ทิศแห่งนิพพาน
ธรรมะมหัศจรรย์ ตามรอยธรรมสมเด็จโต ให้เสียงธรรมโดยคุณแดง
การฝึกจิตนี้ก็เพื่อให้มันคุ้นเคย เพื่อให้มันเท่าทันความรู้สึก
เมื่อมนุษย์ทั้งหลายหรือเราก็ดียังมีความพอใจความรู้สึกอยู่ แล้วไม่เท่าทันในความรู้สึกนั้น
ก็อารมณ์เหล่านี้แลที่เกิดจากความพอใจไม่พอใจเหล่านี้แล จึงเกิดเป็นการสะสมอกุศลทั้งปวง
ดังนั้น เมื่อเรามาเจริญจิตภาวนาอย่างนี้..อุบายให้จิตนั้นมาเจริญภาวนาจิต เพื่อให้จิตนั้นเกิดความสงบระงับจากอารมณ์ความฟุ้งซ่านภายนอก
เพื่อให้เกิดความสงบภายใน เมื่อมีความสงบภายในมากขึ้นเท่าไหร่ อำนาจแห่งสมาธิมันก็มีกำลังมากเท่านั้น
เมื่อมีความสงบมากที่ภายใน เราย่อมเห็นเท่าทันความผิดปรกติของตัวอกุศลได้ง่าย ไอ้ตัวที่มันสงบนั้นแลคือเป็นสภาวะธรรม
แต่ตัวที่มันยังไม่สงบนั้นแลคืออกุศลธรรม นั่นก็หมายถึงให้รู้ว่าจิตเรานี้ขณะนี้เกิดสภาวะธรรมแบบใด
มันเกิดเป็นสภาวะธรรมแบบใดก็ตาม ล้วนแล้วแต่มีเหตุแห่งผลที่มันเกิดขึ้นมา
สิ่งหนึ่งก็คือ..ไม่ว่าอารมณ์ใดก็ตามเมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว ..มันตั้งอยู่..ไม่นานมันก็ย่อมดับลงไป
นั้นให้ถือคติเสียว่าไม่ว่าจะเกิดอารมณ์ใดก็ตาม..ก็ขอเป็นผู้รู้ แต่ไม่ควรยึดในอารมณ์
แต่ถ้าอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งจิตเรายังไม่ตั้งมั่น ยังไม่นิ่งสงบ เราต้องมีองค์ภาวนากำกับจิตเข้าไป
ตัวกำกับนี้เรียกว่ากำชับจิตนั้น..เป็นการตะล่อม..กล่อมให้อารมณ์นั้นมันสงบ แต่อย่าได้ไปบังคับจิตให้มันสงบ
ทำจิตนั้นให้เป็นธรรมชาติ ก็หมายถึงว่า..ขอให้ดูตามความรู้สึกของเรา
ถ้าร่างกายสังขารมันล้าเราก็ถอนร่างกายสังขาร เอาแต่ผู้ดูจิตก็คือตัวสติ อาศัยกายนี้สังขารนี้เป็นที่ตั้งแห่งฐานของจิตของธรรม
จนจิตเรานั้นมีกำลังเราย่อมเห็นสภาวธรรมที่เกิดขึ้น อย่าให้จิตนั้นพลัดพรากจากลมหายใจก็ดี จากองค์ภาวนาก็ดี จากในกายสังขารนี้
ขอให้ทรงไว้..นี้แลเค้าเรียกว่า"ทรงธรรม"
เมื่อเราทรงไว้มากๆเข้า ธรรมมันเติบโตแข็งแรงแล้ว..ธรรมนั้นแลมันจะเป็นผู้สอนคอยบอก
แล้วเราก็หยิบยกธรรมทั้งหลายต่างๆนี้มาพิจารณา ในข้อธรรมที่จะมาพิจารณาก็มีมากมาย
ธรรมเหล่าใดเล่าที่พิจารณาแล้วเพื่อปลง เพื่อสละ เพื่อคลายกำหนัด..ก็นั่นแลเรียกว่า"อารมณ์แห่งกรรมฐาน"
ธรรมเหล่าใดเล่าที่พิจารณาแล้ว ละแล้ว..เกิดความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาได้..
ก็เรียกว่าธรรมเหล่านั้นแลเป็นผู้ชื่อว่าละอำนาจแห่งไฟโทสะ
ธรรมเหล่าใดแลที่พิจารณาแล้วอบรมบ่มจิตดีแล้วให้รู้จักการสละการให้..ก็เรียกว่าเป็นการเพียรเผาไฟในโลภะ คือความอยาก ความละโมบ
อยากได้ใคร่ดีตัณหาเหล่านี้ นี่เรียกว่าการละอารมณ์ในขันธ์ ๕
ทำไมถึงเรียกว่าการละอารมณ์ในขันธ์ ๕ อ้าว..ก็เรามีขันธ์ ๕ เป็นกองทุกข์ เราก็ต้องอาศัยกายสังขารแห่งขันธ์ ๕ นี้แลเป็นที่ตั้งของจิต
เป็นที่ตั้งแห่งการงานของกรรมฐาน เมื่อจิตเรามีการงานของกรรมฐาน จิตรู้อยู่ในกายสังขารนี้ จิตรู้อยู่ในองค์ภาวนาก็ดี
ก็จะทำให้จิตเราตื่นรู้ อันว่าจิตตื่นรู้เป็นเช่นใด คือรู้อยู่แต่สภาวะอารมณ์ในปัจจุบัน ไม่มีอารมณ์อื่นเข้ามาทำให้จิตเรานั้นฟุ้งซ่านรำคาญใจ
เค้าเรียกว่าจิตเราสงบระงับจากเวรภัยภายนอก ก็เหมาะแล้วแก่การจะพิจารณาธรรมทั้งหลาย
นั้นเมื่อจิตเรายังไม่มีกำลังเท่าที่ควร ก็ให้ทรงอยู่ในกายนี้ อยู่ที่ลมหายใจ อยู่ที่เหนือสะดือก็ดี
ประคับประคองมันไว้จนกว่าจิตนั้นจะรวมตัวให้มีกำลัง..นี้เค้าเรียกเป็นการทรงฌาน ทรงจิตไว้ หรือเรียกว่าประคอง อันว่าทรงจึงเรียกว่าประคอง
การจะประคองสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้น ไม่ให้พลัดพรากจากอารมณ์แห่งตัวรู้หรือตัวสติให้ได้ เราก็ต้องมีสติ มีกำลังแห่งความศรัทธาแห่งความพอใจ ในสิ่งที่เราชอบสิ่งที่เรากระทำ
จนกว่าสภาวะจิตนั้นมันเบิกบานตื่นรู้ขึ้นมา อาศัยสลับสับเปลี่ยนอย่างนี้
ถ้าดูจิตได้ก็ดูไป ถ้าดูจิตไม่ได้ก็ดูกาย แล้วถ้าดูกายและดูจิตก็ไม่ได้ก็ให้พิจารณาธรรม ให้เป็นอุบายให้จิตนั้นมีการงาน มีสิ่งที่ยึดเหนี่ยวไว้ ก็เรียกว่า"สมถะแห่งธรรม"
อารมณ์เป็นอารมณ์เป็นเบื้องบาทแห่งความสงบ แม้ว่าจะมีความสงบเล็กน้อย ในขณะหนึ่งของความสงบมันก็ยังมีตัวสติอยู่ ก็ยังมีตัวรู้อยู่
ก็เอาตัวรู้นั้นแลไปพิจารณาให้ตัวรู้นั้นมีกำลัง หากเราทำใคร่ครวญพิจารณาในจิตในธรรมอยู่บ่อยๆแล้ว ก็เรียกว่าธรรมนั้น..ปัญญานั้นมันก็จะมีกำลัง มันก็จะเติบโต
เมื่อมีความพอใจเพลิดเพลิน..การเจริญความเพียร เจริญภาวนา เจริญปัญญานี้ มันก็ทำให้ตั้งมั่นยิ่งได้นาน จนเห็นสภาวะความเปลี่ยนแปลงของสังขาร คือเห็นทุกข์
เห็นว่าการเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง เมื่อเราเห็นว่าสภาวะการเกิดเป็นทุกข์เสียแล้ว จิตเรานั้นมันก็จะน้อมเข้าหากฏแห่งไตรลักษณ์
คือการเพ่งโทษ เพ่งอกุศลกรรม สร้างกุศลกรรมให้บังเกิด เหล่านี้แลชื่อว่าเป็นผู้เพียรประพฤติปฏิบัติพรหมจรรย์เพื่อเข้าสู่ทางภาวะนิพพาน
คือทิศที่มนุษย์ทั้งหลายยังไม่เคยไป นั้นถ้าโยมจะไปในทางนี้ โยมต้องมีความเชื่อมั่นในทางนี้ก่อน เชื่อว่าทิศนี้มันมีจริง
ถ้าเราจะรู้ว่ามันมีจริงไม่จริงเพียงใด ก็ขอให้โยมทั้งหลายนั้นได้ตั้งหน้าตั้งมั่นมีความศรัทธาลองเดินในทางนี้ดู...
ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๑
ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)