เมื่อเราเจริญสติไปจนเห็นรูปเห็นนามชัด
รูปกับนาม หรือ กายกับใจ จะเริ่มแยกจากกันชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ (จะแยกได้ต้องเจริญในสติปัฏฐาน4 เมื่อแยกรูปนามได้แล้ว ปัญญาญาณจึงจะเกิดแก่ตน เมื่อแยกได้ตอนแรกอาจไม่รู้ตัวเลย จะรู้แค่ว่าเรารู้ธรรมเข้าใจธรรมง่ายขึ้นเฉยๆ เพราะยังแยกไม่ออกระหว่างสิ่งที่ไปรู้ผ่านจิต กับสิ่งที่ไปรู้ผ่านสมอง แต่เมื่อก้าวมากขึ้น ปัญญาญาณละเอียดลึกซึ้งขึ้น ก็จะรู้แจ้งได้แก่ตนเอง ธรรมทั้งหลายจะค่อยๆผุดรู้ ขึ้นมาให้เรารู้เรื่อยๆ โดยธรรมนั้นเองจะมีความละเอียดเพิ่มขึ้น ลึกซึ้งมากขึ้นไปเรื่อยๆ หลักเหตุผลของเราจะค่อยๆปรับเปลี่ยน จะค่อยๆละจากอวิชชาก็ตรงนี้ เปลี่ยนมาเห็นถูกในวิชชา หลักเหตุผลจะขึ้นไปอยู่เหนือเหตุผลผลแบบโลกๆทั้งปวง ไม่มีผิดไม่มีถูก มีแต่ความจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลง อันเป็นสัจธรรม ทําให้มรรคในใจตนค่อยๆครบองค์ทั้ง 8 ถึงตรงนี้เส้นทางแห่งมรรคผลย่อมไม่ไกลและเห็นชัดแจ้งแก่ใจตน
คําว่าสตินั้นมี 2 แบบ คือ 1. สติความคิด เป็นสติจากสมองเป็นสติจากการเรียนเขียนอ่านแบบโลกๆตามเหตุผล "ที่ยึดถือเอาไว้ " เวลาเราเจอเรื่องที่ดีหรือร้ายถ้าเรื่องมันไม่รุนแรงมาก สติจากความคิดจะยังคงใช้ได้ แต่ถ้าเราเจอเรื่องหนักๆเช่นคนทําให้โกรธสติแบบนี้ไม่มีประโยชน์อะไรเลย หรือแม้แต่เรื่องที่ทําให้ดีใจจนขาดสติควบคุมตัวเองไม่ได้ก็เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าจะเป็นแต่เรื่องร้ายๆ
2. สติกํากับใจหรือสัมมาสติ เป็นสติมีกับใจ ไม่ให้ใจไหลไปกับเรื่องดีหรือเรื่องร้าย เป็นสติที่เกิดจากการเจริญสติปัฏฐาน รู้กายรู้ใจตนเอง ทําให้ใจเรา "ไม่ไปยึดถือ" กับเรื่องราวต่างๆภายนอก จะดีใจหรือเสียใจเราก็วางเฉยไม่ไปจมอยู่กับความสุขหรือความทุกข์ที่เกิด ใจเราเป็นอิสระจากสุขทุกข์ทางโลก สัมมาสตินี้จะค่อยๆสะสมกําลังขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ใช่มีแล้วสามารถขจัดเรื่องราวต่างๆได้หมดในทันที แต่ยังขึ้นกับกําลังของสัมมาสติที่สะสมจากการปฏิบัติไปเรื่อยๆ ตอนแรกจะปัดเรื่องเล็กๆได้ก่อน แต่ยิ่งถ้ามีกําลังมากขึ้นไปเรื่อยๆก็จะยิ่งปัดเรื่องที่มากระทบใจเรื่องใหญ่ๆได้ และท้ายที่สุด พระอรหันต์เป็นผู้ไม่โกรธอีกต่อไป
ดังนั้นอย่าแปลกใจเลย ว่าปฏิบัติธรรมแล้ว เข้าใจธรรมบ้างแล้ว ทําไมเรื่องบางเรื่องเรายังขาดสติกันอยู่ มันขึ้นอยู่กับว่าเรามีกําลังของสัมมาสติอยู่แค่ไหน ถ้ามีมากก็ปัดออกได้มากได้หมด ส่วนสติความคิดที่มีแล้วทําให้เราคิดว่าเรามีสติแล้วนะ มันช่วยอะไรจริงๆไม่ได้หรอก ถ้าเผลอเมื่อไหร่ก็เสร็จโดน โลภะ โทสะ โมหะ ของตัวเองเอาไปกินหมด ถ้ามีสัมมาสติจริงๆ ความอยากในชีวิตประจําวันเราต้องลดลงไปเรื่อยๆนะ และความก้าวหน้าของสัมมาสตินั้นดูง่ายๆโดยวัดกันที่อารมณ์นั้นเอง ใครเผลอมากก็มีน้อยใครเผลอน้อยก็มีมากนะ หมั่นสะสมสัมมาสติด้วยการพิจารณากายใจตนเองนะครับ
คำว่าจังหวะ คือ
เคลื่อนไหวให้เป็นท่อนเป็นตอน
พอหยุดจิตมันจะหยุดด้วย
ตรงนี้แหละเป็นเคล็ด
ถ้าจะถือว่าเป็นเคล็ดวิชาก็ใช่
ถ้ายกมือมั่ว ไม่มีการหยุดเป็นจังหวะ
จิตมันก็ตื่น แต่มันไม่เข้มขึ้นเป็นสมาธิ
พอพลิก จิตมันรู้
พอหยุด ตอนนี้แหละสำคัญ
พอมือหยุด จิตรู้สภาพหยุด
มันเหมือนกับโลกทั้งโลกหยุดหมด
ใหม่ๆ เราจะเจอปัญหา
ในเรื่องของการเพ่ง
ผู้แนะนำในแนวทางนี้
อาจจะหวังดีต่อผู้คนมาก
ประกอบกับอุปนิสัยที่จริงจัง
แนะนำให้เอาเป็นเอาตายในการปฏิบัติ
นี้เป็นจุดผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง
มันกลายเป็นเจริญสติ
แบบเพ่งเล็ง เพ่งจ้องตัวเอง
แล้วมันจะเข้าไปสู่ความเครียด
หรือไม่สงบนิ่ง และพิสดาร
ฉะนั้น การสร้างสติ
บนฐานของการเคลื่อนไหวนั้น
ให้ปฏิบัติเล่นๆ แต่ต่อเนื่อง
จากหนังสือ ไตร่ตรองมองหลัก: เขมานันทะ
เมื่อเรารวมจิตจนได้ความสุขสงบจากสมาธิ มีกายเบาใจเบา มีปิติ ให้ยึดไว้ชั่วคราวก่อน เพราะจิตต้องมีที่ยึด(ให้จําไว้เป็นเทคนิคเลย ไม่อย่างนั้นมันจะวอกแวก ไปจับเรื่องอื่นหรือไปจับบุคคลแทน)หรือไม่ก็ให้เอาจิตไปจับกับพระพุทธรูปหรือคําบริกรรมเอาไว้ก่อนก็ได้เป็นวิธีที่ผมใช้
แต่อนาคตเราจะต้องปล่อย จากนั้นดำเนินการรู้กายและใจไปเรื่อยๆ เมื่อเห็นไตรลักษณ์ของกายใจแล้ว เทียบกับความสุขที่ยึดไว้ จะทำให้เราเบื่อหน่ายและคลายออกไม่ยึดกายใจ ในที่สุดสิ่งที่ยึดต่างๆก็ค่อยๆคลายออกไป ไม่มีการพอใจไม่พอใจอีก เลิกให้ค่า" มีเพียงสักแต่ว่า..."
หลักของสมาธิที่สําคัญนะ สมาธิแปลว่าการทําให้จิตตั้งมั่น ให้ทําด้วยความเบาสบาย นั่งท่าสบายนะ ให้รู้สึกสบาย ไม่สบายอย่าทํา
ให้หายใจเข้ายาวๆเบาๆช้าๆ ให้หายใจออกยาวๆเบาๆช้าๆ
ให้สัมผัสถึงลมด้วย" ใจที่รู้ " ไม่ใช่ " คิดไปกับลม "
การให้เอาใจสัมผัสระลึกรู้ไปกับลม ทําได้ 2 แบบ คือ
1 เอาใจไว้ที่ปลายจมูกให้ใจนิ่งอยู่ตรงนี้ ให้สัมผัสรู้ไปกับลมที่ผ่านเข้าออกตรงจุดนี้เท่านั้น ให้ทําแบบนี้ตอนที่เริ่มทําสมาธิตอนแรก หรือตอนที่ใจวอกแวก การทําแบบนี้จะทําให้ ใจตั้งมั่นอยู่ที่ตรงปลายจมูก พอสงบดีแล้ว ใจตั้งมั่นดีแล้ว ให้ปรับทําแบบ
2 ให้เอาใจ"สัมผัสรู้ไปกับลมที่ไหลเข้าไปในหลอดลม" ให้สัมผัสรู้ไปกับลมที่ไหลเข้าไปแล้วไหลออกมา เอาใจไว้กับลมที่ไหลเข้าไปแล้วไหลออกมา รับรู้ รู้สึกลมหายใจยาว ลมหายใจสั้น ไม่เอาใจจับไว้นิ่งๆที่ปลายโพรงจมูกแล้ว แต่ใจจะสัมผัสรู้ไปกับลมเข้าและลมออก ทําอย่างนี้จะทําให้จิตที่ตั้งมั่นดีแล้ว จะเริ่มเดินลมเพื่อเจริญวิปัสสนา
ใจที่สัมผัสรู้ไปกับลมเข้าลมออกเป็นการพิจารณากาย เป็น"การเจริญสติ" ตรงนี้ถ้าสติสัมผัสรู้ไปกับลมดีดี กายจะเริ่มเบา จะไม่ง่วง จะเป็น"สัมมาสติ" จะเข้าไปอยู่ในฌานระดับปฐมฌาน กายเบาไปเรื่อยๆ ความวิตกกังวลต่างๆหายไป มีเสียงอะไรเราก็เฉย เพราะใจเราอยู่รู้กับลม ความสงบก็จะเริ่มดิ่งเข้าไปเรื่อยๆ ตามฌานที่ได้
ทําแบบใจสบายๆนะ ท่าไหนก็ได้ ผมเองชอบนั่งเก้าอี้บ้างโซฟาบ้างไม่ได้นั่งขัดสมาธิ อย่าไปติดที่ท่าทาง ท่าทางไม่เกี่ยว ไม่อย่างนั้นเดินจงกรมก็ไม่ได้สมาธิ อยู่ที่ใจเราอย่างเดียวเลยนะ แต่ถึงแม้ผมกล่าวอย่างนี้ผมเองก็ผ่านการนั่งในรูปแบบมาก่อนนะ
ดังนั้นให้แล้วแต่จริตคนที่ชอบดีที่สุดครับ ให้ทําด้วยความสบายใจเบาใจ สมาธิจึงเกิด
Trader Hunter พบธรรม
คำว่า"เจริญสติ"นี่
ทุกส่วนให้มัน"ทำหน้าที่ของมัน โดยสมบูรณ์ของมัน
ไม่ต้องไปฝืนธรรมชาติของมัน"
การปฏิบัติวิธีนี้คือ
เป็นวิธีที่จะเอาไปใช้กับการกับงาน
จึงว่า ไม่ได้ให้ฝืนธรรมชาติ
ตา เป็นหน้าที่ของมองให้เห็น
หู เป็นหน้าที่ของฟังเสียง
จมูก เป็นหน้าที่ของที่จะรู้ว่าเหม็นหอม
แล้วการเคลื่อนไหวของกายนี้
ต้องให้มันเป็นไปตามธรรมชาติหน้าที่ของมัน
ไม่ต้องฝืนมัน "แต่ให้มันรู้เท่าทัน" เท่านั้นเอง
คู่มือการทำความรู้สึกตัว
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ (พันธ์ อินทผิว)
“…อัน'ตัวสติ' แปลว่า 'ตั้งมั่น'
'ตัวสมาธิ' ก็แปลว่า 'ตั้งมั่นอยู่ในความคิด'
คอยจ้องอยู่เหมือนแมวคอยที่จะจับหนูนั้นเอง
'พอมันคิดปุ๊บ เราไม่ต้องไปรู้กับมัน
มันคิดแล้วก็หายไป'
หมายถึงว่า 'เมื่อมีสติเห็น-รู้-เข้าใจอยู่ ความหลงไม่มีเลย'
'เมื่อความหลงไม่มีแล้ว โมหะ-โลภะ-โทสะย่อมเกิดขึ้นไม่ได้'
นี้เรียกว่า ‘นามรูป’คือ เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ
เป็นนามที่มันนึกคิดขึ้น
'รู้เท่า-รู้ทัน รู้กัน-รู้แก้' คือ 'ตัวสติ'นั่นเอง
'ศีล' แปลว่า 'ปกติ'
'จิตใจที่ปกติ' นั้นแหละเรียกว่า 'ศีล'
ที่พูดนี้ไม่ได้พูดถึงส่วนร่างกาย จะพูดถึงเรื่องจิตใจ
เมื่อเรามาเห็นอยู่อย่างนี้ อันนี้แหละตัวสติ-ตัวสมาธิ-ตัวปัญญา
ไม่ใช่ไปเจริญสติ-ไปทำสมาธินั่งหลับตา
อันนั้นเอาไว้ก่อน ไม่ต้องพูดถึง
เรื่องเจริญสติแบบแก้ทุกข์ที่ผมเข้าใจ
พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้จริง ๆ นั้น ไม่ต้องหลับตา
ทำการทำงานทุกวิธีได้
ถ้าหากเราเป็นนักเรียน ไปเรียนหนังสือก็ได้
ถ้าหากเป็นครู ไปสอนนักเรียนก็ได้
ถ้าหากเป็นพ่อบ้าน ทำหน้าที่พ่อบ้านก็ได้
ถ้าหากเป็นแม่บ้าน ทำหน้าที่แม่บ้านก็ได้
ถ้าเป็นลูก เราก็ทำหน้าที่ของลูกได้
ถ้าหากเป็นผู้ใหญ่บ้าน-กำนัน หรือตำรวจ-ทหาร
ใคร ๆ ทำหน้าที่การงานของตนได้หมดทุกคน
ทำไมจึงว่าทำได้ ?
เพราะเราไม่ได้นั่งหลับตา
ไปไหนมาไหนก็ได้ แต่ให้เรามองดูจิตใจ
จิตใจนี้ไม่มีตัวไม่มีตน
พอมันคิด เราเห็น-เรารู้-เราเข้าใจ
อันนี้เรียกว่า‘นาม’ นามมันคิดเป็น‘รูปคิด’ขึ้นมา
ที่ ‘เห็น’ นั้นเป็น'นามอีกชั้นหนึ่ง'
เป็น ๒ ชั้น เรียกว่า ‘นามรูป’
มันคิดขึ้นเองเป็นรูป-รูปความคิด
สมมติอย่างนี้
คิด(ขึ้นมา)ว่าอยากทำนาฬิกา
นาฬิกาเป็น ‘รูป’
แต่'ความคิดมาสร้างให้เป็นนาฬิกา'คือรูปนี้ อันนั้นคือ ‘นามรูป’
'เข้าไปรู้ความคิดที่มันคิดออกมานั้น' เราเรียกว่า ‘นามรูป’
วิธีนี้เรียกว่า ‘เป็นวิธีนามรูป’
อันรูป-นามนั้นเป็นอันหนึ่ง นามรูปเป็นอันหนึ่ง...”
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
...นิพพานใจจะต้องเด็ดเดี่ยวมากนะ ต้องไม่ห่วงใคร จะต้องไปคนเดียว
การปฏิบัติธรรมนั้น นอกจากการ"ตั้งสติ"แล้ว ไม่มีอย่างอื่นยิ่งไปกว่า ไม่ว่ายืน เดิน นั่ง นอน ก็"มีสติระลึกได้"
ถ้าเดิน"นึก" เดิน"คิด" นั่งนึก นั่งคิด นอนนึก นอนคิด ไม่ชื่อว่าปฏิบัติธรรม เขาเรียกกันว่าฟุ้งซ่านไปตามสัญญาอารมณ์
ถ้ามีสติระลึกได้ทุกเมื่อมีสัมปชัญญะประกอบด้วยยิ่งดีใหญ่เป็นการปฏิบัติ ธรรมโดยแท้
เกิดบังดับ โลกบังธรรม งามบังผี ดีบังจริง สมมติบังวิมุตติ หลักธรรมบังพระนิพพาน
บันทึกธรรมจาก หลวงปู่ท่อน ญาณธโร
สติเป็นองค์แห่งการตรัสรู้
สติตัวเดียวเท่านั้นที่ทำให้เราได้ดวงตาเห็นธรรม เมื่อสติเข้มแข็ง จิตมั่นคง คือสมาธิ เพราะฉะนั้น เราปฏิบัตินี่ ใครจะได้สมาธิขั้นใดตอนใดก็ช่าง แต่ผลลัพท์ครั้งสุดท้ายก็คือสติตัวเดียว
“โพชฌังโค สติสังขาโต” สติเป็นองค์แห่งการตรัสรู้ เมื่อสติกำหนดจดจ้องดูสิ่งที่เกิด-ดับกับจิตตลอดเวลา “ธัมมานัง วิจโย ตถา” เป็นการสอดส่องธรรม “วิริยัมปีติปัสสัทธิ” เกิดความเพียร เกิดปีติ เกิดความสงบ เกิดสมาธิ เกิดปัญญา เกิดความเป็นกลาง มันจะไปของมันตามลำดับอย่างนี้
เพราะฉะนั้น พอนั่งปั๊บลงไป จิตสงบนิดหน่อย จิตมันผุดขึ้น ผุดขึ้นๆๆๆ มันแสดงว่าเราจะได้ผลเลิศในทางปฏิบัติแล้ว ถ้าพอพุทโธๆๆๆ รู้สึกวูบๆๆๆ ละเอียดเข้าไปแล้ว บางทีมันจะช้าหน่อย แต่ถ้าพอสงบปั๊บลงไปแล้ว มันเกิดความรู้ผุดขึ้นๆ นี่เร็ว เพราะจิตมันสามารถหาอารมณ์มาป้อนให้ตัวเองได้ แบบสงบลงไปปุ๊บ ลงไปนิ่ง ว่าง สว่าง สบาย เรื่อยไป นี่มันเข้าฌานสมาบัติ
“สมาธิในฌานสมาบัติ ไม่ใช่ทางตรัสรู้ เป็นเพียงที่พักจิต สร้างพลังจิต สร้างฤทธิ์อิทธิพล สร้างอำนาจ"
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
ถ้าสติเกิดบ่อย เราจะหลงสั้น
ใจจะอยู่กับตัวเองมากขึ้น สมาธิก็เพิ่ม
นี่พอมีสมาธินะ เราก็จะรู้สึกตัว รู้เนื้อรู้ตัวอยู่
ถ้ารู้ตัวแล้วก็ ถ้าใครยังรู้ตัวแล้ว รู้อยู่เฉยๆ นะ
ก็เรียกว่ายังไม่ได้เดินปัญญา ก็ต้องทำให้ครบ
“มีสติ มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา”
ขาดสติก็ขาดศีล ขาดสมาธิ ขาดปัญญา
วิธีพัฒนาให้เกิดสติ ก็คือ ทำสติปัฏฐาน
เลือกอารมณ์กรรมฐานที่พอจะทำได้
อย่างบางคนดูกาย
เห็นร่างกายหายใจออก เห็นร่างกายหายใจเข้า
รู้สึกถึงการหายใจของร่างกาย
ต่อไปพอขาดสตินะ จังหวะการหายใจจะเปลี่ยน
พวกเราดูออกไหม เวลาจิตใจเราสงบเนี่ย
ลมหายใจเราก็เรียบร้อยนะ
พอจิตเรามีกิเลส
ลมหายใจก็จะกระโชกโฮกฮากขึ้นมา
มีราคะขึ้นมาใจก็เปลี่ยนจังหวะ
มีโทสะนี่เปลี่ยนแรง
มีโมหะอันนี้ไม่รู้ โมหะรู้ไม่ไหว
งั้นอย่างเรามีสติ รู้การหายใจเนืองๆ
ต่อไปพอเราขาดสติ มีกิเลสอะไรแทรกเข้ามา
จังหวะการหายใจมันเปลี่ยน
นี่เราเคยรู้จักการหายใจมาชำนาญแล้ว
พอจังหวะการหายใจเปลี่ยนปุ๊บ มันรู้สึกตัวขึ้นมาได้เอง
สติจะเกิดเอง
หรือเรายืนเดินนั่งนอน ยืนเดินนั่งนอนไป
ยืนเดินนั่งนอนด้วยความรู้สึกตัว มีสติ
นั่งอยู่ก็รู้ว่านั่งอยู่ เดินอยู่รู้ว่าเดินอยู่
ยืนอยู่นอนอยู่ก็รู้ชัดว่ายืนอยู่นอนอยู่
คอยรู้สึกไป
หัดอย่างนี้เรื่อยๆ เรื่อยๆ นะ
ต่อไปเราเผลอๆ อยู่
พอจิตเรามีความรู้สึกสุขรู้สึกทุกข์ขึ้นมา
ผุดขึ้นมาปุ๊บ สติจะเกิดเองนะ
.
เนี่ยเฝ้าดูสภาวะซ้ำแล้วซ้ำอีก
เรียกว่ารู้เนืองๆ
รู้ร่างกายเนืองๆ รู้เวทนาคือสุขทุกข์เนืองๆ
รู้กุศลอกุศลเนืองๆ
นี่เรียกว่าจิตตานุปัสสนา
อันนี้เรารู้บ่อยๆ แล้วสติจะเกิดเอง
งั้นสติปัฏฐานเบื้องต้นทำไปเพื่อความมีสตินะ..
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
ถ้าทำวิปัสสนาในฌานไม่ได้ ก็ถอยออกมาจากฌาน มาเดินปัญญาพิจารณากาย ไม่ควรไปดูจิตมาก แต่บางคนก็ดูจิตได้ หลวงพ่อพุธก็สอน ออกจากสมาธิมาแล้วดูจิตที่เปลี่ยนแปลง จิตเมื่อกี้สงบ ตอนนี้ไม่สงบ จิตเมื่อกี้มีปีติ ตอนนี้ไม่มีปีติ จิตตะกี้มีความสุข ตอนนี้ไม่มีความสุข ดูความเปลี่ยนแปลง ดูตอนออกจากสมาธิมาแล้ว อันนี้ก็ถือว่าเป็นสมาธินำปัญญาด้วยการดูจิต ถ้าเป็นสมาธินำปัญญาด้วยการดูกาย ก็เห็นกายมันหายใจ ใจเป็นคนดู ดูมันต่อไปเลย เห็นเลยไม่มีตัวเรา อย่างนี้ก็ได้
ถ้าเข้าฌานไม่ได้นะ ก็ใช้ปัญญานำสมาธิ ฝึกให้จิตเป็นผู้รู้ผู้ดูขึ้นมา ทำได้หลายวิธีที่จิตจะเป็นผู้รู้ผู้ดู จิตหนีไปคิดแล้วรู้ทันก็ได้ พุทโธไปจิตไปคิด รู้ทัน หายใจไปจิตหนีไปคิด รู้ทัน ถ้าเรารู้ลมหายใจอยู่แล้วจิตหนีไปคิดก็รู้ทัน นี่ ทำอานาปานสติได้จิตผู้รู้ขึ้นมา
หรือหายใจไปเห็นร่างกายมันหายใจไป จิตมันไหลไปอยู่ที่ลม รู้ทัน จิตไหลไปอยู่ที่ท้อง รู้ทัน รู้ทันจิตที่ไหล จิตก็จะตั้งมั่นขึ้นมาเป็นผู้รู้ พอจิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้แล้ว คราวนี้ก็มาเดินปัญญาต่อ
ถ้าจะเดินปัญญาด้วยการดูกาย ก็เห็นร่างกายหายใจ ใจเป็นคนดู จะรู้สึกเลยว่าร่างกายที่หายใจอยู่ไม่ใช่ตัวเรา เห็นร่างกายพองยุบ จิตเป็นคนดู ก็รู้ว่าร่างกายที่พองยุบเพราะลมหายใจนั้นไม่ใช่ตัวเรา
ถ้าจะเดินปัญญาด้วยการดูจิต จิตเป็นผู้รู้ผู้ดูขึ้นมาแล้ว หายใจไป หายใจไปแล้วมีความสุขก็รู้ หายใจไปแล้วมีความทุกข์ก็รู้ หายใจแล้วความสุขหายไปก็รู้ ความทุกข์หายไปก็รู้ ความสุขเกิดขึ้นก็รู้ ความสุขดับไปก็รู้ ความทุกข์เกิดขึ้นก็รู้ ความทุกข์ดับไปก็รู้ อย่างนี้ก็ใช้ได้ ก็เป็น เวทนานุปัสสนา
อย่างตอนที่เรามีสติ เห็นร่างกายหายใจออก หายใจเข้า ใจเป็นผู้รู้ผู้ดู ร่างกายไม่ใช่ตัวเรา นี่คือ กายานุปัสสนา ที่เป็นวิปัสสนา
หายใจไปแล้วจิตเป็นสุขขึ้นมาก็รู้ หายใจไปความสุขหายไปก็รู้ หายใจไปแล้วจิตมันทุกข์ขึ้นมา ไม่ได้เข้าฌาน หายใจบางทีก็เครียดๆ ไม่มีความสุข ก็รู้ทัน เห็นความสุขความทุกข์เกิดแล้วดับไป นี่คือ ทำอานาปานสติ แล้วก็มาถึงเวทนานุปัสสนา
หายใจไปแล้วจิตสงบก็รู้ หายใจไปแล้วจิตฟุ้งซ่านก็รู้ นี่ขึ้นมา จิตตานุปัสสนา
หายใจไปแล้วเห็นจิตมันปรุงแต่ง มันทำงานได้ เห็นรูปก็ส่วนรูป นามก็ส่วนนาม ขันธ์ ๕ แตกกระจายออกไป อันนี้ขึ้นเป็น ธัมมานุปัสสนา
หรือหายใจไปแล้วเห็นจิตใจเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงต่างๆนานา ก็เป็นธัมมานุปัสสนา
หายใจไปแล้วเวทนาเกิดขึ้น จิตมีความอยาก มีความยึดในเวทนา ความทุกข์ก็เกิดขึ้น เห็นอย่างนี้ก็เป็นธัมมานุปัสสนา
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
พูดถึงความสงบ (สมถะ) พอมันสงบแล้ว
ก็มีส่วนที่มันไม่สงบมาปะปนเข้า เช่นว่า
เราเพิ่งมาฝึกจิตของเราเดือนหนึ่ง ๑๐ วัน ๕ วัน
โดยมากมันก็ยังไม่สงบ ถ้ามันไม่สงบนั้น ไม่ต้องน้อยใจ
มันเป็นเรื่องธรรมดาของมัน
เรื่องจิตอันนี้ มันจะอยู่นิ่งๆ ในที่ของมันไม่ได้หรอก
บางทีมันก็มีอาการคิดอย่างโน้น
คิดอย่างนี้ ในขณะอยู่ในที่สงบอันนั้นแหละ
บางคนจิตไม่สงบจิตก็ฟุ้งซ่าน ใจก็ไม่สบาย ใจเขาก็ไม่ดี เพราะว่าจิตไม่สงบ
อันนี้เราต้องพิจารณาด้วยปัญญาของเรา เรื่องไม่สงบอันนั้น เพราะเรา"ไม่รู้ตามความเป็นจริง"ของมันเท่านั้นเอง
ถ้าเรารู้ตามความเป็นจริงของมันแล้ว
อันนั้น"สักแต่ว่าอาการของจิต" จริงๆ แล้ว
จิตมันไม่ฟุ้งไปอย่างนั้น เช่นว่า เรารู้ความคิดแล้วว่า
บัดนี้ เราคิดอิจฉาคน นี้เป็น"อาการของจิต แต่เป็นของไม่จริง"
มันไม่เป็นความจริง เรียกอาการของจิต มันมีตลอดเวลา
ถ้าหากว่าคนไม่รู้ตามความเป็นจริงของมันแล้ว
ก็น้อยใจว่าจิตเราไม่อยู่นิ่ง จิตเราไม่สงบ
อันนี้เราต้องใช้การพิจารณาอีกทีหนึ่งให้มันเข้าใจ
เรื่องของจิตนั้นนะ "มันเป็นเรื่องของอาการของมัน"
แต่ที่สำคัญคือ มันรู้ รู้ดีมันก็รู้ รู้ชั่วมันก็รู้ รู้สงบมันก็รู้
รู้ไม่สงบมันก็รู้ อันนี้คือ"ตัวรู้"
พระพุทธเจ้าของเรา ท่านให้"ตามรู้ ตามดู" จิตของเรา
___________________________
หลวงพ่อชา สุภัทโท
จริงๆ แล้วที่เราเห็นว่าจิตดีบ้าง จิตไม่ดีบ้าง
รู้ชัดบ้าง ไม่ชัดบ้าง หมองๆ มัวๆบ้าง
และอีกสารพัดอย่าง ที่จริงมันไม่ใช่จิต
เป็นเพียงแค่อาการของจิตเท่านั้น
หรือจะเรียกว่าสิ่งที่ประกอบกับจิต
จิตนั้นเป็นเพียงธรรมชาติรู้
แม้กระทั่งบางคนว่าจิตเสื่อมจากกรรมฐาน
ถ้าเห็นว่า ความที่มันเสื่อมเป็นแค่อาการ
จิตจะตั้งมั่นขึ้นมาทันที
จะเห็นเลยว่าความรู้กับความหลง
กั้นไว้ด้วยเส้นบางๆนิดเดียวเท่านั้น
.....................
การดำรงจิต อยู่ท่ามกลางสิ่่งแวดล้อม
ที่มีแต่ความวุ่นวายนั้น ต้องรู้เท่าทัน
ความรู้ภายในและภายนอก
ปรับให้สมดุล เมื่อออกนอกคอยรู้ เมื่อส่งในคอยรู้
ยินดี ก็"รู้" ยินร้าย ก็"รู้" จิตจะเป็นกลางมากขึ้นๆเรื่อยๆ
จนสภาพรู้เด่นชัดขึ้น ไม่คล้อยตาม ไม่หักหาญ
กลมกลืนกับภาวะแวดล้อม
แต่ก็ไม่ถูกสภาพแวดล้อมท่วมทับจิตใจ
พระเจษฎา คุตฺตจิตฺโต
เป้าหมายของการปฏิบัตินี้ก็คือ 🙏🙏🙏ค่ะ
ให้จิตมันเห็น..
เห็นแล้วก็รู้..แล้วก็ปล่อยวางด้วยว่า
ไม่มีเรา...ไม่มีตัวเราเลย
เรานี่แค่สมมติเฉยๆ
#ถ้าจิตไม่เห็นนี่ยังไงมันละอุปาทานไม่ได้
เพราะอุปาทานมันเหนียวแน่นมาก
มันยึดว่าเป็นตัวเป็นตนอยู่
ยึดว่าร่างกายเป็นเรา ยึดเวทนาเป็นเรา
ยึดจิตว่าเป็นเรา ยึดธรรม "เรา" หมด
แต่จริงๆ แล้ว
#มันเป็นของเกิดดับ_ไม่มีตัวตน_เป็นธรรมชาติ
มันมาจากธรรมชาติล้วนๆ
ความหลงนี่มันมาทีหลัง
เมื่อเรา "รู้" แล้ว
แต่เรา "วาง" ยังไม่ได้
เราก็เลยมาปฏิบัติ เพื่อให้จิตเราเนี่ยมันวางได้
การที่มันจะวางได้นี่
มันก็ต้องปฏิบัติตามวิธีการของพระพุทธเจ้า
ก็ต้องมีสติด้วย ควบคุมจิตให้อยู่กับตัวเอง
ถ้าใครมีสติดี...ก็คุมได้เร็ว คุมปั๊บ ก็อยู่แล้ว...
อยู่แล้ว....ก็พยายามให้จิตมันรู้....
อะไรเกิดขึ้นให้มัน "รู้" นี่มีสัมปชัญญะขึ้นมาแล้ว
พอรู้....ก็เห็น...ทีนี้ เห็นว่ามันผ่านมาผ่านไปเกิดแล้วก็ดับไป
การที่เห็นความเกิดดับก็คือการเห็นอนิจจัง มันไม่เที่ยง
ความรู้สึกว่ามันไม่เที่ยง มันเปลี่ยนแปลงอันนี้
มันจะซึมเข้าไปในจิตของเรา เราอาจจะไม่รู้ตัวก็ได้
แต่ว่าปัญญาญาณตรงนี้ มันซึมเข้าไปในจิตของเรา
เมื่อมันซึมเข้าไปในจิต จิตมันจะปล่อยของมันไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งมันลงสู่ "อนัตตา" ...มันจะทิ้ง....
"ทิ้ง" เพราะมันไม่ใช่ของเราแน่นอน
คำสอน
พระอาจารย์ครรชิต สุทฺธิจิตฺโต
" มีสติก็มีศีลสมาธิปัญญา "
หลวงพ่อปราโมทย์ :ภาวนากันดีๆเยอะนะ ตั้งอกตั้งใจเข้า เราไม่ขี้เกียจ ค่อยๆทำไป ขยันนะ แต่ไม่รีบร้อน รู้สึกตัวแล้วดูกายเขาทำงานดูใจเขาทำงาน ดูมันเรื่อยไป ดูมันทั้งชีวิตได้ก็ไม่เป็นไร จะได้มรรคได้ผลหรือไม่ได้ ไม่สำคัญหรอก สำคัญที่ได้ทำเหตุ รู้เท่าทันใจของเราไปเรื่อย กิเลสอะไรเกิดเราก็รู้ทันเอา
ทำเหตุก็มีสติไว้นะ รู้เท่าทันใจของเราไปเรื่อย กิเลสอะไรเกิดเราก็รู้ทันเอา เรารู้ทันกิเลสได้ ศีลก็เกิดขึ้นเอง ไม่ต้องเจตนารักษาเลยล่ะ มันอัตโนมัติเลย แต่ถ้าสติเรายังไม่ไว เราก็ตั้งใจรักษาศีลเอาไว้ก่อน ศีลเบื้องต้นก็ตั้งใจรักษา พอชำนิชำนาญ สติเราดีขึ้นๆนะ ศีลอัตโนมัติมันเกิดขึ้น
ต้องฝึกจิตใจให้อยู่กับเนื้อกับตัว อาศัยสตินี้แหละ จิตมันเคลื่อนไปให้รู้ทัน จิตเคลื่อนไปให้รู้ทัน สมาธิก็เกิด มันมีสติรู้ทันกิเลสที่เกิดกับจิตใจเราก็ได้ศีล มีสติรู้ทันจิตใจที่เคลื่อนไป จิตก็ตั้งมั่นขึ้นมาได้สมาธิ มีสติระลึกรู้อยู่ในกายในใจ เห็นกายเห็นใจทำงานเรื่อยไป จิตตั้งมั่นไม่ถลำเข้าไป เวลาไปรู้กายก็ไม่ถลำเข้าไปในกาย เวลาไปรู้จิตก็ไม่ถลำเข้าไปในจิต ดูสบายๆเหมือนไปดูคนอื่น ปัญญามันก็เกิด
มันจะเห็นเลยว่า บรรดารูปธรรมและนามธรรมทั้งหลายนะ เป็นของชั่วคราว เกิดมาแล้วก็หายไปๆ เป็นของที่ถูกบีบคั้นทนอยู่กับที่ไม่ได้ ถูกทำลายตัวมันเองอยู่ตลอด เป็นของบังคับไม่ได้ เป็นไปตามเหตุไม่ได้เป็นไปตามที่เราสั่ง อย่างนี้เรียกว่าเจริญปัญญาอยู่ เมื่อปัญญาแก่รอบ อริยมรรคก็เกิด เกิดเอง เราไม่รีบร้อนให้เกิดนะ ถ้าเราคาดหวังเรารีบร้อนนะ ไม่เกิดหรอก จะลุกลี้ลุกลนไป
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
“การเกิดของวิญญาณ การเกิดของขันธ์ห้าการเข้าไปรวมไปหลงเป็นทาสของกิเลส ท่านถึงให้เจริญสติเข้าไปอบรม เข้าไปแก้ไข เข้าไปวิเคราะห์ แต่ละวันแต่ละวัน ค่อยวิเคราะห์ค่อยพิจารณา ค่อยมองหาเหตุ-หาผล สักวันเราก็จะเห็นเหตุ-เห็นผล ทำความเข้าใจให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น ไม่ใช่ว่าจะไปเที่ยวละกิเลสที่โน่นที่นี่ กิเลสมันเกิดขึ้นที่ใจของเรา กิเลสหยาบกิเลสละเอียดมีอยู่ที่ใจของเราหมด
เราพยายามเจริญสติลงที่กาย ลงที่ใจ ชี้เหตุ-ชี้ผล เห็นเหตุ-เห็นผล มีแต่เรื่องของเราทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น มีแต่เรื่องของเรา จากเรื่องของเรา จบเรื่องของเรา มันก็เรื่องของคนอื่น เรื่องของคนอื่นก็เป็นของคนอื่น เรามาทำหน้าที่ของเราให้จบ จบแล้วก็ยังประโยชน์ ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ประโยชน์ส่วนตัว ประโยชน์ส่วนรวม ถ้าเราฝักใฝ่จริงๆ ประโยชน์ส่วนตัวนี่ตัดทิ้งไป ให้เหลือเฉพาะประโยชน์ส่วนรวม อยู่มีความสุข”
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย)
โอวาทธรรมยามเช้า 2 กรกฎาคม 2562.
สติเราดีขึ้นไหม ?
เวลาที่ผ่านไปเรื่อยๆ นะ ก็วัดตัวเองดู
สติเราเกิดบ่อยขึ้นหรือเปล่า ?
จิตใจเราอยู่กับเนื้อกับตัวมากขึ้นไหม ?
หลงสั้นลงไหม ?
การเจริญสติ หลวงพ่อเทียน
การมีสติเป็นเรื่องสำคัญ เพราะจะทำให้ผู้นั้นทำงานทำการได้ผลดี จะตัดสินใจทำอะไรก็ไม่ค่อยผิดพลาด ถ้ามีสติ-ความรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา บุคคลนั้นก็ไม่จำเป็นต้องไปวัด ถือศีลกินเจ เพราะเขารู้ตัวว่าตัวเขากำลังทำอะไร กำลังพูดอะไร กำลังคิดอะไร
ทำให้ตัวเองหรือผู้อื่นเดือดร้อนหรือไม่ เพราะสติ-ความรู้สึกตัวนี้คือสิ่งที่มีประโยชน์และสำคัญที่สุดในชีวิตเรา สติจะช่วยไม่ให้เราหลงไปกับอารมณ์หรือความคิด เนื่องจากสติทำให้เรารู้เท่า รู้ทัน รู้จักกัน รู้จักแก้ความทุกข์ที่จะเกิดขึ้นกับเรา นอกจากนั้นผู้ที่มีสติสมบูรณ์จะมีสมาธิและปัญญา จะไปถึงที่สุดของทุกข์ได
เมื่อคนเรามีสติ ความหลง (โมหะ) จะไม่มี ถ้าสติขาดไป ความหลง - ความไม่รู้จะเข้ามาแทน ฉะนั้นถ้าไม่ต้องการให้ความหลง - ความไม่รู้มาครอบงำ เราก็ควรมีสติ-ความรู้สึกตัวอยู่เสมอและให้มีอย่างต่อเนื่อง เพราะสติเป็นเครื่องกั้นกิเลสทั้งหลายไม่ให้มาครอบคลุมจิตใจได้
ควรเจริญสติให้รู้ตัวทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน และทุกการเคลื่อนไหวของกายรวมทั้งให้รู้ทันความคิดทุกครั้งที่มันคิด ในขั้นต้นให้เจริญสติอยู่กับความรู้สึกตัวอย่างต่อเนื่อง เรื่องความคิดเราไม่ควรห้ามมัน ปล่อยให้มันคิด แต่ต้องมีวิธีและเทคนิคให้รู้ทันความคิด เห็นความคิด และตัดมันทิ้งไป ดังที่หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภสอนว่า คิดปุ๊บ ตัดปั๊บ และทำความรู้สึกตัวต่อไป อย่าเข้าไปในความคิด
ความรู้ ความเข้าใจที่ได้จากการเจริญสติ เป็นความรู้ของตัวเอง จึงเรียกว่าเกิดปัญญารู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง
ขั้นแรก จะรู้ เข้าใจ เรื่องรูป - นาม (กาย - ใจ) รู้เรื่องชีวิตที่มีกาย - ใจสัมพันธ์กัน แต่จะแยกได้ว่ากายก็ส่วนกาย ใจก็ส่วนใจ เช่น กายได้รับบาดเจ็บ แต่ใจไม่ได้เจ็บด้วย กายต้องเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ แต่ธรรมชาติของใจมันเป็นปกติ มันนิ่ง มันสงบ มันไม่ทุกข์ หลวงพ่อให้คำจำกัดความ อารมณ์รูป - นาม ว่า ใจรู้กาย
จะรู้เรื่องรูปทำ คือกายเคลื่อนไหวในอิริยาบถต่าง ๆ
จะรู้เรื่องนามทำ คือความคิดและอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น เช่นความโลภ ความพอใจ ความไม่พอใจ ฯลฯ
จะรู้เรื่องรูปโรค คือเจ็บป่วยทางกาย ต้องไปหาแพทย์ ให้ทำการรักษา
จะรู้เรื่องนามโรค คือจิตใจป่วย เช่น ความคิด ความทุกข์ ความอยาก ฯลฯ จิตใจป่วยต้องรักษาด้วยการเจริญสติเท่านั้น และเราต้องเป็นผู้รักษาตัวเอง
จะเข้าใจเรื่อง ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ซึ่งเกี่ยวกับกาย ไม่ได้เกี่ยวกับใจ
ทุกขัง คือ ทุกข์ ทนไม่ได้
อนิจจัง คือ อยู่นิ่งไม่ได้ ต้องมีการเคลื่อนไหว หรือการเปลี่ยนแปลง
อนัตตา คือ ไม่อยู่ในบังคับ
ฉะนั้นจึงมีแต่กายเท่านั้นที่เป็นทุกขัง เป็นอนิจจัง และเป็นอนัตตา เช่น เมื่อเกิดมาเป็นเด็กทารก ก็มีการพัฒนาและเติบโตขึ้น จะบังคับให้อยู่เฉยๆ นิ่งๆ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยนั้นเป็นไปไม่ได้ เมื่อมีการเกิด ต้องมีการแก่ การเจ็บ การตาย ทุกคน
ที่ว่า ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ไม่ใช่เรื่องของใจ เพราะคนที่มีความปกติ ใจไม่เป็นทุกข์ ใจจะนิ่งเฉย สงบ ไม่มีการหวั่นไหวใดๆ ผู้ปฏิบัติจะเห็นและเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจนว่ากายกับใจมันต่างกัน มันคนละเรื่อง
หลังจากนั้นจะเข้าใจเรื่อง สมมติ ทั้งหลาย เช่น พระ ผี เทวดา นรก สวรรค์ เงินทอง ทรัพย์สมบัติ ยศถาบรรดาศักดิ์ ต่างเป็นสมมติทั้งสิ้น เมื่อเข้าใจสมมติแล้ว จะไม่ยึดติดกับสิ่งเหล่านี้
จะเข้าใจเรื่องพุทธศาสนา ว่า พุทธ คือ ผู้ตื่นจากความไม่รู้ ผู้ที่มีสติ สมาธิ ปัญญา ผู้รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง มีปัญญาเกิดขึ้นเอง
ศาสนา คือ ที่พึ่ง
พุทธศาสนาแปลว่า ที่พึ่งอันอุดมด้วยสติ – ปัญญา
ศาสนานี้อยู่ที่ตัวเรา เมื่อมีสติ สมาธิ ปัญญา มีจิตใจที่สะอาด สว่าง สงบ
ความรู้หรือปัญญาที่เกิดจากสมาธินั้นคือของจริงที่เห็นและสัมผัสได้ด้วยญาณปัญญา
ต่อไปจะรู้ เข้าใจ เรื่อง บุญ บาป
บุญ คือ ความสว่าง ความรู้แจ้ง รู้จริง จิตใจเบิกบานจากการได้รู้ เข้าใจสัจจธรรม
บาป คือ ความโง่ ความไม่รู้ ตามืดบอด เพราะโมหะและอวิชชา จึงหลงผิด
การรู้แจ้ง รู้จริงด้วยตัวเอง เป็นสัญญาจะจดจำได้ตลอดไป เพราะเราเห็นเอง รู้เอง เข้าใจเอง จึงเชื่อตัวเอง ไม่เชื่อผู้อื่น
การรู้จำ รู้จัก เป็นความรู้ของคนอื่น เราไม่ได้รู้เอง จึงอาจหลงลืมได้
ความรู้ที่เรารู้ด้วยตัวเอง ในกาย - ใจของตัวเอง เรียกว่า วิปัสสนาญาณ เมื่อมีความรู้สึกตัวมากขึ้นๆ สติก็จะมีมากขึ้นๆ จนกระทั่งเป็นมหาสติ จะไม่มีการปรุงแต่ง จะเห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน จะทำกิจทั้งหลายโดยใจไม่ต้องสั่ง แต่กายจะทำเอง หรือเรียกได้ว่า มันเป็นของมันเอง มันทำของมันเอง เมื่อถึงจุดนี้เราจะเชื่อจริงๆ ว่าสตินั้นมีคุณค่าใหญ่หลวงนัก เพียงแต่เจริญสติให้ถูกต้องตามเทคนิคของหลวงพ่อเทียนเท่านั้นเอง สติจะนำเราไปจนถึงที่สุดของทุกข์ พบแสงสว่าง ความรู้แจ้งเห็นจริง อายตนะภายนอกและอายตนะภายในขาดจากกัน ติดต่อกันไม่ได้อีกต่อไป ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จะทำหน้าที่ รู้ ตามความเป็นจริง โดยไม่มีการปรุงแต่งใดๆ แต่ในคนธรรมดา มันจะเป็นเช่นนี้ คือ
ตา เห็น รูป ใจ จะบอกว่ารูปนั้นเป็นอย่างไร
หู ได้ยิน เสียง ใจ จะบอกว่าเสียงนั้นเป็นอย่างไร
จมูก ได้ กลิ่น ใจ จะบอกว่ากลิ่นนั้นเป็นอย่างไร
ลิ้น รู้ รส ใจ จะบอกว่ารสนั้นเป็นอย่างไร
กาย รับ สัมผัส ใจ จะบอกว่าสัมผัสนั้นเป็นอย่างไร
ใจ เกิด ความคิด/อารมณ์ ใจ จะบอกอารมณ์พอใจหรือไม่พอใจ
เมื่อใดที่ใจเป็นสมาธิบนฐานของมหาสติ จะเห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน แล้วมันก็ผ่านไป เพราะใจสงบด้วยสติ - สมาธิ - ปัญญาจึงไม่มีการปรุงแต่งว่าเป็นอย่างไร เราต้องปฏิบัติให้ได้ถึงขั้นนี้ จึงจะเข้าใจเรื่องการปรุงแต่ง - การทำงานของใจ เรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ (อายตนะภายใน) เรื่องรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ (อายตนะภายนอก)
ใจ เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นทุกข์ หรือ ไม่เป็นทุกข์
ทุกข์ เกิดขึ้นเพราะการขาดสติ มีความหลงหรือโมหะ ถ้าไม่มีโมหะ ก็จะไม่มีโลภะ โทสะ; ถ้ามีโมหะ จะมีโลภะ โทสะ ตามมา ปกติใจของเรามันสะอาด สว่าง สงบ มันเฉยๆ แต่ที่เกิดความวุ่นวายใจจนเป็นทุกข์ เพราะไม่มีสติ เห็นจิตใจตัวเอง โทสะ โมหะ โลภะ จึงมีขึ้น
การเจริญสติตามแนวของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ นั้น ท่านให้ปฏิบัติอยู่บนฐานของความรู้สึกตัว แต่ต้องรู้จักความคิดด้วย เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วเราไม่รู้จักหรือไม่เห็นความคิดนั้น เราก็จะเข้าไปในความคิด คือ เราจะหลงไปกับมัน เพราะเราลืมตัว ไม่มีสติรู้เท่าทันความคิด ซึ่งเกิดจากการปรุงแต่งเป็น โลภะ โทสะ กิเลส ตัณหา อุปาทาน ท่านจึงสอนให้ทำความรู้สึกตัว ให้มีสติ เพื่อจะได้รู้เท่า รู้ทัน รู้จักกัน รู้จักแก้ เมื่อมันคิดจะได้รู้มัน เห็นมัน และตัดมันทิ้งไป เมื่อตัดทิ้งบ่อยๆ เข้า ความคิดก็จะสั้นลงๆ จนไปพบต้นกำเนิดของความคิดในที่สุด
การปฏิบัติจึงเป็นการกำจัดโทสะ โมหะ โลภะ; กิเลส ตัณหา อุปาทาน เมื่อใดที่เรารู้จักมัน เห็นมัน เข้าใจมัน สิ่งเหล่านี้จะไม่มีอีก หรืออาจจะหลงอยู่บ้างแต่ก็จะเหลือน้อยมาก ฉะนั้นจึงควรปฏิบัติให้รู้ เห็น เข้าใจตลอดสาย ให้หมดสิ้นสงสัยและรู้จักเรื่องชีวิตจิตใจให้ครบ เพื่อจะได้มีชีวิตเหนือสุขเหนือทุกข์
ในขณะที่มีความทุกข์จะรู้สึกเหมือนมีนรกอยู่ในใจ ถ้ารู้สึกสงบ สบายใจ สุขใจก็เหมือนมีสวรรค์อยู่ในใจ ดังคำกล่าวที่ว่า สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ
คนทำชั่ว พูดชั่ว คิดชั่ว คนนั้น คือ ผี
คนทำดี พูดดี คิดดี คนนั้น คือ เทวดา
กรรม หมายถึง การกระทำ
การทำดี มันดี
การทำชั่ว มันชั่ว
ผู้ปฏิบัติจนสิ้นอาสวะ และไม่มีความยึดมั่นถือมั่นอีกแล้ว แม้ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ใดๆไม่ว่าสุขหรือทุกข์ ย่อมไม่รู้สึกยินดียินร้ายในสุข - ทุกข์นั้น
เมื่อเจริญสติให้ถึงจุดสมบูรณ์ สมาธิ ปัญญา และศีล จะเกิดขึ้นเอง โดยไม่ต้องคอยระวังรักษาศีล แต่ศีลจะรักษาเรา ป้องกันเราจากโทสะ โมหะ โลภะ; กิเลส ตัณหา อุปาทาน ศีลจะทำหน้าที่ของมันเองโดยเราไม่ต้องทำอะไร และปัญญาจะเกิดขึ้นเอง จนวันหนึ่งจะเข้าถึงธรรมได้เอง เมื่อถึงที่สุดแล้วญาณย่อมมี
ถ้าตั้งอกตั้งใจเจริญสติอยู่เสมอให้ต่อเนื่อง ก็จะมีสติที่ว่องไวและทันความคิด ความคิดจะถูกตัดด้วยสติจนความคิดน้อยลง/สั้นลงทุกที เมื่อมีสติรู้สึกตัวทั่วพร้อมทั้งกาย - ใจ จะพบว่าจิตใจมีแต่ความปกติเหลืออยู่เท่านั้น มันคือธรรมชาติของใจที่สะอาด สว่าง สงบ ซึ่งผู้ปฏิบัติจะเห็นและสัมผัสได้ด้วยตนเอง ถ้าความไม่ปกติเกิดขึ้นเมื่อใด แสดงว่าตัวกิเลส (ไม่ว่าจะเป็นความสุขหรือความทุกข์) ได้เข้ามาในจิตใจแล้ว จึงควรปฏิบัติเพื่อให้หลุดพ้นจากทั้งสุขและทุกข์ เพื่อจะได้เหลือแต่จิตใจที่ปกติจริงๆ
หลังจากนั้น จะเข้าใจว่าความสงบมี ๒ อย่าง คือ ความสงบแบบสมถะ และ ความสงบแบบวิปัสสนา
คนที่มีสติที่แท้จริงคือคนที่มีสมาธิ มีปัญญา และมีศีลอยู่ในตัวเอง จะรู้ด้วยปัญญาว่าควรทำอย่างไรในสถานการณ์ต่างๆ เพราะมีปัญญาเป็นเครื่องนำทาง ทุกสิ่งที่ทำ พูด คิด จะมีที่มาที่ไป มีเหตุและผล ต่างจากคนที่ไม่เคยเห็นจิตใจตัวเอง ถูกกิเลสครอบงำ จะทำ จะพูด จะคิดไปตามกระแสกิเลสและอารมณ์
เมื่อมีสติรู้สึกตัวอยู่เสมอ จิตใจจะเป็นปกติ ใส สะอาด จะเห็นทุกอย่างชัดเจน ทั้งการกระทำ คำพูด และความคิด เมื่อใดที่เราทำชั่ว พูดชั่ว คิดชั่ว เราจะรู้ทันทีว่าเป็นบาป มันไม่มีศีลแล้ว มันไม่ปกติแล้ว รู้สึกเหมือนมีนรกอยู่ในใจ ถ้ามีนรกจริง เราจะตกนรกขุมไหน เมื่อใดที่เราทำดี พูดดี คิดดี เราจะรู้ว่ามันเป็นบุญอย่างไร เหมือนมีสวรรค์อยู่ในใจ ถ้ามีสวรรค์จริง เราจะไปอยู่สวรรค์ชั้นไหน
ขั้นสุดท้ายของการปฏิบัติจะได้พบเห็นต้นกำเนิดของความคิด จะเห็นว่ามันเกิดขึ้นอย่างไรและดับลงอย่างไร อาการเกิด - ดับเป็นอย่างไร อาการเกิด - ดับนี้เป็นสภาวะอาการ อย่าเข้าใจผิดว่ามันคิดครั้งหนึ่งเป็นเกิด - ดับครั้งหนึ่ง นั่นเป็นการเรียกอย่างสมมติว่าเกิด - ดับ ถ้าเป็นปรมัตถ์ จะต้องเห็นสภาวะอาการเกิด - ดับ จริงๆ เพราะมันคิดและเลิก/หยุดคิดวันละหลายร้อยครั้ง เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ปุถุชน หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภไม่เรียกมันว่าอาการเกิด - ดับ จนกว่าจะได้พบ สภาวะ นั้นจริง อาการเกิด - ดับแบบหลวงพ่อเทียนมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นในชีวิตนี้ และจะพบกับการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงของกาย - ใจ จะหมดสิ้นสงสัยเรื่องชีวิตจิตใจของตนเอง จะมีจิตใจที่เป็นอุเบกขาโดยไม่ต้องเสแสร้งหรือฝืนใจให้เป็น จะเห็น จะรู้ จะเป็น จะมี สิ่งนั้นตลอดไป จะมีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณที่ไม่เป็นทุกข์อีกต่อไป
บทสรุป
๑. รู้อารมณ์รูป - นาม เข้าใจเรื่องสมมติ ไม่เชื่อเรื่องฤกษ์ยาม ผี เทวดา นรก สวรรค์
๒. รู้อารมณ์นามรูป เกิดปัญญา เห็น รู้ เข้าใจเรื่องวัตถุ- ปรมัตถ์ - อาการ จิตใจเปลี่ยน ไม่ยึดมั่นถือมั่น
๓. รู้จักศีล ศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ มีความปกติกาย วาจา ใจอยู่เสมอ
๔. รู้ - เข้าใจเรื่องความสงบ ๒ อย่าง คือ
สงบแบบสมถะ สงบชั่วคราว ไม่มีปัญญาสงบแบบวิปัสสนา
สงบด้วยปัญญา รู้แจ้งเห็นจริง ตามความเป็นจริง รู้บาป - บุญ, นรก - สวรรค์
๕. พบสภาวะอาการเกิด - ดับ รู้ เข้าใจเรื่องชีวิตจิตใจอย่างแจ่มแจ้ง สิ้นสงสัย ถึงที่สุดของทุกข์
“…(เมื่อรู้การให้ทาน-รักษาศีล-ทำกรรมฐานทุกแง่ทุกมุมแล้ว)
มันจะเกิดญาณปัญญาขึ้นภายในจิตใจ
รู้การทำชั่วด้วยกายเป็นบาปกรรมอย่างไร
ถ้านรกมีจริง จะไปตกนรกขุมไหน
รู้การทำชั่วด้วยวาจาเป็นบาปกรรมอย่างไร
ถ้านรกมีจริง จะไปตกนรกขุมไหน
รู้การทำชั่วด้วยใจเป็นบาปกรรมอย่างไร
ถ้านรกมีจริง จะไปตกนรกขุมไหน
รู้การทำชั่วด้วยกาย-วาจา-ใจพร้อมกัน
เป็นบาปกรรมอย่างไร
ถ้านรกมีจริง จะไปตกนรกขุมไหน
ตรงกันข้าม
รู้การทำดีด้วยกายเป็นบุญกุศลอย่างไร
ถ้าสวรรค์-นิพพานมีจริง จะไปอยู่สวรรค์-นิพพานชั้นไหน
รู้การทำดีด้วยวาจาเป็นบุญกุศลอย่างไร
ถ้าสวรรค์-นิพพานมีจริง จะไปอยู่สวรรค์-นิพพานชั้นไหน
รู้การทำดีด้วยใจเป็นบุญกุศลอย่างไร
ถ้าสวรรค์-นิพพานมีจริง จะไปอยู่สวรรค์-นิพพานชั้นไหน
รู้การทำดีด้วยกาย-วาจา-ใจพร้อมกัน เป็นบุญกุศลอย่างไร
ถ้าสวรรค์-นิพพานมีจริง จะไปอยู่สวรรค์-นิพพานชั้นไหน
จบอารมณ์ของการเจริญสติวิธีนี้
มันจะเป็นอย่างมหัศจรรย์อันยิ่งใหญ่ที่สุด
ที่มีอยู่ในจิตใจของคนทุกคน ไม่ยกเว้น
ถ้าหากยังไม่รู้ในขณะนี้
จวนจะหมดลมหายใจ ต้องรู้แน่นอนที่สุด
คนที่เจริญสติ-เจริญปัญญา มีญาณรู้
คนที่ไม่ได้เจริญสติ ไม่ได้เจริญปัญญา
จวนจะหมดลมหายใจ ก็เป็นเหมือนกัน
แต่เขาไม่รู้ เพราะเขาไม่มีญาณ
รู้แจ้ง-เห็นจริง
รู้ด้วยญาณปัญญาของการเจริญสติจริง ๆ
รับรองได้
ท่านว่า ‘ถึงที่สุดแล้ว ญาณย่อมมี’
ถึงที่สุดแล้ว ญาณก็ย่อมปรากฏขึ้น
เมื่อไม่ถึงที่สุด ญาณปรากฏไม่ได้
พอดีญาณปรากฏขึ้นมา มันจะขาดออกจากกันทั้งหมด
ถอนผมขึ้นมาดูที่ตรงนี้เลย...เออ! รากมันมีแค่นี้
ถ้าไม่มีราก อันนี้ก็ไม่มี
บัดนี้คนกินข้าว กินอาหารเข้าไปเลี้ยงร่างกาย
อันนี้มันเป็นสภาพ-สภาวะ
เมื่อเรารู้จักอันนี้ จิตมันจะไม่ไว
จิตมันจะไปช้า ๆ ไปช้าที่สุด
มันจะรู้ขึ้นทันที ‘เออ! มันไปไม่ได้
แต่ถึงว่ามันจะคิด มันก็ไปไม่ได้
ถึงมันจะเป็นอะไร มันก็ไปไม่ได้...เพราะมันไปช้า’
นี่ มันจะมาถึงที่ตรงนี้ *ญาณย่อมมี*
เหมือนกับว่าญาณที่ปรากฏขึ้นมา
ก็ญาณย่อมมี(ว่า) ‘ชาติสิ้นแล้ว-ภพสิ้นแล้ว
พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจอื่นไม่มีต่อไปแล้ว’
มันขาดแล้ว-มันขาด เคยพูดให้ฟัง
มันขาดออกจากกันนี่นะ มันไม่ถึงกันแล้ว
ชาติสิ้นแล้ว-ชาติสิ้นก็หมายถึงไม่มีแล้ว
ชาติ-ภพไม่มีแล้ว
ชาติสิ้นแล้ว-ภพสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
คือ การปฏิบัติธรรมก็จบกันที่ตรงนี้
กิจอื่นไม่มีแล้ว ก็ไม่มีกิจธุระที่จะทำ
แต่ว่าต้องทำ ทำก็ทำอันนี้นี่
ไม่ต้องไปทำอันอื่นไกลแล้วนี่ เรารู้จักแล้ว
นรก-สวรรค์ เรารู้จักแล้ว
บาป-บุญ คุณ-โทษ...เรารู้จักแล้ว
ผิด-ถูก เรารู้จักแล้ว
จบกัน ก็อยู่อย่างนั้น
กินข้าวได้ เดินดิน-ไปไหนมาไหน
ทำการ-ทำงาน ซื้อ-ขายได้ แต่ไม่มีทุกข์เท่านั้นเองนี่
คอยระวังวิปลาสจะเกิดขึ้น
ให้มีความรู้สึกตัว
อย่าไปติดความสุข หรืออะไรทั้งหมดที่เกิดขึ้น
สุขก็ไม่เอา ทุกข์ก็ไม่เอา
กลับคืนมาทวนอารมณ์บ่อย ๆ
ตั้งแต่อารมณ์ของรูป-นามขึ้นไป จนถึงอารมณ์ที่สุด
เป็นชั้น ๆ ให้รู้จักว่าอารมณ์เป็นขั้น-เป็นตอน
รับรอง ถ้าเจริญสติอย่างถูกต้อง
อย่างนานไม่เกิน ๓ ปี อย่างกลาง ๑ ปี
อย่างเร็วที่สุด ๑ วัน ถึง ๙๐ วัน
อานิสงส์ไม่ต้องพูดถึง *ไม่ทุกข์จริง ๆ*”
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ