มโนธาตุ โพธิญาณ
" จิต...
ตั้งอยู่อย่างไร ?
สติ...
ที่บุคคลได้ตั้งไว้แล้ว ตามประคับประคองจิต
ที่ตั้งอยู่อย่างนั้น ทุกขณะ
เรียกว่า...สติปัฏฐาน
บุคคล เจริญสตินี้ให้มาก
ชื่อว่า...เจริญสติปัฏฐาน และมีความรู้อันหนึ่ง
ซึ่งตามรู้ตัว หรือรู้ทั่วพร้อมอยู่ว่า...
เวลานี้ จิตคิดอยู่อย่างนี้ อย่างนี้
มีสติ...ตามกำหนดจิตได้อย่างนี้ อย่างนี้
บุคคล เจริญความรู้อันนี้
เรียกว่า...เจริญสัมปชัญญะ
บุคคล เจริญสติสัมปชัญญะให้มาก
จนมีความรู้รอบตัว ชื่อว่า...เจริญปัญญา
บุคคล เจริญปัญญาให้มาก
จนมีความรู้ เท่าตัว
รู้เท่า อารมณ์
รู้เท่า สัญญา
รู้เท่า กองทุกข์
รู้เท่า กองกิเลส
รู้เท่า อาสวะ
รู้เท่า จิต
รู้เท่า สังขาร
ชื่อว่า เจริญพุทธะ."
(หลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม)
จิตผู้รู้ แยกออกจาก สิ่งที่ถูกรู้ ปล่อยอุปาทาน(ไม่มีการทํา)
.
การส่งใจเข้าไปรับรู้เป็นความปกติของจิต แต่ถ้าเลยจากการรับรู้ เลยเข้าไปวิตกวิจารณ์ เลยเข้าไปอยู่กับสิ่งที่ถูกรู้ ไม่อยู่กับจิตผู้รู้ ล้วนเป็นการส่งจิตออกนอก ขณะนั้นไม่รู้สึกตัวแล้ว
.
จิตมีสภาพรู้อารมณ์ อารมณ์ไม่ใช่หมายถึงอารมณ์เพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงคือสิ่งที่ถูกรู้ของจิต
.
รู้ทันความสงสัย(รู้ทันใจที่สงสัย) ไม่ใช่เข้าไปอยู่กับความสงสัย เป็นการไม่รู้สึกตัว แล้วเข้าไปรวมกับสิ่งที่ถูกรู้(กาย ใจ(อารมณ์ความคิด))
.
อย่าเข้าไปรวมกับสิ่งที่ถูกรู้ ให้รู้สึกตัว จิตผู้รู้จะเด่นแยกออกมา
.
การที่จิตผู้รู้ เข้าไปรวมกับสิ่งที่ถูกรู้ เป็นไหลไปตามอารมณ์ เป็นการส่งจิตออกนอกทุกกรณี สิ่งที่เกิดทําให้จิตผู้รู้ไม่เป็นอิสระถูกครอบงําด้วยอารณม์หรือสิ่งที่ถูกรู้ ทําให้ไม่เห็นความจริง
.
การปฏิบัตินั้นเป็นไปเพื่อให้ จิตผู้รู้เป็นอิสระ เข้มแข็งขึ้นมา ไม่เข้าไปถูกครอบงํา จิตผู้รู้ที่อิสระ คือการเข้าสู่โลกแห่งใจ
.
ใจที่อิสระ เห็นความจริงของโลกในมิติที่เหนือกว่า ธรรมแท้นั้นเป็นธรรมดา ความเป็นปกติของใจ
.
ครูบาอาจารย์ท่านสอนให้แค่ "รู้สึกตัว" นั้นประเสริฐที่สุดแล้ว หนทางนี้วิเศษที่สุดแล้ว อย่าไปทําเกินเลย โดยเฉพาะการไม่รู้ทันใจตัวเอง ยังวิตกวิจารณ์ต่อไป จะมาขวางทาง
.
"รู้สึกตัว" คือการสอนเพื่อให้จิตอิสระ เพื่อเข้าสู่สภาวะแห่งใจ ที่ง่ายที่สุดแล้ว แต่ทําเลยเกินจะไม่เห็น
" กรรมฐาน ๔๐ ห้อง
เป็นน้องอานาปานสติ อานาปานสติ เป็นยอด
มงกุฏของกรรมฐาน ทั้งหลายอยู่แล้ว
ศาสนาอื่น ๆ
นอกจากพุทธศาสนาแล้ว ไม่ได้ มาสั่งสอนให้หัด
ปฏิบัติ
เพราะกรรมฐานอันนี้ บริบูรณ์พร้อมทั้งสติปัฐฐาน๔
ไปในตัวด้วย
และเป็นแม่เหล็กที่มีกำลัง ดึงกรรมฐานอื่น ๆให้เข้า
มา เป็นเมื่องขึ้นของตัวเอง
เช่น พระมหาอนันตคุณของพุทโธ ธัมโม สังโฆ
สีโล จาโค กายคติ แก่ เจ็บ ตาย
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเหล่านี้เป็นต้น
ย่อมมีอยู่ จริงอยู่ พร้อมทุกลมหายใจออก-เข้าแล้ว
แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์
ย่อมจริง ย่อมมีอยู่ ทุกลมออก - เข้าแล้ว ไม่ต้อง
ไปค้น ไปหา ไปจด ไปจำ ไปบ่น ไปท่องทางอื่น
ก็ได้
ถ้าไม่หลงลมเข้า - ลมออกแล้ว
โมหะ อวิชชา วัฏจักร มันจะรวมพลมาจากโลก
หน่วยไหนล่ะ ?
หลงลมออก - เข้า ก็หลงหนังเหมือนกัน
ถ้าไม่หลงหนัง ก็ไม่หลงลมออก - เข้า โดยนัย
เดียวกัน
ดูโลก ก็ดูทุกข์
ดูทุกข์ ก็ดูโลก
ดูสังขาร ก็ดูทุกข์
ดูทุกข์ ก็ดูสังขาร
พ้นโลก ก็พ้นทุกข์
พ้นทุกข์ ก็พ้นโลก
พ้นสังขาร ก็พ้นทุกข์
พ้นทุกข์ ก็พ้นสังขาร
มีความหมายอันเดียวกันทั้งนั้น ไม่ผิด
รู้ลมออก - เข้า ในปัจจุบัน
รู้ลมออก - เข้า ในอนาคต
รู้ ผู้รู้ ในปัจจุบัน
รู้ ผู้รู้ ในอดีต
รู้ ผู้รู้ ในอนาคต
แล้วไม่ติดข้อง อยู่ใน...ผู้รู้ ทั้งสามกาล
ผู้นั้น ก็ดับรอบแล้ว ในโลกทั้งสามด้วยในตัว
อวิชชา
และสังขาร เป็นต้น ก็ดับไป ณ ที่นั่นเอง
ไฟโลภ ไฟโกรธ ไฟหลง ก็ดับไป ณ ที่นั่นเอง."
(หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต)
รู้สึกกายเคลื่อนไหว.รู้ใจที่คิดบ่อยๆ.
กลายเป็นความรู้ตัว..กลายเป็น"รู้ล้วนๆ"
เป็นรู้แบบพุทธะ"รู้แบบไม่ไหลตามอารมณ์ยินดียินร้าย
หลวงปู่มั่นกล่าวไว้ว่า " รู้ ไม่รู้ อย่างนี้วิถีใจ "
ธรรมชาติใจที่ยังประกอบด้วยอาสวะ
มีความไม่รู้แจ้งในอริยสัจจ์
เป็นธรรมดาที่จะรู้บ้าง หลงไปบ้าง
เราไปบังคับให้รู้ตลอดเวลาไม่ได้
ต้องเข้าใจและยอมรับในข้อนี้จึงไม่เดือดร้อน
เราสอนใจให้เรียนรู้ได้ที่จะไม่หลง
เพราะเห็นโทษของความหลง
หมั่นสะสมไปเรื่อยๆ
จนจิตฉลาดแล้วนั่นแหละ จึงหายหลง
ไม่หลงไปยึดในสิ่งใดอีกต่อไป
ตัวผู้รู้คืออะไร...?
ก็คือ...จิตที่อยู่กับสติ
จิตที่มันมีสติอยู่นั่นแหละ
มันมีสติ มีสัมปชัญญะ
มันเกิดร่วมกับจิต
ทำงานร่วมกันอยู่
เป็นผู้รู้สภาวะอยู่
ยกตัวอย่างเช่นว่า
กายเคลื่อนไหวแล้ว
ก็มีผู้รู้ไปดูการเคลื่อนไหว
มีผู้รู้กำลังไปรู้ถึงเคลื่อนไหว
นี่เท่ากับว่าความไหวก็อันหนึ่ง
ผู้รู้ก็อันหนึ่ง
จะต้องระลึกรู้ทั้งสองอันนี้
คือรู้ความไหวและรู้ตัวผู้รู้ด้วย
ในขณะนั้นๆ ต้องฝึกหัดรู้
ความไหวด้วย รู้ตัวผู้รู้ด้วย
ผู้รู้นั้นกำลังรู้อะไร
กำลังรู้...ความไหว
เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง
สติที่เกิดขึ้นมาทีหลัง
มันก็เป็นผู้รู้เหมือนกัน
แต่มันไปรู้ผู้รู้
ขณะหนึ่งมันไปรู้ความไหว
ขณะหนึ่งมารู้ผู้รู้
ก็เหมือนกับมันรู้ตัวมันเอง
แต่มันคนละขณะกัน
ผู้รู้อันใหม่มารู้ ผู้รู้อันเมื่อครู่นี้หยกๆ
นี่คือตัวอย่างอันหนึ่ง
ธัมโมวาท โดยพระวิปัสสนาจารย์
ท่านเจ้าคุณ พระภาวนาเขมคุณ
(หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี)
ให้เข้าใจความแตกต่างระหว่าง จิตผู้เพ่ง กับ จิตผู้รู้
หลวงพ่อปราโมทย์ : ถ้าใจเราตั้งมั่น เราจะเห็นร่างกายของตัวเองได้ ถ้าใจเราตั้งมั่น เราจะเห็นจิตใจของตนเองได้ ถ้าใจไม่ตั้งมั่น ใจไหลไปทางตา เราจะไปเห็นรูปภายนอก ถ้าใจไหลไปทางหู เราจะไปได้ยินเสียง ถ้าใจไหลไปทางจมูก เราจะไปได้กลิ่น ถ้าใจไหลไปที่ลิ้น เราจะได้รส ถ้าใจไหลไปตามผิวกาย เราจะรู้สึกสัมผัสภายนอก เย็นร้อนอ่อนแข็งตึงไหวอะไรข้างนอกได้ ข้างในก็รู้สึกได้ แต่จิตมันเคลื่อนทั้งสิ้นเลย เช่น รู้สึกท้อง ที่กระเพื่อมไปกระเพื่อมมา จิตเคลื่อนไปที่ท้องนั่นเอง
เพราะนั้น ถ้าจิตเคลื่อนไปนะ มันจะรู้ออกนอก และถ้าจิตตั้งมั่น เป็นผู้รู้ ผู้ดูเนี่ย มันจะย้อนเข้ามา ดูกายดูใจของตนเอง โดยที่จิตนั้น”เป็นผู้รู้ ผู้ดู” ตัวนี้แหล่ะ ตัวแตกหัก ถ้าเราสามารถพัฒนาจิตที่ตั้งมั่น เป็นผู้รู้ ผู้ดูได้ เรียกว่าเราได้ “ลักขณูปนิชฌาน”
ลักขณูปนิชฌานเนี่ย เป็นสมาธิที่สำคัญที่สุดเลย แต่อาภัพ คนไม่รู้จัก คนรู้จักแต่”อารัมมณูปนิชฌาน” สมาธิมี ๒ ชนิดนะ สมาธิชนิดที่ ๑ ชื่อ “อารัมมณูปนิชฌาน” จิตไปเพ่งอยู่กับอารมณ์อันเดียว เช่น ไปเพ่งอยู่ที่พุทโธ ไปเพ่งอยู่ที่ลมหายใจ ไปเพ่งอยู่ที่ท้องพองยุบ ไปเพ่งอยู่ที่มือที่เท้า อันนั้นจิตออกนอก “ลักขณูปนิชฌาน” จิตจะตั้งมั่น เป็นผู้รู้ ผู้ดูขึ้นมา แล้วมันจะเห็นเลย ร่างกายมันแสดงไตรลักษณ์ได้ จิตใจแสดงไตรลักษณ์ได้
งั้นถ้าจิตไม่ตั้งมั่น จิตไม่ถึงฐาน จิตออกนอกเนี่ย หลายสำนวนนะ อันเดียวกันนั่นแหล่ะ คือจิตมันส่งไปข้างนอก ทางตาหูจมูกลิ้นกาย หรือส่งไปคิดไปนึก มันจะไม่สามารถรู้กายรู้ใจได้ เราต้องมาฝึกนะ ตัวนี้เป็นตัวแตกหักเลย ว่าชาตินี้เราจะได้มรรคผลหรือไม่ ถ้าเราไม่มี”ลักขณูปนิชฌาน” ไม่มีจิตที่ตั้งมั่น เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ละก็ เรายังไม่สามารถเจริญวิปัสสนาได้
อารัมณูปนิชฌานคือ สมาธิเพ่งอารมณ์นี้ ใช้ทำสมถะกรรมฐาน แล้วก็ใช้สำหรับมีชีวิตอยู่กับโลก อย่างเป็นต้นว่า เราจะเขียนซอฟท์แวร์อะไรเนี่ยนะ ซักอันนึงนะ สมาธิเราต้องออกนอก ไปอยู่ที่ความคิดใช่ไหม เราถึงจะเขียนซอฟท์แวร์ได้ อันนี้เรียกว่า “อารัมณูปนิชฌาน” นั่งเพ่งไฟ นั่งเพ่งลมหายใจ นั่งเพ่งท้อง อันนี้เรียกว่าอารัมณูปนิชฌาน ไปเพ่งตัวอารมณ์
ส่วน“ลักขณูปนิชฌาน”เนี่ย ใช้ตอนไหนบ้าง ลักขณูปนิชฌานใช้ในขณะแห่งวิปัสสนากรรมฐาน ใช้ในขณะที่เกิดอริยมรรค ใช้ในขณะที่เกิดอริยผล ใช้ในขณะที่พระอริยเจ้าเข้าผลสมาบัติ ผลสมาบัติก็คือ เกิดผลจิต จิตในขณะที่บรรลุโสดาฯ สกทาคาฯนั่นแหล่ะ จะเกิดผลอย่างนั้นซ้ำขึ้นมา แต่ว่าไม่ล้างกิเลส เพราะมีแต่ผล ไม่มีมรรค งั้นเป็นสมาธิ แต่เป็นสมาธิที่ใช้ลักขณูปนิชฌาน จิตตั้งมั่นถึงฐานเลย
ความทุกข์ทางกายเป็นสิ่งที่เลี่ยงได้ยาก
แต่เราสามารถฝึกฝนพัฒนาจิตใจ
จนความทุกข์ทางกายไม่มีผลกับจิตใจ
ต่างคนต่างอยู่ตามหน้าที่
กายมีหน้าที่ของกาย เวทนาก็ทำหน้าที่ของมัน
จิตก็ทำหน้าที่เพียงรู้ อยู่ด้วยกันสัมพันธ์กัน
แต่ไม่มีสิ่งใดเป็นตัวตน รู้จักรู้ รู้สึกตัว
ไม่ถลำ เข้าไปเป็น ในทุกๆสภาวะ ทั้งฝ่ายรูปหรือนาม
กายไหวรู้สึกตัว ความรู้สึกต่างๆ เกิดขึ้นรู้สึกตัว
เมื่อฝึกฝนบ่อยๆ ย่อมสามารถเห็นได้
ตามสภาวะที่กล่าวข้างต้นนั้นเอง
เห็นแต่สภาวธรรมแต่ไม่มีตน
ผมมีปัญหาอยากกราบเรียนท่านอาจารย์ว่า ผมภาวนาเป็นประจำ บางครั้งรู้สึกตัวเบา จากกายเบาแล้วคล้ายๆกับว่าจะลดลง
หลวงตา : ลดลงก็ให้รู้ว่ามันลดลง มันเบาก็ให้รู้ว่าเบา ความรู้นี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่อาการมีความเปลี่ยนแปลงได้ ความรู้ก็รับทราบไปตามอาการ ที่ว่า เบาบ้างหนักบ้าง หรือว่าเบามากก็มี
บางทีจนกระทั่งร่างกายหายหมดก็มี คือหายในความรู้สึกนั่นแหละ ความรู้สึกไม่ได้เกี่ยวกับร่างกายเลยในเวลานั้น
มันหดตัวเข้าไปอยู่โดยลำพังตัวเอง ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งทั้งหลาย
บางทีเหมือนกับว่าร่างกายไม่มีเลย หายเงียบเลย นี้เป็นอาการของจิตที่ถอยเข้าถอยออก
เวลาจิตเป็นธรรมดานี้มันก็รู้ๆไปหมด ที่นี้พอเวลาจิตได้รับความสงบมันก็ถอยเข้ามาๆ
บางทีก็ทำให้กายเบาๆหวิวๆ จากนั้นก็หายเงียบเลย
นี่มันเลยเบาไปแล้ว มันเก่งกว่าเบา พูดง่ายๆ ดีกว่าเบาเข้าใจไหม...
(อย่างนั้นจะเกิดประโยชน์อะไร และจะทำอย่างไร)
ประโยชน์ของมันก็อยู่ในจิตนั้นแหละ ให้พิจารณา...
ตอนนั้นไม่ต้องไปพิจารณาอะไร สมมุติว่าเราพิจารณาอันนี้อยู่กายเบาก็ให้รู้ว่าเบาเฉยๆ แต่อย่าปล่อยงานอันนี้
คุณกำหนดลมหายใจหรือกำหนดอะไร?
(กำหนดลมหายใจครับ)
ก็กำหนดให้รู้อยู่กับลมนะ
เรื่องกายจะเบาไม่เบานั้น เป็นผลพลอยได้ต่างหาก
ตัวสำคัญแท้ก็คือ ลมกับความรู้ให้มันติดกันเรื่อยๆ ลมละเอียดก็ให้รู้ว่าลมละเอียด ละเอียดลงไปๆ
ที่สุดของลม คือลมหมด ความรู้สึกหายเงียบเลย......
ตอนนี้แหละสร้างปัญหาให้คน คนที่ยังไม่เคยดำเนินแล้วจะเป็นปัญหาขึ้นตรงนี้
เอ๊ะ..ลมหมดไปจะไม่ตายหรือ เท่านั้นละ ลมจะมีขึ้นมาแล้ว
และวันหลัง พอภาวนาไปถึงนั้น ก็ไปถึงปัญหาเก่านั้น ก็ถูกปัญหาตีเอาแหลกๆ ถอยกลับๆ
เอ๊า..เพื่อตัดปัญหาข้อนี้
ถึงลมจะหมดไปก็ตาม
ความรู้ยังมีอยู่...
ครองร่างอยู่แล้วไม่ตาย
ประการที่สอง เราไม่ได้ภาวนาเพื่อเอาลมนี่ เราภาวนาเพื่อเอาความรู้ต่างหาก
ลมหมดก็หมดไปซิ ความรู้ไม่หมดนี่
ให้อยู่กับความรู้เสีย แล้วก็พุ่งเลยทีนี้ หายเงียบไปหมดเลย.....
+++++
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
ผมมีปัญหาคือว่าผมเคยแปลคำสวดมนต์ แล้วก็ภาวนาไปเรื่อย ถึงขันธ์ 5 ก็พิจารณาขันธ์ 5 เสร็จแล้วเกิดความรู้สึกว่ากายเบา และกายกับจิตนี้แยกกันคนละส่วน บางทีนั่งไปเหน็บชาเกิดขึ้นมา ผมก็เอาเหน็บชานี้แหละเป็นคำภาวนา ดูเวทนาไปเรื่อย จนกระทั่งเวทนาหายไป จิตเด่นชัดขึ้นมา มีความรู้ว่ากายกับจิตนี่มันคนละส่วน ทำไปๆ เกิดความว่างขึ้นมาเหมือนกับกระทะใหญ่ๆ ว่างโล่งไปหมด ผมก็ดูอยู่อย่างนั้น แต่ว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีอะไรก้าวหน้า
หลวงตา
ไม่จำเป็นจะต้องว่า ต้องก้าวหน้า ต้องถอยกลับนะ
ผู้รู้อยู่นั่น ทำงานตลอด
รู้ตลอดอย่างที่คุณว่าทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องความรู้ทั้งนั้น
ตอนลมละเอียดลงไปๆ จนกระทั่งถึงกายว่าง
ผู้รู้ว่าจิตว่างนั้นคือ"ผู้รู้แท้" ความว่างเป็นอาการอันหนึ่งของจิต มันค่อยเปลี่ยนอาการของมันไปเรื่อยๆ จิตน่ะ
แต่ธรรมชาติที่รู้ไม่เปลี่ยนตัวเอง...รู้ตลอดเวลา....
นี้แหละคือหลักเกณฑ์ หรือว่าแปลนแท้ๆ
แปลนของภพของชาติก็คืออันนี้
แปลนของมรรคผลนิพพานก็คืออันนี้
เมื่อเวลาชำระ ซักฟอกออกหมด
อันนี้แหละคือว่าพระนิพพาน
ความบริสุทธิ์คืออันนี้ที่ว่า แปลนของภพชาติ ก็คือว่า
มันมีกิเลสอย่างละเอียดแทรกอยู่ในจิต จิตเป็นตัวตั้ง จิตเป็นตัวประธาน สิ่งเหล่านั้นจึงมีแทรกได้ พอกิเลสถูกกำจัดออกไปหมดแล้ว อันนี้ก็บริสุทธิ์ อันนี้ไม่เปลี่ยนแปลง
+++++
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
“…อันความไม่รู้นั้น เรียกว่า‘โมหะ’
บัดนี้'เมื่อสติเข้าไปรู้แล้ว โมหะไม่มี'
ความจริงแล้ว โมหะ-โลภะ-โทสะไม่ได้มีเลย
ทำไมจึงว่าไม่มี ?
ที่ท่านทั้งหลายฟังผมพูดอยู่ ขณะนี้จิตใจเป็นอย่างไร ?
อันนี้แหละเป็นตัวธรรมชาติชนิดหนึ่ง
‘ตัวใจ’ กับ ‘ตัวรูป’ นี้ เป็นคนละส่วน...แต่มันอาศัยซึ่งกันและกัน
รูปที่มองเห็นด้วยตาเป็น ‘รูป’
จิตใจที่มันนึกคิดเป็น ‘นาม’
เรารู้จักเรื่องสมมติ
รู้จักว่าศาสนา-พุทธศาสนา บาป-บุญ
'บาปคือโง่'
'บุญคือฉลาด' หรือรู้แล้วก็เลิกได้ไปเป็นคนฉลาด
'ศาสนาคือตัวคน'
'พุทธศาสนา คือตัวสติปัญญาเข้าไปรู้ตัวจิตใจ'
'พุทธะ แปลว่าผู้รู้'
ศาสนาที่เป็นวัตถุนั้นก็ดี ไม่ได้ปฏิเสธ
อย่างวัดวาอาราม โบสถ์ วิหาร พุทธรูป เจดีย์
เป็นศาสนาสมมติ แก้ทุกข์ไม่ได้
ทำแล้วก็ดีใจชั่วขณะเท่านั้น
‘ดีใจ’ กับ ‘ใจดี’ นั้น...ไม่เหมือนกัน
เมื่อเรามาเห็นอันนี้...ดีใจ แต่ตัวใจดีนั้นยังไม่มี
ยังไม่เห็นตัวใจดี เพราะเรายังไม่เห็นตัวชีวิตเรา
บัดนี้เราก็มาทำความรู้สึกอย่างที่ผมว่านี้
กำมือ-เหยียดมือ (กะ)พริบตา อ้าปาก
หายใจเข้า-หายใจออก
ให้มีความรู้สึกตัว
บัดนี้ความคิดมักจะปรากฏขึ้นมาแว๊บหนึ่ง
เราเห็น-เรารู้-เราเข้าใจ
โดยมากเราเห็นความคิด เราเห็นแล้วเรารู้เป็นเรื่องไปเลยนั้น
(อย่างนี้)รู้ความคิด ไม่ใช่เห็นความคิด
เราเข้าไปอยู่ในความคิดนั้นแล้ว เราไม่ได้เห็นความคิดของเรา
สมมติขณะนี้เราอยู่บนบ้าน
เราเข้าไปในห้องแล้ว เข้าไปนอนในมุ้ง
เมื่อเราเข้าไปอยู่ในห้องนอนนั้น เราจะไม่เห็นนอกห้อง
เมื่อเราอยู่ในบ้าน เราจะไม่เห็นหลังคาบ้าน
มันเป็น ๓ ชั้น
เราต้องไม่เป็นอย่างนั้น
คือว่า'มันคิด เราเห็น-เรารู้'
เราเลยออกจากความคิดได้ เราไม่เข้าไปในความคิด
เปรียบเหมือนเราไม่ต้องเข้าไปในมุ้ง
ไม่ต้องเข้าไปอยู่ในห้องนอน และไม่ต้องเข้าไปอยู่ในบ้าน
ออกมาชานบ้านหรืออยู่ลานบ้าน
เรามองดูประตู เราก็เห็น
เหลียวมองในห้อง...เราก็เห็น
เหลียวมองมุ้ง...เราก็เห็น
อันนี้เราเห็นความคิด-รู้ความคิด-เข้าใจความคิด
พอมันคิด
ทีแรกจะเป็นเรื่องไป ปะติดปะต่อเป็นอารมณ์ไป
บัดนี้มันคิด เราเห็น-เรารู้ความคิด...มันหยุด
อุปมาเหมือนบ้านเรามีหนู
เราไม่มีความสามารถที่จะไปไล่หนูออกจากบ้านได้
หนูมันจึงกัดเสื้อผ้า-สิ่งของเสียหายหมด
เราจำเป็นต้องไปเอาแมวมาเลี้ยง
แมวกับหนูเป็นปรปักษ์กัน ถ้ามีแมวแล้ว...หนูมันกลัว
ทีแรกหนูตัวใหญ่-แมวตัวเล็ก
พอหนูมา แมวก็ตะครุบหนู...หนูตัวใหญ่ก็วิ่งหนี
แมวมันไม่ยอมวาง มันก็ติดหนูไป
เหนื่อยแล้ว มันก็วางหนู...หนูมันก็หนีไปพ้น (หนีไปได้)
แต่เราไม่ต้องไปสอนให้แมวจับหนูอีก
เพียงเอาอาหารให้แมวกิน
ให้แมวมันใหญ่ขึ้น-อ้วนโตขึ้น มีกำลังมากขึ้น
เวลามีหนูมา แมวจะกระโจนจับอย่างแรงทันที
หนูมันตกใจ มันช็อกสลบทันที...เพราะมันไม่เคยถูกแมวจับ
พอแมวจับหนู เลือดที่ร่างกายของหนูมันหยุดวิ่ง
แมวกินหนู เลยไม่มีเลือด
ความคิดเราก็เหมือนกัน
พอมันคิดเข้ามา เราเห็น-เรารู้-เราเข้าใจ...มันหยุดทันที
เหมือนแมวจับหนูนั้นแหละ
'พอมันคิด เราเห็น-เรารู้-เราเข้าใจ
ความคิดมันเลยไม่ถูกปรุงไป
เพราะเรามีสติ-หรือมีสมาธิ-มีปัญญาแล้วในขณะนี้'
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
รู้ว่าจิตคิดเป็นวิปัสสนา
แต่รู้เรื่องราวที่คิดอย่างมากเป็นสมถะ
อย่างเราดูจิตดูใจของเรา
หลายคนมาบอกหลวงพ่อว่า
รู้ทันความคิด คิดเรื่องอะไรรู้หมดเลย
นี่ทําวิปัสสนาแล้ว ไม่ใช่วิปัสสนานะ
ถ้ายังรู้เรื่องที่คิดอยู่เรียกว่า "รู้บัญญัติ"
.
แต่ถ้ารู้ว่าจิตกําลังแอบไปคิดอยู่
อันนี้เรียกว่าเป็น "วิปัสสนา"
.
รู้ทันจิตว่าจิตแอบไปคิด
รู้ว่าจิตคิด เป็นวิปัสสนานะ
แต่รู้เรื่องราวที่คิดอย่างมากเป็นสมถะ
หรือไม่ก็ฟุ้งซ่านไปเลย
.
-หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช-
พูดถึงความสงบ (สมถะ) พอมันสงบแล้ว
ก็มีส่วนที่มันไม่สงบมาปะปนเข้า เช่นว่า
เราเพิ่งมาฝึกจิตของเราเดือนหนึ่ง ๑๐ วัน ๕ วัน
โดยมากมันก็ยังไม่สงบ ถ้ามันไม่สงบนั้น ไม่ต้องน้อยใจ
มันเป็นเรื่องธรรมดาของมัน เรื่องจิตอันนี้ มันจะอยู่นิ่งๆ
ในที่ของมันไม่ได้หรอก บางทีมันก็มีอาการคิดอย่างโน้น
คิดอย่างนี้ ในขณะอยู่ในที่สงบอันนั้นแหละ บางคนจิตไม่สงบ
จิตก็ฟุ้งซ่าน ใจก็ไม่สบาย ใจเขาก็ไม่ดี เพราะว่าจิตไม่สงบ
อันนี้เราต้องพิจารณาด้วยปัญญาของเรา เรื่องไม่สงบอันนั้น
เพราะเราไม่รู้ตามความเป็นจริงของมันเท่านั้นเอง
ถ้าเรารู้ตามความเป็นจริงของมันแล้ว
อันนั้นสักแต่ว่าอาการของจิต จริงๆ แล้ว
จิตมันไม่ฟุ้งไปอย่างนั้น เช่นว่า เรารู้ความคิดแล้วว่า
บัดนี้ เราคิดอิจฉาคน นี้เป็นอาการของจิต แต่เป็นของไม่จริง
มันไม่เป็นความจริง เรียกอาการของจิต มันมีตลอดเวลา
ถ้าหากว่าคนไม่รู้ตามความเป็นจริงของมันแล้ว
ก็น้อยใจว่าจิตเราไม่อยู่นิ่ง จิตเราไม่สงบ
อันนี้เราต้องใช้การพิจารณาอีกทีหนึ่งให้มันเข้าใจ
เรื่องของจิตนั้นนะ มันเป็นเรื่องของอาการของมัน
แต่ที่สำคัญคือ มันรู้ รู้ดีมันก็รู้ รู้ชั่วมันก็รู้ รู้สงบมันก็รู้
รู้ไม่สงบมันก็รู้ อันนี้คือตัวรู้ พระพุทธเจ้าของเรา
ท่านให้ตามรู้ ตามดูจิตของเรา
___________________________
หลวงพ่อชา สุภัทโท
รู้ซื่อๆไม่เป็นอะไรกับอะไร “ชีวิตสุดยอดคือไม่เป็นอะไรกับ? ไม่เป็นอะไรกับอะไรเลย สิ่งที่เกิดขึ้นกับกายกับใจนี้ ไม่เป็นอะไรกับอะไร ชีวิตที่ ไม่เป็นอะไรกับอะไร เป็นศาสตร์เป็นศิลปะ อยู่ในโลก”
หลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ
" เราพึ่งมาฝึกจิต ของเรา
เดือนหนึ่ง ๑๐วัน, ๕วัน, โดยมากมันก็ยังไม่สงบ
ถ้ามันไม่สงบนั้น...
ไม่ต้องน้อยใจ มัน เป็นเรื่องธรรมดา ของมัน
เรื่องจิตอันนี้
มันจะอยู่นิ่ง ๆ ในที่ของมันไม่ได้หรอก
บางที มันก็มีอาการคิดอย่างโน้น คิดอย่างนี้
ในขณะอยู่ในที่สงบ อันนั้นแหละ
บางคนจิตไม่สงบ
จิต ก็ฟุ้งซ่าน จิต ก็ไม่สบาย จิตเขา ก็ไม่ดี
เพราะว่า...จิตไม่สงบ
อันนี้ เราต้องพิจารณา
ด้วยปัญญาของเรา เรื่องไม่สงบ อันนั้น
เพราะเราไม่รู้ตามความเป็นจริงของมันเท่านั้นเอง
ถ้าเรา รู้ตามความเป็นจริงของมันเเล้ว
อันนั้น ก็สักแต่ว่าอาการของจิต
จริง ๆแล้ว จิตมันไม่ฟุ้งไปอย่างนั้น
เช่นว่า เรารู้ความคิดแล้วว่า...
บัดนี้ เราคิดอิจฉาคน นี้เป็นอาการของจิต
แต่...เป็นของไม่จริง มัน ไม่เป็นความจริง
เรียกว่า...อาการของจิต
มัน มีตลอดเวลา
ถ้าหากว่า คนไม่รู้ตามความเป็นจริงของมันแล้ว
ก็น้อยใจว่า...
จิต เราไม่อยู่นิ่ง
จิต เราไม่สงบ
อันนี้ เราต้องใช้การพิจารณา อีกทีหนึ่ง
ให้มันเข้าใจ เรื่องของจิตนั้นนะ
มัน เป็นเรื่องของอาการ ของมัน
แต่ ที่สำคัญคือ...มันรู้
รู้ดี มันก็รู้ รู้ชั่ว มันก็รู้
รู้สงบ มันก็รู้ รู้ไม่สงบ มันก็รู้
อันนี้ คือ...ตัวรู้
พระพุทธเจ้าของเรา
ท่านให้ ตามรู้
ตามดูจิต ของเรา
ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ เรา ก็คงรู้ตัวของเรา
ความรู้ ที่มันรู้นี่ มันรู้อยู่...ที่ไหน ?
จิตนี้ ก็เหมือนกัน
จิตนี้
คือ...อะไร ? มัน เป็นธรรมชาติ
หรือ เป็นสัญชาตญาณอันหนึ่ง ที่มันมีอยู่
อย่างที่เรา ได้ยินอยู่เดี๋ยวนี้แหละ
มัน มีความรู้อยู่ ความรู้นี้ มันอยู่ที่ไหน
ในจิตนั้น มันเป็นอย่างไร ?
ทั้งความรู้ ก็ดี ทั้งจิต ก็ดี เป็นแต่ความรู้สึก
ผู้ที่รู้สึกดี - ชั่ว เป็นสักแต่ว่าความรู้สึก
รู้สึกดี หรือชั่ว รู้สึกผิด หรือถูก
คนที่รู้สึกนั่นแหละ เป็น คนรู้สึก
ตัวรู้สึก มัน คืออะไร ?
มัน ก็ไม่คืออะไร
ถ้าพูดตามส่วนแล้ว มัน เป็นอยู่อย่างนี้
ถ้ามัน รู้สึกผิดไป ก็ไปทำผิด
มัน รู้สึกถูก ก็ไปทำถูก
ฉะนั้น ท่านจึงให้เกิดความรู้สึก ขึ้นมา
เรื่องจิต ของเรานั้น
มัน เป็นอาการของจิต
เรื่องมันคิด มัน คิดไปทั่ว
แต่ผู้รู้ ...คือ
ปัญญา ของเรา
ตามรู้ ตามรู้อันนั้นตามเป็นจริง."
______________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
สติ นั่นอบรมจิต
ครั้นอบรมจนขั้นจิต รู้เท่าตามความเป็นจริงแล้ว
มัน จึงหายความหลง
พบ ความสว่าง
ความหลงนั้นก็คือ ไม่มี...สติ
ครั้นมีสติคุ้มครอง หัดไปจนแน่วแน่แล้ว
ให้มันแม่นยำ
ให้มันสำเหนียกแล้ว
มัน จะรู้แจ้งทุกสิ่ง ทุกอย่าง
สติ แก่กล้า
จิต ย่อมทนไม่ได้
เมื่อ ทนไม่ได้ ก็สงบลง
ครั้นสงบลงแล้ว มัน ก็รู้
เดี๋ยวนี้ มันไม่มีปัญญา
มัน ก็ส่ายไป - มา
เพราะ มันไปหลงทาง
จิตไปหลายทาง เพราะเป็นอาการของมัน
เมื่อผู้วางภาระ คือ...ว่าง
ไม่ยึดถือว่าขันธ์ห้านี้ เป็นตัว เป็นตนแล้ว
ไม่ยึดถือแล้ว ปลง
เป็นผู้วาง ภาระ ก็มี ความสุข
จะยืน เดิน นั่ง นอน ก็มี ความสุข
ไม่ ยึดถือ
เพราะรู้ ตามความเป็นจริงของมันแล้ว."
(หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล)
หลักคือ มีจิตผู้รู้ กับ สิ่งที่ถูกรู้
เบื้องต้นการปฏิบัตินั้น ให้อยู่กับจิตผู้รู้ ให้ผู้รู้เข้มแข็งขึ้นมา หลุดลอกออกจากยึดถือความคิดปรุงแต่ง
การอยู่กับจิตผู้รู้ ก็คือ การอยู่กับความรู้สึกตัว ตรงที่รู้สึกนั้นหล่ะ คือการรู้ของจิตผู้รู้
หากเอาใจไปอยู่กับสิ่งอื่น การเอาใจไปอยู่กับสิ่งที่ถูกรู้ จะกลายเป็นการเข้าไปยึดถือ เป็นการเพลินไปกับสิ่งที่ถูกรู้ ส่วนใหญ่จะเป็นความคิดอารมณ์
การดูกายเคลื่อนไหว กายเป็นสิ่งที่ถูกรู้ จิตผู้รู้เพียงแค่ รู้สึก ให้แค่รู้สึก เป็นขณะแว๊บไป ไม่ไปแช่
การไปแช่ดูความรู้สึก หรือ การไปตามดูกาย จนเข้าไปอยู่กับกาย เป็นการเข้าไปอยู่กับสิ่งที่ถูกรู้ ไม่ใช่การอยู่กับจิตผู้รู้ ไม่อยู่กับความรู้สึกตัว
จิตผู้รู้เพียงแค่ รู้สึก สั้น แว๊บ เป็นช่วง
ในอนาคตหากหมั่นรู้สึกตัวให้มากให้บ่อย จิตผู้รู้เข้มแข็งขึ้นมา ความรู้สึกจะรู้ได้ ไวขึ้น มากขึ้น นานขึ้น บ่อยขึ้น
Trader Hunter พบธรรม
น้อมเข้ามาในทางที่รู้
การทำความเพียร การภาวนา มันเป็นที่จิต ไม่ใช่ที่กาย
จิต .. พูดถึงส่วนจิตของเรา ให้มีสติ _ ความระลึกอยู่ , สัมปชัญญะ _ ความรู้ตัวอยู่ , ปัญญา _ ความรอบรู้อยู่
อันนี้ทำได้ อันนี้น่าจะเอาไปปฏิบัติ
คือ ถ้าเราปฏิบัติ .. เราก็ยืนอยู่ก็มีสติ เราจะนั่งอยู่ก็มีสติ เราจะเดินอยู่ก็มีสติ เราจะนอนก็มีสติอยู่
สม่ำเสมออย่างนี้ อันนี้ไปได้
จะเอา " ตัวรู้ " ไปยืน ไปเดิน ไปนั่ง ไปนอน ให้เสมอกันทุกอิริยาบถ
อันนี้ รู้จักธรรมที่ควรละ รู้ธรรมที่ควรปฏิบัติ , สุขก็รู้ ทุกข์ก็รู้
เมื่อมันรู้ทุกข์ รู้สุข .. จิตใจเราจะวางตรงที่ว่า มันไม่สุข ไม่ทุกข์
สุข มันก็เป็นไปในทางหย่อน " กามสุขัลนุโยโค " , ทุกข์มันก็เป็นทางตึง คือ " อัตตกิลมถานุโยโค "
ถ้าเรารู้ทุกข์ รู้สุขอยู่ เรารู้จักทั้งสองสิ่งนี้ ถึงแม้จิตใจจะโอนไปเอนมา เราก็ชักมันไว้
เรารู้ว่ามันจะเอนไปในทางสุข ก็ชักมันไว้ , มันจะเอนไปในทางทุกข์ ก็ชักมันไว้ .. ไม่ให้เอนไป
" รู้ " อยู่อย่างนี้ , น้อมมาเส้นทางเดียว " เอโก ธัมโม " นี้ น้อมเข้ามาในทางที่ " รู้ "
หลวงปู่ชา พระโพธิญาณเถระแห่งหนองป่าพง
" สติ...
นี่ ทำให้มันมีกำลังดีแล้ว จิตมันจึงจะล่วง
เพราะ สติคุ้มครองจิต
ตัวสติ ก็คือจิตนั่นแหละ
แต่ว่า ลุ่มลึกกว่า
พระเจษฎา คุตฺตจิตฺโต
เมื่อภาวนาได้ที่จนจิตสงบนิ่งแล้วย่อมมีความอ่อนละมุนละไมยิ่งในใจ มีความเย็นอกเย็นใจ เบายิ่งกว่าสำลี ใจเราเหมือนกับลมหายใจนี่หละ สบายหายหมดความเจ็บความปวด นั่งกระดานเหมือนกับไม่ได้นั่ง มันนิ่งหมด มันเพ่งดูอยู่ มันไม่เอาอื่นหรอกเพราะเห็นแล้วสมุฏฐาน
เหมือนหมอพอเห็นสมุฏฐานแล้วก็วางยาถูก ตอนนี้มันเห็นสมุฏฐานว่าเพราะอย่างนั้น ๆ พาให้เป็นบาปเป็นกรรม คือดวงจิตที่ไม่หยุดไม่อยู่ ดวงจิตที่ทะเยอทะยาน ดวงจิตที่วิ่งวุ่นอยู่ เที่ยวทำบาป เที่ยวทำกรรม เที่ยวก่อภพก่อชาติ ภเวภวา สัมภวันติ ภพน้อย ๆ ภพใหญ่ ๆ มันเที่ยวก่ออยู่ นั่งเดี๋ยวมันก็ยังก่ออยู่
เห็นไหมล่ะ มันต้องเห็นซี ให้หยุดมันไม่หยุด มันบอกไม่นอนสอนไม่ได้ มันเป็นอย่างนี้แหละ อุปมาเหมือนลูกเต้าที่บอกไม่ได้ มันก็พึ่งไม่ได้ซี่ นี่ใจของเราก็คือกันแหละ เมื่อเราบอกไม่ได้จะพึ่งอะไรได้ บอกไม่ให้ไปตกนรก มันก็ไปตกนรก จะว่าอย่างไรล่ะ
ถ้ามันบอกนอนสอนได้ มันก็สอนจิตของเราได้ มันเห็นอยู่แล้ว มันไม่หลง มันไม่หลงมันก็สอนได้ซี่ บอกนอนสอนได้ เมื่อสอนได้เราก็ได้ที่พึ่งของเราละ ได้พระพุทธ ได้พระธรรม ได้พระสงฆ์ รวมอยู่ในจิตของเรา ประชุมรวมกันหมด จิตของเราก็เบิกบาน เราก็เห็นธรรม เราก็เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบละ
เมื่อปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้ว จิตก็สงบลง อ่อนหมดแล้ว นี่คือกายปัสสัทธิ จิตตปัสสัทธิ ความสงบระงับทั่วหมด กิเลสจัญไรทั้งหลายไม่มี เพราะจิตไม่มีกิเลส จะเอาอะไรมาเป็นกิเลสเล่า จิตไม่มีภัย จะเอาอะไรมาเป็นภัย จิตไม่มีบาปมีกรรม จะเอาอะไรมาเป็นบาปเป็นกรรม
นี่ก็ต้องเพ่งดูน้อมดูอยู่เสมอ โอปนะยิกะธรรม น้อมเพ่งอยู่อย่างนั้น พอมันเคลื่อนจากที่ ที่นี้ละมันพาให้ก่อภพก่อชาติ มันพาให้ก่อกรรมก่อเวร หากว่าเราไม่อยากเป็นกรรมไม่อยากเป็นเวร เราก็ต้องตัด ตัดอารมณ์นั่นหละ ให้อยู่ในที่รู้ ให้กำหนดว่าความรู้อยู่ตรงไหนแล้ว เราก็เพ่งอยู่ตรงนั้น อย่าให้มันเคลื่อนออกจากนั้น
ให้มันตั้งอยู่นั่น ให้รู้อยู่นั่น ไม่มีอะไรก็ให้รู้อยู่อันเดียวเท่านั้นหละ มันไม่มีตัวไม่มีตนอะไรหรอก มันเป็นแต่รู้อยู่อย่างนั้น สิ่งใดเกิดขึ้นก็ให้รู้ พุทธะคือผู้รู้ จิตมันไม่อยู่ ก็ให้รู้
สิ่งใดเกิดขึ้นให้รู้ให้หมด เพราะเราต้องการความรู้ เราอยากรู้ เราไม่ไปยึดเอาสิ่งเหล่านั้น มันก็ไม่มายึดเอาเรา เรื่องมันเป็นอย่างนั้น เรามันคอยเข้าไปยึดเสียหมด
เมื่อเรารู้แล้ว เราก็ไม่ยึดสิ่งเหล่านั้น ความชั่วทั้งหลายทุกข์ทั้งหลายเราก็ไม่ยึด มันก็วางหมด ว่างหมด ใจเรามันก็ปล่อย มันก็ละหมดซี่ เรียกว่าปล่อยว่าง มันเห็นแล้วก็ปล่อยเอง มันเห็นแล้วก็วางเอง
เพราะฉะนั้นท่านจึงเทศนาให้ปล่อยให้วางหมด ปล่อยได้ยังไง มันเห็นทุกข์แล้วมันก็วางเอง ถ้ามันไม่เห็นมันก็ไม่วาง ถ้ามันเห็นแล้วมันก็วาง ปล่อยวางเอง ละเอง ถอนเอง จิตมันก็นิ่งอยู่ได้ มันก็มีแต่ความเบาความสบาย ความสว่างไสว มีแต่ความผ่องใส ความเยือกความเย็นเท่านั้น
ข้อสำคัญคือมันก็สุขสบาย อันใดจะเสมอได้ นัตถิ สันติปรังสุขัง สุขอันใดเสมอใจสงบไม่มี มันก็ได้รับความสุขความสบาย สมความมุ่งมาดปรารถนาของเรา
นี่เราเห็นแล้วก็พ้นทุกข์ จิตเราไม่ทุกข์แล้วจะเอาอะไรมาทุกข์ มันก็พ้นในตรงนั้นหละ จิตดวงนั้นพ้นทุกข์ มันจะหาทุกข์ที่ไหนมี ได้พุทโธแล้ว ได้ธัมโมแล้ว ได้สังโฆแล้ว มีแก้วสามประการมาประดับไว้แล้ว
เราก็รู้แจ้งเห็นจริง ไม่เชื่อใครทั้งหมดละทีนี้ เห็นแท้แน่นอน สันทิฐิโก เราผู้ปฏิบัติรู้เองเห็นเอง จะไม่เห็นยังไงเล่า สบายก็จะไม่เห็นยังไงเล่า ไม่สบายก็จะไม่เห็นยังไงเล่า มันเห็นนี่ ก็เชื่อมั่นอยู่อย่างนั้น ของมีจริง ๆไม่ใช่ว่าไม่มี ของมันเป็นอยู่จริงๆ ไม่ใช่ว่าไม่เป็น
มันเป็นอยู่ในจิตของเรา มันนิ่งมันก็เห็น มันไม่นิ่งมันก็เห็น มันอยู่อย่างไรมันก็เห็น มันเบามันก็เห็น มันหนักมันก็เห็น มันมืดมันก็รู้อยู่ยังงั้น มันสว่างมันก็รู้อยู่อย่างนั้นหละ อย่าไปเอาสิ่งใด ๆ มันมืดก็อย่าไปจับเอามืด เอาแต่ความรู้นั่นอยู่ เอาผู้รู้ รู้ว่ามืด มันเฉย ๆ ก็ดูเฉย ๆ ผู้รู้ว่าเฉยมันมีอยู่
เมื่อมันหมด ผู้รู้ว่าหมดก็มีอยู่ ผู้รู้มันมีอยู่ยังงั้น มันหมดไม่เป็น ดับไม่เป็น สูญไม่เป็น จึงเรียกว่าผู้รู้ พุทธะคือผู้รู้ มันมีอยู่ยังงั้น มันดับไม่เป็น สูญไม่เป็น มีอยู่ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ปุพเพ เต ธัมมา ธรรมทั้งหลายมีอยู่ยังงั้น
แต่ไม่มีบุคคลผู้ใดมารู้ได้ เราต้องรู้ด้วยตนเองซิ ธรรมะทั้งหลายมีอยู่ยังงั้น พระพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้ก็มีอยู่ยังงั้น ตรัสรู้แล้วก็มีอยู่ยังงั้น แต่เราไม่ได้พบ ค้นยังไม่ทันพบ เรื่องมันเป็นยังงั้น
เพราะฉะนั้นทำให้พบเสียที นั่งสมาธิ น้อมเข้าไป เพ่งดูตัวรู้นั่น ความรู้มันไม่มีตัวไม่มีตน เป็นแต่รู้อยู่นั่น เป็นแต่รู้อยู่อันเดียวเท่านั้น ผู้รู้เป็นของไม่ตายและเป็นของไม่แตกไม่ทำลาย เป็นของไม่อดไม่จน เป็นของไม่ทุกข์ไม่ยาก เป็นของไม่ลำบากไม่รำคาญ
เดี๋ยวนี้เรายังไม่รู้ สิ่งใดเกิดขึ้นเราก็ยึดเอาอันนั้นมาเป็นตน มันก็เลยได้ทุกข์ได้ยาก ทีนี้สิ่งใดเกิดขึ้นมาเราก็ไม่ไปยึด ไม่ไปปรุง ไม่ไปแต่ง เรายังเป็นอวิชชาอยู่ เมื่อมีอวิชชาความหลง มันก็ไปปรุงไปแต่ง ไปยึดเอาสิ่งอื่นมา
เมื่อเราเป็นวิชชาแล้วเราก็มีความรู้แจ้งเห็นจริง โลกะวิทู ความรู้แจ้งโลก เรารู้อยู่แล้วจะมาหลอกเราได้ยังไง เรารู้อยู่แล้ว เห็นอยู่แล้ว มันก็หลอกเราไม่ได้ เราต้องไม่ให้เคลื่อนไปจากที่ตั้งไว้ คือที่รู้
พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร
🕯️ในทางธรรมคือ “แค่รู้...สักแต่ว่ารู้”🕯️
ไม่ว่าจะทำอะไร... ชีวิตใน 24 ชั่วโมง ยกเว้นหลับไป ก็ให้อยู่กับ “รู้... สักแต่ว่ารู้” หรือ อยู่กับ “รู้” ไม่ไปอยู่กับ “สิ่งที่ถูกรู้” ไม่ไปเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ไม่ไปเป็นสังขาร
เมื่อมีสิ่งที่ถูกรู้เกิดขึ้น หรือมีอะไรมาให้รู้ ผู้รู้ก็ “รู้” ทันที มันเป็นธรรมชาติ
“สิ่งที่ถูกรู้” เท่านั้นที่ปรากฏ แต่ผู้รู้ไม่ปรากฏ มันมีแต่ “ความรู้” แต่ไม่ปรากฏตัวตนของผู้รู้
มีแต่ “สังขาร” ที่ปรากฏ แต่ผู้รู้ไม่ปรากฏตัวตน แต่ผู้รู้มันรู้สังขารตลอด ไม่ว่าสังขารมันจะกระดุกกระดิกยังไง มันรู้ตลอด
ในทางโลกก็ดำเนินชีวิตไปตามปกติ ไม่ทำผิดศีลธรรม ไม่ทำผิดกฎหมาย ไม่เบียดเบียนตนเองให้เป็นทุกข์เดือดร้อน ไม่เบียดเบียนคนอื่นให้เป็นทุกข์เดือดร้อน ชีวิตดำเนินไปโดยชอบ ก็แค่นั้นเอง
แต่ในทางธรรมก็เป็น “รู้” อยู่กับรู้อย่างเดียว
ไม่ไปอยู่กับสิ่งที่ถูกรู้ ไม่ไปเป็นสิ่งที่ถูกรู้
ความทุกข์ก็ไม่มี!!!
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
" ที่สำคัญ คือ...ตัวรู้
รู้ดี มันก็รู้
รู้ชั่ว มันก็รู้
รู้สงบ มันก็รู้
รู้ไม่สงบ มันก็รู้
อันนี้ คือ... ตัวรู้
พระพุทธเจ้าให้ตามรู้...ตามดู...จิต...ของเรา."
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
การที่จะเป็นเพียงผู้รู้ ผู้ดู
ไม่เข้าไปเป็นในอารมณ์นั้น
เริ่มต้นจากการที่คอยฝึกให้มีสติรู้ตัว
รู้สึกอยู่กับกายใจที่ปัจจุบัน
ใจที่มีสติรู้ตัว ย่อมมีความสุข
เพราะเป็นการตัดกระแสแห่งทุกข์
ที่จะท่วมทับใจ เมื่อมีความสุข
ก็มีความพอใจมีฉันทะ
ในการรู้กายใจเสมอ เมื่อรู้ได้บ่อยๆ
จิตย่อมตั้งมั่น เมื่อตั้งมั่นย่อมรู้เห็นตามเป็นจริง
ด้วยท่าทีของผู้รู้ ผู้ดู ไม่ใช่ผู้เป็น
เหมือนเรามองกาต้มน้ำ เพียงแค่มองก็ไม่ร้อน
พระเจษฎา คุตฺตจิตฺโต
" ผู้รู้ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
คือ...ผู้ที่รู้ความหมายของการว่าง จากการมีอยู่อย่างแท้จริงของสรรพสิ่ง
พระสงฆ์ ที่ประเสริฐที่สุด
คือ...ผู้ที่ได้ชำระจิต ของตน
คุณภาพ ที่ดีที่สุด
คือ...ความปรารถนาอันยิ่งใหญ่
ในการทำคุณประโยชน์ แก่ผู้อื่น
คำสอน ที่ดีที่สุด
คือ...การเฝ้าดู...จิต
การเยียวยา ที่ดีที่สุด
คือ...การรู้ว่าไม่มีอะไรคือ สิ่งแท้จริง
วิถีชีวิต ที่ดีที่สุด
คือ...ชีวิตที่สวนทาง...กับ โลกย์."
_____________________________________
(ท่าน : อติสะ พระสงฆ์ผู้ที่นำพุทธศาสนา
มหายานฝ่ายวัชระยาน เผยแผ่สู่เอเชีย
และ นำพุทธ ธิเบตสู่สุมาตรา ศตวรรษที่11)
เป้าหมายของการปฏิบัตินี้ก็คือ 🙏🙏🙏ค่ะ
ให้จิตมัน"เห็น"..
เห็นแล้วก็"รู้"..แล้วก็ปล่อยวางด้วยว่า
ไม่มีเรา...ไม่มีตัวเราเลย
เรานี่แค่สมมติเฉยๆ
#ถ้าจิตไม่เห็นนี่ยังไงมันละอุปาทานไม่ได้
เพราะอุปาทานมันเหนียวแน่นมาก
มันยึดว่าเป็นตัวเป็นตนอยู่
ยึดว่าร่างกายเป็นเรา ยึดเวทนาเป็นเรา
ยึดจิตว่าเป็นเรา ยึดธรรม "เรา" หมด
แต่จริงๆ แล้ว
#มันเป็นของเกิดดับ_ไม่มีตัวตน_เป็นธรรมชาติ
มันมาจากธรรมชาติล้วนๆ
ความหลงนี่มันมาทีหลัง
เมื่อเรา "รู้" แล้ว
แต่เรา "วาง" ยังไม่ได้
เราก็เลยมาปฏิบัติ เพื่อให้จิตเราเนี่ยมันวางได้
การที่มันจะวางได้นี่
มันก็ต้องปฏิบัติตามวิธีการของพระพุทธเจ้า
ก็ต้องมีสติด้วย ควบคุมจิตให้อยู่กับตัวเอง
ถ้าใครมีสติดี...ก็คุมได้เร็ว คุมปั๊บ ก็อยู่แล้ว...
อยู่แล้ว....ก็พยายามให้จิตมันรู้....
อะไรเกิดขึ้นให้มัน "รู้" นี่มีสัมปชัญญะขึ้นมาแล้ว
พอรู้....ก็เห็น...ทีนี้ เห็นว่ามันผ่านมาผ่านไปเกิดแล้วก็ดับไป
การที่เห็นความเกิดดับก็คือการเห็นอนิจจัง มันไม่เที่ยง
ความรู้สึกว่ามันไม่เที่ยง มันเปลี่ยนแปลงอันนี้
มันจะซึมเข้าไปในจิตของเรา เราอาจจะไม่รู้ตัวก็ได้
แต่ว่าปัญญาญาณตรงนี้ มันซึมเข้าไปในจิตของเรา
เมื่อมันซึมเข้าไปในจิต จิตมันจะปล่อยของมันไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งมันลงสู่ "อนัตตา" ...มันจะทิ้ง....
"ทิ้ง" เพราะมันไม่ใช่ของเราแน่นอน
คำสอน
พระอาจารย์ครรชิต สุทฺธิจิตฺโต
< ผัสสะกับทุกข์ >
ผัสสะเป็นสิ่งที่ต้องมีอยู่เสมอ หนีไปไหนไม่ได้หรอกครับ
ถึงแอบเข้าไปอยู่ในถ้ำมืดๆ ไม่เห็น ไม่ได้ยิน … ความคิดนึกก็ยังตามไปกระทบใจได้อีก
เหมือนที่คุณกล่าวน่ะครับ ว่าธัมมารมณ์มีพิษสงมาก
เมื่อหนีไม่พ้น ก็ต้องรู้เท่าทันจิตของตนเองเรื่อยไป
▪เพราะความไม่รู้ต่างหาก จิตจึงส่งไปยึดถืออารมณ์แล้วก่อทุกข์ขึ้น
▪ถ้ารู้โดยไม่ยึด ทุกข์ทางใจ จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย
หากรู้อยู่ที่จิต เวลามีอารมณ์มากระทบ
จะเห็นปฏิกิริยาของจิตต่ออารมณ์นั้น
เช่นราคะ หรือโทสะ
แล้วก็คอยดูต่อไปอย่าให้เกิดตัณหา (คือการที่จิตทะยานไปยึดอารมณ์ ตามแรงกระตุ้นของกิเลส)
เพราะตัณหาคือตัวสมุทัย หรือเหตุให้เกิดทุกข์
ลำพังมีกิเลส ทุกข์ยังไม่เกิด
แต่เมื่อใดมีตัณหา ทุกข์เกิดแน่ครับ
พระพุทธเจ้าจึงทรงเน้นที่ความสิ้นไปแห่งตัณหา
ท่านไม่เคยเน้นที่ความสิ้นไปแห่งผัสสะเลยครับ
โดยคุณ สันตินันท์ (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)
เมื่อวันที่ 5 ก.พ. 2542
จริงๆ แล้วที่เราเห็นว่าจิตดีบ้าง จิตไม่ดีบ้าง
รู้ชัดบ้าง ไม่ชัดบ้าง หมองๆ มัวๆบ้าง
และอีกสารพัดอย่าง ที่จริงมันไม่ใช่จิต
เป็นเพียงแค่อาการของจิตเท่านั้น
หรือจะเรียกว่าสิ่งที่ประกอบกับจิต
จิตนั้นเป็นเพียงธรรมชาติรู้
แม้กระทั่งบางคนว่าจิตเสื่อมจากกรรมฐาน
ถ้าเห็นว่า ความที่มันเสื่อมเป็นแค่อาการ
จิตจะตั้งมั่นขึ้นมาทันที
จะเห็นเลยว่าความรู้กับความหลง
กั้นไว้ด้วยเส้นบางๆนิดเดียวเท่านั้น
...........................
การดำรงจิต อยู่ท่ามกลางสิ่่งแวดล้อม
ที่มีแต่ความวุ่นวายนั้น ต้องรู้เท่าทัน
ความรู้ภายในและภายนอก
ปรับให้สมดุล เมื่อออกนอกคอยรู้ เมื่อส่งในคอยรู้
ยินดี ก็รู้ ยินร้าย ก็รู้ จิตจะเป็นกลางมากขึ้นๆเรื่อยๆ
จนสภาพรู้เด่นชัดขึ้น ไม่คล้อยตาม ไม่หักหาญ
กลมกลืนกับภาวะแวดล้อม
แต่ก็ไม่ถูกสภาพแวดล้อมท่วมทับจิตใจ