ความสุข ก็เป็นสิ่งปรุงแต่ง
ความทุกข์ ก็เป็นสิ่งปรุงแต่ง
ก็เพียงเท่านั้นเอง.....
เป็นสิ่งปรุงแต่งก็เพราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น
ตามเหตุปัจจัย บังคับให้เป็นอย่างใจไม่ได้
ทั้งความรู้สึกสุข ทั้งความรู้สึกทุกข์ทุกข์นั้น
ล้วนตกอยู่ในกระแสแห่งความไม่เที่ยง
พระพุทธองค์ทรงถามเสมอว่า
"สิ่งใดไม่เที่ยง ควรหรือที่จะยึดถือเป็นตัวตน"
ต้องตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้ให้ดี
ด้วยจิตที่ตั้งมั่นเป็นกลาง เพื่อเห็นตามจริง
ไม่งั้น....ก็จะกลายเป็น รักษาสุข ผลักไสทุกข์
ด้วยอำนาจของตัณหาไป
พระเจษฎา คุตฺตจิตฺโต
เพราะว่าความรู้สึกที่เป็น #ของคู่ ประเภทตรงกันข้ามฝังจิตอยู่ ในอนุสัย
ของคู่ เช่น ดีชั่ว สูงต่ำ ดำขาว .. เป็นเนื้อเดียวกันหมด
เมื่อแยกคู่ไม่ได้ ตัวนั้นแหละ คือ ตัวว่าง
#ไม่ซ้ายไม่ขวา
#อยู่เหนือบุญเหนือบาป
#เหนือสมมุติเหนือบัญญัติ
#เหนืออนิจจังทุกขังอนัตตา
#เหนือเหตุเหนือผล
สมมุติบัญญัติ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา นั้น มันเป็นอยู่ในโลก
เหนือเหตุเหนือผล เรียกว่า #โลกุตรเหนือโลก
อยู่เหนือกามโลก โลกทั้งสาม กามภพ รูปภพ อรูปภพ ทั้งหมด .. ว่าง เหนือเหตุผลทั้งหมด
...
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
"...เราต้องแยกให้ออกว่าคนเรามี ๔ ธาตุ คือธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม แบ่งตามธาตุได้แก่รูปธาตุ อรูปธาตุ นิโรธธาตุ สุญญตาธาตุ สันติธาตุ และนิพพานธาตุ รูปธาตุคือธาตุภายนอกทั้งหมดที่จับต้องได้ แค่นแข็ง เปลืองเนื้อที่ อรูปธาตุ คือธาตุที่จับต้องไม่ได้ นิโรธธาตุ คือธาตุที่สำหรับจะไปดับรูปธาตุและอรูปธาตุ เมื่อดับรูปธาตุหรืออรูปธาตุได้แล้ว ก็นั่นแหละเรียกนิโรธธาตุ นิโรธาตุคือธาตุดับนั่นเอง สุญญตาธาตุคือธาตุว่าง สันติธาตุคือธาตุสงบ นิพพานธาตุคือธาตุเย็น จิตนิพพานคือจิตที่มีความเย็น เย็น เย็น
นิพพานแปลว่าเย็น ไม่ใช่ว่าตายแล้วจึงจะไปนิพพานได้ แต่ไปนิพพานได้ตอนมีชีวิตอยู่นี่แหละ คือเมื่อจิตมันเย็น เย็น เย็นถึงที่สุด และมันก็ไม่กลับมาร้อนอีกแล้ว ไม่กลับมาโกรธ ไม่กลับมาโลภ มันไม่โง่ ไม่หลงอีกแล้ว เลิกกันทีสำหรับเรื่องโลภ โกรธ หลง ราคะ โทสะ โมหะ เลิก เลิก พอ พอ ทีนี้พอสิ่งเหล่านี้เข้ามา จิตจะเห็นทันที เมื่อจิตเห็นและรู้ทัน อารมณ์เหล่านั้นก็จะหายไป จิตก็เย็นตามเดิม
จิตของพระอริยเจ้าในระดับพระอรหันต์ จิตของท่านจะเย็น แต่ไม่ใช่นั่งเย็น นอนเย็นเหมือนอยู่ในห้องแอร์ แต่จิตของท่านจะประกอบด้วยสติ ปัญญาที่สมบูรณ์ถึงที่สุด ไม่ว่าจะนั่ง ยืน เดิน หรืออิริยาบถย่อย ท่านก็จะทำด้วยสติและปัญญาที่สมบูรณ์ถึงที่สุด ท่านมีจิตที่เย็น เย็น เย็น แม่แต่ท่านเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา จิตของท่านก็ยังเย็นอยู่ ขณะที่ท่านกำลังจะตาย จวนเจียนหมดลมหายใจ จิตนั้นก็ยังเย็น เพราะพระอรหันต์นั้นจิตท่านเย็นมาก่อนแล้ว และเย็นจนถึงที่สุดแล้ว เรียกว่ากิเลสตายหมดแล้วคือโลภะ โทสะ โมหะตายหมด ไม่มีอะไรเหลือแล้ว
...จิตจึงเย็นและเข้าถึงพระนิพพาน"
.
บางตอนจากหนังสือ "นิพพาน"
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล..
กำหนด “จุดรู้” ไว้ “จุดเดียว” รวม “ความรู้สึก” ทั้งหมด ทำความรู้ตัวเต็มที่ และ รู้อยู่กับที่ ไว้ที่ “จุดเดียว” โดยไม่ต้องรู้อะไร คือ “รู้ตัว” อย่างเดียว มี “สติ” รักษาจิตเช่นนี้ไว้เรื่อยๆ อย่าบังคับจิต อย่าปล่อยจิตให้ล่องลอย ไปตามยถากรรม อย่าปรุงแต่ง อย่าตามความคิดของตนเอง ให้มี “สติรู้อยู่ที่จุดเดียว”
จากนั้น ค่อยๆ “รักษาจิต” ให้อยู่ในสภาวะรู้ "อยู่กับที่" ต่อไป
ครั้น พลั้งเผลอ สติอ่อน รักษาไม่ดีพอ จิตก็จะแล่นไป เสวยอารมณ์ข้างนอกอีก จนอิ่มแล้ว ก็จะกลับรู้ตัว รู้ตัวแล้วก็พิจารณา และรักษาจิตต่อไป ด้วยอุบายอย่างนี้ ไม่นานนัก ก็จะสามารถควบคุมจิตได้ และบรรลุสมาธิในที่สุด
ข้อห้าม ในเวลาจิตฟุ้งเต็มที่ อย่าทำ เพราะไม่มีประโยชน์ และยังทำให้ บั่นทอนพลังความเพียร ไม่มีกำลังใจ.. ในการ เจริญจิตครั้งต่อๆไป พึงสังเกตว่า ฐานนี้ไม่อยู่คงที่ตลอดกาล บางวันอยู่ที่หนึ่ง บางวันอยู่อีกที่หนึ่ง
เมื่อกำหนดถูก และ พุทโธ ปรากฏใน มโนนึก ชัดเจนดีก็ให้ "กำหนดนึก" ไปเรื่อย อย่าให้ "ขาดสาย" ได้ ถ้าขาดสายเมื่อใด จิตก็จะแล่นไป สู่อารมณ์ทันที ความไม่ขาดสาย ของ “พุทโธ” จะต้องเป็นไป ด้วยความไม่ลดละ
ข้อควรจำ ในการ “กำหนดจิต” นั้น ต้องมี “เจตจำนง” แน่วแน่ ในจิต จึงจะยังสมาธิให้บังเกิดได้ เจตจำนงนี้ คือ ตัว "ศีล"หรือ “สติ” ...
กายวิเวก ก็ไม่ได้หมายว่า
จะต้องอยู่เงียบๆ คนเดียวเสมอไป
แต่เป็นการสำรวมระวัง ไม่ส่งจิตออกนอก
ไปทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย
ไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งกระทบต่างๆ
ด้วยความมี สติ สัมปชัญญะ
เมื่อจิตไม่ซ่านไปในสิ่งกระทบต่างๆ
จิตนั้นย่อมมีความตั้งมั่นขึ้นมาเป็นจิตวิเวก
วิเวกจากความคิดเห็น และการให้ค่า
และตั้งมั่นพร้อมรู้ พร้อมที่เห็นตามจริง
พระเจษฎา คุตฺตจิตฺโต
สรุปสาระธรรม ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรม วันที่ 16 ก.ค. 2558
**การเดินทางสายกลาง**
+ +
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. วันนี้ลูกจงเดินทางสายกลางเถิดลูก
ทางสายกลาง คือ *ความไม่สุข ความไม่ทุกข์ *
คือ การที่เราอยู่ตรงกลาง ระหว่างสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นทั้งหลาย
ความสุขที่จรมาแล้วเราเป็นสุขกับมัน ก็เพราะว่าจิตของเรายังมีความคิดปรุงแต่ง และยึดติดไปในทางที่ดี
ความทุกข์ที่จรเข้ามาก็เพราะว่าเรายังปรุงให้มันทุกข์ และเราก็ยังติดอยู่ในตัวตน-- ก็เลยสลายความทุกข์นั้นไปไม่ได้
คำนินทา สรรเสริญ สิ่งที่ดีและไม่ดี ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามากระทบเรานั้น สิ่งเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นความคิด
- ที่เราเห็นว่าดี - และไม่ดี
- ที่เราเห็นว่าถูก- และไม่ถูก
- ที่เรายังมี ”เรา” อยู่
และยังมองไม่เห็นความเป็นจริงที่มันซ่อนเร้นอยู่ คือ ไม่มีความจริงเลยแม้สักอย่าง ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งสมมุติขึ้นมา
.. ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ มันก็ผ่านไป
.. ไม่ว่าจะเป็นความสุข มันก็ผ่านไป
ความสุข หรือความทุกข์ สิ่งต่างๆทั้งหลายเหล่านั้นที่มันยังมีอยู่..ก็เพราะว่าจิตของเรายังยึดติดมันอยู่ --
ไม่ว่าลูกนั้น จะยึดดี หรือยึดชั่ว ก็ยังติดอยู่ในสิ่งที่ยึดนั้น
สิ่งเหล่านี้ เพราะว่าเราลุ่มหลงอยู่ต่างหากเล่า จึงยังมีจุดให้เราเกาะติดอยู่
.. ทำให้เราต้องไปเกิดอยู่ในจุดนั้นๆ เป็นไปตามกรรม
จงพิจารณาเถิดลูก ในร่างกายของเรานี้ --มันก็ไม่ได้มีอะไรเลย ที่มันสำคัญ
สรรพสิ่ง ของทุกอย่างในโลก มีเกิดขึ้น มีดับไป
สิ่งที่จิตเรายังไปก่อเกิดอยู่ตรงนั้น ตรงนี้ ตามกรรม -- เพราะจิตเราไม่ถอดถอนความยึดติดในกาย /ในตัวตน
เรายังยึดดี ยึดชั่ว ยังทำในสิ่งที่ก่อเกิดความลุ่มหลงอยู่ ไม่ยอมสลายอัตตาตัวตน
ความสุข และความทุกข์เหล่านั้น *มันเป็นแค่ความรู้สึก* และความรู้สึกนั้นก็นำพาให้เรา ยึดติดเอาไว้..
แท้ที่จริงแล้ว เพราะจิตของเรายังรู้ไม่ทันความรู้สึกต่างหาก เราจึงปล่อยให้จิตถูกความรู้สึกครอบงำอยู่
จงนั่งมองดูความรู้สึกเถิดลูก ดูให้เห็นมันให้ชัดเจน
หายใจเข้า หายใจออก ดูลมหายใจของตนเอง แล้วก็เลื่อนจิตแห่งตน เข้าไปสู่ลมที่ว่างเปล่า ไปสู่ลมที่บริสุทธิ์..
ที่ที่ไม่มีการถูกครอบงำจากความคิดปรุงแต่งให้เรานั้นรู้สึกว่าเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้
< ยกจิตแห่งตนให้อยู่เหนือความรู้สึก >
ฝึกใจแห่งตนให้อยู่นิ่งๆ ไม่สุข ไม่ทุกข์
วางใจให้เฉย อยู่ในทางสายกลาง
แล้วพิจารณาให้เห็นเหตุของการเกิด เหตุของการดับ ให้ชัดเจน
แล้วเข้าใจในเหตุของการเกิด เข้าใจในเหตุที่จะทำให้ดับ แล้วจงทำให้ดับเถิดลูก
จุดสำคัญที่ยังทำให้เวียนว่ายตายเกิดอยู่นั้น
คือ *ความรู้สึก* ลูกเอ๋ย..ความรู้สึกนั้น ส่งไปให้เรารู้สึกว่า เป็นเช่นนั้น หรือเช่นนี้ และคอยวิ่งตาม
อย่าไปสนใจมัน -- แล้วมันจะสั่งให้เรา วิ่งตามมันไม่ได้อีกเลย --
นอบน้อมกราบสาธุ สาธุ
พุทธศาสนาไม่มีพูดอย่างอื่น ไม่มีอะไร นอกไปจากว่า เมื่อตาเห็นรูปก็ดี หูได้ยินเสียงก็ดี จมูกได้กลิ่นก็ดี ลิ้นได้รสก็ดี ผิวหนังได้รับสัมผัสก็ดี หรือใจมันครุ่นคิดอารมณ์อะไรขึ้นมาก็ดี ทั้ง ๖ อย่างนี้ ถ้าคนธรรมดาผู้ไม่มีปัญญาในขณะนั้น ไม่มีสติสัมปชัญญะแล้ว ก็ปล่อยไปตามเรื่องของมัน มันก็ปรุงเป็นเวทนา คือความรู้สึกสวย–ไม่สวย เพราะ–ไม่เพราะ หอม–ไม่หอม อร่อย–ไม่อร่อยฯลฯ นี้ขึ้นมา; พอปรุงเป็นอย่างนี้ขึ้นมาแล้ว จิตก็รู้สึกไปในลักษณะของอุปาทาน
เช่น สมมติว่าสวย นี้ก็ชอบใจหลงรัก เลยมีอุปาทานไปในเรื่องรัก; ถ้าไม่สวย มันเกลียด มันระคายตา มันก็ปรุงไปในทางความเกลียด; มันจึงมีอยู่ ๒ อย่าง คือชอบกับไม่ชอบเท่านั้น.
ถ้าใครมีความรู้สึกเป็นเรื่องชอบหรือไม่ชอบขึ้นมา อย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว เรียกว่าคนนั้นกำลังเปิดโอกาสให้อุปาทานเกิดขึ้นครอบงำแล้ว แล้วเขาก็ทำอะไรไปตามความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบนั้น คือทำไปตามอำนาจของอุปาทาน ทำไปตามอำนาจของกิเลส คือความโลภ ความโกรธ ความหลง; มันจึงทำผิด.
ทีนี้ อีกกรณีหนึ่ง เมื่อตาเห็นรูปแล้ว “สวย” ก็รู้ว่ามันคืออะไร โดยแท้จริงมันเป็นอย่างไร คืออะไร; รู้ว่าคืออะไรนี้ให้ถูกต้องเสียก่อน แล้วเรามีหน้าที่อย่างไร ที่จะต้องทำเกี่ยวกับสิ่ง สิ่งนี้ หรือถ้าหากไม่มีหน้าที่ที่จะต้องเกี่ยวข้องก็ไม่เกี่ยวข้องเลย.
หรือว่าได้เห็นรูปที่ไม่สวย แทนที่จะไปรำคาญตาระคายใจ นี้ก็ไม่ต้องรู้สึก หรือว่าเราจะต้องจัดการอย่างไร หรือไม่ควรจัดการอะไรเลย ก็ทำไปด้วยสติปัญญา ด้วยความรู้สึกผิดชอบชั่วดี; ความรักหรือความเกลียดไม่ต้องเกิด เกิดแต่สติปัญญาว่า จะต้องทำกับสิ่งเหล่านี้อย่างไรดี อย่างนี้เรียกว่าประพฤติถูกธรรม อุปาทานไม่ครอบงำ เป็นมนุษย์ที่ยังมีจิตว่างจากอุปาทานอยู่ตามเดิม.
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ตุลาการิกธรรม
เรื่อง “เรา” ที่ประกอบ หรือไม่ประกอบด้วยธรรม
หลักของการปฏิบัติ ก็เพื่อให้เราฝึกให้ธาตุรู้มีปัญญามีวิชชาเกิดขึ้น ธาตุรู้จะมีวิชชาเกิดขึ้นได้เราก็ต้องนำธาตุรู้มาฝึกฝนมาฝึกฝนรู้ความจริงก็คือ รู้ความจริงของกาย รู้ความจริงของเวทนา รู้ความจริงของจิต รู้ความจริงของธรรม อยู่ในหลักของ "สติปัฏฐาน 4 "...
เพราะฉะนั้น #ดูกายดูใจ มันต้องดูให้ครบองค์ประกอบก็คือดูในหลักของ"สติปัฏฐาน 4 "มันมีความระลึกรู้ชอบ ถ้าหากปฏิบัติเราไม่เอา"มรรคมีองค์ 8" มาปฏิบัติเราก็ไม่สามารถไปละสังโยขน์ได้...
การละสังโยชน์ของพระโสดาบันท่านละสักกายทิฐิคือละความเห็นผิดในกาย เพราะว่าท่านเห็นถูกในกาย การที่จะเห็นถูกในกายเราก็ต้องเข้าไปดูของจริงของกาย ดูการทำงานของกายโดยสภาวะ...
แล้วสภาวะคืออะไร? สภาวะก็คือ #ความรู้สึก ทั้งหมด ให้เรามาดูความรู้สึกของกายและให้เรามาดูความรู้สึกของใจ คือ กาย เวทนา จิต ธรรม 4 ตัวนี้ล้วนเป็นความรู้สึกทั้งสิ้น...
ความรู้สึกของกายก็มี เย็น ร้อน อ่อน แข็ง นั้นคือธาตุทั้ง 4 เย็นคือลม ร้อนคือไฟ อ่อนคือน้ำ แข็งคือดิน ให้เอาธาตุรู้แตะเบาๆกับกายเพื่อให้เห็นว่า เย็น ร้อน อ่อน แข็ง กำลังทำงาน...
ทุกครั้งที่มีการทำงานของกายมี เย็น ร้อน อ่อน แข็ง สิ่งที่ตามมาก็คือการกระทบแล้วในกาย จากนั้นความรู้สึกของใจก็ตามมาเกิดความพอใจไม่พอใจใน เย็น ร้อน อ่อน แข็ง...
ผลที่เกิดจากความพอใจไม่พอใจในเย็นร้อน อ่อน แข็ง นั้นอะไรตามมา คือความรู้สึกของใจ สุขกับทุกข์ การที่มีสุขมีทุกข์ได้เพราะอาศัยสัมผัสจาก เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ที่เกิดขึ้นในกายนั้นเอง...
เมื่อสุขทุกข์เกิดขึ้นแล้วสิ่งที่ตามมาก็คือ ความเศร้าหมอง หรือ ผ่องแผ้ว เมื่อเกิดความเศร้าหมองผ่องแผ้วขึ้นแล้วสิ่งที่ตามมาคือ ธรรม ธรรมคือความรู้สึกเช่นกัน ใจของเราก็คือธรรม บางครั้งรู้สึกเป็นกุศลในใจและบางครั้งรู้สึกเป็นอกุศลในใจ นี้คือผลมาจากกายทั้งหมด...
"พระอาจารย์ชานนท์ ชยนนฺโท"
ลำดับ พัฒนาการของสภาวะรู้
ถ้าเรารับรู้ความรู้สึกตัวสบายๆ
สภาวะรู้ตื่นขึ้น จิตไม่ส่งออก
มันก็จะเกิดสภาวะที่เรียกว่า รู้ธรรมเฉพาะหน้า
อันนี้เป็นหัวใจของการฝึกเลย
.
ตั้งแต่ระดับเบื้องต้น ท่ามกลาง ที่สุด
จะมีสภาวะที่เรียกว่า รู้ธรรมเฉพาะ
.
เพียงแค่เรารักษาการรู้ธรรมเฉพาะหน้าไปเรื่อยๆ
วิวัฒนาการของสติก็จะละเอียดลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ
.
จาก #สัมมาสติ เข้าสู่สัมมาสมาธิ ความตั้งมั่นที่ถูกต้อง
จาก #สัมมาสมาธิ ความตั้งมั่นที่ถูกต้อง ก็เข้าสู่ #วิปัสสนาญาณ เกิดการรู้เห็นตามความเป็นจริง
.
เมื่อเกิดการรู้เห็นตามความเป็นเนืองๆ
เกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด
จิตก็หลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่น
เข้าสู่ #สัมมาวิมุตติ การหลุดพ้นที่ถูกต้อง
.
เข้าถึงสภาวะรู้ที่บริสุทธิ์ ที่พ้นจากอวิชชา
พ้นจากการปรุงแต่งทั้งปวง
นี่คือวิวัฒนาการของสภาวะรู้
ตั้งแต่เราปลุกสภาวะรู้ขึ้นมาจากการ#เจริญสติปัฏฐาน
.
รู้สึกกาย รู้สึกใจเนืองๆ จนรับรู้ได้ทั่วทั้งตัว
สภาวะรู้ก็จะตื่นขึ้นๆๆ เรื่อยๆ
จนสภาวะรู้มีความทรงตัวตั้งมั่น
ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็จะพัฒนาไปโดยธรรมชาติ
เรียกว่า ตกกระแส กระแสของธรรม
ที่จะหลุดออกจากทุกข์ทั้งปวงได้
เดินจิต
พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
#ปล่อยเขาไปเสีย คือ ลีลาของ #การภาวนา
..
เมื่อเราเห็นรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เกิดขึ้นมาแล้ว ควรปล่อยเขาไปเสีย
หูได้ยินเสียงก็ปล่อยเขาไปเสีย เมื่อจมูกได้กลิ่นก็ปล่อยเขาไปเสีย เมื่อรสมันเกิดขึ้นกับลิ้นก็ปล่อยเขาไปเสีย
เมื่อโผฏฐัพพะที่ต้องด้วยกายเกิดขึ้นมา ชอบใจไม่ชอบใจก็ปล่อยเขาไปเสีย
ให้กลับไปที่เดิมของเขาเสีย
เรื่อง "ธรรมารมณ์" ที่เกิดขึ้นกับใจของเรานี้ ไม่ต้องอาศัยสัมผัสอะไร มันสัมผัสขึ้นที่ใจของมันเอง
เรียกว่า ธรรมารมณ์ หรือ ธรรมะกับอารมณ์
เป็นส่วนดีก็เรียกว่ากุศล เป็นส่วนชั่วก็เรียกว่าอกุศล
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ให้ "ปล่อยไปตามเรื่องของเขาเสีย" เรียกว่าเรา "รู้ " มัน
อย่างนี้แล้วสุขก็ดี ทุกข์ก็ดี .. สารพัดอย่าง อยู่ในรูปเดียวกัน
การทำใจให้สงบอย่างนี้เรียกว่า " #การภาวนา"
..
หลวงพ่อชา สุภัทโท
#ปล่อยเขาไปเสีย คือ ลีลาของ #การภาวนา
..
เมื่อเราเห็นรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เกิดขึ้นมาแล้ว ควรปล่อยเขาไปเสีย
หูได้ยินเสียงก็ปล่อยเขาไปเสีย เมื่อจมูกได้กลิ่นก็ปล่อยเขาไปเสีย เมื่อรสมันเกิดขึ้นกับลิ้นก็ปล่อยเขาไปเสีย
เมื่อโผฏฐัพพะที่ต้องด้วยกายเกิดขึ้นมา ชอบใจไม่ชอบใจก็ปล่อยเขาไปเสีย
ให้กลับไปที่เดิมของเขาเสีย
เรื่อง "ธรรมารมณ์" ที่เกิดขึ้นกับใจของเรานี้ ไม่ต้องอาศัยสัมผัสอะไร มันสัมผัสขึ้นที่ใจของมันเอง
เรียกว่า ธรรมารมณ์ หรือ ธรรมะกับอารมณ์
เป็นส่วนดีก็เรียกว่ากุศล เป็นส่วนชั่วก็เรียกว่าอกุศล
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ให้ "ปล่อยไปตามเรื่องของเขาเสีย" เรียกว่าเรา "รู้ " มัน
อย่างนี้แล้วสุขก็ดี ทุกข์ก็ดี .. สารพัดอย่าง อยู่ในรูปเดียวกัน
การทำใจให้สงบอย่างนี้เรียกว่า " #การภาวนา"
..
หลวงพ่อชา สุภัทโท
" ธรรมชาติทั้งหมด เป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
จะเป็นรูปธรรม ก็ช่าง จะเป็นนามธรรม ก็ตาม
เกิดขึ้นแล้ว ก็แปรดับไป."
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
เรื่อง ที่อยู่ภายใต้อำนาจ
ของความคิดปรุงแต่งนั้น
มีสิ่งมากมายให้กระทำไม่รู้จบ
เพราะหลงเชื่อไปแล้วว่ามีอยู่เป็นอยู่
แต่ธรรมบริสุทธิ์นั้น..
ไม่ต้องกระทำอะไรเลย
เพียงรู้เห็น..ปรากฏการณ์ธรรมชาติ
เคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงไป..
โดยไม่ไปใส่ใจ ใยดี ไม่ให้ค่าใดๆ
..เจริญธรรม..
อาจารย์ปู่ เอกธาตุ
อย่าพยายาม...ไปปฏิเสธความรู้สึก ที่เราให้ค่า ว่าไม่ควรแก่เรา ด้วยการผลักดันออก
แต่ให้ตระหนักรู้ถึงความมีอยู่
และยอมรับตามที่มันเป็นแบบไม่แทรกแซง
เมื่อสามารถรู้ถึงความเป็นตัวทุกข์
ของสิ่งที่ถูกรู้สึกนั้น ตัณหาที่หล่อเลี้ยง
สภาวะนั้นไว้เป็นอันดับลงทันที...
คนเราประกอบด้วยความหลงเป็นพื้น
ถูกโมหะคือความไม่รู้ตัวครองใจอยู่
เมื่อใดที่โมหะดับลงจริงๆ เพียงชั่วขณะหนึ่ง
เราจะรู้เลยว่าที่เราคิดว่าเรารู้นั้น
เป็นคนละเรื่องกับความรู้สึกที่สว่างไสว
เพราะใจตื่นขึ้นมาด้วยวิชชาปัญญา
หมั่นเจริญสติไว้ รู้สึกถึงกายใจบ่อยๆ
เมื่อถึงจุดที่ตื่นนั้นจะเข้าใจถึงใจจริงๆ ไม่ต้องเชื่อใคร
ปัญญาในการรู้ธรรมนั้น
ก็เพียงแค่ เห็นความเป็นไตรลักษณ์
ของกายและใจ จนใจยอมรับความจริง
จนเกิดการคลายออกจากการยึดถือ
เกิดการสละ สลัดออกไปสู่ความหลุดพ้น
นี้เรียกว่าปัญญา นอกนั้นอาจพอเรียกได้ว่าความเข้าใจ
เป็นความเข้าใจไปตามลำดับ ที่ควรรู้เท่าไม่ควรยึดถือ
ความว่าง
ความว่างในขั้นศีลสมาธิปัญญา
การที่จะเป็นความว่างนั้นต้องหัดกำหนดให้รู้จักความสงบกาย
สงบวาจาสงบใจ ซึ่งเป็นศีล ไม่ดิ้นรนไปเพื่อที่จะประพฤติ
ก่อภัยก่อเวรต่างๆ จิตพร้อมทั้งกายทั้งวาจาสงบเรียบร้อย
ดั่งนี้ก็เป็นศีล ตัวศีลนี่แหละเป็นความว่าง ว่างจากภัย
ว่างจากเวรทั้งหลาย ไม่ก่อภัยไม่ก่อเวรอะไรๆ ขึ้น
ทางกายวาจาพร้อมทั้งทางใจ คือใจก็ไม่คิดที่จะไป
ก่อภัยก่อเวรแก่ใคร ไปทำร้ายเบียดเบียนใคร กายวาจา
ก็ไม่ไปประพฤติกระทำร้ายใครเบียดเบียนใคร
ก็ว่างจากภัยจากเวรทั้งหลาย ใจที่ว่างดั่งนี้
กายวาจาที่ว่างดั่งนี้เป็นศีล
จิตก็เหมือนกัน เมื่อจิตสงบได้จากความคิดฟุ้งซ่านไป
ในอารมณ์ตามใคร่ตามปรารถนาต่างๆ มาตั้งมั่นอยู่ในกิจ
ที่ควรทำต่างๆ ตลอดจนถึงมีความสงบอยู่ในภายใน
ไม่ฟุ้งซ่านออกไป ความสงบจิตดั่งนี้ก็เป็นสมาธิ
และปัญญาคือตัวความรู้ ความรู้ที่รู้จักศีลตามเป็นจริง
รู้จักสมาธิตามเป็นจริง ตลอดจนถึงรู้จักตัวความว่าง
ว่าความว่างที่เป็นความว่างจริงนั้น ต้องว่างจาก
ความเพลิดเพลิน ความติดใจยินดีที่ไปกับตัณหา
ความดิ้นรนทะยานอยาก ดั่งนี้ก็เป็นปัญญา คือ
รู้จักสัจจะคือความจริงที่กายวาจาใจของตัวเอง
ดั่งนี้ก็เป็นปัญญา จิตที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญานี้เอง
ก็เป็นตัวความว่างซึ่งเป็นตัวผล เป็นความสงบที่ยิ่งๆ ขึ้นไป
และเป็นความรู้ที่ยิ่งๆ ขึ้นไป
เมื่อเป็นดั่งนี้แล้ว จึงจะรู้จักธรรมะ รู้จักพุทธศาสนา
เมื่อรู้จักธรรมะรู้จักพุทธศาสนาดั่งนี้ แม้น้อยหนึ่ง
ก็เป็นประโยชน์มาก เพราะได้รู้จักของจริงของแท้
ว่าพุทธศาสนาที่จริงที่แท้นั้นเป็นอย่างนี้ และจะทำให้
รู้จักลู่ทางที่จะปฏิบัติให้พบกับความว่าง ให้พบกับ
ความสงบ ให้พบกับความหลุดพ้นของตนยิ่งๆ ขึ้นไปได้
---------------------------------------------------------------
ความจริงที่ตนเอง
พระบรมศาสดาผู้ทรงรู้ทรงเห็น ได้ทรงแสดงธรรมะสั่งสอน
ก็เพื่อให้ผู้ปฏิบัติทุกคนได้รู้ได้เห็นสัจจะคือความจริงนี้
ที่ตนเองของทุกๆ คน ไม่ใช่ที่อื่น แม้ที่ทรงแสดง
สติปัฏฐานทั้ง ๔ ตั้งสติกำหนดดูกายเวทนาจิตธรรม
ก็เป็นการดูให้รู้เข้ามาในการที่จะปฏิบัติอาศัย
กายเวทนาจิตธรรมนี้เอง ให้เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาขึ้นมา
และให้พบกับความว่าง ให้พบกับความสงบ ให้พบกับ
ความหลุดพ้น ไม่ใช่อย่างอื่น
และก็ทรงจำแนกแจกธรรม ก็คือตรัสสอนให้ผู้ฟัง
รู้จักจำแนกทางปฏิบัติออกไปเป็นกาย เป็นเวทนา จิต ธรรม
ดูให้รู้จักกาย รู้จักเวทนา รู้จักจิต รู้จักธรรม
ดังที่ได้อธิบายมาแล้ว และโดยเฉพาะในข้อที่เกี่ยวกับ
ธรรมะนั้น ก็ได้ทรงสรุปเข้าในสัจจะคือความจริงความจริงที่ตนเอง
คัดจากเทปธรรมอบรมจิต
วัดบวรนิเวศวิหาร
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
โลกิยธรรม กับ โลกุตตรธรรม โลกุตตรภูมิ และ สุญญตา
“(คนทั่วไป)มักจะถือกันเป็นหลักตายตัวว่า โลกิยะ-อยู่ในโลก อีกระบบหนึ่งต่างหาก ส่วนโลกุตตระ-อยู่นอกโลก เหนือโลก อีกระบบหนึ่งต่างหาก อย่างนี้ไม่ถูก
โลกิยะ มันเป็นชั้นต้น เป็นของมีอยู่แล้วของบุคคลที่ยังไม่รู้อะไร อยู่ในวิสัยโลกอยู่แล้ว มีแต่จะเลื่อนไปหาโลกุตตระ ไม่ใช่หันหลังให้กันแล้วเดินไปคนละทิศคนละทาง
โลกิยะ ก็แปลว่ามันยังทำอะไรมากไม่ได้ ยังมีความรู้ต่ำ ยังมีตัวตน ยังมีของตน แต่แล้วมันก็ต้องค่อยๆไป ค่อยๆไปในทางของโลกุตตระ เพื่อไม่ให้มีตัวตน เพื่อจะอยู่เหนือปัญหาทั้งปวง คือ เหนือโลก...
โลกิยธรรม มันตั้งต้นด้วยความมีตัวตน มีดี มีชั่ว มีบุญ มีบาป มีตัวมีตนที่จะทำบุญทำบาป เสวยสุข เสวยทุกข์ มันตั้งต้นด้วยตัวตนอย่างนี้ ก็เป็นโลกิยธรรม เอาข้างดีไว้
แต่พอเห็นว่า ชั่วก็ไม่ไหว ดีก็ไม่ไหว อยากจะพ้นชั่วพ้นดีเสียที ก็เดินต่อไป จะไปเป็น “โลกุตตรธรรม...
พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า พระองค์ได้ทรงบัญญัติโลกุตตรธรรมสำหรับทุกคน
ก่อนนี้เขาเชื่อกันว่า..ป่วยการ เราปุถุชนคนธรรมดา อย่าไปสนใจเรื่องโลกุตตรธรรม มรรค ผล นิพพานเลย ไม่อยู่ในวิสัย แล้วก็สอนกันอย่างนั้น ผู้หลักผู้ใหญ่ก็สอนกันเสียอย่างนั้น แล้วก็ห้ามเด็กๆไม่ให้สนใจเรื่องโลกุตตรธรรม ว่ามันไม่จำเป็นบ้าง ว่ามันเกินไปแล้วบ้าง ไม่สมกับที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เป็นเรื่องที่เรามอบให้สำหรับทุกคน เพราะว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องสำหรับทุกคนที่มีความทุกข์ ใครมีความทุกข์ก็ต้องมีโลกุตตรธรรม เพราะว่าสิ่งอื่นมันดับทุกข์ไม่ได้
ฉะนั้น ถ้าใครมีความทุกข์ คนนั้นต้องใช้โลกุตตรธรรม ไม่ว่าเด็ก ไม่ว่าผู้ใหญ่ โลกุตตรธรรม ให้เป็นสมบัติสำหรับทุกคน...”
พุทธทาสภิกขุ
-----------------------
โลกุตตรภูมิ
"สิ่งที่เรียกว่า "โลกุตตรภูมิ" เป็นสิ่งที่อาจจะกล่าวได้ว่า หาได้ในโลก หรือมีอยู่ในโลก ทั้งที่เป็นเรื่องเหนือโลก นอกโลก พ้นโลก โดยประการทั้งปวง เพราะว่า ข้อนี้หมายถึงภูมิแห่งจิตใจ หรือสภาวะแห่งจิตใจของบุคคลที่มีความรู้สึกอยู่เหนือความครอบงำของโลก คือเหนืออิทธิพลของสิ่งที่มีอยู่ในโลกโดยประการทั้งปวง
จะจำแนกเป็น รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ก็ตาม(มักจะเรียกกันว่า กามคุณ ๕) จะจำแนกเป็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร หรือ วิญญาณ ก็ตาม หรือ จะจำแนกเป็นอะไรก็ตาม ล้วนแต่รวมเรียกว่า "โลก" หรือสิ่งที่มีอยู่ในโลก
สิ่งเหล่านั้น จะไม่ทำให้เรายึดมั่นถือมั่นได้อีกต่อไป จะไม่มีอะไรมาล่อให้เรายึดมั่นถือมั่นได้อีกต่อไป
เพราะฉะนั้น จิตใจจึงไม่หวั่นไหวไปตามสิ่งเหล่านี้ นี่เรียกว่า..โลกไม่อาจจะครอบงำบุคคลนั้นได้อีกต่อไป
สิ่งที่เรียกว่า "โลกุตตรภูมิ" ในอันดับแรกเป็นพระโสดาบัน แล้วเป็นพระสกิทาคามี พระอนาคามี และ พระอรหันต์ ขึ้นไปตามลำดับ ชื่อเหล่านั้นไม่สำคัญ เราไม่ต้องเข้าใจก็ได้ เพราะว่าพระอริยเจ้าท่านไม่สนใจ และท่านไม่เคยสนใจเลยว่า ท่านจะเป็นพระอรหันต์แล้วหรือยัง เป็นพระโสดาบันแล้วหรือยัง ข้อนี้ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ ไม่สนใจจะทราบ และไม่อยากจะทราบ ไม่จำเป็นจะต้องทราบ
แต่สิ่งที่ท่านทราบแน่ๆทราบอย่างยิ่งนั้นก็คือ ภาวะแห่งจิตใจของท่านหรือความรู้สึกในจิตใจของท่าน ซึ่งท่านรู้ด้วยตนเองว่ามันเป็นอย่างไร คือเดี๋ยวนี้หลุดออกมาจากอำนาจของโลกแล้วหรือยัง หรือว่าหลุดมาแล้วเพียงเท่าไร ความร้อนหายไปอย่างไร ความเย็นเข้ามาแทนเท่าไร หรือว่าความทุกข์สิ้นไปเท่าไร ท่านรู้ดียิ่งกว่ารู้ นี่คือรู้ตัวธรรม หรือรู้ตัวโลกุตตรธรรมที่แท้จริงในใจของท่าน โดยไม่ต้องรู้ว่าธรรมนั้นเรียกชื่อเป็นบาลีว่าอะไร หรือท่านกำลังตั้งอยู่ในภูมิไหน ชั้นไหน เรียกชื่อว่าอย่างไร
ไม่เหมือนกับนักวิปัสสนาสมัยนี้ ที่ต้องให้เขาตั้งให้ว่าเป็นพระโสดาบันแล้วหรือยัง เป็นพระสกิทาคามีแล้วหรือยัง สิ่งที่ได้บรรลุ เป็นดวง เป็นแสง เรียกชื่อว่าอะไรเป็นภาษาบาลี"
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมเทศนา เรื่อง "ความเป็นเจ้าโลก"
---------------------------------
“โลกุตตระ” กับ “สุญญตา”
“โลกุตฺตรา”เป็นเรื่องเหนือโลก คือ เป็นเรื่องที่จะทำให้มนุษย์อยู่เหนือการครอบงำย่ำยีของโลก ถ้าถูกโลกครอบงำย่ำยี ก็หมายความว่า มีความทุกข์ ฉะนั้น เราจะอยู่เหนืออำนาจครอบงำของโลก
เมื่อใดอยู่เหนืออำนาจครอบงำของโลก เมื่อนั้น เรียกว่าอยู่เหนือโลก หรือ “โลกุตตระ”แล้วเรื่องนี้ต้องเป็น “สุญฺญตปฺปฏิสํยุตฺตา” คือ เนื่องเฉพาะด้วยเรื่อง “สุญญตา” ต้องเป็นเรื่องที่เนื่องด้วยสิ่งที่เรียกว่า “สุญญตา”
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยาย “สุญญตาหัวใจของพุทธศาสนา” เมื่อ ๙ มกราคม ๒๕๐๙
--------------------------
อธิบาย ความหมายของคำว่า "สุญญตา" "โลกว่าง" "จิตว่าง"
"พระพุทธเจ้าตรัสว่า 'โลกนี้ว่าง เพราะไม่มีสิ่งใดที่ควรถือว่าเป็น "ตัวตน" หรือ "ของตน" เป็น"ตัวเรา" หรือ"ของเรา"...
จิตที่ไม่ยึดถืออะไรว่าเป็นตัวตน ของตน หรือกำลังไม่ยึดถืออะไรว่าเป็นตัวตนของตนนี้ ขอเรียกว่า "จิตว่าง" เพราะไม่มีคำอื่นที่ดีกว่านี้
มีคำอธิบายใน "ธัมมัปปโชติกา ภาค ๑" ว่า
"ราคโทสโมเหหิ สุญฺญตตฺตา สุญฺญโต"
(แปลว่า) ชื่อว่า "สุญญตา" เพราะว่าว่างจาก ราคะ โทสะ โมหะ เพราะจิตในขณะนั้นประกอบด้วยปัญญาเห็นว่าโลกว่าง
ด้วยเหตุนี้แหละ พระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสสอนว่า "จงมองดูโลกนี้โดยความเป็นของว่างอยู่เสมอ" เหมือนอย่างทรงสอนโมฆราช ใน "โสฬสปัญหา" ว่า...
"สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต = ดูก่อน โมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติ มองเห็นโลกโดยความเป็นของว่างอยู่เสมอไป" เมื่อเห็นโลกโดยความเป็นของว่าง จิตก็ไม่มีความยึดถืออะไรด้วย"อุปาทาน" ความว่างอย่างนี้ของจิตเราเรียกว่า "สุญฺญตา"
ฉะนั้น เราได้ใจความครั้งแรกว่า"โลกนี้ว่าง" เพราะว่างจาก "ตัวตน" "ของตน" ได้ใจความถัดมาว่า "จิตว่าง" เพราะว่างจาก ราคะ โทสะ โมหะ โดยเหตุที่จิตนี้ได้มองเห็นว่าโลกนี้ว่าง ไม่มีอะไรที่ควรยึดถือว่าตัวตนของตน นี่คือ ความหมายของคำว่า "สุญญตา"
พุทธทาสภิกขุ