< อานาปานสติ ๑๖ ขั้นตอน >
ตอน ๔
》หมวดที่ ๔ คือหมวดธรรมานุปัสสนา จะมีอยู่ ๔ ขั้นคือ
ขั้นที่ ๑๓ ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความไม่เที่ยงอยู่เป็นประจำ จักหายใจเข้า
ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความไม่เที่ยงอยู่เป็นประจำ จักหายใจออก
● ขั้นที่ ๑๓ นี้จะให้ฝึกตามเห็นความไม่เที่ยงอยู่เป็นประจำ คือเมื่อฝึกจิตได้ตามต้องการแล้วก็ใช้จิตนี้มาตามดูลักษณะที่ไม่เที่ยงในสิ่งต่างๆ ทั้งหลายของโลก โดยเฉพาะในขันธ์ ๕ หรืออายตนะทั้งหลายของเรา เป็นต้นอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ก็ตาม ซึ่งแม้ลมหายใจก็สามารถนำมาดูให้เห็นถึงความไม่เที่ยงได้
ขั้นที่ ๑๔ ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความจางคลายอยู่เป็นประจำ จักหายใจเข้า
ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความจางคลายอยู่เป็นประจำ จักหายใจออก
● ขั้นที่ ๑๔ นี้จะให้ฝึกตามเห็นความจางคลายอยู่เป็นประจำ คือเมื่อมองเห็นความไม่เที่ยงอย่างแรงกล้าด้วยสมาธิอยู่นั้น (เมื่อเห็นอนิจจังก็ย่อมที่จะเห็นทุกขังและอนัตตาอยู่ด้วยเสมอ) และจิตก็จะปล่อยวางความยึดติดในอารมณ์ต่างๆที่สั่งสมเอาไว้ คือจะเกิดวิราคะ (ความจางคลาย หรือคลายกำหนัดติดใจ) ขึ้นมาเสมออันทำให้สังโยชน์ค่อยๆถูกทำลายลง ซึ่งขั้นนี้ก็ให้มาดูความจางคลายนี้เป็นประจำแทน
ขั้นที่ ๑๕ ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความดับไม่เหลืออยู่เป็นประจำ จักหายใจเข้า
ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความดับไม่เหลืออยู่เป็นประจำ จักหายใจออก
● ขั้นที่ ๑๕ นี้จะให้ฝึกตามดูความดับไม่เหลืออยู่เป็นประจำ คือเมื่อเกิดความจางคลายขึ้นมาเรื่อยๆจนสังโยชน์ถูกทำลายหมดสิ้น ก็จะทำให้เกิดสมุจเฉทวิมุติขึ้นมา ซึ่งเป็นความดับไม่เหลือที่จะต้องให้มาตามดับอีก ซึ่งขั้นนี้ก็ให้มาดูที่ความดับไม่เหลือนี้แทน
ขั้นที่ ๑๖ ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความสลัดคืนอยู่เป็นประจำ จักหายใจเข้า
ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความสลัดคืนอยู่เป็นประจำ จักหายใจออก
● ขั้นที่ ๑๖ นี้จะให้ฝึกดูความสลัดคืนอยู่เป็นประจำ คือเมื่อมีความหลุดพ้นถาวรแล้วจิตก็จะสลัดคืนสิ่งที่สัมผัสจิตอยู่เสมอ ซึ่งการสลัดคืนนี้ก็คือไม่รับเอาเข้ามายึดติดให้เป็นอนุสัย (ความเคยชินของกิเลส) อีกต่อไป เมื่อจิตสัมผัสกับอารมณ์ใด จิตก็จะมีสติสัมปชัญญะเต็มที่ในการกำหนดรู้ว่า “สักแต่ว่ารู้”เท่านั้น ไม่มีการสำคัญมั่นหมายว่าเป็นตัวตนใดๆ ซึ่งขั้นนี้ก็ให้มาดูความสลัดคืนนี้จนชำนาญ ซึ่งความชำนาญนี้จะเป็นตัวคอยระวังจิตไม่ให้กลับมายึดถืออะไรๆให้เป็นตัวตนอีกต่อไปจนกว่าจิตจะดับลงเมื่อร่างกายตาย
》หลักสำคัญในการเจริญอานาปานสติก็คือ จะต้องมีความเห็นแจ้งอนัตตากำกับอยู่ด้วยทุกขั้นตอน และจะต้องปฏิบัติไปตามลำดับคือจากขั้นที่ ๑ ขึ้นไปเรื่อยๆ ถึงแม้เราจะปฏิบัติถึงขั้นใดแล้วก็ตาม แต่พอจะเริ่มปฏิบัติใหม่ก็จะต้องมาเริ่มที่ขั้นที่ ๑ ก่อนเสมอ
》 อานิสงส์ของอานาปานสติ
ผลจากอานาปานสติ ๑๖ ขั้นตอนนี้
▪เมื่อฝึกสำเร็จจะทำให้สติปัฏฐาน ๔ บริบูรณ์
▪เมื่อสติปัฏฐาน ๔ บริบูรณ์ก็จะทำให้โพชฌงค์ ๗ บริบูรณ์
▪เมื่อโพชฌงค์ ๗ บริบูรณ์ ก็จะทำให้ทำวิชชาและวิมุติบริบูรณ์
คือทำให้บรรลุอรหันต์ในปัจจุบัน หรือบรรลุเมื่อกาลมรณะ หรืออย่างต่ำสุดก็เป็นอนาคามี ซึ่งนี่เป็นการปฏิบัติจนครบทั้ง ๑๖ ขั้นตอน แต่ถ้าใครไม่สามารถปฏิบัติได้ครบก็ให้ปฏิบัติเพียงขั้นที่ ๑ แค่พอให้จิตสงบบ้างแล้วก็เอามาเป็นพื้นฐานข้ามไปปฏิบัติขั้นที่ ๑๓ เลยก็ได้ ซึ่งผลที่ได้อาจจะต่างกันที่ไม่มีความสามารถพิเศษเป็นของแถม เช่น มีความรู้แตกฉาน, สอนคนอื่นได้, หรือรู้วาระจิตผู้อื่นได้ เป็นต้น เท่านั้น แต่ความหลุดพ้นจะเหมือนกัน
~~~~~~~~~ จบ บริบูรณ์ ~~~~~~~~~~~~~
< อานาปานสติ ๑๖ ขั้นตอน >
ตอน ๓
》หมวดที่ ๓ คือหมวดจิตตานุปัสสนา จะมีอยู่ ๔ ขั้นคือ
ขั้นที่ ๙ ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต จักหายใจเข้า
ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต จักหายใจออก
● ขั้นที่ ๙ นี้จะให้ฝึกรู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต คือเมื่อจิตบรรลุฌานที่ ๔ แล้วก็แสดงว่าจิตบริสุทธิ์แล้ว ก็ให้มาดูสภาวะของจิตที่บริสุทธิ์นั้นว่ามันเป็นอย่างไร จะได้รู้ซึ้งถึงจิตของผู้ที่บริสุทธิ์ทั้งหลายว่าเป็นเช่นไร
ขั้นที่ ๑๐ ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่งอยู่ จักหายใจเข้า
ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่งอยู่ จักหายใจออก
● ขั้นที่ ๑๐ นี้จะให้ฝึกทำจิตให้ปราโมทย์ คือเมื่อรู้จักจิตที่บริสุทธิ์ดีแล้ว ก็เปลี่ยนมาฝึกจิตให้ร่าเริงอยู่เสมอในทุกสภาวะจนชำนาญ
ขั้นที่ ๑๑ ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตให้ตั้งมั่นอยู่ จักหายใจเข้า
ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตให้ตั้งมั่นอยู่ จักหายใจออก
● ขั้นที่ ๑๑ นี้จะให้ฝึกทำจิตให้ตั้งมั่น คือเมื่อทำจิตให้ร่าเริงจนชำนาญแล้ว ก็เปลี่ยนมาฝึกจิตให้ตั้งมั่นอยู่เสมอในทุกสภาวะจนชำนาญ
ขั้นที่ ๑๒ ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตให้ปล่อยอยู่ จักหายใจเข้า
ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตให้ปล่อยอยู่ จักหายใจออก
● ขั้นที่ ๑๒ นี้จะให้ฝึกทำจิตให้ปล่อยอยู่ คือเมื่อฝึกจิตให้ตั้งมั่นตามต้องการได้แล้ว ก็เปลี่ยนมาฝึกจิตให้ปล่อยวางอารมณ์ต่างๆอยู่เสมอ คือฝึกไม่ยึดถือทุกสิ่งในโลกว่าเป็นตัวเรา-ของเราหรือเป็นตัวตนของใครๆอยู่เสมอ
< อานาปานสติ ๑๖ ขั้นตอน >
ตอนที่ ๒
》หมวดที่ ๒ คือหมวดเวทนานุปัสสนา จะมีอยู่ ๔ ขั้นคือ
ขั้นที่ ๕ ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งปีติ จักหายใจเข้า
ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งปีติ จักหายใจออก
● ขั้นที่ ๕ นี้จะให้ฝึกรู้พร้อมเฉพาะซึ่งปีติ โดยการฝึกเพ่งต่อไปจนจิตเลื่อนขึ้นสู่ฌานที่ ๒ ก็ให้เอาปีติจากฌานที่ ๒ มาใช้เพ่งดูว่ามันเป็นอย่างไร มันตื่นเต้นซาบซ่านอย่างไรให้แจ่มแจ้ง จนจิตเลื่อนขึ้นสู่ฌานที่ ๓
ขั้นที่ ๖ ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข จักหายใจเข้า
ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข จักหายใจออก
● ขั้นที่ ๖ นี้จะให้ฝึกรู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข โดยการเอาสุขจากฌานที่ ๓ นั้นมาพิจารณาดูว่ามันสุขสงบอย่างไรให้แจ่มแจ้ง
ขั้นที่ ๗ ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร จักหายใจเข้า
ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร จักหายใจออก
● ขั้นที่ ๗ นี้จะให้ฝึกรู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร ซึ่งจิตตสังขารนี้ก็หมายถึง สิ่งที่มาปรุงแต่งจิต โดยสุขเวทนานี่เองที่เป็นสิ่งมาปรุงแต่งจิตให้เกิดกิเลสตัณหาขั้นมา ดังนั้นในขั้นนี้เราจะเปลี่ยนมาดูสุขจากฌานที่ ๓ ในแง่ที่ว่ามันเป็นสิ่งปรุงแต่งจิตให้ลุ่มหลงติดใจได้อย่างไร
ขั้นที่ ๘ ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตตสังขารให้รำงับอยู่ จักหายใจเข้า
ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตตสังขารให้รำงับอยู่ จักหายใจออก
● ขั้นที่ ๘ นี้จะให้ฝึกทำจิตตสังขารให้ระงับ คือการทำสุขจากฌานที่ ๓ ให้ดับหายไป ซึ่งก็ทำได้โดยฝึกฌานที่ ๓ จนชำนาญแล้วสุขจากฌานที่ ๓ ก็จะหายไป แล้วจิตก็จะเลื่อนขึ้นมาเป็นฌานที่ ๔ ที่ไม่มีสุขมารบกวนจิต จะมีแต่ความรู้สึกจืดๆ ที่ไม่สุขและไม่ทุกข์เป็นอารมณ์เดียวเท่านั้น (อุเบกขา)
< อานาปานสติ ๑๖ ขั้นตอน >
การเจริญอริยมรรคนั้นมีทั้งอย่างเป็นระบบและอย่างไม่เป็นระบบ ซึ่งอย่างเป็นระบบก็คือการเจริญอานาปานสติ ๑๖ ขั้นตอน นอกนั้นเป็นการเจริญอย่างไม่เป็นระบบ ซึ่งการเจริญอานาปานสติ ๑๖ ขั้นตอนนี้จะเป็นการเจริญสติปัฏฐาน ๔ และสมถะกับวิปัสสนาอย่างสมบูรณ์ ถ้าปฏิบัติสำเร็จก็จะบังเกิดความหลุดพ้นอย่างถาวรได้และยังจะมีความสามารถพิเศษเป็นของแถมอีกด้วย
อานาปานสติ ๑๖ ขั้นตอนนี้จะแยกเป็นหมวดหมู่ตามสติปัฏฐาน ๔ อันได้แก่
》หมวดที่ ๑ คือหมวดกายานุปัสสนา จะมีอยู่ ๔ ขั้นคือ
ขั้นที่ ๑ เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้สึกตัวทั่วถึง ว่าเราหายใจเข้ายาว
เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้สึกตัวทั่วถึง ว่าเราหายใจออกยาว
● ขั้นที่ ๑ นี้จะใช้คำว่า “รู้สึกตัวทั่วถึง” คือจะให้เรามีสติรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลาในขณะที่หายใจทั้งเข้าและออกซึ่งในขั้นที่ ๑ นี้จะให้เราฝึกสังเกตลมหายใจยาว เพราะทำให้จิตสงบง่ายและกำหนดง่ายกว่าลมหายใจสั้น
ขั้นที่ ๒ เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้สึกตัวทั่วถึง ว่าเราหายใจเข้าสั้น
เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้สึกตัวทั่วถึง ว่าเราหายใจออกสั้น
● ขั้นที่ ๒ นี้จะเปลี่ยนให้ฝึกสังเกตลมหายใจสั้นบ้าง คือเมื่อเราสามารถกำหนดลมหายยาวได้จนชำนาญแล้ว ก็ให้เปลี่ยนมากำหนดลมหายในสั้นที่กำหนดได้ยากกว่าลมหายใจยาว ถ้าฝึกสำเร็จก็จะทำให้เก่งขึ้น
ขั้นที่ ๓ ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง จักหายใจเข้า
ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง จักหายใจออก
● ขั้นที่ ๓ นี้และทุกขั้นต่อไปจะใช้คำว่า “ย่อมทำในบทศึกษา” คือให้ปฏิบัติตามที่สั่งไว้ โดยขั้นที่ ๓ นี้จะสั่งให้ฝึกรู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง ซึ่งคำว่ากายทั้งปวงในที่นี้จะได้แก่
(๑) กายเนื้อ คือ ร่างกาย
(๒) กายลม คือ ลมหายใจ
(๓) นามกาย คือ จิต
คือในขั้นนี้จะเป็นการเรียนรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างร่างกาย ลมหายใจ และจิต คือ
▪ถ้าลมหายใจละเอียด (คือเบาและยาว) กายก็จะละเอียด (คือสงบ สบาย) และจิตก็จะละเอียด (คือสงบไม่ฟุ้งซ่าน)
▪แต่ถ้าลมหายใจหยาบ (คือเร็วและแรง) กายก็จะหยาบ (คือไม่สงบ ไม่สบาย) และจิตก็จะหยาบ (คือฟุ้งซ่านดิ้นรน)
▪ซึ่งที่เป็นเช่นนี้เพราะลมหายใจจะปรุงแต่งจิต (เพราะจิตกำหนดอยู่ที่ลมหายใจ) ส่วนจิตก็จะปรุงแต่งกาย (คือจิตควบคุมร่างกาย) และร่างกายก็จะปรุงแต่งลมหายใจ (คือกายควบคุมการหายใจ) ซึ่งจะปรุงแต่งกันวนเวียนอยู่เช่นนี้ตลอดเวลา
ขั้นที่ ๔ ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราจักเป็นผู้ทำกายสังขารให้รำงับอยู่ จักหายใจเข้า
ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราจักเป็นผู้ทำกายสังขารให้รำงับอยู่ จักหายใจออก
● ขั้นที่ ๔ นี้จะให้ฝึกทำกายสังขารให้ระงับลง ซึ่งกายสังขารก็หมายถึงสิ่งที่มาปรุงแต่งกาย โดยเราเข้าใจการปรุงแต่งกายมาแล้วจากขั้นที่ ๓ ดังนั้นการทำกายสังขารให้ระงับก็คือการบังคับให้ลมหายใจให้ละเอียดมากขึ้น คือเบาและยากมากขึ้น จนลมหายใจระงับหรือหายไป (ที่จริงลมหายใจไม่ได้หาย เพียงแต่ว่ามันละเอียดหรือเบามากจนเรากำหนดไม่ได้เท่านั้น ก็อย่าสนใจ ให้หายใจแรงขึ้นจนกำหนดได้) และจิตก็ตั้งมั่นมากขึ้น เมื่อฝึกสำเร็จ จิตก็จะบรรลุฌานที่ ๑ ที่มี วิตก วิจาร ปีติ สุขรวมกันเป็นอารมณ์เดียว
@@@ จบหมวดกายานุปัสสนา @@@
🌟วิธีใช้อานาปานสติทำให้เกิดฌาน🌟
~ทำอานาปานสติแล้วมาเดินปัญญาในสมาธิก็ได้~
🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣
ถ้าอยู่ๆ เราหายใจออกแล้วเรารู้สึกอยู่~ใจมันจะเบา
แต่ถ้าเริ่มต้นด้วยการหายใจเข้า~มันจะตั้งท่าปฏิบัติ
มันจะแข็งไป แข็งแล้วแก้ยาก
หายใจออกก่อนจะสบาย แล้วหายใจเข้าก็สบาย
ใจมันจะเบาๆ
🌼ใจที่เบา...ใจที่สบาย นี่แหละ เกิดสมาธิง่าย
ใจที่หนัก ที่แน่น ที่แข็งๆ เกิดสมาธิยาก
เพราะสมาธิเกิดจากความสุข
ฉะนั้น ท่านบอกให้หายใจออกก่อน
หายใจออกแล้วหายใจเข้า หายใจเข้าก็ไม่ได้เกร็งขึ้นมา
แค่เห็นร่างกายหายใจเข้ามา
เหมือนตอนที่เห็นร่างกายหายใจออก
ตอนหายใจออกไม่มีใครเกร็งอยู่แล้ว
...แล้วทำไมทีแรกต้องหายใจยาว?
เพราะจิตยังไม่สงบ ร่างกายต้องการออกซิเจนเยอะ
หายใจมันจะลึกๆ หน่อย มันจะยาว
พอหายใจไปแล้วมีความสุข
หายใจออกไปแล้วหายใจเข้า มีความสุข
จิตมีความสุข...จิตค่อยสงบ
พอจิตค่อยสงบขึ้นมา ลมหายใจจะตื้น ตื้นขึ้นๆ
หายใจน้อยลงๆ มันจะหายใจสั้นๆ
หายใจอยู่ที่ปลายจมูกเท่านั้นเอง
ไม่ได้หายใจลงไปถึงท้อง ถึงสะดือ ถึงหน้าอก
พวกภาวนาไม่เป็น
ถ้ามาหัดเริ่มหายใจก็จะหายใจไปที่หน้าอก
คนหายใจเป็นจะหายใจลงไปที่ท้อง
แปลกไหม เวลาจงใจหายใจ
มันจะไปหายใจด้วยหน้าอก
ถ้าหายใจตามธรรมชาติที่เราหายใจทุกวันนี้
มันหายใจลึกลงไปถึงท้อง
ในความรู้สึกนะ ลมไม่เข้าท้องหรอก
ไม่อย่างนั้นท้องป่องตาย
ถ้าหายใจตามธรรมชาติท้องจะพองท้องจะยุบ
หายใจแบบจงใจ เกร็งไว้ หน้าอกจะพองหน้าอกจะยุบ
เหนื่อยนะ หน้าอกเขามีกระดูกหุ้มไว้
เขาไม่ได้เอาไว้ให้พองเล่น พองได้ไม่มากหรอก
แต่ท้องขยายได้ หายใจแล้วสบาย
ฉะนั้นทีแรกหายใจ มันจะลงไปลึกหน่อย
หายใจไม่เป็นก็ลึกไประดับหน้าอก
หายใจเป็นก็ลึกลงระดับท้อง
พอจิตเริ่มรวม จิตเริ่มสงบ
ลมหายใจมันจะตื้นขึ้นมา จะสั้นๆ ๆ ขึ้นมา
เหมือนมาอยู่ที่จมูกเท่านั้นเอง
พอลมหายใจสูงขึ้นมา จิตมันจะสว่างขึ้นเรื่อยๆ
ตรงที่จิตสว่างขึ้นมาแล้ว
มีทางแยก
พวกหนึ่งอยากรู้อยากเห็นอะไร
ส่งแสงสว่างไป คล้ายๆ ฉายสปอตไลท์ไป
ฉายไปที่ไหนจิตก็ตามไปดูที่นั่น
นี่จิตออกนอกตัวจริง
ไปเทวโลกก็ได้ ไปพรหมโลกก็ได้ ไปบาดาลก็ได้
การที่เรารู้ลมหายใจจนกระทั่งมันกลายเป็นแสงสว่าง
มันกลายเป็นกสิณแสง
กสิณแสงมันทำให้ได้ทิพยจักษุ
กษิณแสงส่งไปที่ไหน ตาก็มองเห็นตามไปได้
ใจมันเห็นตามไป ไปเห็นนรก เห็นสวรรค์
ซึ่งก็ดีเหมือนกัน ในแง่ที่จะทำให้กลัวบาป
ไม่กล้าทำบาป อยากทำบุญ
เห็นอย่างนี้ทำให้มีศีล
อีกพวกหนึ่งเห็นแล้วลำพองว่า กูเก่งๆ
พวกนี้เห็นแล้วยิ่งแย่ใหญ่ เกิดกิเลส นี่ไม่ดี
ถ้าเห็นแล้วมีศีลมีธรรมนี่ดี ถ้าไม่เห็นก็ไม่เป็นไร
อย่าตามมันไป ให้จิตเป็นคนดูแสงไว้
จิตอย่าถลำเข้าไปในแสง
พอจิตเป็นคนดูแสง จิตมันชำนิชำนาญขึ้นมา
สติระลึกรู้ที่แสงสว่างนั้น เรียกว่ามีวิตกวิจาร
วิตกก็คือการที่จิตไปตรึกอยู่ในแสงสว่าง
วิจารคือจิตมันเคล้าเคลียอยู่กับแสงสว่าง
เคยได้ยินคำว่า "วิตก วิจาร" ใช่ไหม เราชอบไปคิดว่า
วิตกคือคิดๆ ไปเรื่อยๆ ... วิจารก็คือวิพากษ์วิจารณ์
นั่นคนไทยเอามาใช้หรอก
จริงๆ ~วิตกคือการที่จิตมันตรึกในอารมณ์
มันจับเข้าไปที่ตัวอารมณ์
~วิจารนี่จิตมันเคล้าเคลียอยู่กับตัวอารมณ์
พอจิตมีวิตกมีวิจาร ปีติมันเกิด
ก่อนจะมีปีติ จิตมันชำนาญในสมาธิขึ้นมาแล้ว
แสงสว่างนี่ ให้มันใหญ่ก็ได้ ให้มันเล็กก็ได้
ให้มันเต็มโลกก็ได้
ทำกระทั่งเหมือนพระอาทิตย์พระจันทร์เลยก็ได้
ทำให้เล็กๆ เหมือนปลายธูปเลยก็ได้
ให้จิตมันมีของเล่น ให้จิตมันสนุก
มีปีติขึ้นมา มีความสุขขึ้นมา
พอจิตมีปีติ มีความสุขขึ้นมาแล้ว
สติระลึกลงไปอีก
มีปีติแล้วไม่ต้องไปสนใจดวงสว่างนั้นอีกต่อไปแล้ว
เสียเวลา ทิ้งวิตกวิจารไป
สติระลึกรู้ปีติ ปีติมันโลดโผน
ในขณะที่มีปีติ ความจริงก็มีความสุขด้วย
แต่ว่าปีติมันฉูดฉาด สติจะไปเห็นปีติก่อน
ปีติมันหยาบกว่า มันชวนให้ดู
เหมือนเราไปซื้อเสื้อมาตัวหนึ่ง
เราก็เลือกมาอย่างดีแล้ว พอซื้อมากลับถึงบ้าน
เราพบว่ามันมีรูอยู่นิดหนึ่ง มันไปเกี่ยวอะไรขาดอยู่นิดหนึ่ง
เราไม่ดูเสื้อทั้งตัวแล้วทีนี้ เราจะเวียนดูรูที่ขาด
นึกออกไหม เพราะมันเร้าใจกว่า
เวลาปีติเกิดก็แบบเดียวกัน มันเห็นปีติเป็นของหวือหวา
มันไปดูปีติ ไม่อยากดูความสุข
ความสุขก็มีอยู่ในขณะที่มีปีติแต่ไม่ดู
พอปีติดับไป ความสุขก็เด่นขึ้นมา
ดูลงไปที่ความสุข ความสุขก็เป็นของหวือหวาอีก
แล้วจิตก็เป็นอุเบกขา
ตรงที่วิตก วิจารดับไป จิตจะเป็นผู้รู้ขึ้นมา
เพราะฉะนั้น ในฌานที่ ๒
จิตจะเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานขึ้นมา
ตรงนี้ถ้าทำอานาปานสติจนได้ฌาน ก็จะได้ตัวผู้รู้ขึ้นมา
ตั้งแต่ฌานที่ ๒ ๓ ๔ จะมีตัวผู้รู้แล้ว
ถ้าดูจิตต่อไปเรื่อยก็จะเข้า"อรูปฌาน"ไป
ไม่จัดเป็นอานาปานสติแล้ว เข้าอรูปฌานต่อ
🌟อันนี้เป็นวิธีใช้อานาปานสติทำให้เกิดฌาน
ในฌานนั้น เกิดจิตผู้รู้ขึ้นมา
คนที่ได้จิตผู้รู้จากสมาธิ
เมื่อออกจากสมาธิแล้ว ตัวรู้จะเด่นดวงอยู่อย่างนั้น
ถ้าสมาธิหนักแน่นพอนะ เด่นอยู่ได้หลายวัน
แต่ไม่เกิน ๗ วัน ก็จะเสื่อม
พอมีตัวรู้นี่เอาไว้ใช้เดินปัญญาได้
ถ้าคนไหนทำจนจิตถึงฌาน ๒ แล้วไปเดินปัญญาต่อในฌาน
.
วิธีเดินปัญญาในฌานก็ดูองค์ฌานนั่นแหละ
มีปีติเกิดขึ้น ก็มีสติรู้ทัน ปีติก็ดับ
เห็นไหมปีติเกิดได้ ปีติดับได้
ปีติจะเกิด ปีติก็เกิดได้เอง ไม่ใช่สั่งให้เกิด
เราแค่ไปรู้ไปเห็น ปีติเกิดแล้วก็ดับ
ความสุขก็เด่นชัดขึ้นมา
มีสติไปรู้ความสุขแล้วความสุขก็ดับ เกิดอุเบกขา
อุเบกขาเกิดแล้วเรามีสติรู้อุเบกขาไปเรื่อย
พอจิตมันเริ่มถอนออกจากสมาธิ
บางทีก็มีความสุขขึ้นมา บางทีก็มีปีติขึ้นมา
เวลาเข้าเวลาออกจากฌาน
ไม่จำเป็นต้องเรียงตามฌาน ๑ ๒ ๓ ๔
ถ้าชำนาญจริง จาก ๑ ขึ้นไป ๔ ลงมา ๒ ขึ้นไป ๓
แล้วออกมา ๑ ใหม่ก็ได้ พลิกไปพลิกมาได้
แต่ไม่ว่ามันจะพลิกยังไง องค์ฌานมันไม่เหมือนกัน
มันทำให้ฌานแต่ละฌานไม่เหมือนกัน
การที่เรามีสติรู้ทันความเปลี่ยนแปลงขององค์ฌาน
ตัวนี้แหละเป็นการเดินปัญญาในอัปปนาสมาธิ
หรือในฌาน การเดินปัญญาอยู่ในฌาน
ต่างกับการเดินปัญญาในอุปจารสมาธินะ
ในอุปจารสมาธิมันยังคิดผุดๆ ขึ้นมาอยู่
เราคอยรู้ทันสิ่งที่ผุดขึ้นมาแล้วมันก็หายไปเห็นไหม
ทำอานาปานสติแล้วมาเดินปัญญาในสมาธิก็ได้
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
Cr.หนังสืออานาปานสติ เพื่อการเจริญปัญญา
หน้าที่ ๙-๑๔
🌠 #มหาสติปัฏฐานสูตร..ตอนที่๕
พระพุทธเจ้าทรงแนะนำว่า...
เธอทั้งหลายจงอย่าสนใจทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ให้มีความรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกไม่มีอะไรทรงตัว
#อุปาทาน ยึดมั่นว่ามันทรงตัว ใช่ไหม
นี่ท่านแก้ว่าความจริงแล้วไม่มีอะไรทรงตัว มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ร่างกายเราเองก็ไม่มีการทรงตัว มีการสลายตัวไปในที่สุด ร่างกายคนอื่นก็เป็นเช่นเดียวกัน ร่างกายของสัตว์ก็เหมือนกัน วัตถุธาตุอื่นๆ ก็เหมือนกัน
รวมความ...ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดแล้วดับเหมือนกันหมด ในเมื่อสภาพเป็นอย่างนี้เราก็วางเฉย นี่เป็น #สังขารุเปกขาญาณ อารมณ์นี้เป็น อารมณ์อรหันต์ โดยตรง
ℹ️..คำว่า "วางเฉย" หมายความว่า...
เฉยในอารมณ์ แต่การปฏิบัติบำรุงรักษาต้องมีเป็นของธรรมดา หิวก็กิน ป่วยก็รักษา
จิตเข้าไปวางเฉย ถ้าความแก่เกิดขึ้นจิตใจก็ไม่ดิ้นรน ไม่เบื่อหน่ายแล้ว ตัดเบื่อ เลยเบื่อไป เบื่อนี่ยังมีการกลุ้มใจ
ตอนนี้ "สังขารุเปกชาญาณ" ไม่เบื่อ
เฉย อารมณ์ปกติ เมื่อความแก่เกิดขึ้นก็บอกว่าฉันทราบมานานแล้วว่าเธอจะแก่ อยากจะแก่ก็แก่ไปเธอพังเมื่อไรฉันไปนิพพานเมื่อนั้น
#ถ้าอาการป่วยไข้ไม่สบายเกิดขึ้นจิตเราก็ทราบแล้วว่าเราต้องป่วย_จิตใจก็เป็นสุข #ก็คิดว่าถ้าป่วยก็รักษาเป็นการระงับเวทนา_ถ้ารักษาไม่หายมันจะตายก็เชิญ #สภาพความตายมันต้องมีกับเราแน่นอน #ในเมื่อร่างกายนี้มันพังเมื่อไรฉันจะไปนิพพานเมื่อนั้น_จิตก็เป็นสุข
นี่ "สังขารุเปกขาญาณ"
ทำได้นะอารมณ์อรหันต์ จะทำที่ไหนก็ตามมีผลเหมือนกัน จะก่อนหลับหรือหลังตื่นใหม่ๆ ก็ได้ เวลากลางวันอาจจะทำงาน กลางวันอาจมีธุระ
ทีนี้เวลาก่อนจะหลับไม่มีธุระเอานิดหนึ่งศีรษะถึงหมอน นอนคิดจับภาพพระพุทธเจ้าก่อน
แล้วหลังจากนั้นก็มาทบทวนว่าร่างกายมันตายหรือไม่ตายก็ยอมรับว่าความตายมันมีแน่ เมื่อความตายมันมีเรามีที่พึ่งหรือยัง
พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ยอมรับนับถือแน่นอนไหม ความมั่นคงในจิตมีเราก็สบาย รู้ว่าเรามีที่พึ่ง
ต่อไปกำแพงกั้นอบายภูมิมีไหม คือศีล ๕ หรือกรรมบถ ๑๐ ถ้าศีล ๕ ไม่บกพร่อง กรรมบถ ๑๐ ไม่บกพร่อง
เราก็ถือว่ามีกำแพงกั้นอบายภูมิแล้ว ขึ้นชื่อว่าบาปทั้งหลายที่เราทำมาแล้วไม่มีโอกาสให้ผล คือไม่มีโอกาสลงอบายภูมิอีก เรามีหน้าที่อย่างเดียวถ้าตายจากความเป็นคนไปสวรรค์หรือไปพรหมหรือไปนิพพาน
ต่อนั้นมาก่อนจะหลับก็หวนจับอารมณ์ของ #มหาสติปัฏฐานสูตร_อุปาทานขันธ์
เราคิดว่าเราจะไม่ยึดถือทุกสิ่งทุกอย่างในโลกว่าเป็นเราเป็นของเรา เรามีอะไรเป็นที่พึ่งของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมบัติของโลกคือร่างกายของเรา ร่างกายคนอื่น ร่างกายของสัตว์ วัตถุธาตุไม่มีการทรงตัว เราจะวางเฉย อาการอย่างใดเกิดขึ้นมาถือเป็นเรื่องธรรมดาของมัน เราห้ามไม่ได้
ในเมื่อห้ามไม่ได้ก็ต้องปล่อยมัน ถ้ามันจะพังเราต้องการนิพพาน ก็ง่ายไม่ยาก ถ้าท่านทำได้วันละนิดละหน่อย
ดูตัวอย่าง #พระจุฬปันถก
พระจุฬปันถกมีนิพพิทาญาณนิดเดียวสมัยดึกดำบรรพ์ ตามบาลีท่านบอกว่าดึกดำบรรพ์ ท่านบอกสมัยดึกดำบรรพ์พระจุฬปัณถกเป็นพระมหากษัตริย์เลียบพระนครเหงื่อมันออกมาก็เอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดตัว ผ้าก็เปื้อนเหงื่อ ท่านมองดูว่า..ร่างกายเราสกปรกอย่างนี้เชียวหรือ ก็เกิดความเบื่อหน่ายร่างกาย คิดเท่านี้เองนะแล้วก็ไม่ได้คิดอีกเลย
ต่อไปเวลาที่ท่านจะสำเร็จอรหัตผล พระพุทธเจ้าทรงให้ใช้ผ้าเช็ดหน้าเอามือคลึง เพราะอาศัยกุศลเก่านิพพิทาญาณเก่าเข้าหนุนเป็นพระอรหันต์ทันทีทันใด สวัสดี.
(#พระมหาวีระ_ถาวโร ป.ธ.๔)
📖 :คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม ๕๙ หน้า ๑๐๓-๑๐๔
หลวงพ่อปราโมทย์ : เมื่อเช้าหลวงพ่อพูดเรื่องอานาปานสติให้ฟัง ไม่มีที่ไหนหรอก อย่างนี้ ในตำราก็ไม่ได้เขียนไว้มากมายอย่างนั้น ไม่ได้แจกแจงพิสดาร อานาปานสติ เรามีสติอยู่ทุกลมหายใจ อย่างนี้ดี มีสติไปอยู่ที่ลมหายใจ ลมหายใจจะค่อยๆสั้น ทีแรกลมยาว หายใจแล้วก็สั้นขึ้นๆ กลายเป็นความสว่าง อย่างนี้ก็ยังดี ได้สมถะ ถ้าหายใจแล้วเคลิ้ม ขาดสติไป อันนี้ไม่ดี สติอ่อนไป หายใจแล้วแน่นแข็งป๊อกขึ้นมาเลย เครียดๆ แข็งๆ นี่ สติแรงไป ไม่ดี จงใจมากไป
ถ้าพอดีๆ ลมหายใจสบายๆ ลมจะค่อยสั้นๆ สว่าง พอสว่างแล้ว จะเล่นกสิณก็ได้ เล่นกสิณแสงสว่าง อยากรู้อยากเห็นอะไรก็รู้ได้อยู่ ได้ทิพยจักษุ ได้กสิณแสงสว่าง หรือกสิณลม กสิณลมก็ได้ เห็นลมหายใจมันไหลเข้าไหลออก เป็นกสิณดินก็เห็นร่างกายที่หายใจ ไม่ได้ดูตัวลมตรงๆ แต่ลมหายใจมันก็อิงอยู่กับร่างกาย ก็ใช้ได้
ทำได้หลายอย่าง พลิกแพลงได้เยอะแยะ ถ้าไม่เล่นกสิณก็ไม่เป็นไร ไม่ให้จิตเข้าไปจับลมนะ แล้วสงบเข้ามา เข้าอุปจารสมาธิ พอได้อุปจารสมาธิแล้ว เดินปัญญาในอุปจารสมาธิก็ได้ เลยเข้าอัปปนาสมาธิ ไปพักอยู่ในอัปปนาสมาธิ เป็นที่พักของจิตก็ได้ ทำสมถะแล้วออกจากอัปปนาสมาธิ มาแยกธาตุแยกขันธ์ มาเดินปัญญา อันนี้เป็นสมาธินำปัญญา
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
ความแตกต่าง ของ สติปัฏฐานสูตร กับ อานาปานสติ 16 ขั้น
โดย พระอาจารย์มหาวรพรต กิตฺติวโร 🙏 🙏 🙏
"สิ่งที่แตกต่าง ที่ทรงสอนไว้ใน มหาสติปัฏฐานสูตร กับ อานาปานสติ 16 ขั้น ก็คือ
ในสติปัฏฐานสูตร พระองค์จะอุปมา ถึง กำแพงเมือง แล้วก็มี ประตูเมืองทั้ง 4 ด้าน
ไม่ว่า พ่อค้าจะเข้าด้านทิศใด เหนือ ใต้ ออก ตก ก็สามารถบรรจบกองดินใหญ่ที่กลางเมือง ได้ด้วยกันทั้งนั้น
ฉันใด สติปัฏฐาน สี่
ไม่ว่าจะเริ่มจาก กายในกาย
เวทนา ใน เวทนา
จิต ใน จิต
ธรรม ใน ธรรม
ก็สามารถที่จะชำระล้างบาป และอกุศลธรรมให้หมดสิ้นไปได้
ในชั้นของการเข้าประตูเมือง
ไม่ว่าจะเริ่มฐานกาย เวทนา จิต ธรรม
มันคือชั้นในระดับที่เรียกว่า สัมมาสติ
▪ คือ การระลึกรู้ที่ถูกต้อง ก็คือ เบื้องต้น
คำว่า เบื้องต้น ก็คือ จิตที่ยังสอดส่ายไปในอารมณ์ต่างๆ อยู่
แล้วฝึกหัดพัฒนาสติ ที่เรียกว่า สัมมาสติ คือการระลึกรู้ที่ถูกต้อง
ไม่ว่า จะเริ่มจาก ฐานกายก็ดี
ฐานกาย ก็ทรงสอนไว้หลายข้อ
ไม่ว่าจะเป็น ลมหายใจ ก็เป็น กาย อันหนึ่ง
อิริยาบถใหญ่ นั่งอยู่ ก็รู้กายที่นั่ง
ยืนอยู่ ก็รู้กายที่ยืน
เดินอยู่ ก็รู้กายที่เดิน
นอนอยู่ ก็รู้กายที่นอน
ตั้งกายไว้อย่างไร ก็รู้กายนั้นๆ
ก็เป็นข้อหนึ่ง
หรือ สัมปชัญญะ ทำความรู้สึกตัว ในขณะเดิน
ทำความรู้สึกตัว ในขณะคู้ เหยียด เคลื่อนไหว ก็เป็นกายอันหนึ่ง
ไม่ว่าจะเลือกข้อใดก็ตาม
พอทำปุ๊บ ฝึกไปมากๆ สติมีกำลัง สงัดจากกาม และอกุศลธรรม
เข้าถึง ปฐมฌาน
อันนี้ คือ เข้ามาในประตูเมืองแล้ว
ชั้นแรกที่จะเจอ คือ ชั้นที่เรียกว่า สัมมาสมาธิ
จาก สัมมาสติ เข้าสู่ชั้น สัมมาสมาธิ
ประตูอื่น ก็เช่นกัน
เช่น ในด้านของเวทนา
ในเบื้องต้นก็จิตยังสอดส่าย ก็ใช้เวทนาเป็นอุปกรณ์ในการเจริญสติ
สบายกาย ก็รู้
ไม่สบายกาย ก็รู้
เฉยๆ ก็รู้
รู้ขึ้นมาเนืองๆ
พอทำให้มาก เจริญให้มาก เกิดสติตั้งมั่น สงัดจากกามและ อกุศลธรรมเข้าถึงปฐมฌาน
เข้าถึงประตูเมือง มาสู่ชั้น สัมมาสมาธิ เช่นกัน
หรือ จะเลือกในด้าน พิจารณาจิตในจิต
พิจารณา จิตในจิต ในชั้นต้น ก็คือ ยังเป็นจิตที่ฟุ้งซ่านอยู่
จิต มีราคะ ก็รู้
จิต มีโทสะ ก็รู้
จิต ไม่ตั้งมั่น ก็รู้
รู้เนื้อ รู้ตัว ขึ้นมาเรื่อยๆ ทำให้มาก เจริญให้มาก จนเกิดสติตั้งมั่น สงัดจากกามและอกุศลธรรม เข้าถึงปฐมฌาน
เข้าประตูเมืองมาแล้ว เจอชั้น สัมมาสมาธิ เช่นกัน
หรือ จะเลือกด้าน พิจารณาธรรมในธรรม
ก็ทรงสอนเป็นหัวข้อ
ข้อ นิวรณ์
มี กามราคะ ก็รู้
ฟุ้งซ่าน ก็รู้
หดหู่ ก็รู้
ง่วงเหงา หาวนอน ก็รู้
รู้เนื้อ รู้ตัวขึ้นมาอยู่เสมอ ทำให้มาก เจริญให้มาก จนสงัดจากกาม และอกุศลธรรม เข้าถึงปฐมฌาน
เข้าประตูเมืองมาอีกแล้ว
ชั้นแรก ก็คือ ชั้นของสัมมาสมาธิ
ไม่ว่าจะเข้าชั้นใด จาก สัมมาสติ เข้าสู่ชั้นของ สัมมาสมาธิ สติตั้งมั่น
ซึ่งตรงนี้ คือ รูปแบบของ มหาสติปัฏฐานสูตร
แล้วใน อานาปานสติ 16 ขั้นล่ะ
ก็ทรงไต่ระดับตั้งแต่ ชั้นสัมมาสติ เช่นกัน
แต่ 4 ข้อแรก
ชั้นต้น เริ่มที่ ฐานของกาย
เพราะว่า ใช้ "ลมหายใจ" ก่อน
ตั้งกายตรง ดำรงสติมั่น 🧘♂️🧘♀️
มีสติ หายใจเข้า
มีสติ หายใจออก
หายใจเข้ายาว ออกยาว ก็รู้
หายใจเข้าสั้น ออกสั้น ก็รู้
รู้ กองลม ทั้งกอง
รู้ กาย ทั้งกาย
ทำกายสังขาร ให้ระงับ
4 ข้อแรก เป็น ฐานกาย
ตรงนี้ ก็อยู่ในระดับชั้นของ สัมมาสติ เช่นกัน
แต่เลือกข้อ ด้านกาย ด้านเดียว
ใช้ ลมหายใจ เป็นหลัก
พอฝึกไปมากๆ สติมีกำลัง ก็จะเข้าสู่ 4 ข้อ ถัดไป
ก็คือ
รู้ ปิติ
รู้ สุข
เห็น จิตตสังขาร
ทำ จิตตสังขาร ให้ระงับ
4 ข้อนี้ อยู่ในระดับชั้นของ สัมมาสมาธิ
ความตั้งมั่น ที่ถูกต้อง
ชั้น สัมมาสมาธิ จะมีชั้นต้น ก็คือ
ชั้นของ เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ในชั้นสัมมาสมาธิ
ก็คือ เกิดปิติ
เกิดสุข
เห็นจิตตสังขาร
และ จิตตสังขาร ระงับ
ตรงจิตตสังขาร ระงับ ถ้าว่าโดยลำดับฌาน จะจบลงที่ ฌานที่ 2
ก็คือ มีความผ่องใสอยู่ภายใน
มีธรรมอันเอกปรากฏขึ้น
ชุ่มไปด้วย ปิติ และ สุข เอิบอาบ ซาบซ่านทั่วทั้งกาย
ตอนนี้ เริ่มเห็นความแตกต่างไหม?
มหาสติปัฏฐานสูตร ก็คือเริ่มจาก สัมมาสติ ทั้ง 4 ด้าน
พอฝึกไป เข้าสู่สัมมาสมาธิ ทีนี้เหมือนกันแล้ว
*****
ส่วน อานาปานสติ
เริ่มต้นจากลมอย่างเดียวเลย กาย
4 ข้อแรก เป็นชั้น สัมมาสติอยู่
พอฝึกไปมากๆ สติมีกำลัง เข้าสู่ สัมมาสมาธิ
4 ข้อถัดไป อยู่ในระดับของสัมมาสมาธิ ชั้นต้น เป็นชั้นของเวทนา เพราะว่า มันเป็นชั้นความรู้สึกตัวอยู่
แต่เป็นชั้นความรู้สึกตัว ในระดับของสมาธิ
จากนั้น เมื่อฝึกไปเรื่อยๆ สติละเอียดขึ้นไปอีก
วางจากฐานของเวทนา เข้าไปสู่ฐานของจิต
จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ตรงนี้ก็จะมี
รู้จิต
รู้จิตที่ปราโมทย์ยิ่ง
รู้จิตที่ตั้งมั่น
เปลื้องจิต
ในระดับ จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ตรงนี้ ถ้าเทียบระดับฌาน จะอยู่ในระดับของ ฌานที่ 3 และ ฌานที่ 4
ตรงฌานที่ 3 ปิติ ระงับไปแล้ว
เพราะฉะนั้น ความรู้สึกตัวในชั้นเวทนาระงับไปแล้ว
ความรู้สึกตัวระงับไป
แต่ความรู้สึกของจิตใจ เด่นขึ้นมาแทน
ความสุขมันเกิดอยู่ที่ใจ
มันจะเบาขึ้นไปเรื่อยๆ ตรงนี้สมองหาย ก็คือ จิตตสังขาร มันระงับไปแล้ว เสียงพูดในใจมันหายไปแล้ว
มันจะโล่ง โปร่ง ขึ้นไปเรื่อยๆ
สุข เป็นลักษณะเด่น
ในระดับของฌานที่ 3 พระพุทธเจ้าจะตรัสไว้ว่า
มีสุขด้วยนามกาย สุขเป็นลักษณะเด่น
เสวยความสุขด้วยนามกาย เป็นผู้มีสติ สัมปชัญญะ มีอุเบกขา
ฌานที่ 3 สติสัมปชัญญะ จะทรงตัวมาก
สุขเป็นลักษณะเด่น มีความโล่ง โปร่งเบาสบาย
ตรงนี้ ความรู้สึกตัวก็ดี
ฐานกายก็ดี
ฐานเวทนาก็ดี เบาบางไปมาก
แต่ความรู้สึกของจิตจะเด่น
ก็คือ รู้จิต
แล้ว เมื่อสุข เต็มกำลัง จะเกิดสิ่งที่เรียกว่า จิตตปราโมทย์ยิ่ง
คือมันเบิกบานมาก มันร่าเริง
จิตมันยิ้ม เบิกบาน
อันนี้ จิตปราโมทย์ยิ่ง
ถ้าเบามากๆ จิตมันจะยิ้ม เบิกบานออกมาเลย
รู้จิต
รู้จิตที่ปราโมทย์ยิ่ง
แล้วก็เข้าสู่ รู้จิตที่ตั้งมั่น
ตรงรู้จิต ที่ตั้งมั่น สุขระงับไปแล้ว เข้าสู่อุเบกขา
อุเบกขา เป็นลักษณะเด่น
เป็นคุณสมบัติของฌานที่ 4
ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
สติ เป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์ เพราะอุเบกขา แล้วแลอยู่
อุเบกขา เป็นลักษณะเด่น จะมีความเฉย สงบ ตั้งมั่นอยู่
รู้จิต
รู้จิตที่ปราโมทย์ยิ่ง
รู้จิตที่ตั้งมั่น
แล้วก็ เปลื้องจิต
ตรงเปลื้องจิต คือ วิธีการยกจิตขึ้นสู่ วิปัสสนาญาณ
เมื่อยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนาญาณได้ จะเข้าสู่ 4 ข้อ ถัดไป
ทรงจัดหมวดหมู่ไว้ในข้อของ ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
ตรงนี้ พลิกจาก สัมมาสมาธิ เข้าสู่ สัมมาญาณ
ก็คือ วิปัสสนาญาณ
สัมมาญาณ ถ้าว่าโดย มรรค เราจะได้ยิน มรรคมีองค์ 8 ใช่ไหม
สัมมาสติ การระลึกรู้ที่ถูกต้อง
สัมมาสมาธิ ความตั้งมั่นที่ถูกต้อง
ในสัมมาสมาธิ พระพุทธเจ้าตรัสว่า สงัดจากกามและอกุศลธรรม เข้าถึง ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน
อันนี้ สัมมาสมาธิ ประกอบด้วย สติสัมปชัญญะ
เมื่อทำให้มาก เจริญให้มาก สามารถเข้าสู่ข้อถัดไป ที่เรียกว่า "สัมมาญาณ"
เคยได้ยินไหม? มรรคมีองค์ 10
จาก 8 เป็น 10
จริงๆ แล้ว มี 10 ข้อ
2 ข้อที่เหลือ 9. กับ 10. เป็นชั้นโลกุตตระ
ตรงสัมมาญาณ หรือ ภาษาพระเรียกว่า "ยถาภูตญาณทัศนะ" การรู้เห็นตามความเป็นจริง
บางพระสูตร พระองค์จัดไว้เป็น สิ่งที่เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ อันเป็นโลกุตตระ
สัมมาทิฏฐิ มีทั้ง ระดับโลกียธรรม และ ระดับโลกุตตรธรรม
เราอาจจะเคยได้ยินว่า สัมมาทิฏฐิ จัดเป็นข้อ ปัญญา
แต่จริงๆ แล้ว ถ้าจะจัดเป็นข้อปัญญาจริงๆ ต้องสัมมาทิฏฐิ อันเป็นโลกุตตระ
ก็คือ สัมมาญาณ
สภาวะนี้จะเกิดการรู้เห็นตามความเป็นจริง
ถ้าจัดอยู่ใน อานาปานสติ 16 ขั้น ข้อสุดท้ายก็คือ
เห็นความไม่เที่ยงอยู่เป็นปกติ
เห็นความจางคลายอยู่เป็นปกติ
เห็นความดับอยู่เป็นปกติ
ตรงเห็นความดับ นี้ เป็นนิโรธแล้ว ไม่ใช่สภาวะเกิดดับ
เป็นสภาวะที่เรียกว่า นิโรธ ก็คือ อวิชชา มันดับไปแล้ว
ตรงนี้เป็นการรู้แจ้งเรื่องของ อริยสัจ สี่
รู้ทุกข์
ละเหตุให้เกิดทุกข์
เข้าถึงนิโรธ ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ได้
จากเห็นความไม่เที่ยง คือเห็นตามความเป็นจริง
เห็นเกิดดับ แล้วก็ เรียกว่า เห็นการจางคลาย
แล้วก็เห็นการดับ คือ เข้าสู่สภาวะนิโรธ
ข้อสุดท้าย "ปฏินิสสัคคะ" สลัดคืน
อันนี้จะเข้าสู่เนื้อธรรมที่บริสุทธิ์ ที่เรียกว่า นิพพานธาตุ
ฝึก อานาปานสติ 16 ขั้นนี้
ไล่ลำดับตั้งแต่ต้น จนเข้าถึงสภาวะที่สุดแห่งทุกข์
แล้วแบ่งเป็น 4 ข้อแรก ฐานกาย
ตรงนี้ ถ้าเทียบกับมหาสติปัฏฐานสูตร จะอยู่ในชั้นของ สัมมาสติ
4 ข้อถัดมา เป็น เวทนานุปัสสนา อยู่ในชั้นของ สัมมาสมาธิในชั้นต้น
แล้วก็ 4 ข้อ ถัดมา เป็น จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน อยู่ในระดับ สัมมาสมาธิ ในชั้นปลาย
แล้วก็ 4 ข้อ ถัดมา จัดอยู่ในหมวด ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน เป็นชั้น โลกุตตระ ก็คือ เป็นชั้นสัมมาญาณ และ สัมมาวิมุตติ"
เครดิตหนังสือ: มูลนิธิเดินจิต
https://www.duenjit.com/%E0%B8%AD%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%9…
”พระพุทธเจ้าสอนง่าย ๆ อย่างการเจริญตัวอานาปานสติ ท่านไม่เรียกว่าอานาปานสมาธินะ
พระพุทธเจ้าเรียกว่าอานาปานสติ ในสติปัฏฐานสูตร ในหมวดกายานุปัสสนา ท่านเรียกว่าอานาปานสติ
อานาปานก็คือลมหายใจเข้าออก สติก็คือตัวสติ สติระลึกรู้ลมหายใจเข้าออก พระองค์ไม่เคยพูดว่าให้เจริญสมาธินะ
ให้เจริญตัวสติกับลมหายใจเข้าออก เมื่อหายใจเข้าสั้นก็ให้รู้ เมื่อหายใจเข้ายาวก็ให้รู้ เมื่อหายใจออกสั้นก็ให้รู้ เมื่อหายใจออกยาวก็ให้รู้ ทำความรู้ลมหายใจเข้าออกไง นี่เรียกว่าอานาปานสติ เห็นไหม
ทีนี้มันมีขยายอีกในบางบทของอานาปานสติ เมื่อหายใจเข้าสั้น จิตตั้งมั่นก็ให้รู้ เมื่อหายใจออก จิตตั้งมั่นก็ให้รู้ เมื่อหายใจเข้า จิตตั้งมั่นก็ให้รู้ เมื่อหายใจเข้า จิตไม่ตั้งมั่นก็ให้รู้ เมื่อหายใจออก จิตไม่ตั้งมั่นก็ให้รู้ เห็นไหม พระองค์ให้มีแต่ทำความรู้เห็นไหม เข้าใจยัง
เหตุนั้นเราจึงบอกเวลาทำสติสมาธินะ เวลาหายใจเข้าก็ให้รู้ สั้นก็ให้รู้ ยาวก็ให้รู้ ไม่ต้องไปบังคับมัน ให้ตั้งมั่นรู้มันอยู่อย่างนั้น สงบก็ให้รู้ ไม่สงบก็ให้รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย สงบก็ให้รู้ว่ามันสงบเพราะอะไร ไม่สงบก็ให้รู้ว่ามันไม่สงบเพราะอะไร ทำความรู้สึกรู้ตัวอยู่กับลมหายใจเข้าออกอยู่อย่างนั้น
ถ้ามันอยู่อย่างนั้น ตั้งมั่นอยู่อย่างนั้น คำว่าสมาธิก็เกิดนั่นเอง คือความตั้งมั่นในลมหายใจ ในความไม่หวั่นไหวในลมเข้าสั้นลมเข้ายาว ลมออกสั้นลมออกยาว ไม่หวั่นไหวต่อความสงบไม่สงบ นั้นคือตัวสมาธิเกิดนั่นเอง ตัวระลึกรู้อยู่คือตัวสติ นี้คือการเจริญตัวสติ
สมาธิมันอยู่ในตัวของมัน เมื่อมันมีความระลึกรู้ มีความตั้งมั่นต่อเนื่องเป็นสาย ไม่สนใจเรื่องอื่น มันรวมลงอยู่ในอารมณ์ตรงนี้เป็นอารมณ์เดียว มันก็เลยเรียกว่าปัสสัทธิคือความสงบเกิดไง สติ สมาธิ ปัสสัทธิ จะเกิดอยู่ตามกันไปไง
ความสุขในการที่ไม่ฟุ้งซ่านรำคาญก็จะเกิดขึ้นในการทำสติสมาธิ อันนี้เป็นเบื้องต้น ยังไม่ใช่สุขที่จะไม่มีโลภโกรธหลงไง ทีนี้ถ้าทำไปเรื่อยไปเรื่อย การฝึกตรงนี้มันจะต่างจากการสอนกรรมฐานของทั่วไป ต่างตรงไหนโยมเข้าใจไหม
ส่วนใหญ่เราสอนทำสมาธิจะสอนให้มุ่งความสงบจริงไหม ถูกไหม พอทำไม่สงบมันไม่พอใจ มันเป็นทุกข์ใจ จริงไหม มันวุ่นวายใจจริงไหม ต่างกันนะ
อันนี้ เราไม่เอา สงบก็ไม่เอา ไม่สงบก็ไม่เอา ให้ทำความรู้ตัวตรงนั้น คือตัวสติตัวสัมปชัญญะให้เหนือทั้งสงบไม่สงบไง จึงไปสู่สมาธิอีกอันหนึ่งที่เหนือขันธ์ ๕ ออกไปไง สมาธิตัวนี้เป็นสมาธิที่ไม่มีอุปาทานไง เพราะมันไม่เอาอะไรซักอย่าง สงบมันก็ไม่เอา ไม่สงบก็ไม่เอา มันเลยเป็นสมาธิที่จะออกจากขันธ์ ๕ ไง
นี่คือแยบคายที่พระพุทธเจ้าได้แสดงสมาธิอันนี้ไว้ในคำสอน ซึ่งท่านไม่แจกแจงออกมา แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติตามที่ท่านสอน สมาธิตัวนี้จะเกิดเองไง แต่เราละเลยตรงนี้ไง“
โดยท่านพระอาจารย์วิชัย กัมมสุทโธ
บางส่วนจากพระธรรมเทศนา
เรื่อง "พึ่งธรรมะพ้นภัย"