียกว่าเรานั้นมีศัตรูแล้ว แต่ศัตรูที่แท้จริงก็หาใช่ว่าบุคคลที่เรานั้นจะไปอาฆาตพยาบาทไม่ แต่ศัตรูที่แท้จริงก็คือตัวของเราเอง ที่เรานั้นไม่สามารถเอาชนะอารมณ์แห่งความไม่พอใจแห่งโทสะได้ มันนำมาสู่การพยาบาทของจิต อย่างนี้แลเค้าเรียกว่า"เครื่องเศร้าหมอง"
เมื่อจิตเราเศร้าหมองเสียแล้ว การจะทำคุณงามความดีให้เกิดขึ้นกับจิตนั้นมันก็ทำได้ยาก อารมณ์เหล่านี้เมื่อมันเกิดขึ้นกับใคร เท่ากับว่าบุคคลผู้นั้นเลี้ยงอสรพิษไว้ บ้านเรือนนั้นรกสกปรก นั่นเรียกว่าจิตนั้นมันเศร้าหมอง
ดังนั้นขอให้ทำความสะอาดจิตให้ดี เมื่อเราจะภาวนา เมื่อเราจะเจริญสมาธิ เราเห็นจิตแล้ว..อารมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งที่ยังมีอกุศลจิต เป็นมูลเหตุให้จิตเรานั้นเกิดอุปกิเลสของความเศร้าหมองจิตเสียแล้วนั้น ขอให้เราตั้งจิตเสียใหม่
ความตั้งใจใหม่นี้ไม่ได้ไปบอกให้คนอื่นเค้าตั้งใจใหม่ให้แก้ตัว แต่เราต่างหากที่ควรตั้งใจ ควรบอกคอยเตือนตัวเองสอนตัวเองว่าเราอย่าไปคิดอย่าไปตำหนิผู้อื่นเค้าเลย เพราะว่ากรรมของคนอื่นเค้าก็เป็นแบบนั้น ถ้าเค้ามีสติกำลังพอเค้าคงควบคุมกรรมเค้าได้ เฉกเช่นเดียวกับเรา..ก็ยังไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้เช่นเดียวกัน
แสดงว่าทุกคนนั้นก็มีโมหะ มีโทสะ มีราคะไม่ต่างกัน ต่างกันตรงที่ว่าเมื่อโทสะ เมื่อโมหะ เมื่อราคะเกิดแล้ว เราจะเท่าทันมันมากน้อยแค่ไหนต่างหาก..นี่แลเรียกว่า"อริยชน"
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
ขั้นอบรมสติยังไม่ถึงปัญญาวิปัสสนา
สติที่สมบูรณ์เต็มที่แล้ว พระไตรลักษณญาณจะเกิดขึ้นเอง
รวมเรียกว่าขันธ์5ลงสู่พระไตรลักษณ์โดยอัตโนมัติ...
ยามที่พิจารณาไม่ชัด อย่าได้ท้อแท้ ท้อถอยแต่ให้เข้าใจว่า....
ที่ไม่ชัด เพราะสติ สมาธิเราอ่อนไป
ให้ปล่อยวางการพิจารณานั้นเสียแล้วให้มาอบรม สติ สมาธิให้มีกำลังมากขึ้น
อย่าอยากให้รู้ชัดโดยลืมนึกไปถึงสติ-สมาธิของตน...
ทางเดียวที่จะถอนอุปทานเสียได้มีแต่พิจารณาในขันธ์5
เมื่ออำนาจสติมีกำลังเพียงพอ อุปทานก็ปล่อยวางแล้วทุกข์จะมาจากไหน
วิปัสสนา ต้องพิจารณาลงที่ขันธ์5
เมื่อเกิดก็เกิดจากธาตุ4 แตกสลายก็ลงที่ธาตุ4
กลับไปกลับมาตามสภาพของมันเป็นอยู่อย่างนั้น
ไม่มีตัวตนเค้าเรา หาแก่นสาระอันใดไม่ได้...
สติ สมาธิ ปัญญา สมดุลย์กันโดยอัตโนมัติ ปัญญาย่อมก่อเกิด คือไม่ว่าจะเห็น
จะรู้ อะไรทางอายตนะทั้ง6 พระไตรลักษณ์จะเกิดขึ้นพร้อมทั้ง3...
คำว่า..สติสมบูรณ์
สติที่สมบูรณ์ไม่ต้องควบคุม รักษา แต่มันจะมีสติพอดีกับอารมณ์
ที่จะมาปรากฏขึ้นที่จิตแล้วรู้เท่าทันเพราะเหตุมาจากการที่เราได้อบรมมาดีแล้ว
ไม่มีส่งจิตออกนอกไปจากอารมณ์ที่ปรากฏขึ้น
จิตนั้นรู้แล้วก็วางเฉย บางทีก็เกิดสังเวชในเรื่องนั้นๆ
เราไม่ต้องเอาสติไปควบคุมจิต
สติกับจิตมันได้สัดส่วนกันมันคุมกันเอง นี่เรียกว่า สติสมบูรณ์...
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี...
. จ ง ม อ ง ใ ห้ เ ห็ น ..
"ความรู้ทุกชนิด เป็นเพียงสุสานแห่งความคิด”
การทำความเข้าใจให้รู้ชัดว่า ..
"ทุกสิ่งมีความเปลี่ยนแปลงอย่างเสมอ
ไม่ควรยึดมั่น ถือมั่นอะไรเลย
นี่คือ ความรู้ ตามความเป็นจริง”
.. กุญแจ ๔ ดอก ..
“ รู้ เฉพาะหน้า
เห็น ตามเป็นจริง
เป็น ตามนั้น
อยู่ อย่างสม่ำเสมอ ”
... หลวงพ่อชา สุภัทโท ...
การที่จิตไหลไปคิดอยู่เสมอแสดงว่า จิตไม่มีกําลังของสมาธิ ทําให้ไม่นิ่ง วิธีการแก้คือให้ นั่งสมาธิแบบสมถะ(เพ่ง)ไปที่ลมหายใจ หรือจะตามรู้ลมแบบเพ่งไปที่ลมหายใจก่อนในช่วงแรกเพื่อให้จิตตั้งมั่น พอจิตเริ่มมีกําลังของสมาธิดีขึ้น จิตจะวอกแวกได้น้อยลง
จากนั้นค่อยเลิกเพ่งลม เปลี่ยนมาพิจารณารู้สึกตัวไปกับลม ให้แค่สัมผัสรู้ เพื่อเจริญวิปัสสนา หรือเจริญวิปัสสนาแบบที่เคยทํา กับวิธีแก้อีกอย่างหนึ่ง คืออย่าเพึ่งไปดูจิต เพราะวอกแวกเกิน ให้ตามรู้ตามดูแต่กายเพียงเท่านั้น โดยรู้สึกตัวกับการขยับกาย การตามรู้กาย กายมีนามรูปทําให้จับต้องได้เห็นได้ง่าย
การรู้สึกตัวกับกาย ขณะนั้นใจอยู่ที่ฐานกาย มันเป็นการยึดฐานไว้อ่อนๆในตัวมันเป็นการสร้างกําลังของสมาธิไปในตัวอยู่แล้ว
เมื่อเราดูกายได้คล่องๆ มันจะปรับเปลี่ยนมาเห็นมาดูจิตได้เองครับ เราจะเริ่มเห็นจิตมากขึ้นไปเองโดยที่ไม่ได้ไปพยายามเห็นพยายามดู อีกอันครับ เวลาดูจิตเมื่อความคิดเกิดให้รู้ รู้แล้วให้ละไปเลยครับ ถ้าไม่ละจะไหลไปกับความคิดเป็นคิดรู้ ไม่ใช่รู้แล้ว วิปัสสนาจะไม่เกิดเพราะไปยึดที่จะรู้แบบยึดไว้ไม่ปล่อยอันนี้ก็ไม่ถูกหลักครับ ให้รู้แล้วปล่อย แค่ รู้ รู้ รู้......Trader Hunter พบธรรม
🌟“ใจสงบ”🌟
สงบได้ในท่ามกลางความวุ่นวาย
ไม่ใช่ไปแสวงหา ทำให้ความวุ่นวายมันสงบ
แต่ “ใจ” ตัวเองกลับไม่สงบ
การแสวงหาที่ผ่านมามันผิดพลาด
“เรา” ไปแสวงหา จะไปทำให้ทุกอย่างมันสงบ
จะทำให้ครอบครัวสงบ
จะทำให้จิตใจที่วุ่นวายมันสงบ
แต่ ... “ใจ” เราไม่สงบ
“เรา” จะไป พยายามให้ “อาการของใจ” ให้ “กิริยาอาการของใจ” มันสงบ
ปรากฏการณ์ในบ้านมัน ... สงบ
ปรากฏการณ์ของลูกที่เราประสบพบ ... สงบ
ปรากฏการณ์ในโลกนี้ ความวุ่นวายในโลกนี้ให้ มัน ... สงบ
แต่ “ใจ” เราคนเดียว กลับ ... ไม่สงบ
พอใจเรา ... สงบเสียแล้ว ดูสิ
ธรรมชาติเงียบ มันสงบ มันสงัด
มันต้อง “สงบ” ในท่ามกลาง “ความวุ่นวาย”
ไม่ใช่ไปแสวงหาตามสำนัก ตามสำนักปฏิบัติธรรมต่าง ๆ ตามครูบาอาจารย์ หรือตามพระอาจารย์ต่าง ๆ
เพื่อให้ “ความวุ่นวาย” ในครอบครัว ความวุ่นวายในจิตใจมัน “สงบ” ... ไม่ใช่
ใจที่สงบแล้ว สงบได้เพราะ ...
ไม่วุ่นวาย ไปกับ ความวุ่นวาย
ไม่พยายามทำให้ ความวุ่นวาย มันสงบ
แล้วก็ ไม่วุ่นวาย ไปกับ ความวุ่นวาย
มันก็สงบของมันเอง
เพราะธรรมชาติแท้ ๆ มัน “สงบด้วยตัวของมันเอง” อยู่แล้ว
มันไม่วุ่นวายอยู่แล้ว ธรรมชาติแท้ ๆ
สิ่งที่วุ่นวายเป็นของไม่เที่ยง แล้วมันก็เปลี่ยนไป เปลี่ยนไป
แต่ธรรมชาติที่ไม่วุ่นวาย ที่ไม่เกิด ไม่ดับ ไม่เปลี่ยนแปลง
มันเป็นธรรมชาติที่สงบของมันเองอยู่แล้ว... เป็นธรรมชาติ
ทั้งธรรมชาติภายในจิตใจ และธรรมชาติภายนอก
มันมีธรรมชาติที่ไม่เกิด ไม่ดับ ไม่เปลี่ยนแปลง ... อยู่แล้ว
สงบ สันติ เป็นอิสระ ไร้ตัวตน ไร้ตัวจิตตัวใจ
มันเงียบ มันสงบ มันสงัด ไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ
มันมีของมันอยู่แล้วทุกคน เพียงแต่ ...
พวกเราวุ่นวายมากเกินไป ดิ้นรนแสวงหามากเกินไป
โหยหาความสุข หนีทุกข์ มากเกินไป
เราไม่ได้พบกับ “ธรรมชาติที่มันมีอยู่แล้ว”
คือ ความสงบ สันติ เป็นอิสระ ไม่ถูกผูกมัดด้วยเครื่องพันธนาการใด ๆ
มันเป็นธรรมชาติที่มันเป็นของมันอย่างนั้นอยู่แล้ว
ไม่ใช่ มี “ใคร” ไป “ทำ” ให้มันเป็น
เราเอาความวุ่นวายมากเกินไป มา “ปิดบัง” มัน... เลยมองไม่เห็น
บัดนี้ ความวุ่นวายในใจ มันหายไปหมดสิ้น
จึงพบว่า ใจที่เงียบ สงบ สงัด มัน “มีของมันอยู่แล้วโดยธรรมชาติ”
ไม่ใช่ต้องไป “หา” มัน และ ไม่ต้อง “สร้าง” มันขึ้นมา... มันมีอยู่แล้ว...
แต่เรา “วุ่นวาย” มากเกินไป มันเลยมา “บัง” สิ่งนี้ ซะหมด
แล้วเราจะรู้ว่าที่ผ่านมา... เราเดินทางผิด
แต่ก็เป็นบทเรียนที่สำคัญ
ถ้ารู้จักอยู่กับใจที่สงบได้ มันจะเป็นเครื่องอยู่ของชีวิต
Peace of Mind (ใจสงบ) ให้เป็น ... เครื่องอยู่ของใจ
ให้ใจสงบได้ท่ามกลางภายในจิตใจที่วุ่นวาย ที่มีปัญหา
ใจมันจะสงบได้ เข้าถึงใจที่มันสงบได้ ที่มันเป็น ความสงบตามธรรมชาติ
ก็เพราะว่าปล่อยให้ ... “อาการของใจ” ... มัน ยุ่งวุ่นวายของมันไป
แต่ ... อย่าไปยุ่งวุ่นวายกับมัน
อยากให้โยมมี “ความสงบใจ” เป็นเครื่องอยู่
แต่ “ความสงบใจ” ไม่ใช่ “เข้าใจผิด”
คือ หนี “โลก ... ความวุ่นวาย” แล้วไปอยู่กับ “ใจสงบ”
คือ มีความ “สงบใจ” พอที่จะ “รู้ทุกอย่าง”
ปล่อยให้ทุกอย่าง ... มันเกิดขึ้นมา แล้วก็ผ่านไป
ผ่านมา... แล้วก็ผ่านไป
ไม่เข้าไป “ยึดถือ” อะไร
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
ประเด็น : พระไตรลักษณ์ (ตอน ๓)
มุมมอง : อานิสงส์ของการเรียนรู้ไตรลักษณ์
*** อานิสงส์หรือประโยชน์เมื่อเรียนรู้ "อนิจจัง"
~ ทำให้เป็นผู้ไม่ประมาทมัวเมาในวัย ในความ
ไม่มีโรค และในชีวิต เพราะความตายอาจมาถึงเมื่อ
ไรก็ได้ ไม่แน่นอน
~ ทำให้เกิดกำลังใจ ที่จะเพิ่มความพยายาม
ก้าวไปข้างหน้า เพราะรู้ว่าความพยายามย่อมนำสิ่ง
ที่เป็นความเจริญมาสู่ชีวิต
~ ทำให้เกิดความสลดใจในสิ่งที่ควรสลด ด้วย
รู้ว่าสังขารร่างกายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ถ้า
รอช้าอยู่จะเสียโอกาสในการสั่งสมบุญกุศล
*** อานิสงส์หรือประโยชน์เมื่อเรียนรู้ "ทุกขัง"
~ มีพุทธพจน์รับรองไว้ว่า "เมื่อใด บุคคลเห็น
ด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ เมื่อนั้นเขา
ย่อมเบื่อหน่ายในทุกข์ นั่นคือทางแห่งความบริสุทธิ์"
*** อานิสงส์หรือประโยชน์เมื่อเรียนรู้ "อนัตตา"
~ ทำให้รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงว่า เป็น
สิ่งที่บังคับบัญชาไม่ได้ แต่เป็นไปตามเหตุปัจจัยจึง
รู้สึกผ่อนคลาย ตัณหา มานะ ทิฏฐิ การใช้ชีวิตใน
ระหว่างวัน จึงมีความเบาใจไม่เร่าร้อนด้วยอำนาจ
ของกิเลสที่ผลักไสให้จมอยู่ในกองทุกข์
*** สรุปสั้นๆได้ว่า อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา
เป็นหลักคำสอนที่สำคัญ อันเป็นหัวใจของพระ
พุทธศาสนาหลักหนึ่งเช่นกัน
* เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้ ขอความสุขสวัสดี
มีดวงตาเห็นธรรมจงเกิดแก่ผู้อ่านทุกท่าน ๐
"ภิกษุทั้งหลาย พรหมจรรย์นี้ เราประพฤติ มิใช่เพื่อหลอกลวงคน
มิใช่เพื่อให้คนมานิยมนับถือ มิใช่เพื่ออานิสงส์ลาภสักการะและสรรเสริญมิใช่อานิสงส์เป็นเจ้าลัทธิหรือแก้ลัทธิอย่างนั้นอย่างนี้ ฯ
ที่แท้พรหมจรรย์นี้เราประพฤติ เพื่อสังวระ ความสำรวม เพื่อปหานะ ความละ เพื่อวิราคะความหายกำหนัดยินดี และเพื่อนิโรธะ ความดับทุกข์ ผู้ปฏิบัติและนักบวชต้องมุ่งตามแนวทางนี้ นอกจากแนวทางนี้แล้ว ผิดทั้งหมด"
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
หลวงปู่ฝากไว้
สติจะมีตลอดเวลาเป็นไปไม่ได้.
ความรู้สึกตัวจะมีตลอดเวลาเป็นไปไม่ได้.
จะให้จิตสงบตลอดเวลาก็เป็นไปไม่ได้
เราจะเอาสติกำกับจิตตลอดเวลาก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน.
แต่ให้มีปัญญา.เห็นอนิจจังไม่เที่ยง.เห็นทุกขังความเป็นของชั่วคราว.เห็นอนัตตา.ไม่สามารถควบคุมมันได้...
อันนี้ต่างหากที่จะเรียกว่ามีปัญญารู้เท่าทันจิตและสรรพสิ่ง
ความทุกข์จะลดลงไปได้ตามความเร็วของสติ+ปัญญา..และอยู่ที่การขยันฝึกฝน
จนท้ายที่สุดอะไรจะเกิดหรือไม่เกิดขึ้นเราก็รู้ล่วงหน้าแล้วว่ามันไม่เที่ยง.สักครู่มันก็ดับลงเอง..
และเห็นว่าอะไรสิ่งใดเกิดหรือดับก็ล้วนเป็นเรื่องธรรมดาทั้งหมดในสามแดนโลกธาตุ
จึงจะเรียกว่าเห็นทุกสิ่งตามที่มันเป็นจริงๆ.. เรียกว่าเห็น.. ตถตา..
หรือจะเรียกว่าญาณทัสสนะหรือยถาภูตาญาณหรือยถาภูตสัมมัปปัญญา.. ของแท้...
.จิตตไพศาล จิตตไพศาโล
"ธรรมะ" มี...ทุกคนจะรู้หรือไม่รู้ก็มี จะเรียนหรือไม่เรียนก็มี
นอกจากเราจะเรียนภาษาของธรรมะหรือไม่เท่านั้น
เมื่อเราเรียนรู้สมมติบัญญัติของธรรมะก็เท่ากับเราอ่านออก เหมือนอ่านหนังสือ
เด็กทารกไม่รู้เดียงสาเลย พอเกิดออกมาก็ร้องแว้
นั่นก็เป็น "เวทนา" แล้ว
กินอะไรไม่อร่อยจับโยนทิ้งเปลี่ยนอันใหม่
นั่นก็เป็น "สังขาร"
พอโตหน่อยจำอะไรๆได้ นั่นก็เป็น "สัญญา"
"ธรรมะ" มีอยู่อย่างนี้ทุกรูปทุกนาม
เรียนรู้อะไร? เรียนรู้สมมติบัญญัติแล้ว
ขว้างทิ้งสัญญาเก่าใหม่,
อดีต, อนาคต นั่นแหล่ะจึงจะถึงนิพพาน
ตำรวจที่ไม่ถอดเครื่องแบบเสียก่อน
ย่อมสืบความลับของโจรได้ยาก
เหตุนั้นจึงควรบำเพ็ญ ศีล สมาธิ ปัญญา
ให้สนิทสนมกับขันธ์ ๕ ของตนเสียก่อน
จึงจะรู้ความลับของมัน
นั่นแหล่ะเป็นตัว "วิปัสสนา"
"วิปัสสนา" เป็นตัว "ละ"
"สมาธิ" เป็นตัว "ทำวิปัสสนา"
เราจะไปทำขึ้นไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงเป็นตัวผล
"ศีล" เป็นเหตุ - "สมาธิ" เป็นผล
"สมาธิ" เป็นเหตุ - "ปัญญา" เป็นผล
"ปัญญา" เป็นเหตุ - "วิมุติ" เป็นผล
เมื่อทำเหตุแก่ ผลก็ย่อมแก่ตาม
เหมือนผลไม้เมื่อสุกแก่ มันก็หล่นเอง
ไม่ต้องเอาไม้ไปสอย
คนแก่มากๆ เข้าก็ตายเอง
จะไปห้ามไม่ให้ตายไม่ได้ จะบอกให้อยู่ก็อยู่ไม่ได้
"ศีล" บริสุทธิ์ ก็เปรียบเหมือนผ้าขาวธรรมดา
ราคาเมตรละ ๑๐ บาท
ถ้าเราทำสมาธิด้วย ก็เหมือนเราเขียนลวดลายลงในผ้าขาว
มันจะมีราคาสูงขึ้นถึงเมตรละ ๔๐ บาท
จิตเราก็เช่นเดียวกัน
จิิตที่เป็นสมาธิ ปัญญาก็เกิด ก็ย่อมให้ผลราคาสูง
ต้อง "ทำ" แล้วจึงจะ "รู้"
รู้แล้วมันจึงจะ "ละ"
ต้องทำเหตุเสียก่อน...ผลก็ย่อมเกิดเอง
พระอาจารย์ลี ธมฺมธโร
การภาวนา หมายถึงว่าการทำให้เจริญ
การรู้สึกตัวบ่อยๆ รู้กาย รู้ใจ
ออกมาจากโลกของความคิด นี่แหละ
คือการภาวนา ทำให้จิตเจริญขึ้น
ไม่ถูกความคิดและอารมณ์ต่างๆครอบงำ
เมื่อรู้สึกตัวจิตย่อมตั้งมั่น เมื่อจิตตั้งมั่นย่อมเห็นตามจริง
ถ้าเพียงนั่งสมาธิแต่นั่งแบบหลงๆเพลินๆ ไปกับความสงบ
ก็ไม่ชื่อว่าภาวนา เพราะขาดความรู้ตัวที่จะเห็นว่า
ความสงบและความว่างๆ นั้นถูกรู้อยู่
ทั้งความสงบ และความว่างๆ นั้น
ล้วนตกอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์
เมื่อยังจมอยู่จึงเห็นไม่ถึงความจริง
..................
ถ้าจิตมีปัญญาจะเห็นว่า
อารมณ์ก็อยู่ส่วนอารมณ์
จิตอยู่ส่วนจิต ไม่ได้ยินดียินร้ายเพราะอารมณ์
จะเกิดก็เกิด จะดับก็ดับ มีการยอมรับความจริงเป็นพื้น
ไม่คอยเที่ยวผลักออก หรือรักษาอะไรไว้
ยินดีก็รู้ ยินร้ายก็รู้ เฉยๆ ก็รู้ รู้สึกเอาเท่านั้นเอง
เมื่อรู้ได้ว่า สิ่งทั้งหลายถูกรู้ อารมณ์ถูกรู้
ย่อมเห็นเอง รู้ได้เองว่า
ไม่มีความเป็นเรา อยู่ในอารมณ์เหล่านั้น
พระเจษฎา คุตฺตจิตฺโต
อยู่กับตัว(ใจ) รู้สบายๆ รู้สึกตัว ว่างสบาย มีสิ่งใดมากระทบ แค่รู้ อย่าไปคิดปรุงตามว่าเป็นอะไร เพราะสิ่งที่ตามมานั้นเป็นความคิด เป็นการไปปรุงแต่งใจ ไม่ใช่รู้ที่เป็นรู้สึกตัว รู้จิตรู้ใจแล้ว
.
เวลาใจขยับให้แค่รู้ว่าใจขยับ แต่ไม่ต้องไปรู้ว่าเรื่องอะไร จะโลภะ โทสะ โมหะ ชั่งมัน เพราะรู้นี้จบที่ใจ ไม่ไหลไปคิดต่อ หากไหลไปคิดต่อว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ แล้วเมื่อไหร่จะวางใจเป็นสักแต่ว่ารู้ได้ละ
.
การปฏิบัติคือการทําให้ใจเราชินที่จะปล่อยออกคลายออก ไม่ใช่เข้าไปถือในอารมณ์ความคิดต่างๆ
.
ให้ผู้รู้เด่น อย่าให้สิ่งที่ไปรู้เด่น( รู้อยู่กับใจ ไม่ใช่ไปยึดรู้ตามสิ่งที่ไปรู้ ) แต่ให้อาศัยสิ่งที่ไปรู้นั้น โดยการหมั่นรู้สึก เพื่อให้ผู้รู้เข้มแข็งขึ้นมา
.
ตื่นจากการถูกปกคลุมด้วยความคิดอวิชชา เมื่อผู้รู้เด่นเข้มแข็งขึ้นมา การจะไปเห็นใจ เห็นรูปนามเพื่อเจริญปัญญา เพราะหลุดจากความคิดที่ปกคลุมอยู่แล้ว จึงจะเกิดขึ้น ญาณปัญญาจึงบังเกิดกับเรา แม้ลืมตาก็เกิดได้ ไม่ต้องนั่งสมาธิหลับตา
Trader Hunter พบธรรม
"...ถ้าเราไม่ปฏิบัติกรรมฐานให้เป็น
เราจะทำอย่างไร เมื่อตกอยู่ในกองทุกข์มาก
แล้วที่แน่ ๆ ก็คือความตาย
เราจะต้องเผชิญต่อความตาย
เราจะทำอย่างไรถ้าหากว่าเราตาย
อย่างจิตเศร้าหมอง
เมื่อจิตเศร้าหมองก็ย่อมไปสู่อบาย
ตอนจะตายถ้าหากเราจิตเศร้าหมอง
อันเกิดจากความกลัวตายบ้าง
เกิดจากความห่วง ห่วงทรัพย์ ห่วงสมบัติ
ห่วงญาติ ห่วงลูกหลาน
จิตมันเศร้าหมองก็ไปสู่อบาย
พระพุทธเจ้าตรัสว่า..
' จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคติปาฏิกังขา '
เมื่อจิตเศร้าหมอง ทุคติย่อมเป็นที่หวัง คือต้องไปเกิดในอบายภูมิ
ฉะนั้นคนที่จะตาย
ด้วยจิตที่ไม่เศร้าหมองมีส่วนน้อย
ถ้าเราไม่ปฏิบัติธรรมให้เป็น
ความตายมาถึงก็จะทำใจไม่ถูก
กระวนกระวาย กระสับกระส่าย
จิตดับลงก็ไปสู่อบายหมด
ฉะนั้นควรที่เราจะสนใจในการฝึกจิต
ฝึกกรรมฐานให้เป็น
การฝึกกรรมฐานก็ไม่ได้ฝึกที่ไหน
ฝึกในตัวเรานี้ ฝึกในกายในใจนี้
ฝึกการเป็นผู้มีสติระลึกรู้ในตัวเอง
แต่ต้องระลึกไปถึงการปล่อยวางเป็น
ถ้าเรายังปล่อยไม่เป็น ปฏิบัติไปก็กลับยิ่งทุกข์ เห็นทุกข์แล้วก็กลับกลายเป็นทุกข์
เพราะจริง ๆ ในสังขารร่างกายมันเป็นก้อนทุกข์
เมื่อสติจิตใจเราหันมาพิจารณาดู
มันก็จะเจอความทุกข์
เมื่อเจอความทุกข์
ถ้าไม่รู้จักฝึกจิตให้รู้จักปล่อยวางเป็น
มันกลับกระวนกระวาย
เจอทุกข์แล้วกระวนกระวายก็ยิ่งทุกข์
ฉะนั้นการปฏิบัติต้องฝึกไปถึงขั้น
ปล่อยวางได้ด้วย
ฝึกการกำหนดรู้ทุกข์แต่ปล่อยวาง
ต่อความทุกข์
ร่างกายของเรามันมีทุกข์ทั้งนั้น
ทุกส่วนมันมีปวด มีเจ็บ มีเหนื่อย มีเมื่อย เป็นทุกข์ เราก็กำหนดดูรู้ความทุกข์
แต่ว่าไม่ทุกข์ด้วย
แม้จิตใจมันเกิดสภาวะของกิเลสขึ้นมา เราก็กำหนดรู้ ดูจิตใจว่าขณะนี้ใจมันเกิดกิเลส เกิดราคะ เกิดโทสะ เกิดมานะ ทิฏฐิ
เวลาที่มีสติไปกำหนดรู้ก็ให้กำหนดรู้
อย่างปล่อยวาง
หลักของการเจริญวิปัสสนามีอยู่ว่า
สภาวะใดปรากฏก็ให้กำหนดรู้
สภาวธรรมอันนั้น
แล้วก็กำหนดรู้ด้วยความปล่อยวาง
อย่างเวลาที่เรานั่งปฏิบัติไป จิตมันฟุ้ง
ก็กำหนดดูความฟุ้ง แต่อย่าไปฟุ้งกับมันด้วย
ให้ดูเฉยๆ กำหนดดู ดูไปเฉยๆ
ไม่ต้องไปคิดอะไรต่อ ไม่ต้องไปจัดการ
หักล้าง ผลักไสอะไรทั้งหมด ดูเฉยๆ
การดูเฉย ๆ คือจะดูอย่างปล่อยวาง
อาการของความฟุ้งนั้นมันจะคลี่คลาย
ของมันเอง
ถ้าเราทำตรงนี้เป็น
ในชีวิตประจำวันของเราถ้าเรามีสติ
ไปหยั่งรู้ใจเราเมื่อไร แล้วเราเจอว่าใจเราไม่สบาย
ใจเราฟุ้ง พอมีสติระลึกรู้ ปล่อยวางเป็น
อาการเหล่านั้นมันก็จะคลายหายไป
จิตเราก็คืนสภาพ โปร่งเบาขึ้น
กรรมฐานมันได้ประโยชน์ตรงนั้น
ตรงที่สามารถจะคลี่คลายความทุกข์ได้
เวลาที่เราวุ่นวาย ถ้าเราปฏิบัติหน้าที่การงานไป
อย่างเช่นสมองมันชักเครียด
เราคิดมาก คิดการงานมาก วิจัย วิจารณ์ รู้สึกสมองเครียด
เราก็ตั้งสติกำหนดดูความรู้สึกในสมอง
ดูจิตใจดู จิตเราจะต้องคิดมาก จิตเราจะต้องวุ่นวาย
พอเรามีสติเข้าไปรู้ไปดูด้วยความปล่อยวาง
วางเฉย เราจะสังเกตว่าอาการเหล่านั้น
มันจะคลี่คลาย
จิตมันจะคลายจากความฟุ้งซ่าน
จากความวิตกกังวล สมองมันก็จะคลายตัวตาม
ความเครียดมันก็จะหายไป
เราก็ได้อยู่อย่างสงบสุขขึ้น
มีวิธีการที่จะคลี่คลายความทุกข์
ให้ตนเอง..."
ธัมโมวาท โดยพระวิปัสสนาจารย์
ท่านเจ้าคุณ พระภาวนาเขมคุณ
(หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี)
San Nirvana
//.๕ โอกาส.. เพื่อเป็น..อรหันต์.//
๑. เมื่อฟังธรรมที่ถูกต้อง ซึ่งสอนเรื่องกรรม ศีล ภาวนา
๒. เมื่อแสดงธรรม คือ เมื่อเข้าใจถึงธรรมที่ถูกต้องแล้ว
(รู้ได้เองว่าเป็นโสดาบัน) ก็พอใจจะสอนธรรมให้ผู้อื่นรู้ด้วย
๓. เมื่อสาธยายธรรม นั่นคือ การสวดมนต์อย่างมีสมาธิ
๔. เมื่อตรึกตรองธรรม หรือเพ่งธรรมอยู่ในขณะนั้น
หมายความว่า รู้ถึงความหมายโดยรวมของธรรมนั้น
๕. เมื่อเจริญวิปัสสนาญาณ คือ พิจารณาทุกสิ่งด้วยธรรม
โสดาบันขึ้นไปเท่านั้นจึงจะวิปัสสนาได้
*** การฟังธรรมเป็นการชำระล้างจิตใจที่เศร้าหมองให้หมดไป ดุจน้ำใสล้างใจที่ขุ่น
“การปฏิบัติธรรม” คืออะไร?
จุดมุ่งหมายของ “การปฏิบัติธรรม” นั้นเพื่ออะไร?
.
“การปฏิบัติธรรม” มิใช่เป็นเพียงการแสดงแบบ หรือแสดงท่าทางด้วยกิริยาอาการภายนอก แท้จริงเป็น “การปฏิวัติดวงใจ” ของผู้ปฏิบัตินั้นเอง ให้กลับกลายจากความเป็นแหล่งที่รับทุกข์มาเป็นแหล่งที่เต็มไปด้วยสุข, จากความเป็นทาสไปสู่ความเป็นอิสระจากธรรมชาติฝ่ายต่ำของใจทุกๆประการ, ดวงจิตที่เคยถูกอวิชชาหุ้มห่อ กลับกลายเป็นจิตที่ผ่องใสแหลมคมต่อการทำลายรากเหง้าของความทุกข์หรือสิ่งที่ตนไม่พึงประสงค์, รวมความว่า เปลี่ยนดวงจิตที่เคยก่อสร้างทุกข์ ให้กลายเป็นก่อสร้างสุขเพื่อตัวเอง.
.
อาการกิริยาที่ฝึกฝนบำเพ็ญแต่ภายนอก เช่น ศีล ธุดงค์ สมาธิ นั้นๆ ก็คือการเริ่มลงมือปฏิวัติดวงจิตเป็นลำดับๆ จากหยาบไปหาละเอียดนั่นเอง.
.
อาการภายนอกเป็นเพียงเครื่องหมาย แต่ไม่เป็นเครื่องหมายที่แน่นอนเสมอไป เพราะถ้าผู้ใดปฏิบัติปฏิปทาเหล่านี้เป็นโลกาธิปไตยเพียงภายนอกให้โลกสรรเสริญแล้ว หาจัดเป็นการปฏิบัติธรรมได้ไม่ จัดเป็นการทำปลอมปฏิบัติธรรม
.
โดยนัยนี้ จะเห็นได้ว่า การปฏิบัติธรรมนั้นคือการปฏิวัติดวงจิตแท้ๆ ปฏิวัติดวงจิตที่เคยทุกข์ให้เป็นสุข ปฏิวัติสุขที่ไม่แท้ให้เป็นสุขที่แท้จริง จนกว่าจะลุถึงยอดสุข
.
กิริยาปฏิวัติในที่นี้ คือ การปลดเปลื้องชีวิตให้หลุดพ้นจากแอกอธิปไตยแห่งกิเลส ปราบกิเลสให้หมดอิทธิพล ให้เป็นอิสระแก่ตัวเองได้.
.
“กิเลส” นั้นได้แก่ ความรู้สึกตามสัญชาตญาณที่เป็นไปในฝ่ายต่ำ คือตามที่มันนึกใคร่อย่างไร และเป็นความรู้สึกของจิตที่ยังไม่ได้รับการศึกษาหรือขูดเกลาตามวิธีที่ถูกตรงตามหลักความจริง กิเลสเป็นของแฝงอยู่กับจิต และปรากฏตัวให้เห็นต่อเมื่อมีสิ่งยั่วให้มันลุกโพลงหรือพล่านขึ้นเป็นคราวๆ แล้วก็หายตัวเงียบแฝงอยู่ ดุจเดียวกับตัวหนังสือลับที่เขียนด้วยหมึกลับ จะปรากฏให้เห็นต่อเมื่อแช่กระดาษลงในน้ำ แห้งแล้วก็หายเสียฉะนั้น. เพราะมันแฝงตัวอยู่ได้อย่างลี้ลับ อย่างที่ค้นไม่เห็นตัว แต่มันอาจโผล่ออกมาเมื่อไรก็ได้ในทุกกาลทุกสถานที่ มันจึงเป็นเหมือนกับเป็น “สมบัติกายสิทธิ์” ของจิต ที่มีไว้สำหรับการแล่นท่องเที่ยวไปใน“ทะเลทุกข์”ด้วยกัน เหมือนคนกับเรือฉะนั้น. บางแห่งเราเรียกกิเลสนี้ว่า “กิเลสอย่างละเอียด” เพราะนอนในสันดาน และ เรียกปรากฏการณ์ของกิเลสที่ปรากฏอยู่ในใจว่า “กิเลสอย่างกลาง” และ ที่ปรากฏออกมากระทั่ง ทางกาย วาจา ว่า “กิเลสอย่างหยาบ” และเราวางหลักต่อไปว่า ศีล เป็นคู่ปรับกับกิเลสอย่างหยาบ, สมาธิ เป็นคู่ปรับกับกิเลสอย่างกลาง, และ ปัญญา เป็นคู่ปรับกับกิเลสอย่างละเอียด, และเรียกการบำเพ็ญธรรมที่เป็นคู่ปรับทั้ง ๓ อย่างนี้ว่า “การปฏิบัติธรรม”
.
“การปฏิบัติธรรม” คือการบำเพ็ญให้เต็มที่ในข้อปฏิบัติต่างๆ อันย่นลงแล้วเรียกว่า “ศีล สมาธิ ปัญญา”
.
ศีล คือ การชำระกายและวาจาให้บริสุทธิ์ ปราศจากโทษ เมื่อบริสุทธิ์แล้วเป็นเครื่องช่วยให้เกิดสมาธิ, สมาธิ คือ ความที่ใจผ่องใสตั้งมั่นเป็นจุดเดียว มีกำลังกล้าแข็งสำหรับการคิดปัญหาอันลี้ลับ การตีปัญหาลี้ลับ ก็คือ การบำเพ็ญปัญญา นั่นเอง เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “วิปัสสนาภาวนา”
.
พระพุทธภาษิตเหลือที่เหลือจะประมาณได้ ที่สอนให้ภิกษุในพระศาสนานี้เจริญศีล สมาธิ ปัญญา สมาธิและปัญญาเป็นงานทางใจชั้นประณีตที่สุด เพื่อให้เร็วเข้าจึงทรงสอนให้ตัด“ปลิโพธ” เครื่องกังวลรบกวนต่างๆ แล้วหลีกออกบำเพ็ญในที่สงัด ดังที่ทรงระบุไว้ คือ โคนไม้ ป่า และ เรือนว่าง ได้แก่ ถ้ำ ซอกเขา ป่าช้า ลอมฟาง กลางแจ้ง ป่าชัฏ ทรงสอนให้ตั้งหน้าคิดให้เห็นแจ้งตลอดเป็นลำดับไป เริ่มตั้งแต่การพิจารณาร่างกายนี้ ค้นให้พบสภาวะธรรมดาตามที่เป็นจริงอย่างไร จนหายยึดมั่น สลัดเครื่องเศร้าหมองของดวงจิตออกให้สิ้นเชิง มีปรีชาญาณไม่ติดขัดในปัญหาอันเกี่ยวกับชีวิต โดยเฉพาะคือสุขและทุกข์อีกสืบไป นี่คือ “การปฏิบัติธรรม” ซึ่งเป็นการทำลายรากเหง้าของความทุกข์ ได้แก่ อวิชชา”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : จากหนังสือ “ชุมนุมเรื่องยาว ของ พุทธทาสภิกขุ” หัวข้อเรื่อง “เรื่องเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม”
สิ่งที่ใช้ตรวจสอบ...“ผลการปฏิบัติธรรม”
.
…. “ในการตัดสินผลการปฏิบัติ ว่าใครก้าวหน้าไปแค่ไหน ใครเป็นผู้สำเร็จ ใครบรรลุธรรมเป็นอรหันต์หรือไม่? จะวัดกันด้วยอะไร?
เรามักจะตื่นเต้นกัน บางทีก็ตื่นเต้นด้วยอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เห็นท่านไหนมีอิทธิฤทธิ์ก็ฮือฮากันว่า โอ! ท่านคงจะสำเร็จแล้ว เป็นพระอรหันต์แล้ว ใครทำนั่นทำนี่ได้ก็เป็นผู้วิเศษ บางทีก็ตื่นกันว่าท่านผู้นั้นเข้าสมาธิได้ เห็นโน่น เห็นนี่ มองเห็นสวรรค์วิมาน แม้แต่ไปพบพระพุทธเจ้าได้ เป็นผู้สำเร็จ หรือบางทีเห็นผู้ที่ถือศีลเคร่งครัดมากเป็นพิเศษก็นึกว่า..นี่ เป็นผู้สำเร็จ
…. ทั้งหมดนั้น ก็เป็นเรื่องที่มองกันไปต่างๆ แต่การตรวจสอบผลสำเร็จที่แท้จริงนั้น ต้องวัดได้ที่ประสบการณ์ตรงที่ในใจของทุกคนนี่เอง
…. พระพุทธเจ้าทรงเห็นแล้วว่า คนเรานี่จะเขวได้ง่าย จึงตรัสหลักในการตรวจสอบไว้ การตรวจสอบด้วยประสบการณ์ตรง ก็คือ…
.
ให้ดูใจของตนเองว่า มีโลภ โกรธ หลง ไหม? แล้วละคลายไปได้แค่ไหน มีความก้าวหน้าในเรื่องนี้แค่ไหน เพียงไร มีความคิดประทุษร้ายต่อผู้อื่นหรือไม่ มีความเกลียดชังผู้อื่นหรือไม่ มีความต้องการในทางที่เห็นแก่ตนมากมายแค่ไหน เพียงไร มีความลุ่มหลงเพลิดเพลินมัวเมาแค่ไหน เพียงไร ใจตัวเองรู้
.
…. ถึงจะปฏิบัติมีศีลเคร่งครัดแค่ไหนเพียงไร หรือได้ฌานสมาบัติ มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์อะไร หรือจะได้สมาธิดื่มด่ำอะไรก็ตาม ก็ไม่ใช่เป็นเครื่องวินิจฉัย
…. ในพระธรรมบทก็มีคาถาซึ่งเป็นพุทธพจน์ ที่พระพุทธเจ้าตรัสเตือนไว้ว่า “ น สีลพฺพตมตฺเตน ” เป็นต้น คาถานี้มีใจความว่า ภิกษุไม่ว่าจะถือศีลวัตรเคร่งครัดแค่ไหน ไม่ว่าจะได้เล่าเรียนปริยัติมีความรู้กว้างขวางลึกซึ้งเพียงใด ไม่ว่าจะได้สมาธิสักเท่าใด ไม่ว่าจะปลีกตัวไปอยู่ในที่สงัด ไปอยู่ป่าอยู่เขาขนาดไหน หรือแม้แต่จะได้รู้สึกประจักษ์แก่ตัวเองว่า เรานี้ได้สัมผัสกับความสุขอันประณีตลึกซึ้งภายใน ที่เรียกว่า“เนกขัมมสุข” ซึ่งเป็นความสุขที่ปุถุชนไม่รู้จัก แม้แต่ได้ความสุขอย่างนั้น #ตราบใดที่ยังไม่สิ้นอาสวะก็อย่าเพิ่งวางใจ
…. เป็นอันว่า มีพุทธพจน์ตรัสเตือนไว้แล้ว ที่จริงท่านเตือนพระแต่ละองค์นั่นเอง ให้วินิจฉัยให้ตรวจสอบตนเอง แต่เราก็สามารถนำมาใช้กันในสังคมได้ด้วยว่า อย่าไปหลงเพลินวัดกันด้วยสิ่งที่ปรากฏอันน่าทึ่งน่าตื่นเต้น ด้วยการมีฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ ด้วยการที่ได้สมาธิ ด้วยการที่มีความเคร่งครัดเข้มงวดอะไรต่างๆ ทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งที่ท่านไม่ให้วางใจ
…. สิ่งที่ตรวจสอบได้แท้จริง คือ ความจางคลายหมดสิ้นไปของ ความโลภ ความโกรธ ความหลง...”
.
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต )
ที่มา : จากหนังสือ “ปฏิบัติธรรมให้ถูกทาง”
#ตัดความโลภจะเป็นผู้มีลาภ
#ตัดความโกรธจะเป็นผู้มีศีล
#ตัดความหลงจะเป็นผู้มีปัญญา
.....ข้ามไฟสามกอง ยิงนกหกตัวก็จบ" ไฟสามกองคืออะไร ก็คือไฟโกรธ ไฟโลภ ไฟหลง ยิงนกหกตัว ก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ยิงให้มัน ตายจากกิเลส
ให้เราสร้างแต่กรรมดี รู้จักบุญกุศลไม่มักมากในกิเลส ถ้าผู้ใดใฝ่ที่จะถึงการหลุดพ้น ท่านก็จะบอก ว่า "ข้ามไฟ3กอง ยิงนก6ตัว"
หยุดโกรธซะบ้าง ถึงแม้ว่าจะไม่หมดให้มันเบาบางลงไป
ความโลภ นั้น ถ้ามีสัมมาอาชีพ ทำมาหากินอย่างสุจริต ก็ไม่ถือว่าโลภ ที่ทุกคนจะต้องหากินหาอยู่ตามอัฐภาพ
ความหลง ก็อย่าไปหลงอุปกิเลสให้มากมายใฝ่ฝันยศถาบรรดาศักดิ์ มีลาภย่อมเสื่อมลาภ มียศย่อมเสื่อมยศ ไม่สมควรรู้ ลาภ ยศ สรรเสริญ รู้จักพอ รู้จักหยุด ใฝ่ในคุณธรรม สร้างประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน รู้จักเป็นผู้ให้เป็นผู้รัก รักผู้อื่นเท่ากับรักตัวเรา
หลวงปู่ทองทิพย์
ปล่อยวางทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบัน
อยู่กับความไม่มีไม่เป็น ว่าง สว่าง บริสุทธิ์
หยุดการปรุงแต่ง หยุดการแสวงหา หยุดกิริยาจิต
ไม่มีอะไรเลย ไม่ยึดถืออะไรสักอย่าง
พระอริยเจ้า มีจิตไม่ส่งออกนอก
จิตไม่หวั่นไหว จิตไม่กระเพื่อม
มีสติอย่างสมบูรณ์ เป็นวิหารธรรม
มีสติอย่างสมบูรณ์ เป็นเครื่องอยู่..
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
หลวงพ่อชา สุภัทโท
ความเป็นจริงอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
นี้เป็นของที่ให้เกิดปัญญา ถ้าเรารู้เรื่องตามความ
เป็นจริง ถ้าเราไม่รู้เรื่อง เราก็จะต้องปฏิเสธเลยว่า
ไม่อยากจะเห็นรูป ไม่อยากจะฟังเสียง ไม่อยากจะ
อะไรทั้งนั้นแหละ ว่ามันวุ่นวายอยู่ตรงนั้น เราตัด
เหตุมันออกเสียแล้ว จะเอาอะไรมาพิจารณาเล่า
ลอง ๆ ซิ อะไรจะเป็นเหตุ อะไรจะเป็นเบื้องต้น
ท่ามกลาง เบื้องปลาย มันจะมีไหม นี่ อันนี้คือ
ความคิดผิดของพวกเราทั้งหลาย
ดังนั้น ครูบาอาจารย์ท่านจึงให้สํารวม การสํารวม
นี้แหละ มันเป็นศีล ศีลสังวร ตา หู จมูก ลิ้น
กาย ใจ นี้เป็นศีล เป็นสมาธิ เหล่านี้ เราคิดดู
// การสวดมนต์//
มีองค์๓ ครบ
๑. กาย มีอาการสงบเรียบร้อยและสำรวม
๒. วาจา กล่าวขอขมา สรรญเสริญ พระรัตนตรัย
๓. ใจมีความเคารพนบนอบต่อคุณพระรัตนตรัย
..มีการกล่าวถึง ความดีแห่งพระรัตนตรัย
.. มีการ กล่าวถึง พระธรรมคำสอนของพรพุทธะองค์
.. มีการ ทำให้จิตเป็นสมาธิ ตั้งมั่น
**แล้วใช้สติพิจารณา กาย ใจ จนเกิดปัญญา จนสำเร็จจนเป็นอรหันต์
....การสวดมนต์ เป็นทั้งธรรมทาน พุทธานุสสติ ธรรมานุสติ สังฆานุสสติ และ ศีลานุสสติ
จริตในการปฏิบัติ หากฟุ้งซ่านมาก
แต่ละคนมีจริตต่างกัน มีใจที่วอกแวกฟุ้งซ่านแตกต่างกัน คําบริกรรมนั้นเปรียบเหมือนเชือกที่เข้ามาช่วยมัดใจ เพิ่มอีกหนึ่งเส้น ทําให้ใจสงบอยู่กับคําบริกรรม ทําให้ฟุ้งซ่านน้อยลง เกิดสมาธิได้ง่ายขึ้น แต่ หากจิตใจเราเป็นคนสงบฟุ้งซ่านน้อย คําบริกรรมก็ไม่จําเป็นครับ ให้ " รู้สึก สัมผัส กับลมหายใจ เข้า ออก ตรงที่รู้สึกกับลมนี้ เป็นการเข้าไปเจริญสติในระดับจิต เพราะความรู้สึกที่เกิด เกิดในระดับจิต ที่ยังไม่ถูกปรุงแต่ง ให้ความหมาย " แล้วเมื่อเข้าสมาธิถึงในระดับหนึ่ง จิตจะปล่อยวางจากสัญญาสังขาร คําบริกรรมก็จะหายไปอยู่ดี เมื่อคําบริกรรมหายไป อยู่กับสมาธิก็ ไม่ไปดึงเอาคําบริกรรมกลับมาอีก มันจะไม่ก้าวหน้าเป็นการวนอยู่กับสมถะ ไม่ข้ามเข้าสู่การเจริญวิปัสสนา
Trader Hunter พบธรรม
10 ข้อคิด "ปฏิบัติธรรมอย่างไรไม่ให้หลงทาง"
1. เราไม่ได้ปฏิบัติธรรมเพราะเราเป็นคนดี แต่เราปฏิบัติธรรม เพราะเรารู้ว่า เรายังมีความเลวอยู่ เมื่อปฏิบัติธรรมแล้ว เราจะยิ่งเห็นความเลว ของตัวเองมากขึ้น ถ้าปฏิบัติธรรมแล้ว เห็นแต่ความดีของตนเอง ให้สันนิฐานเอาไว้เลยว่า เรากำลังปฏิบัติธรรมแบบผิดๆ อยู่
2. ความดีของครูบาอาจารย์ ไม่ใช่ความดีของเรา แม้เราเป็นลูกศิษย์ของพระอรหันต์ ก็ใช่ว่าเราจะมีคุณธรรมเหมือนท่าน อย่านำครูบาอาจารย์มาโอ้อวดกัน เราอาจมีครูบาอาจารย์ที่ประเสริฐที่สุด แต่เราอาจจะเป็นคนที่เลวที่สุดก็ได้
3. สุขและทุกข์เป็นสิ่งที่ควรละทั้งคู่ เราไม่ควรหลงประเด็นว่า จะละเพียงทุกข์ แต่จะกอดสุขไว้ เพราะมันคือเหรียญสองด้าน จะเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นไปไม่ได้
4. ถ้าจะมีความรัก ก็ขอให้รักด้วยเมตตา อย่ารักด้วยตัณหาราคะ รักแบบราคะตัณหา มุ่งไปที่การครอบครอง ทำให้เกิดความเห็นแก่ตัว เป็นการใช้ความรัก เพื่อประโยชน์ ในการเสพสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กายเป็นสำคัญ รักในลักษณะนี้ เป็นรักแบบสัตว์ ไม่ใช่ความรักแบบมนุษย์ผู้เจริญ
5. ลาภ ยศ สรรเสริญ และความสุขจากกามคุณห้า สิ่งเหล่านี้มีอำนาจสูงมาก ที่ทำให้เกิดความหลง เมื่อเราต้องอยู่ร่วมกับสิ่งเหล่านี้ ควรอยู่ร่วมอย่างมีสติ ขาดสติเมื่อไหร่ เราย่อมตกอยู่ใต้อำนาจของโลกธรรมแปด
6. อย่านินทาใคร อย่าวิจารณ์ผู้อื่นในทางเสียหาย หรือไม่เป็นประโยชน์ เขาเป็นอย่างไรก็เรื่องของเขา เราควรเพ่งมองความเลวของตนเอง ควรใช้เวลา ไปกับการสำรวจความเลวของตน มากกว่าไปมองความไม่ดีของผู้อื่น
7. สิ่งที่สำคัญกว่าศีล คือพรหมวิหารสี่ ได้แก่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ถ้าเราสนใจแต่การถือศีล โดยไม่สนใจเจริญเมตตา ศีลจะกลายเป็นความดี ที่ไล่กัดเรา สร้างความอึดอัดให้เรา ผู้ปฏิบัติธรรม ควรยึดความเมตตาเป็นสำคัญ ผู้ใดที่มีใจอยู่ในพรหมวิหารธรรม ผู้นั้นย่อมถือศีลอยู่แล้วเป็นปกติ
8. ปฏิบัติธรรมแล้ว จิตต้องเบิกบาน สติปัญญาในชีวิตต้องเพิ่มขึ้น ความอยากได้สิ่งต่างๆ ต้องลดลง สามสิ่งนี้ คือเครื่องชี้วัดว่า การปฏิบัติธรรมของเราว่า ได้ผลมากน้อยแค่ไหน
9. ความขี้เกียจ คือตัวการใหญ่ ที่ทำให้เราปฏิบัติธรรมไปไม่ถึงไหน ถ้าเป็นฆราวาส เมื่อปฏิบัติธรรมแล้ว จะต้องขยันทำงานมากขึ้น ไม่ใช่ยิ่งปฏิบัติธรรมยิ่งขี้เกียจ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่ใช่การปฏิบัติธรรม นอกจากนี้ ยังต้องมีความขยัน ในเรื่องการภาวนามากขึ้นด้วย การปฏิบัติธรรมในรูปแบบ ยังเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอยู่
10. กิเลสคือสิ่งร้ายกาจ ฉลาดที่สุดในโลก ทุกสิ่งที่เรากระทำอยู่ โดยมากแล้ว เป็นไปภายใต้การครอบงำ ของกิเลส บางครั้งกิเลสก็มาในนามความดี บางครั้งกิเลสก็มาในนามปัญญา
กิเลสคือสิ่งครองโลกครองใจ มันมาทุกทิศทุกทาง
ผู้ปฏิบัติธรรมไม่ควรประมาท คิดว่า “ตนเอาอยู่”
ไม่เคยมีใครเอากิเลสอยู่ นอกจากคนหมดกิเลส!!!
การสำรวมกายวาจาจึงเป็นสิ่งสำคัญ
ถึงแม้เรายังฆ่ากิเลสไม่ได้
แต่เราก็อย่าทำให้ผู้อื่นต้องเดือดร้อน เพราะกิเลสของเรา!!!
การปฏิบัติธรรมนานๆ...
ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดว่าเราปฏิบัติได้ตรงต่อธรรมหรือเปล่า
ถ้าทำแล้วตรงต่อธรรม คือเป็นไปเพื่อละ
เพื่อสละ เพื่อวางความโลภ ความโกรธ ความหลง
แล้วมันเบาบางลงได้
....อันนี้ถึงเป็นตัวชี้วัด เพราะใจจะนิ่งขึ้น เย็นขึ้น เบิกบานขึ้น
ถ้าปฏิบัติแล้วสิ่งเหล่านี้ไม่ลดลง แต่กลับเพิ่มมากขึ้น ตัวตนเยอะขึ้น เป็นไปเพื่อความยึดมั่นถือมั่น ไม่ฟังใคร ทิฐิ มานะเยอะขึ้นแล้ว
....อย่างนี้มันยังไม่ตรงต่อธรรม
ให้รีบพิจารณาตนเองว่าเราปฏิบัติได้ตรงต่อธรรมหรือเปล่า
" เพราะที่สุดของการปฏิบัติธรรมคือ
สิ้นราคะ โทสะโมหะ "
ถ้าตรงแล้ว... มันจะเป็นไปเพื่อ ละมานะทิฐิอัตตาตัวตน
" ฉะนั้นการปฏิบัตินานไม่ได้บอกผล
แต่ผลคือ... ต้องวัดที่ตัวเราเอง"
" ปฏิบัติแล้วต้องเป็นคนธรรมดา ไม่ใช่เหนือธรรมดา " สนุกสนานธรรมดาได้ เป็นคนปล่อยวางง่าย ๆ สบาย ๆ เป็นธรรมชาติ
นักปฏิบัติจริง ๆ คนภายนอกอาจดูไม่ออก
มันไม่ได้ดูที่การแต่งกาย หรือความน่าเชื่อถือ
มันเป็นแค่เปลือกนอก
....ของจริงเป็นคนธรรมดา ที่ใจมันวางได้นี่แหละ
คนที่ปฏิบัติตรงต่อธรรมของพระพุทธองค์
จะกลายเป็นธรรมชาติมากขึ้น
" เป็นคนธรรมดา ไม่ใช่คนเหนือธรรมดา "
เพราะฉะนั้นผลของการฝึกในขั้นสุดท้ายคือ...
การกลับเป็นคนธรรมดา
เพื่อมองทุกอย่างเป็นของธรรมดา ไม่มีดี ไม่มีชั่ว
ทุกอย่างเป็นสิ่งสมมุติ ซึ่งเป็นไปตามวงจรของกรรมทั้งสิ้น
-------------------------------
พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
"ดวงตาเห็นธรรมนั้น คือ ดวงตาเห็นอะไร คือ ดวงตาเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดเป็นเบื้องต้น ความแปรไปเป็นท่ามกลาง ความดับเป็นที่สุด สิ่งใดสิ่งหนึ่งก็คือทั้งหมด จะเป็นรูปก็ช่าง จะเป็นนามก็ตาม สิ่งใดสิ่งหนึ่งครอบรวมเลยทีเดียว ได้แก่ ธรรมชาติทั้งหมดเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จะเป็นรูปธรรมก็ช่าง จะเป็นนามธรรมก็ตาม เกิดขึ้นแล้วก็แปรดับไป อย่างตัวสกลร่างกายของเราก็เหมือนกัน มันเกิดแล้วก็แปรไปตามธรรมดาของมัน แล้วมันก็ดับไป
ธรรมชาติเหล่านี้ เรียกว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ความเห็นหรือความเข้าใจอันเกิดมาจากผู้รู้ในคราวที่นั่งฟังธรรมอยู่นั้น เข้าไปถึงใจของพระอัญญาโกณฑัญญะ จนเป็นเหตุให้ถอนตัวอุปธิ หรืออุปาทาน ออกจากสังขารทั้งหลายทั้งปวงนั้นได้ เป็นต้นว่า สักกายทิฏฐิ คือ อาการที่ไม่ถือเนื้อถือตัวทั้งหลายนี้ เห็นตามสกลร่างกายของเราแล้วก็ไม่เห็นว่าเป็นตัวเป็นตนของเรา เห็นชัดลงไปจนเป็นเหตุให้ถถอนจากอุปาทานั้น ไม่ถือตัวซึ่งเป็นสักกายทิฏฐิ และไม่มีวิจิกิจฉา
เมื่อถอนอุปาทานออกมาจากความยึดมั่นถือมั่นแล้ว ก็มิได้สงสัยเลยในธรรมทั้งหลายหรือในความรู้ทั้งหลาย เข้าไปเห็นธรรมทั้งหลายเหล่านี้แล้วก็เปลี่ยนออกไปเลยที่เดียว รู้ว่านี่วิจิกิจฉา นี่สีลัพพตปรามาส การปฏิบัติของท่านนั้นแน่แน่วตรงเข้าไป ไม่ได้เคลือบแคลงสงสัยไม่ได้ลูกหรือไม่ได้คลำ ถึงแม้ว่าสกลร่างกายมันจะเจ็บจะไข้เป็นไปอย่างใด ท่านก็ไม่ได้สงสัยเสียแล้ว
การที่ไม่ได้สงสัยนี้ก็คือถอนอุปาทานออกมาแล้ว ถ้ามีอุปทานอยู่ก็ต้องไปลูบไปคลำในสกลร่างกายนี้ อาการลูบคลำในสกลร่างกายนี้เป็นสีลัพพตปรามาส เมื่อถอนสักกายทิฏฐิออกจากกายนี้ สีลัพพตปรามาสก็หมดไป วิจิกิจฉาก็เลิก สีลัพพตปรามาสก็เลิก ถ้ายังมีสีลัพพตปรามาสอยู่ วิจิกิจฉาก็อยู่ อุปาทานก็ยังอยู่
อันนี้แสดงว่าธรรมะที่สมเด็จพระบรมศาสดาของเราแสดงคราวนั้น พระอัญญาโกณฑัญญะฟังแล้วได้ดวงตาเห็นธรรม ดวงตาอันนั้นก็คือผู้รู้แจ้งนั่นเอง เรียกว่า ดวงตาเห็นธรรม คือ เห็นธรรมหรือธรรมดาอันนี้เอง เมื่อเห็นชัดลงไปอย่างนี้ก็ถอนอุปาทานได้"
...... หลวงปู่ชา สุภทฺโท