พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2561
ตอนที่ 273 **ตราบใดที่ยังมีเรา เงาก็ยังมีอยู่**
+ +
ในเช้าของวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้าได้น้อมจิตขึ้นเข้าเฝ้า ต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่าน เพื่อเฝ้าฟังธรรม
เมื่อได้น้อมจิตขึ้นเข้าเฝ้าแล้ว ก็เห็นพระพุทธองค์ท่าน เสด็จลอยลงมาสว่างเจิดจ้า นั่งอยู่บนบัลลังก์อันสวยงาม พร้อมด้วยพระอรหันต์สาวก อีกหลายพระองค์ติดตามลงมา..
... ทำให้สถานที่ตรงนี้มีพลังพุทธบารมีคลุมไปทุกที่
เหล่าเทวดาทั้งหลาย.. ต่างก็มาฟังธรรม รวมถึงพญานาคา พญานาคี ภพภูมิเทวดาต่างๆที่อยู่แถวนี้
ก็มาฟังธรรมกัน
ข้าพระพุทธเจ้าเมื่อเห็นเช่นนั้นแล้ว จึงได้เดินตามทางที่เป็นแสงสว่าง คล้ายกับเป็นบันได ขึ้นไปกราบนอบน้อมต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่าน เพื่อเฝ้าฟังธรรม
เมื่อได้กราบนอบน้อมพระองค์ท่านแล้วนั้น เมื่อเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นสภาวธรรมบางอย่างแปรเปลี่ยนไป บัลลังก์ของพระองค์ คล้ายกับว่า จะมีพญามารนั่งอยู่ แล้วพระองค์ท่านก็เสด็จยืนอยู่เหนือศีรษะของข้าพเจ้าสูงขึ้นไปบนดอกบัว ท่านก็เดินจงกรมอยู่บนศีรษะของข้าพเจ้า และบัลลังก์นั้น ก็ว่างเปล่าไปอีก
ข้าพเจ้าเห็นความเปลี่ยนแปลงเช่นนั้น อยู่ตรงหน้า - จึงได้เฝ้าทูลถามธรรมพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
สิ่งที่พระองค์ทรงแสดงให้ลูกเห็นในวันนี้ คือสภาวธรรมอะไรหรือเจ้าคะ ?
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาอธิบายธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟัง นำไปประพฤติ ปฏิบัติตาม ด้วยเถิดเจ้าค่ะ “
- - - -
พระยาธรรมเอ๋ย.. แล้วลูกนั้นคิดว่า อย่างไรเล่า ในสิ่งที่ลูกเห็นตามความรู้ของลูกนั้นเอง
คิดว่ามันเกิดภาวะอะไร.. มันถึงเป็นเช่นนั้น ?
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาให้ลูกได้แสดงความคิดเห็น เจ้าค่ะ
ตามความคิด ความเข้าใจของลูก.. ลูกคิด และเข้าใจว่า..
การที่เรานั้น มีบัลลังก์นั่ง คือหมายถึง การที่เรามียศ มีชื่อเสียง มีสรรเสริญ ลาภ สักการะต่างๆ
ถ้าเกิดว่าเราติดอยู่ในสิ่งเหล่านั้น.. ก็ยังมีพญามาร ที่เข้ามาแฝงอยู่ในตัวของเรา
เป็นตัวเป็นตนของเราอยู่.. อย่างนั้นน่ะเจ้าค่ะ
บัลลังก์ ที่พระองค์แสดงให้ลูกเห็น จึงแสดงให้ลูกรู้ว่า..
ถึงแม้ว่าจะเป็น *บัลลังก์ของพระพุทธเจ้า*
... แต่ถ้าพระพุทธองค์ ไม่ยกจิตสูงเหนือบัลลังก์นั้น..
ยังคงยึดถือบัลลังก์นั้นอยู่ - พญามารก็ยังแอบแฝงอยู่ !
เป็นตัวอย่างที่สอนให้ลูกรู้ว่า..
ลูกถึงแม้ว่า จะมีตำแหน่ง หรือว่ามีสมมุติว่า เป็น *พระยาธรรม*
- ก็ไม่ควรยึดติด ยึดถือ ในสิ่งที่ตนเป็น ตนมี -
ทุกคนก็เช่นเดียวกัน.. ไม่ว่าจะประพฤติ ปฏิบัติ ถึงระดับความดีใดก็ตาม..
ก็ไม่ควรยึดถือในสิ่งที่ตนทำ
ถ้าเกิดว่า ยังมีความยึดถือ ในสิ่งที่ตนทำอยู่ เมื่อไร - มารก็จะแฝงอยู่ในสิ่งที่ตนเป็น ตนทำนั้น..
ลูกคิดว่า.. น่าจะเป็นเช่นนี้ เจ้าค่ะ
และในขณะที่ลูกเฝ้าทูลถามพระพุทธองค์.. ลูกก็ยังเห็นว่า
มีพญามารแฝงอยู่ แอบอยู่ ยืนอยู่แทนพระพุทธองค์อีก แล้วจิตของพระพุทธองค์ ก็สลายไปอยู่อีกที่หนึ่ง แล้วตรงที่พระองค์ทรงยืนอยู่เหนือศีรษะของลูก.. ก็เป็นมารแฝงอยู่อีกแล้ว
ลูกก็เลยคิดว่า.. ตราบใดที่เรามีอัตตา มีตัวตน - มารจะยังแฝงอยู่ในตัวของเรา ทุกที่ทุกแห่งหน
จนกว่าจิตของเรา.. จะสะอาดบริสุทธิ์ เป็นแก้วใส
.. เหมือนตอนนี้ ที่พระพุทธองค์ทรงให้ลูกได้เห็น “กายที่เป็นแก้ว” - แก้วที่ว่างเปล่า
ตอนนี้ลูกมั่นใจว่า.. จะไม่มีพญามารแฝงอยู่ในพระองค์ เพราะกายที่ลูกเห็นพระองค์นี้
- เป็นแก้วใสมาก บริสุทธิ์มาก ปราศจากตัวตนทุกอย่าง..
พระองค์ทรงสอนลูก ด้วยสถานการณ์เหล่านี้.. ให้ลูกรู้จักตัวตนของตน
รู้จักการหลบหลีก หลีกเลี่ยงพญามารทั้งหลาย..
ลูกเข้าใจเช่นนี้ เจ้าค่ะ
- - -
พระพุทธองค์ :: ดีแล้วละ พระยาธรรมเอ๋ย.. ถือว่า ลูกนั้นเข้าใจเหตุต่างๆที่เห็น ได้เป็นอย่างดี
พระยาธรรมเอ๋ย.. เพราะอะไรเล่า ลูกจึงไม่หวั่นไหวตาม สิ่งที่ลูกมองเห็นว่า..
เป็นองค์พระพุทธเจ้า - แต่กลายเป็นมาร
เป็นองค์พระพุทธเจ้า.. ก็กลายเป็นมารอีกแล้ว
แล้วลูกก็สามารถ ที่จะเห็นองค์พระพุทธเจ้าที่แท้จริง
เห็นสภาวธรรมที่มีอยู่ สักว่ามีอยู่ นี้ได้
ทำไมลูกจึงไม่มีจิตที่จะหวาดกลัว หรือคล้อยตาม ลุ่มหลงไปกับสิ่งที่เห็น อย่างนั้นเล่า ?
จงกล่าวธรรมนั้นมาเถิด.. พระยาธรรม
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาลูก เจ้าค่ะ
นั่นเป็นเพราะว่า.. เป็นบารมีของพระพุทธองค์ ที่ทรงสอนลูกมาโดยตลอด
จนทำให้ลูกนั้น.. ไม่กลัวกับการที่จะเจอกับองค์พระพุทธเจ้าองค์ปลอม
เพราะลูกนั้น.. ยึดหลักขององค์พระพุทธเจ้า อย่างแท้จริง
ถึงแม้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า -- ลูกก็เลยไม่กลัว แล้วก็ไม่คล้อยตามสิ่งเหล่านั้น..
เพราะว่าลูกรู้ว่า
*พญามาร* เขาจะอยู่ในตัวอัตตา
เขาจะอยู่ในสิ่งที่มี ที่เป็นทุกอย่าง ++
และองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมอยู่กับลูก เพราะจิตของลูกตั้งมั่นอยู่ในความไม่มี
/ ในความปราศจากความลุ่มหลงใดๆทั้งปวง
ทุกครั้งที่ลูกเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธเจ้า ลูกก็ไม่ได้เฝ้า หรือว่าเชื่อว่าเป็นองค์พระพุทธเจ้า - เพียงแค่มองเห็นพระองค์
แต่ลูกเชื่อ.. เชื่อในคำสอนสั่ง ในสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงเมตตาแบ่งแยกผิดชอบชั่วดี
ชี้ทางให้ลูกได้เห็นแจ้ง เข้าใจกระจ่างจริงในทุกสิ่งทุกอย่าง
-- ซึ่งจะไม่มีทางเลย ว่าพญามารจะสามารถจะสามารถรู้แจ้งตามความเป็นจริง อย่างนี้..
ถ้าเราตั้งมั่นในความรู้แจ้ง ตามความเป็นจริง..
- เราก็จะสามารถเข้าถึงองค์พระพุทธเจ้า อย่างแท้จริง -
ไม่มีความลุ่มหลง -ในการเฝ้าฟังธรรม เจือปนอยู่ในตัวของลูก
ไม่มีความลุ่มหลง - ในการพบเห็นพระพุทธองค์
ลูกจะพบพระองค์หรือไม่ก็ตาม ลูกจะเอาหลักธรรมที่ถูกต้องของพระพุทธองค์ มายึดในการประพฤติ ปฏิบัติ เจ้าค่ะ
... ลูกจึงไม่กลัว หากต้องเจอกับพญามาร ที่เป็นของปลอม..
ต่อให้ยังไงก็ตาม.. ลูกก็ต้องพบกับพระพุทธเจ้าองค์จริงๆ อยู่แล้วละเจ้าค่ะ
ลูกยึดหลัก การประพฤติ ปฏิบัติ - ตามความถูกต้อง
ใช้เหตุและผล เข้าสู้กับสิ่งทดสอบต่างๆ อย่างนั้นน่ะเจ้าค่ะ
ลูกทำเช่นนี้ - จึงไม่หวาดกลัว เจ้าค่ะ
- - -
พระพุทธองค์ :: ดีแล้วละ พระยาธรรม..
วันนี้ ที่แสดงสิ่งเหล่านี้ ให้ลูกได้รู้ ได้เห็น
ก็เพราะว่า.. มีหลายคน ที่เขานั้นยังไปติดอยู่ตรงที่ที่ตนเป็น ตนทำอยู่
และอาจยังไม่รู้วิธี ที่จะเอาตนออกจากสิ่งที่ตนเป็น / ตนติดอยู่นั้น...
พระยาธรรมเอ๋ย.. โลกแห่งวัฏสงสารนี้ มันมีหลายสิ่ง ที่ซับซ้อน ละเอียดอ่อน
เอาไว้ทดสอบทุกดวงจิต ที่คิดว่า จะไปพระนิพพาน
ฉะนั้น ลูกเอ๋ย.. ธรรมนี้ จะเป็นประโยชน์แก่หลายคนเลยทีเดียว **
-- ที่เขาเหล่านั้น.. ตั้งใจจะดับการเกิดของตนให้ได้ !
พระยาธรรมเอ๋ย.. การที่เราประพฤติ ปฏิบัติ ทำความดี - ก็เพื่อดับกิเลสตัณหา **
กิเลส ก็คือ ความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ
และหลงที่หลงที่สุด - ที่นำพาให้เวียนว่ายตายเกิด
นำพาให้ เกิดรัก เกิดโลภ เกิดความโกรธ
เกิดตัณหา คือ ความอยาก และไม่อยากนั้น
ก็คือ “หลงในตัว” ลูก
ฉะนั้น.. การทำทาน รักษาศีล ฟังธรรม ทำสมาธิ เติมปัญญา
... จึงเป็นสิ่งที่เราทำไป - เพื่อดับตัวตนของเรา
ฉะนั้น.. เราทำดีอะไรไป - เราก็จงอย่ายึดมาเป็นตัวเป็นตน ลูก
ดูที่ที่มันมีอยู่ในเราว่า มันเหลืออะไรบ้าง ?
เหลือความหลง มากน้อยเพียงใด ?
รัก โลภ โกรธ มากน้อยเพียงใด ?
-- แล้วก็ทำดีต่อไปเรื่อยๆ ขัดเกลาสิ่งเหล่านั้น ให้มันหมดไป ลูก ++
การทำความดี ถ้าเราไม่ทำอยู่บนพื้นฐานความถูกต้อง* ที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น
อาจนำพาให้เรา.. กลายเป็นพญามารผู้ยิ่งใหญ่ โดยไม่รู้ตัว !
ผู้ยิ่งใหญ่ คือ มารผู้ทำความดีแล้ว - “หลงดี ยึดดี”
พระยาธรรมเอย.. เราใหญ่เท่าไหร่ - มารมันก็ใหญ่เท่านั้น ลูก
.. ถ้าเราเอาความหลง - ยึดถือความดีที่ทำ เป็นที่ตั้ง..
ลูกเอ๋ย.. ถ้าเรายึดดี ถือดี ในสิ่งที่ทำนั้น
*พญามาร* มันก็จะครอบงำตัวของเรา ให้อยู่ใต้อำนาจของมัน
ทำความดีไป.. มีสรรเสริญ มีลาภสักการะ
มีสิ่งที่ดีหลายอย่างเข้ามา.. บัลลังก์ก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าตนไม่รู้โยกจิตตน -ออกจากบัลลังก์ความดีนั้น
-- ตนก็จะถูกมารครอบงำ ให้ลุ่มหลงไป / ยึดดี ถือดีไป !
พระยาธรรมเอ๋ย.. เมื่อครั้งองค์พระพุทธเจ้า ตรัสรู้สำเร็จ
ได้บัลลังก์อันยิ่งใหญ่ คือ บัลลังก์แห่งความเป็นพระพุทธเจ้า
-- พญามาร ก็จะยึดบัลลังก์ไป --
ถ้าเกิดว่าเราไปติดอยู่ตรงใต้บัลลังก์นั้น..
พญามารก็ยังครอบงำเราอยู่.. ลูกเอ๋ย
แต่องค์พระพุทธเจ้าชนะพญามาร โดยการ.. โยกจิตออกจากความเป็นอยู่.. มีอยู่
... เห็นสักแต่ว่า มีอยู่ รู้อยู่ เป็นอยู่ เท่านั้น ++
- พญามาร จึงครอบงำไม่ได้
- พญามาร จึงต้องพ่ายแพ้ กลับไป
และสิ่งที่กล่าว ที่พบในวันนี้ - ก็เป็นสิ่งที่สำคัญ **..ลูกเอ๋ย
ฉะนั้น.. พากันทำความดี - ก็ทำไปลูก ++
แต่จงจำเอาไว้เถิดว่า..
ตราบใดที่ทำความดี แบบที่ลุ่มหลง ยึดติด และแบกเอาไว้อยู่
ตราบนั้น “พญามารมันก็ยังครอบงำเราอยู่” ลูก
มาร แห่งการหลงยึดตัว ยึดตน.. ลูกเอ๋ย
เมื่อไรที่เราทำดี เพื่อสลายความยึดถือต่างๆ แม้แต่ความดีได้..
เมื่อนั้นละลูก พญามารจึงหาตัวของเรา ไม่เจอ !
เช่นนี้ละ.. พระยาธรรม
ฉะนั้น ลูกเอง.. ก็เข้าใจสภาวธรรม..ที่รู้ ที่เห็นแล้ว
มีตัว ก็เหมือน ไม่มี
ทำไป ก็เหมือน ไม่ทำ
ทำ กับ ไม่ทำ - ก็มีค่าเสมอเหมือนกัน
และสิ่งที่ลูกนั้นทำไป..
ทำไปเพื่อดับตัวตนของลูก.. ผู้ซึ่งเป็นพระยาธรรมเท่านั้น !
แต่ไม่ได้ทำ - เพื่อก่อให้เกิดตัวอัตตาขึ้นมา
ไม่ได้ทำ - เพื่อให้ยึดติดลุ่มหลง ในตัว ในสิ่งที่ตัวทำ
** นั่นแหละลูก.. จะทำให้ลูกนั้น สามารถดับการเกิดของได้ อย่างแท้จริง **
พระยาธรรมเอ๋ย.. จงจำกันเอาไว้เช่นนี้เถิดว่า..
การที่คนเรา ยกมือประกาศจะไปสู่พระนิพพาน
-- เราต้องทำหน้าที่ของเรา ทุกอย่างให้ดี **
และทุกหน้าที่ที่ทำดีนั้น ก็เป็นเพราะว่า มันเป็นกรรม
เป็นสิ่งที่หล่อหลอมขึ้นมา เป็นตัวของเรา
เราทำดีเท่าไร ทำอะไรก็ตาม ทำเพื่อขัดเกลา เพื่อสลายตัวเราเท่านั้น !
แต่ไม่ใช่ว่า.. ทำดีเท่านั้นเท่านี้แล้ว.. เอามายึด มาแบกไว้.. ลูกเอ๋ย
เราจะช่วยเหลือใครไป. ทำอะไร. ยังไง - ก็ไม่เป็นไร
เพราะ..
นั่นคือ การได้ชำระแล้ว ซี่งกรรมที่เราควรจะชำระ
นั่นคือ การขัดเกลาแล้ว ซึ่งตัวของเรา ที่ควรจะขัดเกลา
ทำให้มันสึกหรอ ในความเป็นของเรา
ขัดเกลาให้มันสลาย ละลายลงไป ให้มากๆ..จนกว่า มันจะไม่มี !
เปรียบเสมือน เชือกที่เราผูกปมไว้ติด ผูกปมไว้เป็นล้านปม
- เราก็ต้องแกะเป็นล้านปม -
แต่ใช่ว่า เราแกะล้านปมแล้ว.. เราก็จะเป็นผู้วิเศษยิ่งนัก
ไม่ใช่อย่างนั้นลูก..
แกะเป็นล้านปม.. เพราะว่า เราผูกปมมาเอง
ฉะนั้น..ไม่ว่า ลูกทั้งหลาย ได้ทำความดีใดๆ ก็ตาม..
จงน้อมเอาความดีที่ทำนั้น.. เข้าสู่จิตสู่ใจ
ทำลายตัวอัตตาตัวตน ไม่ยึดดี ถือดี
ชำระให้ลูกหมดกิเลส คือ ความหลงในตนเถิด
แล้วจะไม่มีมารตัวใด จะไม่มีมารอะไร - ครอบงำลูกได้อีก
-- ลูกย่อมเดินออกไปจากวัฏสงสารนี้ ไปได้ --
ลูกเอ๋ย.. การไปสู่ดินแดนพระนิพพานได้ - ต้องไปโดยปราศจากความหลง.. ลูกเอ๋ย
หลงดี ถือดี ยึดดี - ก็ไปไม่ได้ ลูก
จะติดอยู่แค่ตัวอัตตา ที่หลงยึดว่า “ดี” นั้น
จะเป็นความดี ที่อยู่ในโลกสมมุติ ที่สมมุติดีเลิศเลอ ให้ลูกลุ่มหลง และจมอยู่กับมัน
-- ลูกจะไม่มีทางหลุดพ้นได้เลย !
อย่างนี้ละ พระยาธรรม.. กล่าวธรรมนี้ ให้ทุกคนได้รู้ ได้ฟัง
- เพื่อชำระล้างดวงจิตของตน จากการทำดีที่ทำมาแล้ว
- เพื่อไม่แบก ไม่ยึด ความดีเหล่านั้นเอาไว้..
** จะได้เป็นการทำดีอย่างถูกต้อง อย่างแท้จริง ++
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟัง
ให้ลูกได้พิจารณาตัวเอง และนำไปเผยแผ่ กับทุกๆดวงจิต - ผู้ที่ตั้งใจจะพ้นทุกข์
วันนี้ ลูกกราบขอลาพระพุทธองค์ก่อนนะเจ้าคะ
ไว้ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่.. เจ้าค่ะ
สาธุ