ความตาย คือการดับ ทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อเกิด แล้วก็ต้องดับ ไม่มีสิ่งใดที่เที่ยงแท้แน่นอน
โลกใบนี้เป็นโลกที่สมมุติขึ้นมา ให้ยกจิตของเรา อยู่เหนือสิ่งสมมุติทั้งหลายเหล่านั้น
มีการเกิด ต้องมีการตายเหมือน ทำจิตของเราให้สงบ ให้ว่าง ให้นั่งสมาธิอยู่กับแสงสว่าง
มีปัญญารู้แจ้งอยู่เหนือการเกิดและการตาย
เราจะได้ปล่อยวาง ไม่ยึดติดลุ่มหลง จิตจึงจะสงบเข้าถึงอารมณ์พระนิพพานได้
พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 22 กันยายน 2560
ตอนที่ 184 **มรณานุสติ แบบที่ ๒**
+ +
ในเย็นของวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2560 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า ได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านเพื่อเฝ้าฟังธรรม เมื่อข้าพระพุทธเจ้าได้กราบนอบน้อมต่อพระพุทธองค์ท่านแล้ว จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอทูลถามถึง กรรมฐานกองที่ 27 ในแบบที่ 2*
คือ การพิจารณา*ความตาย* เป็นอารมณ์ เพื่อเข้าสู่สมาธิ
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้นำไปประพฤติ ปฏิบัติตาม ทำความเข้าใจด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ ”
- - - -
พระยาธรรมเอ๋ย.. ในแบบ ที่ 2* ของกรรมฐาน กองที่ 27 “การพิจารณาความตาย”
ลูกลองพิจารณาเช่นนี้ ทำอย่างนี้ ก็แล้วกันนะ
พระยาธรรมเอย.. นั่งหลับตาลูก
ภาวนาไป หายใจเข้าลึกๆ ปล่อยใจให้ว่างๆ
ทำตัวของเราให้เข้าไปอยู่ในโลกแห่งธรรม พร้อมที่จะนำพาจิตใจของเรา น้อมนึกตามสิ่งที่เราจะได้ยิน แล้วเสียงธรรมนี้.. จะนำพาจิตของลูก เข้าสู่โลกแห่งธรรม
.. ลูกจะมองเห็นความเป็นจริง
เมื่อลูกมองเห็นความเป็นจริงแล้ว.. จิตของลูกนั้นย่อมสว่าง เข้าใจคำว่า “ไม่มี”
เมื่อเข้าใจคำว่า “ไม่มี” แล้ว ลูกก็จะนึกถึงความตายได้
พระยาธรรมเอย.. หรือว่าจะเปลี่ยนอิริยาบถ จากการนั่ง - เป็นการเดินก็ได้ ลูก
เราค่อยๆเดินจงกรมไป พิจารณาธรรมนี้ไปเรื่อยๆ.. ตามที่เรานั้นสะดวก
เมื่อค่อยๆเดินไป ย่างเท้าซ้าย ย่างเท้าขวา ค่อยๆเดินไป พิจารณา
ปล่อยจิตปล่อยใจให้ว่าง ให้โล่ง ให้เบาสบาย ผ่อนคลายจากทุกอย่าง
ให้จิตนั้นเหลือเพียง ความมุ่งมั่นตั้งใจ.. ที่จะนำพาจิตใจของตนเข้าสู่ธรรมะ ที่จะได้ฟัง
คือว่า นั่งก็ได้ เดินก็ได้ - อยู่ในอิริยาบถใดก็ได้ทั้งนั้น.. ขอเพียงแค่
ให้ทำจิตทำใจให้เบา ให้สบาย
ให้จิตของเรานั้นตั้งมั่น.. พร้อมที่เดินไป เข้าไปสู่โลกแห่งธรรม - พร้อมเสียงธรรมนี้
พระยาธรรมเอย ลูกทั้งหลาย.. เมื่อปรับจิตปรับใจจนพร้อมแล้ว ลองพิจารณาตามนี้เถิดลูก
ตัวของเรา ร่างกายของเรา ที่สมมุติว่าชื่อ น้ำฝน หรือสมมุติว่าชื่อ สมชาย
สมมุติว่า ชื่อนั้นชื่อนี้ - ตามที่เราได้มีนามสมมุติเรียกขานกัน
คนนี้ที่เป็นเรา ตอนที่ก่อเกิดมานั้น เกิดมายังไงน้า ?
เราเกิดมาจากน้ำ ที่เป็นน้ำเชื้อของพ่อและแม่
เราเกิดมาจากหยดน้ำ 1 หยด รวมตัวกันมา ค่อยๆก่อตัวเป็นตัวของเรา
ตัวเล็กๆ ค่อยๆใหญ่ขึ้น โตขึ้น และมีอวัยวะส่วนต่างๆ ค่อยๆโผล่ออกมา
ค่อยๆโตขึ้น ตามวัย ตามกาลเวลา
เมื่อถึงเวลา ก็คลอดเราออกจากท้องแม่มา
เราก็ตัวเล็กๆ แดงๆ
มีปาก มีหู มีจมูก มีอวัยะทั้ง 32 ส่วน / มีร่างกายนี้เกิดขึ้นมา
เมื่อเราเกิดมาแล้ว.. ก็มีชื่อสมมุติว่า ชื่อนั้น ชื่อนี้ ชื่อที่พ่อแม่นั้นเลือกที่จะตั้งชื่อ เพื่อให้เรามีนามสมมุติในการเรียก แล้วเราก็ประกอบตัวของเราจนสำเร็จ เรียบร้อยแล้ว
ทีนี้ เราก็เจริญเติบโตตามวัย
โตขึ้น ร่างกายก็เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา / แก่ขึ้น ร่างกายก็เปลี่ยนแปลงไป
พอเมื่อเรานั้นจะต้องตายจากโลกนี้ไป.. เป็นยังไงลูก
เราก็ดับจากกายนี้ โดยการจบลมหายใจลง
เราเกิดขึ้นจากน้ำ - แล้วก็ดับลงด้วยลม กลับคืนสู่พื้นดิน คือ ธาตุแห่งดิน
มีความร้อนจากอากาศ.. ช่วยทำให้เรานั้นสลายกลับคืนสู่พื้นดิน
ตัวของเราก็แค่นี้ เกิดขึ้น - ตั้งอยู่ - และก็ดับไป ในช่วงไม่เกิน 100 ปี
นี่แหละนะ คือ ชีวิตของเรา
ถ้าหากว่าในความเป็นจริงแล้ว ชีวิตของเราเป็นอย่างนี้ - ตามที่เรารู้เราเห็นนี้
เราก็ไม่ต่างอะไรจากรถสักคันหนึ่ง บ้านสักหลังหนึ่ง
ที่ตั้งแต่ทีแรกเริ่ม.. มันก็ไม่มี
แต่เป็นเพราะว่า มีเหตุของมัน.. มันเลยนำเหตุเหล่านั้นมาประกอบ..ให้มีขึ้นมา
บ้านนั้น เมื่อมีคนหาเงินได้ ซื้อวัสดุต่างๆ แล้วนำมาประกอบ
ตั้งอยู่บนพื้นดิน ก็คือ บ้านหนึ่งหลังขึ้นมา
เมื่อเวลาผ่านไป.. บ้านหลังนั้น ก็กลับเสื่อมสูญ ดับสูญ คืนสู่พื้นดินเหมือนเดิม
.. มันก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เหมือนกัน..
รถสักคันหนึ่ง ก็มีชิ้นส่วนต่างๆ มาประกอบขึ้นเป็นรถ
ถ้าเราค่อยๆแกะอะไหล่ชิ้นส่วนต่างๆของรถออกไป ทีละชิ้น สองชิ้น.. โยนทิ้งไปเรื่อยๆ
ท้ายที่สุด.. รถคันนั้นก็ไม่มี !
.. กายของเรานี้ ก็ไม่แตกต่างอะไรจากสิ่งของ ข้าวของอื่นๆเลย
ถ้าสมมุติ เราเอามือของเรา ตัดทิ้งไป มือเราหายไป
ตัดแขนทิ้งไป แขนก็หายไป
ตัดท่อนขาทิ้งไป ขาก็หายไป
ตัดหัวทิ้งไป หัวก็หายไป
ตัดลำตัวของเราทิ้งไป มันก็หายไปทั้งเรา
เราก็แค่ประกอบขึ้นมา.. จากการที่มีอวัยวะ ครบ 32 ส่วน
ก็เลยเรียกว่า.. “ร่างกาย”
แต่แท้ที่จริงแล้ว.. เขาก็ไม่ใช่ตัวใช่ตนอะไร / เขาก็ไม่ใช่ใคร
เกิดมา ก็ต้องเป็นไปตามเหตุ ที่มันเกิด
พอดับไป ก็ต้องเป็นไปตามเหตุที่มันดับ..
ก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรเป็น “เรา” อยู่ตรงไหน ?
.. ชื่อก็สมมุติ
.. ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็สมมุติขึ้นมา
ฉะนั้น.. เราไม่มี ไม่มีเรา เรานั้นเกิดมา พร้อมกับความตาย
เมื่อมีการเกิดในที่ใด การตายย่อมต้องมีแล้ว - ในที่นั้น
นั่นคือ ทางที่องค์พระพุทธเจ้าทรงชี้ทาง ให้เราทั้งหลาย รู้แจ้ง เห็นตามความเป็นจริงว่า..
สรรพสิ่งทั้งหลายในโลก ไม่มีอะไรเที่ยงแท้
ไม่ว่าจะเป็นบุคคล ข้าวของ สิ่งของต่างๆ - ทุกอย่างล้วนแล้วแต่ไม่เที่ยงแท้
นี่คือความจริง
- เราเอง ก็ไม่อาจจะหนีพ้นความจริงข้อนี้ไปได้ !
สิ่งที่เราควรทำก็คือ.. ควรเตือนตนตัวเองไว้เสมอว่า..
เกิดแล้ว.. ก็ต้องตาย
เรามีความตาย เป็นของแท้แน่นอน -ที่อยู่คู่กับเรา
เมื่อมีเกิด มีเรา.. ก็มีตายเป็นธรรมดา
เรานั้นไม่ต่างจากสิ่งของ ข้าวของทั้งหลาย.. ที่มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
ฉะนั้น.. เราอย่ามัวแต่ลุ่มหลง ยึดติดกับสิ่งต่างๆทั้งหลายเลย…
ในวัฏสงสารนี้ เป็นที่ที่หลงเข้ามาอยู่ในโลกแห่งความสมมุติ
สมมุติขึ้นมาว่ามีคนนั้น คนนี้
มีสิ่งนั้นสิ่งนี้ สมมุติขึ้นมา ตามเหตุที่ตนได้สร้าง ได้ทำ
.. แล้วก็ดับไป..
มีดวงจิตเยอะแยะมากมาย ที่หลงในสิ่งสมมุติ หลงในกาย ในตัวในตนของตน
เพลิดเพลินไปกับสิ่งที่ตนเป็น จนลืมนึกถึงความเป็นจริงว่า..
*เกิดคราใด ตายครานั้น *
*เมื่อมีการเกิด.. ย่อมมีการตาย *
*เมื่อมีพบ.. ก็ต้องมีจาก เป็นธรรมดา *
เรานั้น ค้นหาความจริงดีกว่า ว่าทำไมต้องเกิด / ทำไมต้องตาย
เรานั้นไม่เกิด และไม่ตาย ไม่ได้หรือ ?
ค้นหาความจริง - ตามองค์พระพุทธเจ้าดีกว่า
เมื่อเราค้นหาความจริงข้อนี้แล้ว.. เรานั้น ก็จะได้รู้แจ้งตามคำสอนขององค์พระพุทธเจ้าว่า
- เราก็เลือก ที่จะไม่เกิดได้ ++
เพราะการเกิดนั้น - ย่อมมีการตาย
และการเกิดแล้วตายนั้น - ย่อมเป็นทุกข์
ฉะนั้น.. เราจะเดินตามรอยขององค์พระพุทธเจ้า ซึ่งตอนนี้ไม่มีการเกิด และการตายกับท่านอีกแล้ว
รวมถึง ยังมีองค์พระปัจเจกพุทธเจ้า องค์พระอรหันต์เจ้า อีกมากมายหลายพระองค์ หลายดวงจิตที่หลุดพ้นไป
กายของเรานี้ เกิดขึ้นมาตามเหตุของมัน
ถ้าดูที่ร่างกาย.. ก็คงเกิดมาจากธาตุน้ำ - ประกอบกายขึ้นมา
ถ้าดูที่จิต หรือว่า เหตุที่ต้องเกิดร่างกายนั้น ก็เพราะว่า.. จะมีจิตมาถือครองกายนั้น
เลยมีการหล่อหลอม ก่อเกิดเป็นตัว เป็นร่างกายขึ้นมา
จิตนั้นก็มาครอบครอง
แล้วกายของเรานี้ ก็เกิดตามบุญ- ตามบาปที่เราสร้าง เราทำเอาไว้
เรานี้ก็เกิดมา - ตามกรรมที่ตนทำ
ทีนี้ เมื่อเรา เป็นไปตามกรรม แล้วก็เกิดมาตามกรรม แล้วเราก็ทำกรรมต่อไป
เดี๋ยวเรา ก็ต้องเป็นไปตามกรรมนั้นอีก..
ฉะนั้น.. เราจะไม่เอาอีกแล้ว ดีกว่า
กายนี้เกิดมาแล้วต้องตาย.. มันก็ไม่ใช่ของเรา
เลือกที่จะเกิดตามใจเราก็ไม่ได้
- แปลว่า มันก็ไม่ใช่ของเรา
เมื่อเกิดแล้ว ก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องทุกข์ ต้องทรมาน แบกร่างกายนี้ไว้.. ทั้งที่เราไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น มันก็เป็น..
- แปลว่า มันไม่ใช่ของเรา
ความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ มันก็ทำให้เราทุกข์ เร่าร้อน
ดิ้นรนขวนขวายอยู่ตลอด
มันไม่เคยเป็นตามที่เราสั่งให้มันเป็นเลย..
- ฉะนั้น.. แปลว่า มันก็ไม่ใช่ของเรา
เราจะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้
ตัวเราก็ไม่ใช่เรา
เกิดแล้ว ก็ต้องตาย.. ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มี
เข้าใจแล้ว ในสิ่งที่เรียกว่า “ร่างกาย”
ทีนี้ เราก็ค่อยๆ ภาวนาๆไป..
ตาย สักวันหนึ่ง - เราต้องตาย
ทุกคน เกิดมา - ต้องตาย
ตาย ก็คือ ดับสูญ
ตาย ก็คือ ไม่มี
ตัวของเรา จะต้องหายไปจากโลกนี้ไปในสักวันหนึ่ง และกาลเวลาของเราที่เหลืออยู่
ถ้า 100 ปี ตอนนี้เราอายุ 30 ปี เหลืออีก 70 ปี
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ถ้าเราอายุ 70 ปี
.. เราก็คงไม่สามารถที่จะทำประโยชน์อะไรได้อีกต่อไปแล้ว..
ฉะนั้น.. เราก็คงตัดออกไปอีก 30 ปี ก็คงเหลือเวลาอีกแค่ 40 ปี
40 ปีนี้ เราอยู่บนโลกนี้ ไม่ว่าจะมีอะไรขึ้นมา หรือไม่มีอะไรขึ้นมา
ท้ายที่สุด.. เราก็เอาอะไรไปด้วยไม่ได้ สักอย่างหนึ่ง !
ก็ในเมื่อเรารู้แล้วว่า.. กายนี้ จะไม่ใช่ของเรา / สิ่งทั้งหลายก็จะไม่ใช่ของเรา
เราก็เอาเวลาที่มีอยู่ สมมุติตายไปดีกว่า
อยู่ก็เหมือนตาย / ตายก็เหมือนอยู่
ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง
ใครจะด่า จะว่า จะชื่นชม.. สิ่งเหล่านั้นไม่มีค่าอะไร !
- เราก็อยู่อย่างว่างๆ อย่างไม่มีสักสิ่งสักอย่าง เช่นนี้ไปละ
สักว่า ประกอบชีวิตไปวันๆ แบบไม่เบียดเบียนตนเอง ไม่เบียดเบียนผู้อื่น
อยู่อย่างนี้ไป..
ไม่จำเป็นต้องไปฆ่าฟันผู้อื่น แก่งแย่งชิงดีผู้อื่น
ไม่จำเป็นต้องขวนขวายดิ้นรน จนทำให้ตนเป็นทุกข์.. ไม่มีความจำเป็นเลย
ความตายนั้น คือ สิ่งเที่ยงแท้ ที่มันจะเกิดขึ้นกับเราเป็นแน่
การตายนั้น.. เป็นสิ่งที่ทรมาน แต่เราทุกคนต้องเจอ หากยังมีการเกิดอยู่
ฉะนั้น.. เราจะดับความทุกข์ทุกอย่าง ไปพร้อมกับการพิจารณาความตาย
เห็นทุกสิ่งทุกอย่างไม่มี - ตายไป
ความโกรธเกิด เดี๋ยวมันก็ดับ
ความโลภเกิด เดี๋ยวก็ดับ
ความหลง ความรัก.. ก็เหมือนกัน
เกิดบ้าง ดับบ้าง อยู่อย่างนั้น.. ไม่เที่ยงแท้ ไม่ใช่ตัวใช่ตนของเรา !
ร่างกาย ก็เกิด- ดับ สรรพสิ่งทั้งหลาย ล้วนแล้วแต่เกิด- ดับ
แล้วเราจะวิ่งวุ่น ตามความหลง
เมื่อมันเกิด ความโลภ ความโกรธ
ความรัก เมื่อมันเกิด.. วิ่งตามมันไปทำไม !
วิ่งตามให้มันเหนื่อยเพื่ออะไร !
คำชื่นชม หรือว่า นินทา ด่าว่า.. มันเกิด แล้วมันก็ดับเหมือนกัน
ทุกอย่างเกิดแล้ว ก็ต้องตาย
เกิดแล้ว ก็ต้องดับ
ทีนี้ เมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้ว พระยาธรรมเอ๋ย.. ก็ลองภาวนาไปนะลูกนะ
เกิด ก็ต้องตาย
เกิด ตาย
เกิด ตาย
ถ้าไม่เกิด.. ก็ไม่ต้องตาย
เกิด ก็ต้องตาย
ถ้าไม่ต้องเกิด.. ก็ไม่ต้องตาย
ถ้าเกิด ก็ต้องตาย
ถ้าไม่ต้องเกิด.. ก็ไม่ต้องตาย
เหมือนเช่นดังกระถางใบนั้น สินะ.. ถ้าไม่ต้องสร้างมันขึ้นมา - มันก็ไม่ต้องมี
และมันก็ไม่ต้องตาย ไม่ต้องหายไป
ไม่มีความหมายอะไรเลย กับการที่สร้างมันขึ้นมา
มันก็ตั้งอยู่ และมันก็ดับไป
มันก็ไม่มีความหมายอะไร ในตัวของมันเลย
มันอาจจะทำประโยชน์ให้กับเราได้ / ให้กับคนอื่นได้
แต่มันไม่มีประโยชน์อะไรในตัวของมันเลย..
เพราะมันเกิด เกิดก็ยึดในตัว.. และเป็นไปตามเหตุ
ก็ต้องใส่ดิน ใส่น้ำ ใส่สิ่งของ ถูกใช้งาน - ตามเหตุที่มันเกิด
ถ้าถึงเวลาที่มันต้องเสื่อมสลายไป มันก็ต้องดับไป
ก็เหมือนกันกับเรา นี่แหละนะ
มีเหตุ คือ กิเลสตัณหา - กรรมวิบาก ส่งผลให้เกิด.. ก็เกิดมา
ตามที่เขาอยากให้เกิด / ที่เขาสั่งให้เกิด
และเป็นไปตามที่เขาสั่ง.. และก็ดับตามเขาไปอีก
เราได้ประโยชน์อะไรเล่า - เราไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย !
คนที่ได้ประโยชน์
คือกิเลส คือตัณหา
คือ รัก โลภ โกรธ หลง
คือ ความอยาก และความไม่อยาก เหล่านั้นต่างหากเล่า
เกิดคราใด ความตาย.. ก็มีอยู่ในเราครานั้น
เกิดทีไร ก็ต้องแบกภาระหน้าที่มากมาย
แล้วก็ต้องตายไปตามเหตุอีก
ไม่มีอะไร เป็นเรา
ไม่มีอะไร คือของเรา
หยุดการเกิด ด้วยการตาย..
ตายด้วยสติ ด้วยปัญญา
ตายด้วยความรู้แจ้ง
ตายก่อนที่จะตายจริง
-- แล้วเราจะได้อยู่เหนือความตาย.. เราจะได้ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก ++
* เช่นดังองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า *
เราจะหยุดการเกิดของเราแล้ว จะไม่ให้เหลือเชื้อแห่งการเกิด
ซึ่งมันก็คือ ความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ
มันคือ ความอยาก และความไม่อยาก
เราจะหยุดเชื้อเหล่านี้ที่เป็นเหตุ ก่อให้มีตัวเราขึ้นมา
หยุดมันซะ !
ตายแล้ว.. เราต้องตายจากทุกสิ่งทุกอย่าง
ตายจาก การที่ถูกครอบงำจาก รัก โลภ โกรธ หลง / อยาก และไม่อยาก
เราต้องเอาตัวเราห่างจากมัน
จะไม่เกิดในมันอีกต่อไป..
ทีนี้ เราก็จะรู้สึกโล่ง ว่าง.. เห็นแต่แสงสว่าง เบา สบาย
พระยาธรรมเอ๋ย.. เพราะจิตของเราพิจารณาธรรม จนเข้าถึงความสว่าง รู้แจ้งแล้ว
เรานั้น ก็สามารถทรงฌานในความว่างนี้ไปได้ ลูก
หรือว่า จะจับภาพแห่งแสงสว่างที่เกิดขึ้น เพราะเราได้บรรลุ เข้าใจในธรรม
ธรรม -ได้นำพาเราเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริง ที่มีแสงสว่าง
รู้แจ้ง เข้าใจในสรรพสิ่งทั้งหลายนั้น..
เราก็ทรงฌานไว้เช่นนี้ละลูก ไม่ว่าเราจะเดินอยู่.. เราก็สามารถอยู่ท่ามกลางแสงสว่าง ได้ลูก
โดยไม่สนใจกาย.. สนใจแต่สภาวะ ความสว่างไสว
ความรู้แจ้ง สติปัญญาที่อยู่เหนือทุกอย่าง
อยู่เหนือการเกิด และการตาย
เรานั้น ก็ประคองสภาวธรรมเช่นนี้.. ก็สามารถเข้าสู่ฌานได้แล้ว.. พระยาธรรมเอ๋ย
ทำเช่นนี้ อย่างนี้ละ ลูก
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้เข้าใจ
น้อมนำไปประพฤติ ปฏิบัติตาม
ลูกเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ.. ว่าเรานั้นเกิดมาจากน้ำ แล้วก็หล่อตัวมาเป็นเรา
เราก็ไม่ต่างจากสิ่งของอื่นๆ - ที่มีเหตุให้มันเกิด และมันดับไป
เรานั้น ก็ไม่มีค่ามากกว่าสิ่งอื่นใดเลย
เรานั้น ก็แค่เกิดตามกิเลสตัณหา - ดับตามกิเลสตัณหา
เรานั้นไม่ใช่เรา ไม่มีตัวมีตนของเรา
-- เรานั้น ไม่เกิด ไม่ตายละดีที่สุดแล้ว --
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตา.. เจ้าค่ะ
สาธุ