❝ เมื่อใด อริยสาวกพิจารณาเห็นด้วยปัญญาว่าสังขารทั้งหลายทั้งปวง ไม่เที่ยงสังขารทั้งหลายทั้งปวง เป็นทุกข์ธรรมทั้งหลายทั้งปวง เป็นอนัตตาเมื่อนั้นย่อมหน่ายในทุกข์นั่นเป็นทางแห่งความบริสุทธิ์ ❞.ธรรมบท......พระไตรปิฎกภาษาไทย""""""""""""
#จิตรู้ทัน ปัจจุบันขณะ
มีสติรู้อยู่ทุกๆกิริยาบท คือ ผู้ไม่ประมาท
ออกจากความคิด นั้นแหละคือ"ออกจากทุกข์"
วางความคิด นั้นแหละคือ"วางอารมณ์"
จิตที่ไม่ติดพัวพันในอารม์ทั้งปวง นั้นแหละ"บริสุทธิ์"
#พระสิ้นคิด
จุฬามเหศักดิ์ นักรบจักรวาล
พูดคุยกับพระเจ้า(มหาเทพ ศาสดา)ฉบับที่112
🌿🌿🌿🌿🌿🌿🌿🌿🌿🌿🌿🌿🌿🌿🌿
🧘🏻♂️จิ้น:ผมมีโอกาสได้พูดคุยกับผู้ที่รู้ธรรมหลายท่าน นักปฏิบัติธรรมก็มีโอกาศได้สนทนา แต่พวกเขากลับบอกว่าเขาก็ยังคงมีความทุกข์อยู่ รวมถึงตัวผมเองด้วยก็ยังมีความแอบทุกข์อยู่บ้างเช่นกันเป็นเพราะเหตุใดครับท่านเค......?
.
.
🌿ท่านเค:คนรู้ธรรมก็ทุกข์ได้ คนไม่รู้ธรรมก็ทุกข์ได้
คนรู้ธรรมหมดทุกข์ได้ คนไม่รู้ธรรมหมดทุกข์ได้
คนมีศาสนาหมดทุกข์ได้ คนไม่มีศาสนาก็หมดทุกข์ได้ ความทุกข์นัันเป็นของธรรมดา และการที่จะหมดทุกข์ได้นั้นก็เป็นของธรรมดา
.
.
🌿เธอรู้ธรรมแต่กรรมยังนำพา ยังตามติดเธอมาให้ทุกข์ใจ ยังหมองหม่นวกวนในจิตใจ ด้วยภายในของเธอต้องใช้กรรม จะกี่บทกี่ธรรมที่เธอรู้ล้วนเป็นครูสอนเธอทั้งหมดหนา แต่ว่าครูก็คือครูใช่เจ้ากรรมตามติดมา!
.
🌿หมดวาระเวลาหายทุกข์ใจ หากเธอได้เรียนรู้ความจริงแท้ ทุกข์ก็แค่ส่วนหนึ่งชีวิตหนา ช่วยเติมเต็มจิตวิญญาณผ่านภพมา ได้ชำระกรรมทำมาทุกชาติไป
.
.
🌿หากเธอรู้ธรรมแล้วเธอยังทุกข์
โปรดจงรู้ว่านั้นคือกรรมเก่าของเธอที่เป็นแบบนั้น!
จริงอยู่ เธอรู้ควรปล่อยวางจะได้ไม่ทุกข์ แต่กรรมนั้นเร็วกว่าความคิดเธอเผลอแป็บเดียวเธอก็ทุกข์ไปแล้ว!
.
.
🌿รู้อะไรไม่เท่ารู้ตัว! รู้ตัวว่าตอนนี้เธอทุกข์
ทุกข์เพราะเหตุใด หาเหตุแห่งทุกข์ของเธอ
ไม่ใช่หาธรรมะมาแก้ทุกข์
ธรรมะช่วยเธอได้ แต่หากเธอไม่เจอเหตุแห่งทุกข์ของเธอที่แท้จริง! ความทุกข์นั้นก็จะกลับมา
.
.
🌿เธอทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะห่วง ทุกข์เพราะต้องการ ทุกข์เพราะอวิชา ทุกข์เพราะกิเลสตัณหา
กรรมนั้นเป็นของเธอ ทุกข์นั้นเป็นของเธอ
ธรรมะเป็นของธรรมดา เป็นธรรมชาติ เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว!แต่ความทุกข์คือสิ่งที่เธอสร้างขึ้นมา!
.
.
🌿หากเธอหมดกรรม ทุกข์นั้นจะค่อยๆคลายไป!
ธรรมะช่วยให้เธอเข้าใจทุกข์!
แต่ทุกข์นั้นเป็นของเธอ ไม่ใช่ของธรรมะ!
หากจะแก้ แก้ที่ตัวเธอ! เรียนรู้ธรรมเพื่อปล่อยวาง
ไม่ใช่เรียนรู้เพื่อนำมายึดติดไว้!
หากเธอยึดต่อธรรมนั้น!
ธรรมนั้นก็ทำให้เธอทุกข์ได้เช่นกัน
🌿🌿🌿🌿🌿🌿🌿🌿🌿🌿🌿🌿🌿🌿🌿🌿
Cr.ความสุข อยู่ที่ใจ(ผู้รับศาสน์ ข้อความศักดิ์สิทธิ์)
03/09/2563 12:13
..ทางโลกที่เราอยู่กัน ยกตัวอย่างบางคนปะทะสังสรรค์กัน จะเพื่อนหรือเป็นญาติสนิทมิตรสหาย บางครั้งพูดกันออกไป ก็มีความขัดเคืองกัน บางคนก็บอกว่า เขาว่าเรา เขาทำให้เราทุกข์ เราก็มีความขัดเคืองมีความทุกข์ใจอยู่
ถามว่าความเข้าใจนี้ถูกไหม ถ้าคนฉลาดขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง ก็จะถามว่าทำไมเราต้องไปขัดเคือง ทำไมเราต้องไปทุกข์ ความทุกข์กับความสุขเราจะเอาตรงไหน นี่
ทีนี้บางคนก็จะแก้ปัญหา เลิกคบมัน บางคนก็จะแก้ปัญหา ต้องหยุดปากเขา มันก็เลยวุ่นวาย เป็นเหตุที่เราเห็นในข่าวทั้งหลาย
ทีนี้พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ไม่มีใครทำให้เราทุกข์ มีพระภิกษุรูปหนึ่งไปทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ใครทำให้เราทุกข์ พระองค์ก็ตรัสตอบว่าไม่มี
ท่านก็ถามต่อว่า เราทำให้เราทุกข์ใช่ไหมพระเจ้าข้า พระองค์ก็ตรัสตอบว่าไม่มี
เขาทำให้เราทุกข์ใช่ไหมพระเจ้าข้า พระองค์ก็ตรัสตอบว่าไม่มี
อย่างนั้นทั้งเขาทั้งเราทำให้เราทุกข์ใช่ไหมพระเจ้าข้า พระองค์ก็ตรัสตอบว่าไม่มี
นี่ เขาชักจะสงสัยแล้วพระภิกษุรูปนี้ ก็เลยทูลถามพระองค์ย้อนกลับไปใหม่ ทุกข์มีจริงไหมพระเจ้าข้า พระองค์ก็ตรัสตอบว่ามี
อย่างนั้นเมื่อทุกข์มีจริง เมื่อข้าพระพุทธเจ้าทูลถามพระองค์ว่า ใครทำให้เราทุกข์ ทำไมพระองค์จึงตรัสตอบว่าไม่มี
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงวิสัชนาตอบว่า เธอตั้งคำถามเราตถาคตผิด เธอต้องตั้งคำถามเราว่า อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ทุกข์เกิด มีไหมพระเจ้าข้า
ถ้าเธอตั้งคำถามเราตถาคตเช่นนี้ เราตถาคตจะตรัสตอบเธอว่ามี
ทีนี้ อะไรเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ท่านก็ตรัสตอบมาอีกว่า อวิชชาตัณหานั่นเอง
อวิชชาก็มีการบรรยายไว้ในตำราเป็น อวิชชา ๔ อวิชชา ๘
อวิชชา ๔ ก็มี ๑.การไม่รู้จักทุกข์ ๒.ไม่รู้จักสมุทัย ๓.ไม่รู้จักความดับทุกข์ ๔.ไม่รู้จักข้อปฏิบัติถึงซึ่งความดับทุกข์
ทีนี้ถ้าเพิ่มอีกให้มันเป็น ๘ ข้อ ๕.ไม่รู้จักรูปนามในอดีต ๖.ไม่รู้จักรูปนามในอนาคต ๗.ไม่รู้จักรูปนามในอดีตในอนาคต ๘.ไม่รู้จักปฏิจจสมุปบาท
นี่ อันนี้ตำราพูด ทีนี้อาตมาจะย่นย่อสั้น ๆ ตามความรู้ความเห็นอธิบายให้ฟัง อาตมาก็บอกว่า อวิชชาก็คือ การที่เราไม่รู้แจ้งความจริงในสภาวธรรม ในรูปนามขันธ์ ๕ ณ ปัจจุบันตรงนั้น
เราไม่รู้แจ้งความจริงตรงนั้น การที่มันไม่รู้แจ้งความจริงตรงนั้น มันก็เลยเรียกว่ามันหลงเกิด
เมื่อความหลงมันเกิด มันก็คิดผิด มันก็พูดผิด มันก็ทำผิด เรียกว่าอกุศลกรรมทางกายวาจาใจ
เมื่อวิชชาเกิด มันก็คิดถูก มันก็พูดถูก มันก็ทำถูก เรียกว่ากุศลทางกายวาจาใจ
ทีนี้ที่ว่าเราไม่รู้จักความจริงในสภาวธรรมตรงนั้น ก็ยกตัวอย่างที่เมื่อกี้นี่ที่พูดให้ฟัง เขามาว่าเรา เขาทำให้เราทุกข์ ถ้าเราใช้สติระลึกขึ้นมา เวลาทุกข์มันเกิดในใจเรา ก็ใช้สตินั้นน่ะกำกับกำหนดลงที่ใจเรานั่นเอง ความทุกข์นั้นน่ะมันมีอาการอย่างไร มันเกิดขึ้นแล้วมันดับไหม แต่ก่อนมันมีไหม ปัจจุบันมันทำไมมีอยู่ ทำไมตั้งอยู่ อนาคตมันจะอยู่ได้ไหม นี่พิจารณามันก่อน แล้วความทุกข์นี้ ที่เกิดในใจเรานี้ มันเป็นตัวเรามันเป็นของเราจริงไหม มันเกิดจากอะไร พินิจพิจารณาลงไป...
โดยท่านพระอาจารย์วิชัย กัมมสุทโธ
ทุกข์คือ ผลงาน ของอารมญ์
จิตสะสม ความคิดนอกกาย
สิ่งที่หมายด้วยความคิด สนองกิเลส ให้กับกาย
แต่สุดท้าย ได้ความทุกข์ กลับคืนมา
...........
นิโรท ดับความคิด ความทุกข์ดับ
เสียสละ ไม่ยึดติด คิดสร้างสรรค์
คนอื่นสุข เราสุขด้วย สุขด้วยกัน
เมตตานำ มุทิตา พาสุขใจ
1051.. รู้แล้ววาง .ยังไม่จบจริง
บางท่านฝึกจิต ใช้ความรู้สึก ความคิด ความนึก ว่า.”.โน่นว่าง นี่ว่าง อะไรๆว่างไปหมด”..
ยังสอนตนเองอีกว่า “เราไม่ยึดอะไร ไม่ทุกข์อะไร เราปล่อยวางหมด รู้อะไร ก็ปล่อย รู้สึกสุข ก็ปล่อย รู้สึกทุกข์ ก็ปล่อย เราไม่อาอะไร เราว่างอยู่แล้ว เราหลุดพ้นแล้ว เราตรงต่อสัจธรรมแล้ว
**..จริงแล้ว นั่นเป็นโวหาร เป็นคำสมมุติโวหาร บางท่านสะกดจิตตนเอง บอกตนเอง”ว่ามึงต้องว่าง มึงต้องไม่เอาอะไร มึงรู้แล้วก็วาง มึงตรงอยู่แล้ว มึงนิพพานอยู่แล้ว”
เมื่อยังสมมุติว่าวางอยู่ ..สมมุติว่า”ว่าง”อยู่ ..สมมุติว่า”ไม่เอาอะไรอยู่” *** มันยังเป็นสังขารอยู่ไง.. มันยังปรุงแต่ง อยู่ *** ยังไม่ใช่ตัวปัญญาวิปัสสนาจริงๆ
*** รู้อย่าปล่อย.. รู้อย่าวาง **..ให้รู้เข้าไป รู้เข้าไป ให้ปัญญาเดินเข้าไป อีก อะไรเป็นเหตุให้เกิดสุข อะไรเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ปัญญาเจาะเข้าไปอีก แล้ว อะไรที่เข้าไปรู้นั้น อะไรไปรู้เหตุสุข รู้เหตุทุกข์ ...
**...มันมีไอ้ตัวที่ไปรู้ ทั้งความสุข ความทุกข์ **ให้ ปล่อยตัวนี้!!! ไม่ได้ปล่อยทุกข์ปล่อยสุขนั้น ...แล้ว ทุกข์สุขมันจะปล่อยเอง! ...” จิตจะวางจิตเอง รู้จะวางรู้เอง มันจะรู้..สักว่ารู้เอง ไม่ต้องไปบอกมัน..มันจะวางเอง..ว่างเอง..ไม่ต้องไปบอกให้มันวาง มันว่าง มันหลุด...
อานิสงส์ของการฟังธรรม คือ ความเอะใจ
เสียงธรรมะอันใด ที่มันไปสะกิดใจเรา ทำให้ใจเราตื่น
ทำให้ใจเบิกบาน ทำให้ใจยิ้มแย้มแจ่มใส
อันนั้น คือ อานิสงส์ ของ การฟังธรรม
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
เราไม่เคยคาดเคยคิดเรื่องพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ จะมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ ติดหัวใจมาตลอดจนกระทั่งถึงขณะนั้น พุทโธเป็นพุทโธ ธัมโมเป็นธัมโม สังโฆเป็นสังโฆ เป็น ๓ พระรัตนตรัยอยู่อย่างนั้น แต่พอจิตได้ขาดสะบั้นจากสมมุติโดยประการทั้งปวงแล้ว เป็นอันเดียวกันกับพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย ว่า พุทธก็ดี ธรรมก็ดี สงฆ์ก็ดี มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง นั่นละเพราะฉะนั้นท่านจึงว่า นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย เมื่อถึงขั้นบริสุทธิ์เต็มสัดเต็มส่วนแล้วนั้น ไม่มีใครยิ่งใครหย่อนต่างกันเลย เหมือนกันหมด นี่ละจึงว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน นั่นหมายถึงว่าเป็นธรรมธาตุแล้ว
นี่ละธรรมธาตุ รวมทั้งพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ลงเป็นธรรมชาติเดียวกันนี้ เรียกชื่ออันหนึ่งว่าเป็นธรรมธาตุ หรือว่าถึงนิพพานแล้ว
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
< การรู้ทุกข์ >
การรู้ทุกข์ คือ การรู้ รูป-นาม กาย-ใจ
ขณะที่มี สติ รู้ รูป-นาม ขณะนั้นกำลัง รู้ทุกข์
ขณะที่มี สติ รู้ ทุกข์ ขณะนั้นกำลัง ละตัณหา
ขณะที่มี สติ รู้ ทุกข์ ขณะนั้นกำลังทำ นิพพานให้แจ้ง
ขณะที่มี สติ รู้ ทุกข์ ขณะนั้นกำลังทำ มรรคให้เจริญ
ข้อสังเกต คำว่า สติ ในที่นี้หมายถึง สติสัมปชัญญะ คือ ความรู้สึกตัว ขณะใดที่มี สติรู้ทุกข์ (รูป-นาม กาย-ใจ หรือขันธ์ 5) ก็เท่ากับว่า ท่านกำลังเจริญมรรค หรือทำกิจหน้าที่ ทั้ง 4 ในอริยสัจ นั่นเอง
1. รู้ ทุกข์
2. ละ ตัณหา
3. ทำนิพพาน ให้แจ้ง
4. ทำองค์มรรค ให้เจริญ
ขณะที่มีสติ รู้ทุกข์ ขณะนั้นเป็นกุศล ซึ่งตัณหาเกิดไม่ได้ เพราะ สติเป็นกุศล ตัณหาเป็นอกุศล เมื่อกุศลเกิด อกุศลเกิดขึ้นไม่ได้ เมื่อรู้ทุกข์ ก็เป็นอันว่า ละสมุทัย แจ้งนิโรธ และ เกิดอริยมรรค ในขณะจิตเดียวกัน นั่นเอง
ศีล สมาธิ ปัญญา เมื่อรวมกำลังเป็นหนึ่งเดียว จึงจะประหารกิเลสให้ขาดสิ้นได้ ดังที่ท่านอุปมาไว้ว่า
ศีล เปรียบดัง ด้ามมีด
สมาธิ เปรียบดัง สันมีด
ปัญญา เปรียบดัง คมมีด
ขาด ศีล ก็ไม่มีด้ามจับ
ขาด สมาธิ ก็ไม่มีกำลัง
ขาด ปัญญา ก็ไม่มีความคม
ฉะนั้นจึงขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดในสามสิ่งนี้ไปไม่ได้เลย
< อวิชชา ๘ >
อวิชชา หมายถึง ความไม่รู้, ความเขลาไม่รู้สภาวะธรรมตามความเป็นจริง ท่านมุ่งถึงความไม่รู้ในอริยสัจ มี ๘ อย่าง คือ
๑.ไม่รู้จักทุกข์
๒.ไม่รู้จักเหตุเกิดแห่งทุกข์
๓.ไม่รู้จักทางความดับทุกข์
๔.ไม่รู้จักทางถึงความดับทุกข์
๕.ไม่รู้จักอดีต
๖.ไม่รู้จักอนาคต
๗.ไม่รู้จักทั้งอดีตทั้งอนาคต
๘.ไม่รู้จักปฏิจจสมุปบาท
๑.ไม่รู้จักทุกข์ คือ คนส่วนใหญ่เคยประสบกับทุกข์มาทั้งนั้น ทั้งทุกข์ทางกายที่เกิดจากปัจจัยภายนอก ( หนาว, ร้อน, เย็น, ยุง, สัตว์ต่างๆที่มาทำอันตราย) หรือปัจจัยภายใน ที่เรียกว่า ทุกข์ประจำสังขาร ( ผมหงอก, ฟันหัก, หูพร่า, ตามัว, หิว, ขับถ่ายและอิริยาบถ) และทุกข์ทางใจ ( เสียของรัก จากของชอบ ประสบกับสิ่งที่ไม่รัก อยากได้สิ่งใดแต่ไม่ได้สิ่งนั้น ) แต่ไม่รู้จักทุกข์ตามความเป็นจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทุกขอริยสัจ ที่ต้องกำหนดรู้ดังนี้ จะได้หาทางออกจากทุกข์นี้
ความเกิดก็เป็นทุกข์,
ความแก่ก็เป็นทุกข์,
ความตายก็เป็นทุกข์,
ความโศก
ความร่ำไรรำพัน
ความทุกข์กาย
ความทุกข์ใจ
ความคับแค้นใจ ก็เป็นทุกข์,
ความระคนด้วยสิ่งไม่เป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์,
ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์,
ความที่ตนปรารถนาแล้วไม่ได้สิ่งนั้นสมหวัง ก็เป็นทุกข์,
กล่าวโดยย่อ ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือทั้ง ๕ เป็นทุกข์.
๒.ไม่รู้จักเหตุเกิดแห่งทุกข์ คือ ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ที่ทำให้เกิดทุกข์ เพราะส่วนใหญ่มัวแต่โทษว่า สิ่งอื่นหรือผู้อื่นสร้างทุกข์ให้กับตน โดยไม่ยอมเข้าใจว่า ที่เป็นทุกข์อยู่ทุกวันนี้ เกิดจากตัณหา ความทะยานอยากในใจของตน
๓.ไม่รู้จักทางความดับทุกข์ คือ เมื่อไม่รู้เหตุผลไม่ยอมรับว่า ตัณหาในจิตใจของตนต่างหากเป็นตัวให้เกิดทุกข์จึงไม่รู้ว่า หากจะดับทุกข์ได้อย่างสนิท ต้องดับตัณหานั้นเสียก่อน ทุกข์ถึงจะดับ
๔.ไม่รู้จักทางถึงความดับทุกข์ คือ ไม่รู้ถึงวิธีการที่จะทำให้ทุกข์ดับไป เพราะไม่รู้ว่าอริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นแนวทางที่ผู้ปฏิบัติตามสามารถดับทุกข์ได้อย่างแท้จริง
๕.ไม่รู้จักอดีต คือ ไม่รู้ผลชั่วที่ตนได้รับในปัจจุบันนี้ มีสาเหตุมาจากการทำความเลวไม่ดีมาก่อน อาจจะเป็นในอดีตชาติหรือในชาตินี้ คนพวกนี้มักมีความคิดว่า ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป เมื่อกรรมตามสนองในปัจจุบันวันนี้ จึงไม่รู้จักสืบสาวหาเหตุการณ์ที่ตนทำผ่านๆมา เรียกว่า ไม่รู้จักเหตุ
๖.ไม่รู้จักอนาคต คือ ไม่รู้ว่าความชั่วที่ตนทำในวันนี้ จะมีผลให้ตนได้รับทุกข์ยากลำบากในวันข้างหน้า คนพวกนี้ไม่เชื่อผลของกรรมว่ามีอยู่จริง จึงไม่สามารถคาดการณ์ถึงผลที่ตนจะต้องได้รับในอนาคต ได้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริง เรียกว่า ไม่รู้จักผล
๗.ไม่รู้จักทั้งอดีต ทั้งอนาคต คือ ไม่รู้จักผลชั่วที่ตนได้รับในปัจจุบัน ที่มีสาเหตุจากการทำชั่วแต่ครั้งอดีต แล้วยังตั้งหน้าตั้งตาทำความชั่วต่อไปไม่คิดกลับตัวกลับใจ เพราะถูกความไม่รู้ปิดบังปัญญาไว้ จึงทำให้ไม่เชื่อว่า กรรม และกฎแห่งกรรมมีจริง จึงต้องก้มหน้ารับผลกรรมชั่วต่อไปอย่างไม่รู้จบสิ้น เพราะไม่รู้จักเชื่อมโยงเหตุในอดีตและผลในอนาคตให้สืบเนื่องถึงกัน เรียกว่า ไม่รู้จักเหตุและผล
๘.ไม่รู้จักปฏิจจสมุปบาท คือ ไม่รู้จักความเป็นจริง ว่าสภาวะธรรมต่างๆ เป็นเหตุเป็นผลของกันและกัน เนื่องกันไปเหมือนกับลูกโซ่ ที่เกี่ยวเนื่องกันเป็นสายฉะนั้น เมื่อไม่รู้เช่นนี้ จึงทำให้ต้องวนเวียนอยู่กับการเกิด แก่ เจ็บ ตาย อย่างไม่รู้จบสิ้น
“…คำว่า‘กระทำทางจิต’นี่
จิตพาทำ หรือว่ารูป(กาย)พาทำ ?
(จะ)ทำอะไรก็ตาม
เราก็เห็นแล้ว(ว่า) จิตใจเขาจะพาทำ…ทำดี-ทำชั่ว
ทีนี้ก็ตัว‘สติ-ปัญญา’ที่คอยคุมกาย-วาจา-ใจ
แน่ะ! เมื่อสติ-สมาธิ-ปัญญาควบคุมกาย-วาจา-ใจแล้ว
ก็เป็นคนไม่ลืมตัวแล้วล่ะ
ในขณะที่เราลืมตัว-เราทำไปอย่างนั้นแหละ อันนั้นลืมตัวนะ
บางทีทำไปโดยไม่มีสติ-ปัญญา ทำไปตามกิเลส
แน่ะ! กิเลสมันชอบอยู่กับสติ-ปัญญา(แบบ)นี้ มันก็มีนะครับ
นี่…ให้รู้จักไว้
กิเลสมันชอบอย่างไร?
ชอบไปตามใจมัน มันอยากทำอะไร-มันก็ทำไป
อันนี้แหละ เขาเรียกว่า‘กิเลส’
กิเลสนั้น จึงว่า'มันทุกข์'
เมื่อมีคนตำหนิแล้วปุ๊บ-ยึดถือเข้าเลย เจ้าตัวกิเลสนี่ !
แล้วทีนี้ ‘สติ-ปัญญา’ล่ะ ?
สติ-ปัญญามันก็ไม่สนใจสิ เพราะว่ารู้จักสมมติมาแล้วนี่
เรารู้จักวิธีทำทุกแง่ทุกมุมแล้ว...แน่ะ! มันก็เลยไม่ติด-ไม่ทุกข์
ท่านจึงว่า
‘เมื่อรู้จักธรรมะอันนี้แล้ว ก็เอาไปใช้กับการกับงานได้ทุกอย่าง’
แต่ทว่า ให้ระวังเพียงว่า !!!
ความรู้ที่รู้มานี้ จะเอาไปทำผิดแบบหรือทำถูกแบบ ?
ถ้าทำผิดเสียแล้ว ไม่มีโอกาส-ไม่มีเวลา
จะเปรียบก็เหมือนกับเม็ดข้าวนั่นแหละ
ถ้าเอาไปเพาะ-ไปปลูก ใส่ลงไปในเตาไฟเสียแล้ว
ไม่มีโอกาสจะงอกง่ายเสียแล้ว
บางทีก็จะไหม้ไปในไฟเสียด้วยซ้ำอันนี้
การปฏิบัติธรรมนี้ก็เหมือนกัน
บางคนทำไปตั้งนาน ๆ แล้วก็ตายเปล่าเสียก็มี
(แต่)ถ้าเอาเม็ดข้าวไปเพาะไปปลูกในที่ชุ่มเย็นแล้ว
จะไม่นานเลย จะแตกดอก-ออกผลออกมาเลยจริง ๆ
คนเราก็เหมือนกัน *ถ้าตั้งใจฝึกหัดดัดนิสัยดี ๆ
แล้วอยู่กับผู้ที่ฉลาด ผู้ที่รู้จริง ๆ น่ะ
ก็จะได้ประโยชน์จริง ๆ มันเป็นอย่างนั้น
เอาไปใช้กับชีวิตได้จริง ๆ*
ฉะนั้น คนเราต้องรู้จักรักการ-รักงาน
รักคำพูด รักหน้าที่ของเรา
ทำงานใด ๆ จึงจะไม่เมื่อย-ไม่เหนื่อย
คนใดที่ไม่รักการ-รักงาน ทำงานแล้วก็เหนื่อย-ก็เมื่อย
ทำนิดหน่อย ก็ว่าตนทำมาก
มันเป็นอย่างนี้…”
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
วิปัสสนา - ไม่มีการเลือกที่รักมักที่ชัง
วิปัสสนากรรมฐานไม่ใช่การต้านกิเลส แต่เปลี่ยนมาเป็นการ "รู้ทันกิเลส" ตรงนี้คนที่ถนัดกับการต้านกิเลส อาจรู้สึกว่าทำยาก เพราะว่าถูกฝึกมาให้ต้านกิเลสอย่างเดียว โดยเฉพาะคนที่ใฝ่ธรรมะ เราถูกสอนมาว่าต้องต้านกิเลสอย่างเดียว ทานก็ดี ศีลก็ดี หรือการกดข่มอารมณ์ ที่เป็นอกุศล ล้วนเป็นไปเพื่อต้านกิเลสทั้งนั้น
ดังนั้นพอมาทำวิปัสสนา หรือเจริญสติปัฏฐาน ซึ่งเป็นบาทฐานของวิปัสสนา ก็ยังอดไม่ได้ที่จะต้านกิเลส เวลามีความโกรธ ความหงุดหงิดเกิดขึ้น หรือแค่ความฟุ้งซ่านเกิดขึ้น ก็จะเข้าไปจัดการกับมัน ด้วยการกดข่ม เวลามีนิวรณ์เกิดขึ้น เช่น ความง่วงเหงา หาวนอน (ถีนมิทธะ) ความฟุ้งซ่าน (อุธัจจกุกกุจจะ) ความลังเลสงสัย (วิจิกิจฉา) ความปรุงแต่งทางกาม (กามฉันทะ) หรือความหงุดหงิดขุ่นเคืองใจ (พยาบาท) นักปฏิบัติจะมองว่านิวรณ์เหล่านี้เป็นกิเลสที่จะต้องกด ต้องข่ม ต้องจัดการ แต่ใช้วิธีนี้อย่างเดียวไม่พอแล้ว จะตามกิเลสก็ไม่ใช่ จะต้านกิเลสตะพึดตะพือก็ไม่ถูก โดยเฉพาะในขั้นของการบำเพ็ญทางจิต ที่เรียกว่า วิปัสสนา หรือสติปัฏฐาน ถึงขั้นนี้ ต้องยกระดับมาสู่การรู้กิเลสหรือรู้ทันกิเลสแทน อันนี้จะเรียกว่าเป็นทางสายกลางก็ได้
พอปฏิบัติมาถึงจุดหนึ่ง ตามกิเลสก็สุดโต่ง ต้านกิเลสก็สุดโต่ง ถ้ามาถึงขั้นเป็นวิปัสสนาแล้ว เราจะต้องยกจิตมาสู่ทางสายกลาง คือรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับใจ รู้ความเปลี่ยนแปลงของใจ ที่จริงก็รวมไปถึงกายด้วย ไม่ว่าทุกขเวทนาหรือสุขเวทนาก็ตาม พอมาถึงขั้นที่เป็นการเจริญสติ หรือวิปัสนาแล้ว จะ " ไม่มีการเลือกที่รักมักที่ชัง "
ในขั้นสมถกรรมฐาน เรายังเอาเมตตามาข่มโทสะ เอาอสุภะมาข่มราคะ แต่พอถึงจุดที่เป็นการเจริญสติปัฏฐาน เพื่อเป็นบาทฐานสู่วิปัสสนา เราต้องเปลี่ยนวิธีการ คือหันมาเรียนรู้ที่จะดูใจของตนอย่างเป็นกลาง อะไรเกิดขึ้นก็ "สักแต่ว่ารู้" ไม่ต้องไปทำ อะไรกับมัน รู้เฉย ๆ โกรธก็รู้ ดีใจก็รู้ ชอบก็รู้ ชังก็รู้ ยินดีก็รู้ ยินร้ายก็รู้ ตรงนี้ดูเหมือนง่าย เพราะว่าไม่ต้องทำอะไรนอกจากรู้ แต่ว่าความเคยชินเดิม ๆ ทำให้เราอดไม่ได้ที่จะเผลอใช้วิธีการเดิม ๆ ก็คือไปกด ไปข่ม ไปต้านกิเลส
พระไพศาล วิสาโล
*สารพัดธรรม(ทำ)"
"มิจฉาสมาธิ...โดยเจ้าตัวไม่รู้สึก"
》"จะกล่าวเฉพาะมิจฉาสมาธิในวงปฏิบัติซึ่งปรากฎขึ้นกับตนเองโดยไม่รู้สึกตัว เช่น เข้าสมาธิจิตรวมลงแล้วพักอยู่ได้นานบ้าง ไม่ได้นานบ้าง จนถอนขึ้นมา ในเวลาจิตถอนขึ้นมาแล้วยังมีความติดพันในสมาธิไม่สนใจทางปัญญาเลย โดยถือว่าสมาธิจะกลายเป็นมรรคผลนิพพานขึ้นมา บ้าง
ติดใจในสมาธิอยากให้รวมอยู่นาน ๆ หรือตลอดกาลบ้าง จิตรวมถึงที่พักแล้ว ถอนขึ้นมาเล็กน้อยและออกรู้สิ่งต่าง ๆ ตามแต่จะสัมผัส แล้วเพลิดเพลินในนิมิตน้น บ้าง
บางทีจิตลอยออกจากตัวเที่ยวไปสวรรค์ชั้นพรหม นรก อเวจี เมืองผี เมืองเปรตต่าง ๆ จะถูกหรือผิดไม่คำนึง แล้วก็เพลินในความเห็นและความเป็นของตน จนถือว่าเป็นมรรคผลที่น่าอัศจรรย์ของตนและของพระศาสนาด้วย ทั้งนี้แม้จะมีท่านที่มีความรู้สามารถในทางนี้มาตักเตือนก็ไม่ยอมฟังเสียเลย เหล่านี้เรียกว่า เป็นมิจฉาสมาธิโดยเจ้าตัวไม่รู้สึก"《
บางคนอยากลบอดีตที่เจ็บช้ำ ออกไปจากความทรงจำ
แต่ไม่มีใครสามารถทำได้ เราทำได้แค่เพียงอยู่กับมัน
ด้วยใจเป็นกลางเท่าทันความยินดียินร้าย มีความรู้สึกตัว
อยู่ในปัจจุบันซึ่งเคลื่อนที่ตลอด อาจฝันถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง
ฝันได้แต่อย่าเอาใจไปผูกติด หรือคาดหวังมากเกินไป
ทั้งอดีตปัจจุบันอนาคตอยู่ด้วยกันตรงที่รู้สึกตัว....
เมื่อรู้สึกตัวแล้ว ย่อมเห็นเองว่า ทุกๆสิ่ง ทั้งหมดสิ้นนั้น
ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ มีแต่ความเกิดขึ้นและเสื่อมสลายไป
หาอันใดที่เป็นตัวตนที่แท้จริงไม่ได้เลย
< สติปัญญาเป็นเครื่องถอดถอนจิตออกจากกองทุกข์ >
ผมเพิ่งไปกราบหลวงปู่สุวัจน์ แห่งวัดป่าเขาน้อย บุรีรัมย์
และได้ปรึกษากับญาติธรรมเกี่ยวกับการสร้างสุญญาคาร
การไปคราวนี้ได้พบญาติธรรมที่เพิ่งสูญเสียคุณแม่ไปเมื่อไม่นานมานี้
เห็นว่าจิตของเธอยังจมแช่อยู่กับกองทุกข์
จึงอธิบายให้เธอฟังว่า จิตของสัตว์ทั้งหลาย
ย่อมจมแช่อยู่กับกองทุกข์กองกิเลสเสมอๆ
จะโดยรู้ตัว หรือไม่ ก็ตาม
ผู้ไม่ได้ปฏิบัติ เขาไม่ค่อยทราบหรอกว่า
จิตของเขาจมแช่กองทุกข์และกิเลสอยู่
ส่วนผู้ปฏิบัติ มักจะทราบว่า จิตกำลังมีความทุกข์
หรือทราบว่าจิตจมแช่อยู่กับกิเลส
แต่ยอมจำนน เพราะไม่ทราบว่าจะแก้ไขอย่างไรดีบ้าง
หรือพยายามแก้ไข อันเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์มากยิ่งขึ้นบ้าง
การยอมจำนน ไม่ใช่ทาง
แต่การพยายามแก้ไข ก็ไม่ใช่ทางเช่นกัน
เพราะทางมีทางเดียวคือ
การรู้สภาวธรรมที่กำลังปรากฏ ด้วยจิตที่เป็นกลาง
การที่จะรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏได้มากน้อยเพียงใดนั้น
ขึ้นอยู่กับกำลังของสติปัญญาโดยตรง
หากสติหยาบ ก็กำหนดรู้ได้เฉพาะอารมณ์ที่หยาบ
หากสติละเอียด ก็กำหนดรู้ได้ทั้งอารมณ์ที่หยาบและละเอียด
ส่วนปัญญาที่หยาบ ก็ละได้เฉพาะอารมณ์ที่หยาบ
ปัญญาละเอียด ก็ละได้ทั้งอารมณ์ที่หยาบและละเอียด
เมื่อเวลาลงมือปฏิบัตินั้น แรกทีเดียวสติยังมีกำลังน้อย
ผู้ปฏิบัติก็รู้ได้เฉพาะกิเลสหยาบๆ เช่นโทสะหยาบๆ และราคะหยาบๆ
เมื่อสติกำหนดรู้ลงไปที่อารมณ์อันนั้นแล้ว ด้วยจิตที่ตั้งมั่นเป็นสัมมาสมาธิ
สัมปชัญญะคือตัวปัญญา
ก็จะถอดถอนจิตออกจากอารมณ์หรือกิเลสที่หยาบนั้นเอง
หากกำลังของปัญญายังไม่เพียงพอ
ผู้ปฏิบัติก็จะรู้สึกว่า จิตจมแช่อยู่กับอารมณ์หรือกิเลสนั้น
แต่หากกำลังปัญญาเพียงพอ
จิตก็จะถอดถอนตนเองออกจากกองทุกข์กองกิเลสนั้นได้เอง
โดยผู้ปฏิบัติไม่ต้องใช้ความพยายาม ในการแยกจิตออกจากทุกข์หรือกิเลส
เมื่อสติละเอียดยิ่งขึ้น ก็จะสามารถกำหนดรู้สภาวธรรมที่ละเอียดได้
เช่นสามารถรู้ถึงความขัดใจ ก่อนที่จะพัฒนาไปเป็นโทสะ
สามารถรู้ถึงความพึงพอใจ ก่อนที่จะพัฒนาไปเป็นกามราคะหยาบๆ
สามารถรู้ถึงมานะ รูปราคะ และอรูปราคะอันเป็นราคะละเอียด
สามารถรู้ถึงโมหะ ทั้งที่เป็นความหมองมัวซึมเซา และที่เป็นความฟุ้งซ่านของจิต ฯลฯ
เมื่อสติรู้เท่าทันสภาวธรรมที่กำลังปรากฏแล้ว
หากปัญญามีกำลังไม่เพียงพอ ผู้ปฏิบัติจะรู้สึกถึงความจมแช่ของจิต
อยู่ในกองทุกข์ กองกิเลสนั้น
แต่หากกำลังเพียงพอ จิตก็จะถอดถอนตนเอง
ออกจากกองทุกข์และกองกิเลสละเอียดนั้น
เช่นเดียวกับที่ปัญญาอย่างหยาบ
ช่วยถอดถอนจิตออกจากกองทุกข์และกองกิเลสหยาบๆ นั่นเอง
ผมเล่าให้เธอฟังต่อไปว่า
ถ้าผู้ปฏิบัติมีสติรู้เท่าทันสิ่งที่กำลังปรากฏ ซึ่งหยาบ/ละเอียดขั้นไหน ปัญญา ซึ่งจะเกิดตามหลังมา
ก็จะประหัตประหารกองทุกข์ กองกิเลสได้ หยาบ/ละเอียดในขั้นนั้น
ปัญญาจะไปประหารกองทุกข์ กองกิเลส
ที่ละเอียดกว่ากำลังของสติจะกำหนดรู้ ไม่ได้
เพราะปัญญา จะเกิดขึ้นได้จากการมีสติ
ไปรู้สภาวธรรม หรือปรมัตถธรรม ที่กำลังปรากฏ
ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง เท่านั้น
เมื่อสติรู้ชัดเพียงใด ปัญญาก็ละได้เพียงนั้น
ผมเล่าให้เธอฟังต่อไปว่า แม้แต่จิตของผมเองในขณะนี้
ก็จมแช่อยู่กับกองทุกข์ กองกิเลสที่มองไม่เห็น
เมื่อมองไม่เห็น จึงไม่เกิดปัญญา ที่จะถอดถอนจิตออกจากโลกได้
แต่ที่ทราบว่าจิตยังติดข้องอยู่ ก็เพราะได้รู้เห็นสภาวจิตของพ่อแม่ครูอาจารย์
ที่ท่านไม่ติดข้องกับอะไรๆ ในโลกแล้ว
จำเป็นที่ผมจะต้องให้เวลากับตนเองเพื่อพัฒนากำลังของสติ สมาธิ ปัญญา ให้ละเอียดเท่าทันกับกองทุกข์และกองกิเลส
ที่ละเอียดจนเหมือนเนื้อเดียวกับความว่าง
หากทำไม่สำเร็จ ก็จะติดอยู่เพียงเท่านี้เอง
เพราะไม่รู้เห็นสภาวะหรือปรมัตถธรรมที่จิตไปติดข้องอยู่
สรุปแล้ว สติละเอียดเพียงใด ปัญญาก็เกิดได้ละเอียดเพียงนั้น
ส่วนสติจะละเอียดเพียงใด ขึ้นอยู่กับการฝึกฝนในด้านสมาธิ หรือปัญญาด้วย
คือถ้าจิตมีสัมมาสมาธิ สติก็บริสุทธิ์ มีกำลังมาก
หรือหากมีปัญญาอันเกิดจากการเจริญสติมาก
ก็ส่งเสริมให้สติสามารถรู้เท่าทันอารมณ์ที่ละเอียดยิ่งขึ้นไปได้อีก
การปฏิบัติ จึงมีทั้งแบบที่ใช้สมาธินำ และใช้ปัญญานำ
แต่ไม่ว่าจะใช้สิ่งใดนำ ในที่สุดก็ต้องมีพร้อมทั้งสติ สมาธิ และปัญญา จิตจึงสามารถถอดถอนตนเอง ออกจากกองทุกข์และกองกิเลสได้
โดยคุณ สันตินันท์ (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)
เมื่อ วัน อาทิตย์ ที่ 12 พฤศจิกายน 2543
พระพุทธองค์สอนแต่เรื่อง
ทุกข์ กับ ความดับแห่งทุกข์
ไม่ได้ทรงสอนอะไรที่พิสดารเลย
เพียงแต่ที่ไม่เห็น เพียงเพราะโมหะบังไว้
ไม่เห็นทุกข์ว่าเป็นทุกข์ จึงไม่รู้ความดับแห่งทุกข์
เอาโมหะออกด้วยอโมหะ อโมหะก็คือ สัมปชัญญะนี่เอง
ใช้สัมปชัญญะนำทางให้ได้รู้จักทุกข์
ได้เห็นความดับไปแห่งทุกข์ จนกว่าจะเข้าใจว่า
ไม่มีใครหรืออะไรเป็นผู้ทุกข์
มีแต่ความเป็นทุกข์ตามธรรมชาติเท่านั้นเอง
พระเจษฎา คุตฺตจิตฺโต
..ร่างกายที่อาศัยอยู่นี่ก็ดี มันเป็นของสำ
หรับโลก เหมือนกันทุกคนน่ะแหละ.
สัพเพธรรมาอนัตตา ธรรมทั้งหลายไม่ใช่
ของใคร ก็แม่นร่างกายนี่แหละ.
หมดก้อนเท่านี้เป็นตัวสมุทัย เป็นเหตุให้
ยึดถือ นั่นแหละอัสมิมานะ คนถือว่าตัว
ตน นั่นแหละอันนี้แหละ ความมานะนี่แหละ
คือความว่าเขาว่าเรา.
พระพุทธเจ้าว่าอัตภาพสังขาร มันหลงสม
มุติ ท่านให้พิจารณาให้รู้ ให้รู้ทุกขสัจจ์
ทุกขังอริยสัจจัง ปริญเญญยันติ เมภิกขเว
ทุกขสัจจ์ ควรกำหนดให้มันรู้.
ทุกขังอริยสัจจัง ปริญญาตันติเม ภิกขเว
อันนี้แหละให้ศึกษาหาเหตุมัน.
เส้นผมก็ทุกขสัจจ์ ความเกิดเป็นหญิงเป็น
ชาย ว่าเขาว่าเรา อ้ายก้อนนี้มันเกิดมาจาก
ไหน ต้องสาวหาเหตุมัน มันเกิดมาจากตัณ
หานี่แหละ นั่นแหละจึงให้ถอนตัณหาให้ละ
ตัณหา.
ให้ละทิ้ง ให้สละ ครั้นมันรู้จักแล้วมันก็จะละ
เรื่องทุกขสัจจ์นี้ให้มันรู้ พิจารณามันทั้งนอก
ทั้งใน หรือจะออกพิจารณาผม ขน เล็บ ฟัน
หนัง อาการสามสิบสองน่ะ กระจายออกทุก
ส่วนๆ แล้ว มันเหลือเป็นคนไหม..บ่มีคนแล้ว
กำหนดออกไปๆ จนเหลืออายตนะของมัน
บัญญัติ..ความสมมุติ สมมุติคือขันธ์ รูปขันธ์
เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญ
ญาณขันธ์.
รูปขันธ์คือธาตุสี่ประชุมกันเป็นรูปขันธ์ ถ้ามี
รูปก็มีเวทนาเกิดขึ้น ต่อไปผัสสะมันต่อกัน
เกิดขึ้น พระพุทธเจ้าไม่บอกให้พิจารณา
ไปอื่น ให้พิจารณาที่นี่หมดก้อนของเขา
ของเรานี่แหละแม่นก้อนธรรม อย่าไปหา
ที่อื่นอย่าไปพิจารณาที่อื่น.
มันไปยึดไปสร้างไปเสีย มันจะเป็นเหตุให้
เจ้าของติดอยู่ ให้พิจารณาอันนี้ ทางจะไป
พระนิพพานมีเท่านี้แหละ ท่านแสดงไว้.
สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบก็เห็นกายนี่แหละ
ให้พิจารณากาย นี่เป็นทางไปสู่ทางพ้นทุกข์
ไปสู่ที่อันบรมสุข สุขอันเนรมิตใส่ตน.
อย่าไปหาที่อื่น พระพุทธเจ้าว่าแม่นอันนี้แหละ
ให้มันเห็น นอนกอดอยู่แท้ๆ หมดทั้งวัน ถ้ามัน
ไปยึดตัวยึดตนอยู่ มันไม่ได้ไปนิพพานดอก..
โอวาทธรรม
หลวงปู่ขาว อนาลโย..
"เวลาเราทุกข์ เราฝึกใหม่ ๆ เราดูมันตลอดนะ เราคิดอย่างนี้ เวลามันทุกข์ขึ้นมาเมื่อไรเป็นโอกาสที่เราจะได้ศึกษามัน ให้รู้ความจริงของทุกข์นะ เราจึงเห็นความจริงของทุกข์ว่ามันเป็นอนิจจัง เป็นอนัตตาไง
แล้วมันก็เห็นความจริงอีกตัวหนึ่ง คือความหลงไปยึดทุกข์เป็นของกูตัวกู พอมันเห็นตรงนี้มันก็วาง วางความไปยึดมั่นว่าเป็นของกูตัวกู ความทุกข์นั้นมันก็ดับนั่นเอง คำว่าทุกข์ดับหมายถึงทุกข์ใจดับ แต่ทุกข์กายยังคงอยู่นะ เพราะมันเรื่องของธาตุขันธ์
นี่ เพราะฉะนั้นอะไรเกิดอย่าไปตีโพยตีพาย นักปฏิบัติต้องสู้ คำว่าสู้หมายความว่าต้องกำหนด ต้องดูมัน ต้องวิจัยมัน หาความจริงมัน อย่าให้ทุกข์ฟรี ให้ทุกข์แล้วแล้วมีคุณค่าตอบแทน เกิดอะไรขึ้นอย่าให้มันเกิดฟรี ๆ เกิดแล้วให้เราได้ผลกำไรหรือคุณค่าตอบแทนจากมัน เข้าใจไหมล่ะ
ถ้าเราตั้งไว้อย่างนี้เราได้ประโยชน์ทุกอย่าง ไม่ว่าดีก็เกิดประโยชน์ ไม่ว่าชั่วก็เกิดประโยชน์ พูดโดยสมมติหมด ไม่ดีก็เกิดประโยชน์ ดีก็เกิดประโยชน์ ไม่ดีก็เกิดประโยชน์ ขี้ก็เป็นปุ๋ยน่ะ ได้ประโยชน์ทุกอย่าง ทุกอย่าง พอเราทำอย่างนี้เท่ากับเราตั้งจิตให้เห็นว่า สิ่งนั้นก็สักแต่ว่า ทุกข์ก็สักแต่ว่า สุขก็สักแต่ว่า เพราะมันเสมอกันโดยถูกกำหนดหมด มันเลยเท่ากับหัดละสมมติ การให้คุณค่ามันในนั้น เท่ากับหัดละสมมติในตัวของมันนั่นเอง"
โดยท่านพระอาจารย์วิชัย กัมมสุทโธ
บางส่วนจากพระธรรมเทศนา
เรื่อง “ศึกษาความจริงกับความหลง”
เทศน์ที่ สถานปฏิบัติธรรมป่าวิเวกสิกขาราม อ.พล จ.ขอนแก่น