อันที่จริงกรรมฐาน..โยมก็ฝึกมามากแล้ว จะมองว่าไม่ก้าวหน้าไปไหน แต่อะไรที่เราทำอยู่บ่อยๆเนืองๆ มันก็มีความคุ้นเคย นั่นก็หมายถึงว่าละอกุศลได้บ้างไม่ได้บ้าง มันเป็นธรรมดา เพราะเราไม่ใช่ผู้ทรงศีล แม้ผู้ทรงศีลเองก็ตามก็ยังบกพร่องในศีล ที่กล่าวเรื่องศีลอย่างนี้หมายถึงว่า ศีลนั้นเป็นสิ่งสำคัญ..
เมื่อศีลนั้นเรารักษาเจริญได้เป็นปรกติดีแล้ว การเจริญกรรมฐานมันก็จะเป็นปรกติของมันเอง นั้นเมื่อโยมมีกรรมฐานแล้ว ได้เจริญกรรมฐานพอสมควรนั้น ต่อไปก็ควรหมั่นเจริญรักษาศีลเจริญพรหมจรรย์ สำรวมกาย รักษากาย วาจา ใจให้เป็นปรกติ แม้อารมณ์ในอกุศลใดขึ้นมาก็ให้รู้เท่าทัน เมื่อเรารู้เท่าทัน..กำลังแห่งตัวรู้เมื่อระลึกมากระลึกอยู่บ่อยๆ สติมันก็มีกำลังมาก มันก็จะมีหิริโอตัปปะขึ้นมาเอง
หิริโอตัปปะทั้งหลายหรือตัวระลึกเหล่าใดก็ดี สตินั้นมันต้องมาคู่พร้อมกับปัญญา เพื่อเอาไปละเอาไปพิจารณาเพ่งโทษในสิ่งนั้น หาไม่แล้วไอ้ตัวที่เราฝึกสติมาแล้วมันอาจจะพิโรธขึ้นมาได้ แต่ตัวสตินั้นถ้ามันมาพร้อมกับปัญญา การเจริญนิโรธก็ดีเจริญมรรคก็ดี พิจารณาอริยสัจ ๔ ก็ดี มันก็เข้าถึงได้ง่ายในการปล่อยวาง
นั้นการปล่อยวางนี้ที่เราจะวางได้ เราต้องรู้จักปล่อยคือการละ ไม่ยึดในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง เพราะสภาวะอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งที่จิตเข้าไปยึดมั่นถือมั่นนั่นแล เค้าเรียกว่าตัวยึด เรียกว่าตัวขันธ์ ตัวทำให้จิตเรานั้นผิดปรกติ ศีลเราก็จะบกพร่อง ดังนั้นการจะปล่อยวางก็คือการวางเฉยไม่สนใจ ไม่ว่าจะเป็นการงานใดก็ตามที่ทำให้เราหวนคิดแล้วนั้น ระลึกแล้วทำให้เราเกิดฟุ้งซ่านรำคาญใจ เกิดโทสะขึ้นมาก็ดี เกิดโมหะก็ดี..เหล่านี้ควรกำหนดรู้ นี่แลที่มันจะทำให้จิตเรานั้นส่งออกไปภายนอก ที่จะทำให้ฌานเราเสื่อม ที่จะทำให้ศีลเราบกพร่อง
นั้นขณะใดก็ดีที่อารมณ์เหล่านี้มันผุดขึ้นมาในใจเรา ก็ให้กำหนดรู้พิจารณาดับมันที่อารมณ์ของใจ เมื่อใจเราดับได้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจทั้งหลาย ผัสสะใดมันก็ถูกดับไปด้วย นั้นใจจึงเป็นของสำคัญ เป็นประธานใหญ่แห่งกรรม เมื่อเราดับใจได้แล้วกรรมมันก็ดับ รู้เท่าทันใจได้แล้วก็รู้เท่าทันกรรมนั่นแล ก็พิจารณาฝึกตรงนี้อยู่บ่อยๆ
เมื่อฝึกอยู่บ่อยๆแล้วก็จะเกิดความคุ้นเคย เคยชินในสิ่งที่เราฝึก นั้นเมื่อโยมได้ไปประพฤติปฏิบัติ อาศัยสถานที่สัปปายะ เจริญความสันโดษจนมากขึ้นแล้ว เค้าเรียกว่าอยู่ในที่สงัดแล้ว อยู่ในที่วิเวก มีความสันโดษ มีความมักน้อย มีความพอใจก็ดีนั้นแล เหมาะแก่การเจริญสมถธรรม อบรมบ่มจิตให้เข้าถึงความบริสุทธิ์ และก็ต้องมีความเพียรเป็นที่ตั้ง มีขันติเป็นที่ตั้ง
นั้นการที่โยมจะไปประพฤติปฏิบัตินั้น ถ้าโยมห่างจากของวัตถุที่เป็นข้าศึกแห่งพรหมจรรย์ที่จิตเราจะส่งออกไปภายนอก ที่เราจะคอยเป็นกังวลนั้นแล เราก็ตัดออกไปเสีย นั้นในสิ่งที่เรียกว่าเรานั้นเป็นผู้ปฏิบัติ ถ้ายังไปยุ่งอยู่ในทางโลกอยู่ ยังข้องอยู่ในทางโลกอยู่ แม้จะเป็นผู้บวชก็ดี โกนหัวแล้วก็ดี ก็ยังไม่เรียกว่าเป็นผู้ปฏิบัติเป็นนักบวช เพราะจิตนั้นยังส่งออกไปภายนอกไปวุ่นวายในทางโลก
มันก็เป็นธรรมดาว่าของโลกๆนั้นมันจะทำให้จิตเราป่วย ให้มีอารมณ์ให้อกุศลบังเกิดขึ้น พอมันเกิดขึ้นเราก็มาดับมันทีนึง แต่เราไม่ดับที่เหตุ อย่างนี้เค้าเรียกว่ายังมีตัวความอยาก ยังมีวิภวตัณหาอยู่ เมื่อเรากำจัดที่เหตุได้จิตเราก็จะปล่อยวาง ไอ้จิตที่ปล่อยวางนี้ก็เท่ากับจิตนั้นหลุดพ้นไปชั่วขณะหนึ่ง ก็เรียกว่าข้ามอารมณ์ได้ ข้ามสมมุติบัญญัติได้
ผู้ที่ข้ามสมมุติบัญญัติได้เป็นอย่างไร เป็นอย่างไร..เป็นอย่างนี้ หมายถึงว่าผู้นั้นจิตที่เหนืออารมณ์แล้ว เป็นอิสระแล้วนั่นแล จะกำหนดบัญญัติอะไรขึ้นมาก็ดีที่มันเหนือโลก มันก็สามารถเกิดขึ้นได้ แต่ถ้ายังข้ามสมมุติบัญญัติของโลกไม่ได้ ก็ต้องไปตกเป็นทาสของโลกดังเช่นที่โยมทำกันอยู่ ติดในของเล่นอะไรของโยม อย่างนี้แลมันหาประโยชน์ไม่ได้หรอกจ้ะ มันมีแต่เสียแต่ประโยชน์ เสียแต่เวล่ำเสียแต่เวลา
อย่างนี้เค้าเรียกว่ายังไม่รู้หน้าที่ของตน เมื่อไม่รู้หน้าที่ของตนแล้ว เวลาของตนนั้นก็เหลือน้อยนั่นเอง เวลาที่เหลือน้อยคือเวลาที่ปฏิบัติมันมีน้อย แต่เวลาที่ทำให้เกิดความเพลิดเพลินมันมีมาก ถ้าตัณหามันมีมากอย่างนี้แล้ว กุศลธรรมทั้งหลายนั้นที่มันจะเกิดขึ้น..มันก็เกิดขึ้นได้ยาก พอมันเกิดขึ้นแล้วมันไม่ต่อเนื่องแล้ว..มันก็ต้องไปเริ่มต้นใหม่ กว่าจะมากรรมฐานก็ดี วันศีลวันอะไรก็ดีที่มีวาระที่โยมทั้งหลายได้มาประพฤติพรหมจรรย์ ได้มาปฏิบัติกุศลคุณงามความดี..มันก็ไม่ต่อเนื่อง
เมื่อมันไม่ต่อเนื่องแล้ว..อินทรีย์พละทั้ง ๕ นี้มันก็หย่อนยานไม่แข็งแรง เมื่อมันไม่แข็งแรงแล้วพอเราจะมาเจริญกรรมฐานทีนึง มันก็เหมือนมาทรมานกายสังขาร แต่เมื่อเรามีจิตใจที่ตั้งมั่นในความเพียร เคารพต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ครูบาอาจารย์ อาศัยเพื่อนร่วมพรหมจรรย์นี้เป็นกำลังใจ นี่ก็ยังเป็นอุบายแห่งธรรม
ถ้าเราอยากจะก้าวหน้าในการประพฤติปฏิบัติ ก็อย่างที่บอกก็ให้เพ่งพิจารณาดูใจของตน ว่าตนนั้นยังติดข้องในอารมณ์ใดอยู่ จิตที่ยังติดข้องอยู่ในอารมณ์ใดนั้นแลก็เหมือนสัตว์นั้นที่ไปติดบ่วงแร้วของแร้วของนายพราน ย่อมเป็นกับดัก ไม่พ้นจากกับดักของนายพรานไปได้
แต่เมื่อเรานั้นเห็นสภาวะอารมณ์ทั้งหลายนั้นเท่าทันได้ เราก็ย่อมเห็นกับดักได้ ไม่ต้องเป็นเหยื่อ ไม่ต้องมาทนทุกข์ทรมานเป็นทาสของอารมณ์นั้น เราก็จะพ้นจากกับดักบ่วงแร้วของนายพรานนั้นได้ จิตนี้ย่อมเป็นอิสระเกษม นี่แลเค้าเรียกเป็นผู้มีศีลอยู่ตลอดเวลาทั้งต่อหน้าและลับหลัง..
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
อึดใจพระพุทธ"
บางคนที่ประพฤติปฏิบัติธรรมอยู่ที่ไม่สามารถจะออกจากนิวรณ์ได้ ขอให้โยมจงจำไว้ ให้โยมระลึกถึงความตาย บางคนระลึกถึงความตายแล้วก็ยังไม่รู้ถึงความตายว่าหน้าตามันเป็นอย่างไร..ไม่ยาก ฉันมีวิธีบอกว่าหน้าตาแห่งพญามัจจุราชนั้น..หน้าตาเป็นอย่างไร มาตอนไหน
เมื่อโยมระลึกถึงความตายแล้วก็ยังจะช่วยโยมไม่ได้ สรรพสัตว์ในโลกนี้และสรรพสัตว์ในโลกไหนๆ เมื่อขาดสิ่งนี้ก็ไม่สามารถทนอยู่ได้ สิ่งนั้นก็คือ..ลมหายใจ เพราะมันเป็นของพญายมราช นั้นต้องทำอย่างไร หากมันมีความง่วงถึงที่สุด ให้โยมกำหนดลมอานาปานสติสุดท้าย หากจะมีอานิสงส์ให้เกิดขึ้นกับลมหายใจ..ให้ว่าพุทธัง ธัมมัง สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ แล้วอึดใจเข้าไป..นั่นแหล่ะเค้าเรียกว่า"อึดใจพระพุทธ"
บางคนไม่เคยรู้มาก่อนว่าอึดใจพระพุทธ อึดใจพระพุทธเป็นอย่างไร ก็เราระลึกถึงลมนั้นว่าพุทธัง สะระณัง คัจฉามิ..ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ..สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ แล้วกำหนดลมอานาปานสติเข้าไป..เอาให้สุดที่ลิ้นปี่ แล้วโยมกักลมไว้อย่างนั้น ดูซิว่าไอ้โทสะ ราคะ โมหะ วิจิกิจฉาทั้งหลายมันจะอยู่ได้มั้ย..
ถ้าว่าแล้วโยมไม่หัดลองไม่หัดฝึกอึดใจพระพุทธเป็นยังไง ลองทำตาม..ว่าให้เสียงดัง..ยกพนมมือ (ลูกศิษย์พนมมือ กำหนดลมเข้าพร้อมกล่าว : พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ..ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ..สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ) เอาให้สุด คิดว่าสุดแล้วจิตตั้งมั่นแล้ว สำรวมสติตั้งอยู่ในกาย แล้ววางเฉยในลมนั้น สุดใจที่เรานั้นจะกลั้นไว้ได้ ให้ระลึกถึงพุทธัง ธัมมัง สังฆังไว้
เรามีพระพุทธเป็นที่พึ่งเป็นสรณะ มีพระธรรมเป็นสรณะ มีพระสงฆ์เป็นสรณะ นี่คือหัวใจของพระรัตนตรัย และนี่คือหัวใจของพระพุทธ ลมหายใจของพระรัตนตรัย อึดใจพระพุทธ ถ้าลมที่มันยังเอาเข้าไปได้อีกก็เอาเข้าไปให้สุด โยมอย่าได้กลัวตาย ถ้าโยมกลัวโยมจะไม่เห็นความตาย ถ้าเราเชื่อมั่นในพระรัตนตรัยลมนั้นจะอยู่ได้นานเท่านานตามที่เราปรารถนา
เมื่อโยมเห็นลมนั้นเกิดขึ้นแล้ว..ตั้งอยู่..ดับไป เห็นความสภาวะไม่เที่ยงของลมหรือของกายก็ดี..นั้นนิโรธมันก็บังเกิด เพราะถ้าเรายังยึดกายอยู่ก็เป็นทุกข์อยู่ร่ำไป นิวรณ์ทั้งหลายก็จะครอบงำอยู่อย่างนี้ นี่แหล่ะคือสัจธรรมคือความจริงใจที่เราจะนอบน้อมเข้าถึงพระรัตนตรัย ความตายก็ดี..เราเป็นผู้กำหนด เพราะเราจะรู้ได้ว่าเราจะทนได้แค่ไหน ให้ทนให้ถึงที่สุด..สุดนั่นแลคืออึดใจพระพุทธ
เมื่อเราระลึกถึงพระพุทธัง พระธัมมัง พระสังฆังเข้าไปแล้ว แม้จะตายเราก็มีที่หมายที่ไปเป็นสรณะ ดูซิว่าความง่วง ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ ความอิจฉา ความอาฆาตนั้นที่จะไปพยาบาทใครในขณะนี้มันมีหรือไม่.. หรือว่าความตายหรือความอึดอัด ความทรมานที่อยู่เบื้องหน้านี้ มันหาว่ามีประมาณมิได้ที่เราจะเอาจิตนั้นส่งออกไปภายนอกได้อีก..นี่ก็เป็นจิตสุดท้าย
เราจะทำอย่างไรหากอาการสภาวะนี้มันเกิดขึ้น เมื่อเราจะต้องแตกสลายด้วยธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ที่ประชุมธาตุกันไม่ได้ ถ้าโยมข้ามในเวทนาได้รูปโยมก็ดับ โยมจะนั่งประพฤติปฏิบัติธรรมยังไง ในยามราตรีใดก็ได้ ถ้าไม่ไหวให้เอามือลง ถ้ายังไหวอยู่ให้พนมมือไว้ ไปกับพระพุทธเราต้องมีดอกบัว
นั้นจงจำไว้ก่อนที่เราจะขึ้นกรรมฐานให้เราอธิษฐานลมหายใจของพระพุทธ เมื่อเรานั้นมีนิวรณ์เข้ามาสิงสู่ ให้เราระลึกถึงหัวใจของพระพุทธ เพราะการระลึกถึงความตายเราไม่สามารถจับต้องได้ แต่เมื่อเราเข้าถึงสภาวะนี้ก็จะได้รู้ว่าความตายนั้นมันอยู่แค่ไหน มันอยู่ที่ลมหายใจที่เข้าแล้วไม่ออก ออกแล้วไม่เข้านั่นแล
เมื่อลมหายใจโยมขัดแล้ว ไม่มีอารมณ์ใดเลยที่มันจะเข้ามาในขณะนั้น จิตโยมก็ไม่มีความกังวลใดๆ มีอยู่อย่างเดียวจิตที่มันเห็นสภาวะที่ทนได้ยาก..นั่นคือทุกข์ อ้าว..เป็นยังไงบ้าง..ยังอยู่กันหรือเปล่าจ๊ะ แล้วเป็นยังไงบ้างจ๊ะ..อึดใจพระพุทธเป็นยังไง (ลูกศิษย์ : จิตตื่นครับ) เจอพระพุทธมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : เจอค่ะ) เจอพระธรรมมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : เจอค่ะ) เจอพระสงฆ์มั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : เจอค่ะ) ถูกต้องสุดท้ายไม่มีอะไร..ใครเอาอะไรไปได้เลย นอกจากจิตที่ระลึกถึงที่ยึดเหนี่ยวครั้งสุดท้าย
ให้โยมระลึกไว้ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ..ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ..สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ไม่ว่าลูกผัวลูกเมีย ใครอันเป็นที่รัก ในขณะจิตสุดท้าย..ไม่มีใครจะมาช่วยเราได้เลย เข้าใจมั้ยจ๊ะ มีแต่ ๓ อย่างนี้เท่านั้นที่โยมควรระลึกไว้ ทำให้เป็นอาจิณ ทำให้เป็นนิสัย นั่นหมายถึงระลึกถึงแบบนี้เมื่อโยมเจริญพระกรรมฐาน เข้าใจมั้ยจ๊ะ
จิตเราจะได้ไม่ต้องไปสนใจใคร นั่นก็หมายถึงเราต้องตัดกังวลทุกอย่าง เมื่อเราตัดกังวลแล้ว ไม่นัดหมายแล้ว ในเวลานี้กาลนี้เป็นเวลาที่เรานั้นจะเจริญจิตภาวนา ขอเอาลมหายใจสุดท้ายนี้ กายสังขารนี้ที่มีจากบิดารมารดา ปู่ย่าตายาย ทวดหญิงชาย ขอประพฤติปฏิบัติถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ดังนั้นทุกครั้งขอให้โยมอธิษฐานจิตเช่นนี้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
ดับที่ใจ
ความลับของพระยายมราช
ฉันจะเฉลยความลับของ"พญายมราช"ให้ฟัง ว่าทำไมเขารู้ว่าโยมไปทำกรรมไปทำบุญอะไรมา ไปทำเลวทำชั่วอะไรมา เขาไม่ได้มีอะไรเลย เขารู้ได้อย่างไร โยมบอกหน่อยสิจ๊ะ อ้าว!..ก็"ใจ"งัยจ๊ะ โยมน่ะโกหกอะไรก็ไม่ได้ ปกปิดอะไรก็ไม่ได้ เพราะว่าโยมปกปิดคนทั้งโลกแม้จะปกปิดดาวอื่นได้ แต่โยมปิดใจตัวเองไม่ได้ ถ้าโยมปิดใจตัวเองไม่ได้ แสดงว่าใจของโยมทั้งหลายทั้งปวงนี้มีประตูอีก ๑ ประตู ที่ยังมีคนเข้าไปดูใจโยมได้หรือดูข้อมูลได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ นี่แหล่ะจ้ะเขาถึงรู้หมดว่าโยมไปทำอะไรมา
เพราะหนึ่งมนุษย์นั้นหลอกตัวเองไม่ได้ มีคนเดียวอาการเดียวสภาวะเดียวที่หลอกตัวเองได้คือคนบ้า คนอื่นหลอกไม่ได้ เพราะว่าคนบ้านั้นเขามีสรณะของเขาเอง เขามีโลกของเขาเอง แต่โยมทั้งหลายยังยึดโลกใบนี้อยู่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ คนบ้าจึงไม่สนใจใครเพราะเขามีโลกของเขาใหม่แล้ว เขาหลุดโลกนั่นเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ หลุดจากแรงดึงดูดแรงเหวี่ยงแห่งอารมณ์ แห่งโลกธรรมทั้ง ๘ เขาจึงไม่สนใจว่าใครเขาว่าบ้าหรือดี แต่ประโยชน์ของคนบ้าก็มีนะจ๊ะ ถ้าคนดีๆเนี่ยใช้เป็นจักได้ประโยชน์มาก ดังนั้นถ้าโยมทำตัวบ้าบ้างก็ดี คนที่รู้ตัวว่าบ้าแต่มีสตินั้นเรียกว่าไม่ได้บ้า แต่ใช้ประโยชน์จากคนบ้าให้เป็นประโยชน์ แล้วโยมจักได้รู้ว่า ในโลกนี้คนบ้าจริงหรือไม่จริงมันเป็นอย่างไร
ดังนั้นโยมต้องรู้ไว้อย่างหนึ่งว่าใจของโยมนั้นแลมี"ช่องโหว่"พญามัจจุราชเขาจึงรู้ได้ เขาเอาใจโยมน่ะ..เมื่อลงไปแล้ว..เป็นจิตดวงวิญญาณ นี่เล่าถึงยมโลกนะจ๊ะ ว่าโยมกำลังจะตกลงไปในนรกแล้ว เมื่อเราลงไปแล้วเป็นดวงจิตวิญญาณ ตัวรู้กับเชื้อบุญเชื้อกรรมมันไปด้วยบุญกุศลนะจ๊ะ เมื่อมันไปด้วยบุญกุศลมันก็ไปด้วย ๒ อย่างนี้ ด้วยจิตนั้นพาไป ตอนแรกเมื่อเกิดเป็นกายสังขาร"ใจ"นั้นมันนำทางไม่ใช่จิตนำทาง แต่พอตายแล้ว"จิต"นำทาง เห็นมั้ยจ๊ะ ก็ตอนที่มีอยู่มีกายสังขารน่ะใจมันนำ เพราะใจเป็นประธานเพราะใจไปยึดในกายสังขาร แต่พอไม่มีกายสังขารแล้ว จิตไม่ต้องอาศัยอะไร จิตอาศัย"บุญกุศล"อย่างเดียว ตอนนี้จิตนำทาง เห็นมั้ยจ๊ะ ต่างกันมั้ยจ๊ะ
เมื่อนำทางแล้วตอนนี้มันต้องดูว่านำทางไปไหน ไอ้ใจเมื่อก่อนมันทำอะไรไว้ ถ้ามันทำดีมากจิตมันก็ดึงไป มันก็มีแรงดึงไปเพราะอะไรจ๊ะ"บุญมันหนุนไป" แต่ถ้าทำกรรมชั่วมากล่ะจ๊ะ จิตอยากไปเสวยดีคิดดีแต่กรรมมันทำไว้..มันไปไม่ได้หรอกจ๊ะ พอไปไม่ได้จิตตัวนี้มันเป็นยังไงจ๊ะ มันก็ต้องตกนรกหมกไหม้ ก็จิตสุดท้ายมันเศร้าหมองแล้ว ทำอย่างไรล่ะตอนนี้
จึงได้บอกว่าเมื่อมันไปถึงที่ที่เขาต้องรายงานตัว..ห้องบุญห้องบาปแล้ว อ้าว..ไปเข้าห้องบาปก่อนบุญค่อยเก็บไว้ก่อน ไปเข้าห้องบาป..ตัวบุญเขาไม่พูดถึงนะจ๊ะ เขาพูดถึงแต่ตัวบาปหนี้เก่าอย่างเดียวเลย อ้าว!มีแต่กรรมไปทำอะไรมามันก็ขึ้นกรรมหมด นี่เค้าเรียกว่าบัญชีเสีย ใช่มั้ยจ๊ะ เค้าเรียกว่าบัญชีเสีย เคยเรียนไหมจ๊ะบัญชีเสีย มันขึ้นมาหมด เห็นมั้ยจ๊ะ อ้าว..เสร็จแล้วไปเข้าห้องบุญต่อ บุญก็ขึ้นมาอย่างเดียวเลย นี่เค้าเรียกรายได้..กำไร เกิดเป็นคนแล้วทำดีเรียกว่ากำไร ใช่มั้ยจ๊ะ เกิดเป็นคนทำชั่วไอ้นั่นเรียกขาดทุน เรียกว่าเจ๊กขาดทุน อ้าว!เรามาดูต้นทุนบุญ ต้นทุนบุญน่ะทำบุญดีลิบเลย เห็นมั้ยจ๊ะยอดขึ้นไปดีเลยทีนี้ ก็ต้องดูแบบนั้น เห็นมั้ยจ๊ะ
ดังนั้นสิ่งที่โยมทำไว้มันไม่ได้ไปไหนเลย ทีนี้จิตน่ะเป็นผู้เรียกว่าเป็นผู้ต้องหา ก็รับฟังไปโดยดี เดี๋ยวเค้าจะประกาศผลว่าสิ่งที่ทำมามันเป็นอย่างไร แล้วก็ต้องยอมรับชะตากรรมอย่างนั้น ดังนั้นที่เขาให้โยมเกิดมานั้น เขาให้โยมมาแก้ตัวแก้ไข เข้าใจมั้ยจ๊ะ ให้มากอบโกย แต่มากอบโกยในบุญกุศลความดี แต่มนุษย์เมื่อลุ่มหลงแล้วมันก็จะกลับกัน กอบโกยกลับกัน เห็นมั้ยจ๊ะ อย่างที่ฉันบอก เมื่อโยมมีแต่ตัวมาไม่มีอะไรมา เกิดมาแม้กระทั่งเด็กน้อยยังต้องกำมือมาแสดงว่าโยมเกิดมาก็มีกรรมมาแล้ว แล้วทำไมโยมไปไม่เห็นกำเลยนี่จ๊ะ พอตายแล้วแบกันหมด เพราะรู้แล้วมันเอาอะไรไปไม่ได้ มันก็เลยต้องยึดไม่ได้ แม้อยากจะเอาไปก็เอาไปไม่ได้ แม้ฟันปลอมก็เอาไปไม่ได้ ใช่มั้ยจ๊ะ
จึงบอกว่าเมื่อตอนที่โยมเกิดมาแล้ว มีกายสังขารใจเป็นประธาน นั่นเรียกว่าโยมเป็นประธาน โยมเป็นห้างร้านบริษัทของตัวเอง มีสิทธิ์คุมบังเหียนตัวเอง แต่โยมไปเอาสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่ไม่ใช่สรณะมาเป็นที่ยึดหลักเป็นสรณะ นี่เขาเรียกว่าความโง่ความหลงความอวดดีถือดี ใช่มั้ยจ๊ะ นี่เรียกความขลาดเขลา ที่นี่เมื่อโยมเข้าใจแบบนี้แล้ว ให้โยมเลือกเสียใหม่ ที่คิดไม่ดีก็ให้คิดเสียใหม่ คิดปรามาสศีลก็คิดเสียใหม่นะ โยมต้องรู้แน่นอนว่าตายไปโยมต้องเจออย่างที่ฉันบอกแน่นอน เพราะฉันยกขึ้นมาให้เห็นว่ามันเป็นเช่นนี้ แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ โอกาสโยมยังมี
ถ้าโยมยังมีลมหายใจ เพียงลมหายใจเพียงขณะจิตเดียว ถ้าโยมระลึกได้ในเรื่องของกรรมดีกรรมชั่ว แห่งความไม่เที่ยง แห่งหลัก แห่งศาสนา แห่งทางเดิน แห่งมรรค เพียงโยมเข้าใจทางเดิน เข้าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ การเข้าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เข้าถึงอย่างไร โยมต้องมีศรัทธาเสียก่อน ถ้าโยมเข้าถึงบอกว่าเข้าถึง แต่โยมไม่มีศรัทธา นั้นไม่เรียกว่าถึง มันถึงแค่"ปาก" มันต้องถึงที่"ใจ" เพราะใจมันเป็นประธาน เขาส่งเอกสารไม่ถึงประธาน..ประธานไม่อ่าน..เป็นโมฆะมั้ยจ๊ะ ถูกแล้ว โมฆะ..มันเกาะเกี่ยวเป็นบุญไม่ได้ อย่ามาอ้างว่าฉันเคยศรัทธา นั่นเรียกว่ามุสา ไม่ถึงศีลด้วยซ้ำ เห็นมั้ยจ๊ะ พอไปถึงข้างล่างแล้วทุกอย่างเป็นธรรมหมด อ้างอะไรไม่ได้ เพราะการกระทำมันบ่งบอก ความจริงใจมันสู้การกระทำไม่ได้ จำเอาไว้
ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๙
สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
นิมิต
เมื่อเราจะประพฤติปฏิบัติธรรมพิจารณาธรรมอันใด..ให้วางทุกสรรพสิ่ง วางทุกตำรา ไม่ต้องไปพิจารณาอะไร ให้จิตมันนิ่งก่อนให้ดีซะก่อน แล้วจิตมันจะสอนตัวมันเอง คือละในกาย รูป เวทนา สัญญา สังขารเหล่านี้ ไม่ว่าธรรมใดๆอะไรน่ะ..หยุดการอธิบายเสียให้หมด จิตผู้นี้ตัวรู้มันจะบอกของมันเอง
เมื่อเราละอารมณ์ในรูป เวทนา สัญญา สังขารเหล่านี้ ให้รู้ว่าเหตุแห่งทุกข์มันเกิดจากที่ใด แม้ว่าเราจะรู้อริยสัจ ๔ แท้ที่จริงแล้วองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็ค้นพบอริยสัจ ๔ นี้ให้มันแจ้งในทุกข์ในธรรมทั้งปวง แล้วทำไมเล่าเราก็ค้นพบและก็รู้ว่าทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค อริยสัจ ๔ นี้มันเป็นมาอย่างไร แล้วทำไมโยมไม่นิพพานกันให้หมดถ้าอย่างนั้น ใช่มั้ยจ๊ะ เพราะโยมยังไม่รู้ชัด ยังไม่รู้โทษแห่งทุกข์แห่งภัย โยมยังติดในสุขอยู่
ผู้ใดยังข้องแวะในสุขในกามสุขอยู่ก็ดี แม้ชั่วขณะจิตหนึ่งนั้น..จะว่าจะพ้นภัยในวัฏฏะเป็นได้ยาก ฉันจึงบอกให้เพ่งโทษดูกาย ดูจิตนี้ ดูธรรมนั้นอยู่บ่อยๆ นั้นการจะเจริญภาวนาจิตให้ตั้งมั่นแล้ว เมื่อเจริญปัญญาแล้วไม่ต้องอธิบายอะไรทั้งสิ้น วางจิตให้ตั้งมั่นให้นิ่งสงบ รู้เท่าทันทุกสรรพสิ่ง การเคลื่อนไหวแห่งอาการอายตนะที่มากระทบมาสัมผัสเหล่านี้ ได้ยินก็รู้สักแต่ว่าได้ยิน เห็นเป็นนิมิตก็รู้ว่าเป็นนิมิต..ก็วาง ก็ให้รู้อยู่ในกายสังขาร อย่าไปรู้นอกกาย อย่าไปติดในนิมิต
นิมิตนั่นแลก็ไม่ต่างอะไรกับความฝัน เป็นความเลื่อนลอยจอมปลอมของมายาของจิตที่ปรุงแต่งจิตใต้สำนึก มันจะเกิดนิมิตได้ มันเกิดจากการปรุงแต่ง ความเคลิบเคลิ้มชั่วขณะหนึ่งที่จิตนั้นสติมันไม่ตั้งมั่น เข้าใจมั้ยจ๊ะ แม้มันจะเป็นนิมิตอะไรก็ตามไม่ควรเอามาเป็นอารมณ์เลย
เพราะนิมิตนั้นเมื่อเป็นนิมิตมากๆเข้าแล้ว มันก็จะเป็นภาพหลอนติดอยู่ใต้สำนึกของเรา ให้รู้อยู่แต่อาการ กำหนดรู้ใหม่ในกาย เรียกว่าดึงสติกลับมา สติมันมากับอะไร มันต้องมากับลมเข้าลมออก ลมเกิดลมตายของเรา คือลมหายใจ เรียกว่าอานาปานสติ เริ่มต้นใหม่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ไม่ได้ล้มเลิก
โยมยังไม่ได้ออกจากฌาน ยังไม่ได้ออกจากสมาธิ แต่เริ่มใหม่ เรียกว่ากำลังจิตมันอ่อน..เริ่มใหม่ ถ้ากำลังจิตมันอ่อนแล้วไอ้พวกนิมิตมันจะเข้ามา ถ้าจิตมันตั้งมั่นแล้วนิมิตมันจะไม่มีเลย เข้าใจมั้ยจ๊ะ จิตมันจะสว่างรู้ ตื่นรู้อยู่อย่างนั้น เบิกบาน เบิกบานนี่เค้าเรียกว่าพ้นจากโคลนตม คราวนี้เมื่อโคลนตมพ้นแล้วก็เจอพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านก็พิจารณาธรรม ท่านก็จะให้พระธรรมจากพระโอษฐ์
คราวนี้จิตมันก็มีกำลังเติบโตขึ้น เติบโตขึ้น พ้นน้ำเลยทีนี้ ต่อไปก็พึ่งพาตัวเองได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านพิจารณาดอกบัว ๔ เหล่าว่าจะให้ธรรมผู้ใดได้บ้าง นั้นธรรมนี้มันต้องมีบุญวาสนาต่อกัน ไม่งั้นก็ฟังธรรมกันไม่เข้าใจ บางคนฟังแค่สามคำบรรลุธรรมเลย แต่โยมทั้งหลายฟังมาไม่รู้กี่ปีแล้ว เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่นี้เค้าเรียกว่าเครื่องยนต์มันเก่าคร่ำครึ ดังนั้นกว่าจะโผล่มาแต่ละต่อแต่ละตม เห็นมั้ยจ๊ะ พอจะโผล่ผลุบอีก..แหม..
ดังนั้นแล้ว คราใดที่จิตเราเบิกบานแจ่มใสเค้าเรียกว่าพุทโธเบ่งบาน นั่นแหล่ะเค้าเรียกว่ากระแสพระนิพพานมันเบิกแล้ว โตขึ้นมาแล้วนั่นเอง ก็ให้โยมเจริญแบบนี้ อย่าไปหลงในนิมิตทั้งปวง ถ้าจิตเราเคลิบเคลิ้มหดหู่ใจ ให้กำหนดลมปราณขึ้นมาใหม่ กำหนดรู้อานาปานสติ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ทำอยู่อย่างนี้ เจริญปฐมฌานอยู่อย่างนี้ เจริญปฐม ปฐม ปฐมให้มากๆเข้า เดี๋ยวมันจะแตกเหล่าแตกกอขึ้นมาเอง..วิชชาน่ะ เจริญมากๆเข้าอวิชชามันจะดับหายไปเอง เค้าเรียกว่าจิตมันตื่นรู้สะสมมากๆเข้า มันตื่นรู้ ตื่นรู้ ตื่นรู้ ตื่นรู้ตลอด มันตื่นรู้ตลอด นี่คือทางแห่งความไม่ตาย โยมต้องเกิดตลอด เกิดตลอด เห็นมั้ยจ๊ะ พอเราเกิดตลอดเนี่ยะมันก็ไม่ตายแล้ว พอเราไม่ตายเราก็เกิดอย่างเดียว แต่ถ้าเราจะตายเราก็เริ่มดึงขึ้นมาใหม่ พอมันจะไปอเวจี..ดึงมันขึ้นมาอีก พอมันจะนอนในหลุม..ดึงมันขึ้นมาอีก มันจะมีจิตที่เข้มแข็งอยู่ดวงนึงที่จะออกจากวัฏฏะภัยนี้ออกไปได้ เหมือนเชื้อ ถ้าเชื้อแรงๆไปกันหมด เกิดไปหมด ถ้าเชื้อไม่แรงตาย โดนบีบคอตายหมด เอาจิตที่มันมีอยู่ตัวหนึ่งน่ะ..ดึงมันขึ้นมา จิตพุทธะน่ะดึงมันขึ้นมา
"จิตพุทธะ"คือจิตอะไร จิตที่ตื่นรู้ ตื่นรู้ว่าอะไร รู้ว่าการไม่เกิดมันต้องมี ทางแห่งทางพ้นทุกข์นี้มันต้องมี นี่เค้าเรียกจิตพุทธะ คือถ้าใครปรารถนาในทางนี้จะคิดแบบนี้หมด ดำริได้แบบนี้ก่อน ใครดำริได้แบบนี้..กระแสนิพพานชั้นต้นก็เกิดขึ้นแล้ว เพราะคนที่ไม่ดำริแบบนี้ไม่มีทางหรอกจ้ะที่จะพ้นทุกข์ได้ มันต้องมีดำริออกก่อน ดำริออกมาแล้วจะไปได้แค่ไหนค่อยว่ากันอีกทางหนึ่ง..
ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๖๑
ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
การเข้าถึงหัวใจของวิปัสสนาญาณ
การเจริญกรรมฐานให้เข้าถึง"หัวใจ"ของวิปัสสนาญานจะทำได้อย่างไร อันดับแรกโยมต้องมีศีลเสียก่อน อันว่าจะมีศีลได้..โยมต้องสำรวมกาย วาจา ใจให้ตั้งมั่น เมื่อใจตั้งมั่นสงบแล้ว..สมาธิก็บังเกิดเองโดยธรรมชาติ เมื่อสมาธิบังเกิดนั่นแลโยมก็เจริญภาวนาควบคู่กันไป ไม่นานจิตก็จะตั้งมั่น เมื่อจิตมันตั้งมั่นนั่นแลสมาธิมันก็บังเกิด..ฌานมันก็บังเกิด ปัญญามันก็บังเกิด เมื่อจิตที่เราสงบนั่นแล จิตเมื่อสงบแล้วให้กำหนดรู้ภายในกาย ในทุกข์ ในเวทนา ในขันธ์ ๕
อันว่าขันธ์ ๕ มันคืออะไร ขันธ์ ๕ ก็คือกองทุกข์
อันใดเล่าที่ว่าที่ทำให้เกิดทุกข์
ก็คือที่เรามีกายสังขาร คือรูปนี้ที่เราไปพอใจยึดติด
แต่มนุษย์ที่ยังข้ามสมมุติบัญญัติไม่ได้..นั่นก็คืออารมณ์
อารมณ์นั้นจะเกิดขึ้นได้อย่างไร อารมณ์มันเกิดจากความคิด
แล้วความคิดมันเกิดมาจากไหน ความคิดมันเกิดมาจากสัญญา
สัญญามันเกิดมาจากไหน สัญญามันเกิดมาจากขันธ์ ๕
คือมีรูปที่เราจดจำ มีความพอใจยึดมั่นถือมั่นตัวกูของกู
นี่เรียกว่าเมื่อเราคิด..อุปาทานขันธ์ก็บังเกิด
อันว่าอุปาทานขันธ์ที่มันเกิดก็คือที่เราไปยึด ไปพอใจ ไปปรุงแต่ง
จึงเรียกเกิดความคิด เมื่อความคิดเกิดขึ้นจะดีหรือไม่ดี จะสุขหรือทุกข์ก็ตาม ไม่นานมันก็จะแปรสภาวะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
นั่นเรียกว่าความทุกข์..คือความไม่เที่ยง อะไรคือความไม่เที่ยงนั่นแล..เรียกว่าความทุกข์ อะไรที่เรียกว่าความทุกข์..นั่นเรียกว่าอนิจจัง
อันว่าอนิจจังคือความไม่เที่ยงแท้แห่งกายสังขารนี้
คือมันเสื่อมอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าอารมณ์จะเกิดขึ้นดีหรือไม่ดีก็ตาม
ไม่นานมันก็จะแปรเปลี่ยน..จากสุขก็เป็นทุกข์ เมื่อเป็นทุกข์อีก
เมื่อเราพ้นทุกข์ได้อีก..สุขมันก็มา แล้วว่าอันว่าสุขและทุกข์นี้
มันก็คือตัวเดียวกัน ทำไมถึงเรียกว่าตัวเดียวกัน มันคืออารมณ์เดียวกันแต่ต่างสถานะ เมื่อตอนแรกเราพอใจเป็นสุขมั้ยจ๊ะ..เป็นสุข
พอเราเปลี่ยนจากพอใจแล้ว..ทุกข์บังเกิดคือความไม่พอใจ
ความคับแค้นใจ เรียกว่าเป็นทุกข์ทั้งนั้น สิ่งเหล่านี้เกิดจากขันธ์ ๕
เมื่อเกิดจากขันธ์ ๕ การจะดับนิโรธได้ เข้านิโรธสมาบัติที่จะไปข่มอารมณ์ให้มันดับได้ เราก็ต้องรู้เสียก่อนว่าอารมณ์มันเกิดมาจากไหน
ทำอย่างไรจะทำให้อารมณ์นี้มันดับได้ มันก็เรียกว่าต้องมีวิตกวิจาร
คือการเข้าปฐมฌานก่อน เข้าปฐมฌานคือบันไดขั้นแรกที่จะก้าวสู่สมาธิขั้นต้น เพื่อจะรักษาใจให้มันสงบ ระงับเวรจากภัยภายนอก นั้นเรียกว่าจะทำให้จิตฟุ้งซ่านรำคาญใจ การวิตกนี้ ถ้าอารมณ์วิตกเกิดขึ้นเราจะภาวนาไม่ได้ เมื่อวิตกอยู่อารมณ์ใดแล้วเราไปภาวนา..ยิ่งจะทำให้จิตนั้นฟุ้งซ่านรำคาญใจยิ่งขึ้นไปอีก
ดังนั้นเมื่อวิตกอารมณ์ใด มีอารมณ์ใดมากระทบ ให้เราพิจารณาอารมณ์นั้นให้ถึงที่สุดเสียก่อน แล้วมันจะวางอารมณ์นั้นได้ เค้าเรียกว่านิโรธมันก็จะดับอารมณ์นั้นลงไปเอง เมื่ออารมณ์นั้นมันดับแล้ว จิตเริ่มคลายจากความฟุ้งซ่านแล้ว ก็เรียกว่าให้มีองค์ภาวนาขึ้นมากำกับจิตว่าพุทธัง ธัมมัง สังฆังก็ดี พุทธัง สรณัง คัจฉามิก็ดี หรือสัมมา อรหังก็ดี หรือบทอักขระคาถาบทใดที่เราพอใจ สวดแล้ว ภาวนาแล้วถูกจริต ถูกใจ ทำให้จิตมันตั้งมั่นนั่นแลให้ภาวนาไป จนจิตนั้นมันอยู่ในอารมณ์ในพระคาถาก็ดี แนบสนิทกับลมหายใจแล้วก็ดี เค้าเรียกว่า..ฌานมันก็บังเกิด
แล้วฌานมันคืออะไร "ฌาน"เค้าเรียกว่าการเพ่งแห่งอารมณ์
ถ้าอารมณ์นั้นที่เราภาวนาอยู่เป็นพระคาถาก็ดี พระคาถานั้นก็เรียกว่ามันทำให้เกิดฌานได้ เป็นองค์บริกรรม
องค์บริกรรมมันคืออะไร ก็ทำให้กำลังนั้นมีสติอยู่กับจิตอยู่กับใจ ไม่พลัดพรากจากกันไปไหน จึงเรียกว่า"บริกรรม"
อันว่าบริกรรมคือการบริหารจิต เหมือนที่โยมได้บริหารร่างกาย ร่างกายโยมก็จะแข็งแรง การบริหารจิตหรือบริกรรมนี้ก็เรียกว่าเป็นการบริหารจิตให้มีกำลัง เมื่อจิตโยมมีกำลังเสียแล้ว จิตอันนี้มีอานุภาพมาก เมื่อจิตโยมมีกำลังโยมจะเอาจิตไปทำอะไรมันก็จักมีประโยชน์ แต่จิตถ้าโยมอ่อนแอซะแล้วนั้น โยมจะไม่สามารถเหนืออารมณ์ ข่มอารมณ์และรักษาอารมณ์ได้
แต่ว่าอันว่าจิตนี้มันมีการเกิดขึ้นแตกดับเร็วยิ่ง..ไวกว่าแสง แสงยังเดินทางไม่เท่าจิต จิตนี้มีความไวมาก ถ้าใครผู้ฝึกจิตดีแล้ว กำหนดจิตเป็นสิ่งการใด..ก็จะเป็นสิ่งนั้น เราจะฝึกจิตให้มันเกิดความคุ้นเคยจิตได้อย่างไร ก็เรียกต้องรู้จักฐานแห่งจิตเสียก่อน ฐานแห่งจิตมีอยู่ที่ใดบ้างในกายนี้ รู้จักสติปัฏฐาน ๔ มั้ยจ๊ะ
โยมเอาสติไว้ที่ใด..ก็นั่นเรียกว่าจิตโยมอยู่ที่นั่น อย่าให้จิตส่งไปภายนอก ในกายของโยมนั้นเรียกเป็นฐานของจิตทั้งนั้น ถ้าจิตออกไปภายนอกเสียแล้ว เรียกว่าจิตนั้นกำลังหลง โยมเอาจิตออกไปภายนอกมากเท่าไหร่ โยมก็เสียกำลังมากเท่านั้น ถ้าจิตโยมอยู่ภายในกายโยมได้นานแค่ไหนก็ตาม จิตโยมจะมีกำลังมากแค่นั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ
เพราะในกายนี้เป็นที่ให้จิตนี้..พลังงานนี้อยู่และบำเพ็ญจิตบำเพ็ญบารมีได้ ถ้าจิตนี้พลังงานตัวนี้..ถ้าอยู่นอกเหนือจากตรงนี้ไปแล้ว..มันจะทำให้จิตเสื่อม เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะมนุษย์ที่เกิดมามีสัญชาติญาณอยู่ว่ามีกระแสพุทธะอยู่ ดังนั้นการเกิดเป็นมนุษย์นั้นจึงสำคัญนัก แม้เทพเทวดาก็ยังบารมียังเท่ามนุษย์ไม่ได้ เพราะไม่ว่าจะเป็นการสร้างบารมีในการเกิดเป็นพระโพธิสัตว์เจ้าก็ดี เป็นอรหันต์ อนาคามี โสดาบันก็ดี หรือแม้แต่พระพุทธองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าองค์พระสัพพัญญูก็ตาม..ก็ยังต้องมาเกิดอยู่ในกายมนุษย์เหมือนกับโยม เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๑
ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
เปิดปัญญาพิจารณาธรรม
ฉันถามโยมว่าพิจารณาในกายสังขารว่ามันไม่เที่ยง..เป็นทุกข์น่ะ ปัญญามันบอกว่าอะไร ให้เห็นอะไร (ลูกศิษย์ : เห็นว่ามันเกิดแล้วก็ดับ) โยมเห็นว่ามันเกิดแล้วก็ดับ แต่โยมไม่เห็นว่าใครเป็นผู้ทำให้เกิดให้ดับ โยมก็ไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงได้ ใครเป็นผู้สร้างมันขึ้นมา ถ้าโยมไม่รู้ผู้สร้างโยมก็ทำลายมันไม่ได้ โยมต้องรู้ผู้สร้างก่อน ถ้าโยมพิจารณาธรรมให้เห็นตามสภาวะที่ฉันจะกล่าวดังต่อไปนี้ อะไรที่ร้อยรัดโยมอยู่มันก็หายไปเองหมด
โยมทนทุกข์เพราะอะไร ทำไมถึงทุกข์ โยมก็บอกว่าเพราะมีกาย อ่ะ..ก็รู้อยู่แล้วมีกาย ก็โยมดันเกิดขึ้นมาแล้วจะทำยังไง พอมันเกิดขึ้นมาแล้วมันมีตัวมีตนแล้วจะทำยังไง จะทำให้ไม่มีตัวไม่มีตนจะทำยังไง..มันทำไม่ได้ โยมจะหนีตัวตนได้รึยังไง ใช่มั้ยจ๊ะ อ้าว..โยมจะออกจากร่างกายสังขารนี้ ก็โยมยึดมาตลอดนี่จ๊ะ ใช่มั้ยจ๊ะ แล้วจะทำยังไง
ให้โยมพิจารณาซิ ไอ้ว่าเป็นทุกข์ ไอ้ว่าไม่เที่ยงของโยมมันเป็นยังไง ฉันเคยบอกว่าอะไรก็ตามที่ว่ามันไม่เที่ยงมันคือตัวทุกข์ใช่มั้ยจ๊ะ แล้วมันทุกข์แล้วทำยังไง ทุกข์มันอยู่ที่ไหน (ลูกศิษย์ : ที่ใจค่ะ) เหตุแห่งทุกข์อยู่ที่ไหน (ลูกศิษย์ : ใจ) อะไรที่เป็นสาเหตุแห่งทุกข์ (ลูกศิษย์ : ใจ) แล้วมันไปยึดอะไรไว้ (ลูกศิษย์ : ยึดกายไว้ค่ะ) อะไรเป็นผู้ยึดล่ะจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ใจ)
อ้อ..ถ้าว่า"ใจ"นั้นเป็นประธานแห่งกรรม ใจก็คือผู้สร้างภพสร้างชาติ ใช่มั้ยจ๊ะ ไอ้ผู้สมรู้ร่วมคิดน่ะก็คือกายสังขาร เพราะมันปรุงแต่งขึ้นมา มันจึงเรียกว่าสมรู้ร่วมคิดกัน แล้วโยมจะไม่ให้เกิดกายจะทำยังไง เพราะมันมี"สัญญา" คือความจำว่านี่ตัวกู กูชื่อไอ้นี่ไอ้นั่น ไอ้นั่นก็ของกู ใช่มั้ยจ๊ะ อ้าว..มันมีสัญญา นี้สัญญามันเป็นความจำมั่นหมาย เกิดการปรุงแต่งยึดมั่นถือมั่นเกิดมโนวิญญาณแห่งจิต ก็คือรูป เมื่อมีรูปแล้วมันก็มีเวทนาคือความรู้สึกแล้ว ใช่มั้ยจ๊ะ ทีนี้โยมจะไปทำลายมันยังไง
เมื่อโยมเกิดเวทนาแห่งจิตก็ดี แห่งกายสังขารก็ดี หรือใจที่โยมเป็นทุกข์ก็ดี ให้น้อมจิตนั้น กาย วาจา ใจให้มันสงบตั้งมั่น น้อมลงที่กายสังขาร น้อมลงที่จิต เอาจิตนี้..ไปดูกาย จะทำยังไงให้ทุกอย่าง..การที่โยมพิจารณาธรรมเมื่อจิตมันจะสงบ มันสงบตอนไหน ก็ต่อเมื่อโยมนั้นเห็นความไม่เที่ยง เห็นความสลดหดหู่ เมื่อโยมเห็นความสลดหดหู่แล้วเค้าเรียกจะเกิดการ"ปลงสังเวช"
สิ่งที่ฉันกล่าวมาทั้งหมดนี้ ให้โยมไปพิจารณาทั้งกายสังขารว่ามันเป็นของเสื่อม รู้จัก"เสื่อม"มั้ยจ๊ะ คำว่าเสื่อมตัวเดียว จิตโยมจะพิจารณาได้มากมาย เสื่อม..ทำให้มันเสื่อม พิจารณาให้เห็นว่ามันเป็นของเสื่อม อันว่าของเสื่อมมันเป็นยังไง คือมันไม่อยู่กับเรานาน พิจารณาเป็นของเสื่อม ของสลาย ของต้องแตกต้องพัง เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าโยมบอกว่าไม่เที่ยงเป็นทุกข์อยู่อย่างนั้น..ไม่ไปไหนแน่ เพราะว่าไอ้ความไม่เที่ยงน่ะมันก็ไม่แน่นอน ไม่คงที่ ไอ้ความไม่คงที่คือความเสื่อมสลายทั้งหมด พอเสื่อมสลายเมื่อไหร่นั่นแหล่ะจ้ะ..เวทนาก็ดีมันจะคลายออกทันที เพราะปัญญาเห็นว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เรายึดมานี้..เป็นของมายา เป็นของไม่จริง เข้าใจมั้ยจ๊ะ เป็นของหนัก เป็นของที่ตั้งอยู่แล้ว เมื่ออะไรที่เกิดขึ้นมาแล้ว รอวันเสื่อม รอวันสลาย รอวันแตกหัก รอวันพังพินาศ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
เฉกเช่นเดียวกับกายสังขาร เมื่อโยมเห็นสภาวะตามความเป็นจริงว่าทุกอย่างนั้นต้องแตกสลายต้องเสื่อมสลายไปก็ดี โยมจะเห็นความตายเกิดขึ้นเบื้องหน้าโยมทันที ขณะจิตใดขณะจิตหนึ่งโยมเห็นความตายที่แท้จริงที่จะเกิดขึ้นนั้นในภายภาคหน้าของตัวของโยมเอง ความเป็นอรหันต์จะบังเกิดขึ้น แต่ถ้าโยมระลึกถึงความตายโยมจะไม่ถึงในความตายนั้น ไอ้"ความตาย"ของฉันก็คือ..ความพลัดพรากก็ดี ความเสื่อมสลายไปสิ้นไป แตกสลายไป ความพลักพรากจากกัน ความดับสูญไป เค้าเรียกความตาย
ต้องพิจารณาว่าความตายมันคืออะไร โยมต้องเข้าถึงความหมายของมันซะก่อน ใช่มั้ยจ๊ะ เช่นเดียวกับที่โยมบอกว่าสิ่งทั้งหลายมันเป็นของไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ แต่โยมไม่รู้ว่าจะทำให้ทุกข์นั้นดับไปยังไง นั้นโยมต้องไปพิจารณาทุกข์ คือเวทนาที่เกิดขึ้นนั่นน่ะ จะเห็นว่ากายสังขารนี้มันมีแต่โทษมันมีแต่ทุกข์ นั้นเราจะควรต้องยึดมันอีกเหรอ..
แสดงว่าทุกข์นี้กายนี้มันไม่ใช่ของเราจริง มันบังคับบีฑาอะไรมันไม่ได้ แม้เราบำรุงบำเรอด้วยอาหารชั้นดีแล้ว มันก็ยังไม่คงที่ แสดงว่ามันอยู่เหนืออำนาจความควบคุมของเราแล้ว ใช่มั้ยจ๊ะ มันเป็นของพญามัจจุราช แสดงว่าพอถึงเวลาพญามัจจุราชก็จะต้องเอาคืนไป ใช่มั้ยจ๊ะ แสดงว่าของสิ่งนี้เรายืมเค้ามา ใช่มั้ยจ๊ะ แล้วอะไรที่เป็นของๆเราล่ะ ที่โยมจะเอาไปได้ บุญกับกุศลไงล่ะจ๊ะ กุศลกับอกุศลไงล่ะที่โยมจะเอาไปได้ อย่างอื่นโยมเอาไปไม่ได้ โยมจงสำเหนียกให้ดีอย่างอื่นโยมเอาอะไรไปไม่ได้เลย นอกจากความดี หรือเรียกว่าบุญและก็บาป กรรมดีและกรรมชั่ว เข้าใจมั้ยจ๊ะ นี้โยมต้องละถึงขนาดว่าให้เห็นแบบนี้ว่า..ไม่สามารถเอาอะไรไปได้เลย
นั้นสิ่งที่โยมมีจิตวิญญาณมีกายสังขารอยู่นี้ เรียกว่าโยมได้อาศัยกายสังขารนี้สร้างคุณงามความดี เมื่อโยมได้มีโอกาสเจริญพระกรรมฐานความเพียร เจริญวิปัสสนาญาณก็ดี สิ่งใดการหนึ่งก็ดีที่โยมได้มากระทำความดี ความดีคือบุญกุศลแล้ว โยมอย่าได้มีข้อแม้ใดๆ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๑
ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
จิตกับใจต่างกันอย่างไร
ลูกศิษย์ : หลวงปู่เจ้าคะ จะถามเรื่องใจกับจิตเจ้าค่ะ ให้หลวงปู่ช่วยอธิบายว่ามันต่างกันยังไง
หลวงปู่ : มันไม่ได้ต่างอะไรกันหรอกจ้ะ
โยมรู้สึก..ก็เป็นใจ โยมเข้าถึงความรู้สึก..ก็เป็นจิต มันต่างกันมั้ยจ๊ะ
มันต่างแค่อารมณ์มันเกิดขึ้นตอนไหน ดับไปตอนไหน สลายไปตอนไหน สงบตอนไหน วางตอนไหน เข้าใจมั้ยจ๊ะ ไหนลองพูดอย่างที่ฉันกล่าวหน่อยสิจ๊ะ
ลูกศิษย์ : คือในความคิดของหนู หนูคิดว่า..
หลวงปู่ : ก็โยมเอาความคิดมาคิดนี่จ๊ะ..มันก็เลยเป็นใจอยู่..ยังนึกอยู่ พอหยุดคิดแล้วมันก็เป็นจิต พอใจสงบก็เป็นจิตจ้ะ ถ้าใจไม่สงบก็เรียกว่าเป็นใจของเราอยู่
ลูกศิษย์ : อย่างนี้แสดงว่าใจเป็นพื้นของจิตเหรอคะ เป็นกิริยาของจิตใช่มั้ยคะ
หลวงปู่ : อย่าไปบอกว่าเป็นกิริยา มันเป็นของใครของมัน แต่เมื่อมันไม่เป็นอะไรเลยมันก็เป็นตัวอันเดียวกัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ เค้าเรียกว่าจิตมันเป็นหนึ่ง จิตและใจมันต้องตั้งมั่น เมื่อจิตและใจยังไม่ตั้งมั่นมันก็เป็นคนละตัวกัน เพราะใจมันยังไม่สงบ เมื่อใจเราไม่สงบนั้นจะหาความสงบหรือธรรมมันจะบังเกิดไม่ได้ หรือจิตนั้นก็ต้องฟุ้งเป็นธรรมดา เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ดังนั้นเค้าจึงบอกว่าต้องมีศีล มันถึงจะมีธรรม ถ้าเปรียบว่าจิตนั้นเป็นธรรมก็ได้ นั้นใจมันต้องมีศีลเสียก่อน มีความสงบกาย วาจา ใจ ตั้งมั่นในพระรัตนตรัยแล้ว..ธรรมมันก็จะบังเกิด จะเห็นดวงจิตก็เห็นดวงธรรมนั้นแล เข้าใจมั้ยจ๊ะ บุคคลใดใจนั้นยังว้าวุ่นรำคาญใจอยู่ จะประพฤติปฏิบัติจะไปพิจารณาธรรมอะไรนั้นมันก็ได้ยาก เข้าใจมั้ยจ๊ะ
นั้น ใจนั้นแลมันต้องมีศีลเป็นผู้กำกับเสียก่อน
จิตต้องมีสติเป็นผู้รักษา เข้าใจมั้ยจ๊ะ
โยมลองพิจารณาดูซิว่า จิตกับใจนี้มันต่างกันอย่างไร แสดงว่าจิตมันก็อยู่ของมันอยู่แล้ว ธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ก็มีอยู่แล้ว ใช่มั้ยจ๊ะ แต่ใจเรานี้ต่างหากที่เรานั้นยังขาดอยู่ พร่องอยู่ ยังไม่มีที่พึ่ง ยังไม่มีหลัก..เราต้องหากุศลก็ดี เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ถ้าเราถึงพร้อมด้วยกุศลแล้ว จิตนั้นมันจะไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลย มันจะไม่อยากได้อยากดีอะไร เข้าใจมั้ยจ๊ะ เหมือนพระองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าท่าน..ท่านมีแต่สุขแล้ว จึงไม่รู้ว่าสุขนั้นจริงหรือไม่ ก็ยังมีความเคลือบแคลงสงสัยในสุขนั้น ก็เลยไปเผชิญดูซิว่ามันใช่สุขจริงรึเปล่า ท่านก็เลยต้องไปตามหาความทุกข์ ใช่มั้ยจ๊ะ
แต่มนุษย์นี้มีแต่ความทุกข์ เลยอยากแสวงหาความสุข เพื่ออะไร..เพื่อเอามาดับทุกข์ โยมว่ามันใช่ทางที่ถูกมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : มันก็ไม่มีที่สิ้นสุด) นั่นแหล่ะจ้ะคือใจกับจิต เค้าเลยบอกว่าใจนี้มันเป็นทุกข์ จิตนี้เป็นสุข แล้วถ้าใจเป็นสุขเล่าจ๊ะ มันก็จะไม่แสวงหาอะไรอีก เค้าเรียกเกิดความพอใจ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๑
ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
คาถาสืบสร้างทางสวรรค์นิพพาน
การเจริญภาวนาจิตนี้เป็นการบ่มจิตให้จิตเกิดความร้อนภายใน ให้มันเกิดความสว่างภายใน คือโยมต้องเจริญมนต์เจริญภาวนา เพราะมันกำจัดอวิชชาหรือคุณลมคุณไสยทั้งปวงที่เรานั้นถูกถอดถอนมา ด้วยอำนาจเวรกรรมที่เราสร้างมา ด้วยการสาปแช่งก็ดี สิ่งเหล่านี้เรียกว่าคุณลมคุณไสยทั้งนั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ
คนที่ถูกสาปแช่งซะแล้วชีวิตหาความเจริญได้ยาก แต่ถ้าเราไม่เคยสาปแช่งใคร แต่ถ้าใครสาปแช่งมา..สิ่งนั้นย่อมเข้าตัวบุคคลนั้นไม่ได้ ย่อมไปทำลายพินาศกับบุคคลที่เป็นผู้ที่สาปแช่ง มันก็ไม่ต่างอะไรกับบุคคลที่มีไฟ ย่อมให้โทษกับบุคคลที่ถือ นั้นการภาวนานี้จะทำให้โยมนั้นจิตตื่นรู้ จิตสว่าง แม้โยมจะอยู่ในที่มืดก็ตาม
เมื่อใครมีองค์ภาวนาแล้ว ความกลัวก็ดี ความสะดุ้งผวา ขนลุกขนพองสยองเกล้าก็ดีนั้น..จักไม่มี ด้วยอำนาจการภาวนา ถ้าผู้ใดกลัวตกนรกให้ภาวนาว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ, ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ, สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ให้ภาวนาไว้ นรกจะไม่ต้องการโยม เพราะแม้ในขณะจิตสุดท้ายโยม แม้จะมีเวทนามาคืบคลานจิต มัดจิต ตราตรึงจิตในกายสังขาร..ว่าโยมเกิดเวทนาเพียงใดก็ตาม แต่อานุภาพที่โยมเคยภาวนาไว้จักมารวมตัวในจิตสุดท้าย จักให้ผลน้อมนำโยมนั้นพ้นจากนรกอเวจีหรือภัยพิบัติทั้งปวง..
แต่ถ้าโยมต้องการไปสวรรค์นิพพาน มันต้องมีคาถาสืบสร้างเสียก่อน รู้จักมั้ยจ๊ะ คาถาสืบสร้างสวรรค์นิพพานน่ะจ้ะ อ้าว..ใครรู้จักคาถาสืบสร้างทางสวรรค์นิพพานบ้างจ๊ะ (ลูกศิษย์ : พุทธะ พุทธา พุทเธ พุทโธ พุทธัง อะระหัง พุทโธ อิติปิโส ภะคะวา นะโม พุทธายะ) โยมต้องจำไว้นะจ๊ะ คราใดที่โยมออกเปล่งวาจาในคาถาใดก็ตาม..ต้องพนมมือ ถ้าว่าในใจไม่จำเป็นต้องพนมมือ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ดังนั้นไม่ว่าคาถาอันใดนั้นเราต้องนอบน้อม เพราะจักเป็นคุณและก็กลับเป็นโทษ ดังนั้นการภาวนานี้สำคัญนัก แม้องค์พระสัพพัญญู พระอรหันต์ขีณาสพทั้งหลาย..ก็จักภาวนา เพราะการภาวนานี้บอกได้ว่ามีคุณวิเศษอย่างไร แม้ภัยจะมาทั่วสารทิศ แต่ผู้ใดมีภาวนาอยู่..ภัยนั้นก็จักกล้ำกรายไม่ได้ ด้วยอานิสงส์อานุภาพแห่งการภาวนาจิตนี้ ย่อมตราตรึงไตรภพอยู่ถึงสามโลกธาตุ สามภพภูมิทั้งหลายทั้งปวง ดังนั้นการภาวนาจิตนี้เมื่อจิตรวมตัวกันแล้ว ด้วยอำนาจแห่งดิน น้ำ ไฟ ลม จิตย่อมตั้งมั่นในคุณงามความดีทั้งหลาย พระธรรมธาตุทั้งหลาย เทวดาทั้งหลายย่อมมาห้อมล้อมในขณะบุคคลผู้นั้นเจริญจิตอยู่..ย่อมมีอานุภาพมาก เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๖๐
ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
การพิจารณาให้เข้าถึงความตาย
ลูกศิษย์ : หลวงปู่บอกว่าเราจะข้ามทุกข์เวทนาได้ คือเราต้องยอมตาย ทีนี้อารมณ์ของการวางอารมณ์ยอมตายนี่เป็นอย่างไรครับ
หลวงปู่ : คนเราจะเห็นความตายที่แท้จริง..ต้องเห็นทุกข์ถึงที่สุดก่อน เราถึงจะระลึกถึงความตายและยอมมันได้ ถ้าเรายังสุขอยู่ เราจะไปเพลิดเพลิน เราจะเห็นโทษเห็นความตายเป็นไปไม่ได้หรอกจ้ะ มันก็ได้แค่ระลึกถึง
แต่ถ้าเราทนทุกข์เวทนามากเพียงใด เมื่อเรายอมมันแล้ว..ยอมยังไง ยอมอธิษฐานจิตปลงสังขารไปเลยว่า ร่างกายสังขารนี้มันมีแต่ทุกข์ เราจะไม่ตกเป็นกิเลสธาตุขันธ์ แล้วก็ลงสัจจะอธิษฐานบารมีลงไปว่า ถ้าร่างกายนี่เราจะต้องตาย ก็ขอตายไปพร้อมกับความเพียรความดีของเรานี้แล เราใส่อธิษฐานบารมีลงไป แล้วก็ปลงกายสังขารซะ
ปลงสังขารเป็นยังไง ปลงว่าสังขารนี้ไม่มีอะไรดีเลย เมื่อเราเห็นว่ากายสังขารไม่มีอะไรดีนี่แล เมื่อมันไม่มีอะไรดีแล้ว จิตมันก็คลายความยึดมั่นถือมั่น จิตมันก็หลุดออกจากกายทันที แล้วจิตมันหลุดจากกายแล้ว..จิตไปอยู่ไหน จิตมันไปอยู่สภาวะธรรมตัวรู้เกิดขึ้นมา..คือตัวปัญญา ตัววิมุติ
"วิมุติ"แปลว่าหลุดพ้นจากกาย เมื่อหลุดพ้นจากกายทีนี้เวทนาถูกดับลงไป เพราะรูปมันดับ เพราะเราไม่ยึดในรูปแล้ว ตัววิมุติมันจึงบังเกิด วิมุติแปลว่าหลุดพ้นออกมา หลุดพ้นจากกาย แต่จิตยังอาศัยสังขารแห่งธรรม คือตัวรู้ตัวปัญญาอยู่ ทรงรู้อยู่ ดูอาการที่เกิดขึ้น เห็นกายนั้นเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปนั้นแล เค้าเรียก"กายดับ" เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ดังนั้นจะพิจารณาให้เข้าถึงความตาย เรานั้นก็ต้องทนทุกข์ถึงที่สุดนั่นแล้ว เราถึงจะเอาความตายมาตัดอารมณ์นั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ นี้ความตายมันยังไม่เข้าถึงในเวทนาถึงที่สุด ให้เราพิจารณาอะไรบ้างที่ต้องตาย ก็คือเราต้องตายทุกวี่วัน อะไรที่มันเสื่อมมันไม่เที่ยงนั่นแหล่ะจ้ะ..พิจารณาเข้าไป สะสมนั่นเอง
เพราะทุกข์เวทนามันเกิดขึ้น ไม่ได้เกิดขึ้นที่กายอย่างเดียว แม้ใจก็ดี ความไม่สบายกายไม่สบายใจนี้แลเรียกว่าทุกข์ทั้งนั้น เวทนามันเกิดขึ้น ก็ดูซิว่าทุกวันนี้เรามีสุขจริงมั้ย ใจเรายังเป็นทุกข์อะไร ใจเรายังไปติดอะไรข้องแวะอะไรนั่นแหล่ะจ้ะ เค้าเรียกเวทนาทั้งนั้น พิจารณาให้มันถึง
เมื่อมันถึงแล้ว ถ้าเวทนามันเกิดขึ้นกับกาย ก็พิจารณากายลงไปอีก ที่มันเกิดขึ้น ให้เพ่งโทษดูกายว่ากายมันมีแต่ทุกข์ มีสุขน้อย มีทุกข์มาก..พิจารณาไป คือให้เบื่อให้ปลงให้ละ ให้เกิดธรรมสังเวชให้ได้
ธรรมสังเวชเป็นอย่างไร ธรรมสังเวชเมื่อระลึกแล้วคิดแล้ว เห็นแล้วดูแล้วมันทำให้เราปลงว่า โอ้..สุดท้ายมันก็มีอยู่แค่นี้เอง ชีวิตมีอะไรแค่นี้ คือทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ทุกอย่างมันเป็นของว่างแต่เราไปยึดไว้มันจึงไม่ว่าง คือวางปล่อยไม่ได้นั่นเอง มันก็เหมือนแบกหามในทุกข์นั้นไว้
เมื่อเรารู้เท่าทันทุกข์แล้ว เราก็จะคล่อยคลาย ละและวางมันไป จนจิตเราเบา กายเราเบานั้นแล เมื่อจิตเราเบากายเราเบาทีนี้เราก็มีกำลังใจ ปิติสุขมันก็บังเกิดขึ้น เอาไปพิจารณาธรรมอื่นขึ้นไปอีก ทำมันอยู่บ่อยๆแบบนี้ สลับไป ดูจิตไม่ได้ก็ดูกาย ดูกายไม่ได้ก็ดูจิต ดูไม่ได้ทั้งจิตทั้งกายให้วางเฉยอยู่อย่างนั้น ทรงอารมณ์ไว้ จนจิตมันตื่นรู้แล้ว ก็กำหนดรู้นั้นไปพิจารณากายเข้าไปอีก อยู่อย่างนี้ เรียกตัวสติปัฏฐานแห่งธรรมอยู่อย่างนี้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
ตามรอยกรรมฐาน ตอน 3
การที่เราเจริญพระคาถาชินบัญชรก็ดี สิ่งนั้นมันทำให้เราตั้งมั่นก็ดี แต่การที่เรามาเจริญสติอย่างนี้ ให้เรารู้เท่าทันในอารมณ์ โดยการเจริญวิปัสสนาญาณ ดังนั้นอาการของกายสังขารที่มันอ่อนล้าก็ดี เราต้องปลุกธาตุไฟเตโชให้มันตื่น การปลุกธาตุไฟเตโชนั้นปลุกอย่างไร คือเพ่งดูสภาวะอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นให้มันสงบจดจ่ออยู่ในกายอยู่ในจิต
คือวางลมอยู่ในฐานของกาย อยู่ที่เหนือสะดือก็ดี ที่ลิ้นปี่ก็ดี อยู่กลางกระหม่อมก็ดี กลางหน้าผากก็ดี ท้ายทอยก็ดี ที่ใดที่หนึ่งที่เราพอใจ ที่ถนัดที่ถูกจริตถูกวาสนาแล้วก็เพ่งดูมันไป แล้วก็ภาวนากำกับลงไป ดูไม่ยากถ้าสมาธิมันบังเกิด..หนึ่งลมหายใจมันจะดับ คือลมหายใจจะละเอียด สองเมื่อเราภาวนาพุทโธ ธัมโม สังโฆ หรือพุทธัง สะระณัง คัจฉามิ หรือองค์บริกรรมบทใดบทหนึ่งก็ดีแล้วมันขาดหายไปก็เช่นเดียวกัน นั่นก็เรียกว่ากายและจิตมันตั้งมั่นเป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตานั่นเอง
เท่ากับว่าเรานั้นได้เจริญฌาน..จตุตถฌานให้เกิดขึ้น จิตเรามันจะค่อยๆตื่นขึ้นมา จิตที่อยู่ในกำลังฌานที่มีความละเอียดของสมาธิของลมแล้ว มันจะไปปลุกธาตุไฟเตโชให้มันตื่นให้มันสว่าง นั่นก็เรียกว่าเกิดไฟเผาผลาญคือความเพียร ก็เอาความเพียรที่จิตเราตื่นรู้ขึ้นมานั้นแล เอาเข้าไปเผากิเลสอีก
การเข้าไปเผากิเลสเผาอย่างไร ก็กิเลสตอนนี้มันมีอะไรที่เกิดขึ้นบ้าง มีความหดหู่ ความเศร้าหมอง ความเคลิบเคลิ้มแห่งจิต เคลิบเคลิ้มในกายสังขารคือความพอใจในกามคุณ ในการหลับนอน หรือเรียกว่าตัวขี้เกียจทั้งหลายเหล่านี้..ต้องทำอย่างไร เราจะขับไล่อย่างไร
ขอให้โยมนั้นกำหนดลมหายใจให้สุด..แล้วกักลมไว้ที่ท้องน้อยก็ดี ที่ลิ้นปี่ก็ดี ที่เหนือสะดือก็ดี กักไว้จนเรานั้นรู้สึกว่าเรากักไว้ไม่ได้แล้ว ก็จะได้ธรรมะเกิดขึ้น ๑ ข้อว่า แม้ลมหายใจเราก็ไม่สามารถยึดไว้ได้ แต่ในขณะที่เรากำหนดเข้าไป เราลองทนให้มันถึงที่สุดซิ ดูซิว่าความตายมันจะดิ้นรนเป็นอย่างไร ดูซิว่ามันจะปลุกกระแสจิตวิญญาณให้เราตื่นได้หรือไม่ในความตายนี้
ดูซิว่าในความเพียรความอดทน ถ้าโยมทนมันได้ไม่เกิดกระอักกระอ่วน เมื่อลมหายใจนั้นมันเข้าไปแล้วเราไม่ยอมเอาออก มันจะเป็นอย่างไร ทีนี้ทวารที่มันมีอยู่มันก็จะออกตามทวารรูขุมขน ออกทางหู แต่เราจะไม่ให้ออกจากในจมูกนั่นเอง เอาลมเข้าไปให้สุด..เอาเข้าไปให้สุด จนไม่มีสุดแล้วนั่นเอง เอาเข้าไป
กายสังขารเราก็ผ่อน วางกายให้สบาย แต่ทำจิตให้ตั้งมั่น อย่าส่งจิตออกไปไหน วางเฉยต่ออารมณ์ที่เกิดขึ้น แล้วดูอาการของจิตที่ลมเข้าแล้วไม่ออกเป็นอย่างไร ดูซิว่ากิเลสมันจะตายมั้ย ไอ้ความง่วง ความหดหู่ ความเคลิบเคลิ้มใจมันจะอยู่ได้มั้ย ถ้าโยมไม่ช่วยเหลือตัวเอง ไม่ปลุกกระแสธาตุจิตของตัวเอง ก็ไม่รู้ว่าจะมีใครช่วยโยมได้ มันก็จะมาขี่คอเหนี่ยวรั้งอยู่อย่างนั้น
ฉันเคยบอกแล้วเมื่อสภาวะอารมณ์แบบนี้เกิดขึ้น ให้เรากำหนดรู้ กำหนดอานาปานสติ เพียงแค่เรากำหนดรู้ในอานาปานสติแล้วทำจิตให้มันสงบ จิตมันตั้งมั่นเพียงเล็กน้อยก็ดี ฌานมันเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยก็ดี ก็ตั้งจิตอธิษฐานแผ่บุญกุศลออกไป ให้กับสรรพสัตว์ดวงวิญญาณทั้งหลายทุกดวงจิตดวงวิญญาณที่เราเคยได้ล่วงเกิน ไม่ว่าจะอยู่ในภพภูมิใด ที่ผ่านมาแล้วเป็นอดีต หรือในปัจจุบันก็ดี ด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมอะไรทั้งหลายก็ดี
ขอเวรภัยพยาบาททั้งหลายจงอดโทษอาฆาตพยาบาท อย่าได้มีเวรภัย ขออำนาจแห่งพระรัตนตรัยจงเป็นกระแสนำทางดวงจิตเหล่านั้นให้พ้นจากภัยพาล อย่าได้เข้ามากล้ำกรายในขณะที่ข้าพเจ้านี้เจริญบุญเจริญกุศลอยู่เลย ก็ขอบุญกุศลที่เกิดขึ้นแล้วในขณะนี้จงสำเร็จแก่ทุกดวงจิตดวงวิญญาณ ขอให้ทุกดวงจิตดวงวิญญาณจงมาโมทนาสาธุ พึงได้ประโยชน์เหมือนที่เราจะได้ประโยชน์..ก็อธิษฐานไป
เอ้า..ค่อยๆถอนจิตถอนลมหายใจถอนออกจากสมาธิออกมา เมื่อเรากำหนดลมเข้าเราก็ต้องกำหนดตอนที่ออกมา เมื่อเราจะออกจากสมาธิ การจะรักษากายสังขารของขันธ์อันขาออกจากสมาธิ ก็คือการกำหนดลมปราณแล้วค่อยๆผ่อนลมหายใจคลายออกจากสมาธิ ทำความรู้สึกตัวให้ทั่วสังขาร เพื่อจะเป็นการรักษาธาตุขันธ์ อย่าออกอย่างกระทันหันโดยที่ไม่กำหนด
เพราะตอนที่เราทำสมาธิ เรากำหนดเข้าไป แล้วจะออกเราก็ต้องกำหนดออกมา หากไม่อย่างนั้นแล้วธาตุที่มันมาประชุมกันอยู่ มันจะมีการสั่นสะเทือน ทำให้กายสังขารของเรานั้นมีการเสื่อมได้ เมื่อจิตเรารู้สึกสบายแล้วให้โยมอธิษฐานจิต แผ่บุญกุศลให้กับสรรพสัตว์อีกสักครั้ง จะทำให้จิตเราได้ตื่นบ้างไม่มากก็น้อย
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
จิตที่ยังไม่ได้เข้าถึงกุศล..เค้าเรียกว่าจิตที่ยังไม่ตั้งมั่น จิตที่ยังไม่ตั้งมั่นนั่นแล จิตที่ขาดการอบรม จิตที่ขาดสติ เรียกว่าจิตที่ขาดหลัก นั้นที่เราจะรู้เอาหลักไปได้อย่างไรกำกับจิตไว้ ก็คือมีองค์ภาวนาว่า"พุทโธ" ขณะที่เรากำหนดพุทโธ มันต้องกำหนดลม คืออานาปานสติควบคู่เข้าไป เมื่อควบคู่เข้าไปนั้นแลเค้าเรียกว่าพุทโธจักมีจิตจักมีวิญญาณแห่งพระพุทธะ แห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า..จะเข้าไปหล่อหลอมจิตใหม่
ก็เอาจิตนี้แล เมื่อจิตเริ่มตื่นรู้ขึ้นมาบ้างแล้ว พอที่จะประคับประคองให้จิตเรานั้นพ้นจากขันธมาร ที่มันคอยสั่งคอยกักขังหน่วงเหนี่ยวเรามาหลายภพชาติเป็นเอนกชาติ คำว่าเอนกชาตินี้มันหาประมาณชาติไม่ได้ ก็เอาชาติในปัจจุบันที่เราเสวยอารมณ์นี้แลที่เรารู้ได้ เป็นที่ตั้งเป็นเบื้องบาทแห่งภพชาติต่อไป ที่จะรู้ได้ว่าชาติต่อไปจักมีอีกหรือไม่ หรือจักไม่มีอีกหรือไม่ ก็เอาปัจจุบันชาตินี้แลให้อธิษฐานจิตแผ่เมตตาให้กับจิตวิญญาณที่มาสิงสู่ ที่ยังมาแฝง ที่ยังมาครอบงำ ที่คอยมากัดกินพระไตรปิฎก ที่มาคอยกัดกินรากเหง้าของดอกบัวดอกกมลชาติ ที่ไม่ให้เกิดคุณงามความดี..
ก็อธิษฐานบุญกุศลนี้ให้เค้ามีทาง ให้อาศัยผลบุญกุศลที่ข้าพเจ้าเจริญกรรมฐานอยู่นี้ อย่าได้มาเบียดเบียนตามบีฑา ให้เป็นเวรเป็นกรรมกัน นั่นก็คือปู่ย่าตายายที่เค้านั้นยังไม่ไปผุดไปเกิด ก็เอาอาศัยบุญนี้แลช่วยเขา แสดงว่าเขายังอยู่ในขุมนรกอยู่ ดังนั้นแลจงช่วยเขามาด้วยอำนาจแห่งกรรมฐานนี้..
การจะฉุดช่วยขึ้นมา..ทำอย่างไร ให้ตั้งจิตให้มั่น มีศรัทธาต่อพระรัตนตรัยให้ถึง..ถึงยังไง ถึงลม ถึงลม..ทิ้งลม รู้ที่ตั้งของกองลม คืออยู่ในกาย รู้กาย จิตที่เรากำหนดรู้ในลมนั่นแลคือจิต อารมณ์ที่ผัสสะเข้ามาคือสัมปชัญญะที่รู้ได้ในกายสังขาร เชื่อว่าพระพุทธองค์ท่านอุบัติเกิดขึ้นมาจริง ธรรมคำสั่งสอนที่ท่านตรัสไว้นั้นสามารถทำให้เรานั้นพ้นทุกข์ได้จริง พระสงฆ์คือเนื้อนาบุญสามารถเป็นที่พึ่งที่อาศัยให้เรานั้นได้ประพฤติปฏิบัติ ได้อาศัยเข้าถึงความพ้นทุกข์ได้จริง..ให้เข้าถึง
อย่าได้มีความลังเลสงสัยในธรรม หรือพระสงฆ์ หรือในครูบาอาจารย์ใดๆ ให้ตัดทิ้งไปเสียให้หมด ให้มีแต่จิตที่เป็นกุศล มีแต่จิตที่ให้..คือให้อภัย ให้อโหสิกรรม อย่าได้มีจิตที่เศร้าหมอง เมื่อจิตที่ตั้งมั่นโดยบริสุทธิ์จิตนี้แลเรียกว่าจิตนั้นพ้นจากอาสวะกิเลสชั่วขณะหนึ่ง เมื่อจิตมันเข้าถึงพระรัตนตรัยนี้ เราสามารถอธิษฐานจิตนี้ให้กับบิดามารดาผู้มีคุณ ปู่ย่าตายายที่ยังไม่ไปผุดไปเกิด ก็เรียกว่าเค้ายังมีห่วง..
ก็ให้อธิษฐานว่า บุญกุศลที่ข้าพเจ้าที่เคยเป็นลูกเป็นหลาน เคยมีบุพกรรมกันมา เคยมีคุณอะไรก็ดี เคยมีเวรอาฆาตกันก็ดี เคยล่วงเกินใดๆก็ดี ในทางกาย ทางวาจา ทางจิตทางใจ ทางใดทางหนึ่งก็ดี ข้าพเจ้าผู้นี้ขออโหสิกรรม ขอบุญกุศลนี้จงอุปถัมภ์ค้ำชูให้ดวงจิตวิญญาณทั้งหลายให้เข้าถึงสุคติภพภูมิ มีสุคติเป็นที่ไป ขออำนาจแห่งพระรัตนตรัยจงเป็นแสงสว่างนำทางให้ดวงจิตที่ยังมืดบอดอยู่นี้ให้เห็นทาง ในทางพ้นทุกข์ และได้อาศัยพระธรรมก็ดี พระอริยสงฆ์ก็ดี อาศัยในบุญที่ข้าพเจ้าเจริญอยู่นี้ก็ดีเป็นที่พึ่งเป็นสรณะ เพื่อจะได้ไม่มีเวรพยาบาทต่อกันอีกต่อไปเลย
เมื่อเราปาวารณาอบรมปาวารณาอย่างนี้แล้ว จิตมันจะค่อยๆตื่นขึ้นมา นี่เรียกว่าจิตนั้นพ้นจากโคลนตมได้ จิตที่พ้นจากโคลนตมเป็นอย่างไรเล่า จิตที่พ้นจากโคลนตมแล้วเค้าเรียกว่าจิตเริ่มตื่นขึ้นมา มีตัวรู้เข้ามา จึงเรียกว่าจิตนี้เป็นจิตว่าง สัมมาสมาธิบังเกิด ในขณะที่เป็นขณิกสมาธิ..สมาธิที่มันเฉียดฌานอยู่ แต่เมื่อจิตนั้นมันพ้นจากโคลนตม จิตที่ว่ามีกำลังเกิดขึ้นมา ความหดหู่ความเศร้าหมอง ความอ่อนล้าทางกายก็ดี เริ่มผ่อนปรนลงไป จิตเริ่มมีกำลังเข้ามาอย่างนี้เข้ามาแทนที่ เค้าเรียกว่าอุปจารสมาธิมันก็บังเกิดขึ้น สมาธิที่มันมีกำลังตั้งมั่นเข้าถึงฌาน
แต่เมื่อมันเข้าถึงแล้วถ้าเราไม่รักษา เมื่ออะไรที่เกิดขึ้นแล้วของดวงจิต จิตที่ตั้งอยู่ จิตที่เกิดขึ้น มันก็ย่อมดับไปได้ของอารมณ์นั้น นั้นคำว่าฌานก็คือคำว่าชิน คือกำหนดรู้อยู่บ่อยๆ เมื่อมันตกภวังค์ไปก็ดี มีความลืมตัวของสติไปก็ดี ก็กำหนดรู้ที่กายขึ้นมาใหม่อยู่อย่างนี้ กำหนดรู้ในอกุศลที่เรานั้นไปล่วงเกินอะไรในผู้ใดก็ตาม หรือเราจะกำหนดกายนี้ให้เข้าถึงอสุภะก็ดี อย่างนี้เรียกว่าการเพ่งโทษก็ดี เพื่อให้จิตเรานั้นตื่นรู้ขึ้นมา
ตื่นรู้ว่าในขณะนี้เรามาทำอะไร เรามาสร้างบุญสร้างกุศล คือเจริญสติมีภาวนา เมื่อเรามีองค์ภาวนาอยู่ในจิต จิตจะอยู่ในอุเบกขาฌานคือการไม่สนใจอะไร นั้นหน้าที่ของเราก็คือรักษาองค์ภาวนาไว้ให้เป็นหนึ่ง องค์ภาวนาที่เป็นหนึ่งนี้แลเรียกว่าเอกัคคตา เอกัคคตานี้แลเรียกว่าธาตุทั้ง ๔ นั้นเสมอเหมือนเป็นหนึ่ง จึงเรียกว่าฌานก็ดี กำลังแห่งสมาธิก็ดี มันมีกำลังมากเรียกว่าอัปปมาณสมาธิ..
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
ฉันถึงบอกว่าเวลาใดๆที่เราทำสมาธิ อย่าได้ไปคาดหวังว่าสมาธิมันจะทรงตัวอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราคาดหวังอย่างนั้น..ความผิดหวังย่อมมี มันจะทำให้จิตเรานั้นมีกังวล นั้นก็ขอให้มีสติในเฉพาะหน้า คือกำหนดรู้ว่าอะไรที่เกิดขึ้น ต้องรู้ในสภาวะจิตของตน ว่าจิตของตนตอนนี้ในขณะนี้เป็นอย่างไร นั่นเรียกว่าอาการของจิต
เมื่อเรารู้อาการของมันแล้ว ก็ให้ทรงรู้อยู่ในอารมณ์นั้น จนเห็นอารมณ์นั้นเกิดขึ้นอยู่ ตั้งอยู่ และดับไปของอารมณ์นั้น เมื่อเห็นอย่างนี้ก็ทรงอารมณ์แห่งความสงบเข้าไปอีก ภาวนาเข้าไปอีก เมื่อมีอารมณ์เข้ามาอีกก็ให้กำหนดรู้อารมณ์นั้น ดูอารมณ์อาการนั้นที่เกิดขึ้น..ตั้งอยู่..ดับไป ทำให้มันเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ นั่นเรียกว่านิโรธมันก็บังเกิด คือดับอารมณ์ได้
ตัวดับอารมณ์นี้แล เมื่อไม่มีอารมณ์ให้เกิดขึ้น จิตจะเข้าถึงความว่างคือความสงบ ความนิ่ง นั่นก็เรียกว่าจิตมันจะรวมตัวเป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตา เมื่ออย่างนั้นแล้วเมื่อกำหนดรู้อย่างนี้ เมื่อรู้มากๆเข้ากำลังแห่งตัวรู้นี้ จิตมันจะค่อยๆตื่นของมันเอง เมื่อจิตมันตื่นแล้ว ก็จะเห็นอาการเกิดดับของจิตของอารมณ์ จึงเท่าทันในอารมณ์ที่เกิดขึ้น นั่นเรียกว่าจิตมันเบิกบาน
ก็เอาจิตที่ตื่นและเบิกบานนั้นเสวยอารมณ์แห่งปิติสุขเสีย พอมีกำลังแล้วเราก็ละสุขและปิตินั้น เมื่อมันละสุขและปิติก็มีอารมณ์แห่งฌานเป็นเบื้องบาท คือจิตเข้าอุเบกขาฌาน จิตมันก็ตั้งมั่นมีกำลัง ก็ลองกำหนด..เค้าเรียกปรารภธรรมเกิดขึ้น การปรารภธรรมก็เหมือนการสนทนาพิจารณาแห่งจิตแห่งธรรมเกิดขึ้นภายใน
พิจารณาธรรมที่เป็นอกุศลที่เรานั้นยังไม่ได้ตัด ยังละวางไม่ได้ พิจารณาธรรมสังเวชก็เพื่อให้มันน้อมจิตให้คลายความกำหนัด ความอยากได้ใคร่ดีที่เราไปหลงพอใจในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสนั่นแล นี่เรียกว่าเราจะได้เจริญญาณให้บังเกิด คือวิปัสสนาญาณ คือการพิจารณาธรรม คือละอารมณ์ ดับอารมณ์ในขันธ์ ๕
เพราะว่ากายเมื่อมันดับสงบดีแล้ว จึงเรียกว่ามารมันได้พักผ่อน แต่เราจะเอาจิตที่เป็นกุศล จึงเรียกว่าจิตพุทธะนั้น เรียกว่าจิตที่ตื่นรู้จึงเรียกว่าจิตพุทธะ ก็เอาจิตพุทธะนี่แลเพ่งดูจิตนั้น จนทำให้จิตนั้นสว่างตื่นรู้ เมื่อจิตมันสว่างตื่นรู้ จิตนั้นแลมันก็จะสอนในตัวของมันเอง
สอนอะไรได้บ้าง สอนให้รู้เหตุแห่งทุกข์ สอนให้เท่าทันทุกข์ สอนให้รู้เท่าทันทุกข์แล้ว มันก็ต้องทำให้จิตนั้นมันคลายจากความเบื่อหน่ายในทุกข์ แล้วอะไรเล่าที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ก็คือการเกิดแห่งภพชาติ ก็คือการที่เกิดมาแล้วมีกายสังขารนี้ จึงว่ามีทุกข์อย่างยิ่ง เราก็น้อมจิตเข้าไปละอารมณ์ในรูป ในความพอใจความไม่พอใจ ความถือดีถือตน ความยึดมั่นถือมั่นในจิต ในอัตภาพ ในขันธ์ ๕ นี้ ว่าเป็นตัวเราของเราอย่างนี้
แท้ที่จริงแล้วลองพิจารณาดูซิว่า อันว่ากายสังขารทั้งหลายที่มันดำรงอยู่นี้ เราจะรู้ได้อย่างไรที่แท้ว่ามันประกอบด้วยอะไร เรารู้ที่มาที่ไปของมันหรือยัง แท้ที่จริงแล้วมันก็สักแต่ว่าเป็นกายขึ้นมา ด้วยอำนาจแห่งธาตุดิน น้ำ ไฟ ลมประชุมธาตุ มีอากาศธาตุจิตวิญญาณธาตุประชุมจุติเข้าไป จึงทำให้เกิดกายสังขาร
เมื่อปราศจากธาตุทั้ง ๔ หรือว่าธาตุใดธาตุหนึ่งก็ตาม ร่างกายสังขารเรานั้นก็เปรียบเสมือนท่อนไม้ท่อนฟืน หาประโยชน์มิได้อีกต่อไป ก็ต่อเมื่อเรายังมีลมหายใจเข้าและออกอยู่ จึงว่ายังหาประโยชน์ในกายนี้ได้อยู่ ก็ให้กำหนดรู้ที่กาย ที่ลมหายใจ คือการเจริญสติปัฏฐานให้มันเกิดขึ้น คือดูกายในกาย ดูเวทนาในเวทนา ดูจิตในจิต ดูธรรมในธรรม ย้อนอยู่อย่างนี้
ดูกายคือดูอะไร คือดูลมหายใจ ดูซิว่ามันสงบมากน้อยเพียงใด ดูซิว่ากายมันระงับเป็นอย่างไร แล้วดูซิว่าอารมณ์ใดเกิดมาเราก็รู้..เอาอารมณ์นั้นมาเพ่งดู เฉกเช่นเดียวกับเวทนาคือความรู้สึก หากยังมีความรู้สึกอยู่ จึงเรียกว่าจิตนั้นอุปาทานแห่งขันธ์มันยังไม่ได้ดับ ยังไม่ได้ละ ยังไม่ได้วางในอารมณ์ ก็ให้เราภาวนาเข้าไปกำกับให้กระชับจิตให้มันแนบกับลมหายใจ
เมื่อมันแนบกับลมหายใจมันก็ดับไปอย่างนี้ นิโรธมันก็เกิดขึ้นอีกอยู่อย่างนี้ เราจึงบอกว่าถ้ากำลังจิตเรานี้สติเรานี้ยังไม่ตั้งมั่นมากพอที่จะดูที่จะพิจารณาธรรม ก็ให้เราดูกายดูลมหายใจสงบอารมณ์นี้ให้มันสงบ คือเจริญสมถะให้มันมาก การภาวนาจิตก็เป็นการเจริญสมถะอย่างหนึ่ง ให้รู้อยู่อย่างนี้ สลับสับเปลี่ยนกับการพิจารณาธรรม อยู่ในกาย ในเวทนา จิต ธรรม อยู่ในอย่างใดอย่างหนึ่ง ให้เรารู้อยู่ในกายอย่างนี้ แม้จิตจะมีความเคลิบเคลิ้มไปบ้าง ก็ให้กำหนดเข้ามาใหม่ที่ลม แล้วก็ภาวนาลงไป..
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
มนต์ของมาร
ศีลคือความสงบเป็นปรกติ ถ้าร่างกายโยม วาจาโยม ใจโยมยังคิดอยู่ นั่นเรียกว่าผิดปรกติทั้งนั้น ของเป็นปรกติต้องอยู่สงบนิ่งๆ ไม่หวั่นไหว แม้ลมมากระทบหรืออารมณ์มากระทบ ถ้ามันยังกระทบอยู่แสดงว่าเราไม่ปรกติ อินทรีย์ก็ดียังไม่แกร่งพอ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เมื่อมันอ่อนไม่แกร่งพอมันก็เป็นช่องทางให้มารนั้นเข้ามาแทรกได้ตลอด
จึงได้บอกว่าการภาวนาจิตนี้ปรับธาตุให้มันสมดุล แก้วิกลจริตได้ การสวดมนต์ภาวนาเป็นการชำระล้างมนต์ดำออกจากในกายในจิตของเรา และก็ถอนคำสาปได้ดี จึงเรียกว่ามนตรา
นั้นจึงได้บอกว่าในขณะที่โยมสาธยายมนต์อยู่ สวดมนต์อยู่ด้วยจิตที่เป็นสมาธิ เค้าจึงบอกว่ามีอานิสงส์มาก เมื่อมนต์มันเข้าตัวมากจะเกิดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เมื่อเราสวดอยู่บ่อยๆ อำนาจแห่งการที่เรามีสติศรัทธาในขณะที่เราสวดอยู่นั้น จะทำให้เราเกิดปัญญา รู้เห็นตามความเป็นจริงในบทสวดได้ จะเกิดธรรมนิมิตขึ้นมา คอยบอก คอยสอน คอยเตือนเรา นี่เค้าเรียกว่า"ปัญญาวิมุติ"ที่เกิดจากเราสาธยายมนต์..มนต์มันเข้าตัว
แต่ถ้าโยมสวดแล้วไม่สติ จิตมันไปคิดตรงนั้นตรงนี้..เรียกว่ามนต์มันออก พลังงานจิตโยมมันก็เสื่อม ในขณะที่มันออกนั้น ในขณะที่โยมจิตไม่เท่าทันในสติในขณะที่โยมสวดมนต์อยู่ มันก็เป็นการปลุกมารให้ตื่น มันก็เป็นมนต์ของมาร เห็นมั้ยจ๊ะ คาถาชินบัญชรสวดเป็นพุทธคุณก็สวดได้ สวดให้เป็นของมนต์มืด ของมนต์ดำมันก็ทำได้ มันอยู่ที่จิตคนสวด เข้าใจมั้ยจ๊ะ อยู่ที่จิตของคนสวด ไม่ได้อยู่ที่พระคาถา
เพราะว่าพระคาถานี้สวดแล้วมีจิตเข้าไปจดจ่อตั้งมั่นนั่นแล ถ้าจิตผู้นั้นเป็นกุศลมันก็เป็นพุทธมนต์ที่เป็นทางที่เป็นคุณ ถ้าจิตเราสวดแล้วจดจ่อมีอาฆาตพยาบาทมาดร้าย จิตนั้นมนต์นั้นก็เป็นไปในทางอาฆาตพยาบาท ดังนั้นขอให้โยมมีจิตที่ตั้งมั่น มีความศรัทธา มีเมตตา เข้าใจมั้ยจ๊ะ
สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
คาถาฝ่านิวรณ์
ศีลโยมจะตั้งมั่นมั่นคง จิตโยมจะสว่างไสว..ก็ต่อเมื่อโยมกำจัดนิวรณ์ทั้ง ๕ ได้ นี่คือ"ข้าศึกแห่งพรหมจรรย์" แล้วถ้าโยมทำลายกำแพงเหล่านี้ออกไปได้ จิตโยมจะเป็นอิสระต่อบ่วงมาร
อารมณ์แห่งกามราคะพอใจในสุขนี้ ถ้าเราดำริออกเสียได้จิตย่อมเป็นอิสระ ในความอาฆาตพยาบาทแห่งไฟโทสะเราต้องเจริญเมตตาจิต แผ่เมตตาอุทิศบุญกุศลออกไป..
ในความง่วงก็ดีสิ่งเหล่านี้ให้เรามีสติ อธิษฐานจิตลงไปว่าวันนี้ แค่ราตรีเดียว เรามีความสุขมาตั้งมากมายแล้ว วันนี้จะขอเจริญสติปัญญาภาวนาจิตเพื่อตอบแทนคุณบิดามารดา ผู้มีคุณทั้งหลาย บรรพชนวีรบุรุษผู้กล้าที่ให้เราได้อาศัยแผ่นดิน ได้สร้างกุศลบารมี
ความหดหู่เศร้าหมองใจทั้งหลายเหล่านี้ให้ระลึกเสียว่าไม่ควรคำนึง ไม่ว่าใครจะทำกรรมกับเรา เราก็ต้องให้อภัยทานเขาไป ให้ถือเสียว่าเป็นการชดใช้ อันใดก็ตามในกรรมทั้งปวง ถ้าเรานั้นไม่เคยล่วงละเมิดกับใคร เราจักไม่เจอการกระทำแบบนั้น แต่ถ้าเมื่อใดเราได้เจอการกระทำแบบนั้นที่ทำให้เราต้องเสียใจ เศร้าหมองใจ หดหู่ใจ รู้สึกน้อยใจเหล่านี้ ล้วนแล้วเรานั้นได้กระทำกรรมเหล่านี้มาทั้งนั้น หาว่ามันเกิดขึ้นมาลอยๆไม่ ดังนั้นต้องขออโหสิกรรม ขอขมากรรมให้อภัยทานเค้าไป แล้วมีความเชื่อมั่นตั้งมั่นในพระรัตนตรัย แล้วอธิษฐานบารมีลงไป หยิบยกบุญบารมีในอดีตที่เคยสะสมมา
ทำไมจึงต้องมาอ้างบารมี ในปัจจุบันโยมมาประพฤติปฏิบัติเจริญสติเจริญพระกรรมฐานนี้ได้ แสดงว่าในอดีตโยมก็เคยได้กระทำมา เป็นสิ่งที่โยมได้อธิษฐานเพื่อให้บุญกุศลในครั้งเก่าของโยมนั้นได้มาหนุนนำ เรียกว่า"เรียกกำลังใจ" เมื่อโยมทำกำลังใจดีแล้ว บารมีเก่ามันก็มาหนุนบวกกับบารมีใหม่ ย่อมนำพาให้โยมนั้นเจริญความเพียรได้นาน
เมื่อโยมทำลายกำแพงเหล่านี้ไปได้ จิตโยมนั้นจะ"ประภัสสร" นั่นเรียกว่า"ปิติสุข"ก็บังเกิด อันว่าปิติสุขบังเกิดนี้หมายถึงว่าโยมนั้นได้เข้าถึงในพระรัตนตรัย ความหดหู่เศร้าหมองใจนั้นมันจะถูกนิโรธดับลงไป อันนี้แลก็เรียกว่าโยมนั้นได้เจริญฌาน..คือเพ่งดูจิตมาเนิ่นนานแล้ว จนรู้อาการของจิต รู้อารมณ์ของใจที่เรานี้มีความตั้งมั่นหมายไว้ว่าต้องการอะไร นี่เรียกว่า"รู้ความปรารถนา"ของตัวเอง
เมื่อโยมรู้ความปรารถนาของตัวเองแล้ว โยมย่อมรู้ได้ว่าทางเดินนี้ที่โยมจะไปนั้นมีความน่าเชื่อศรัทธาแค่ไหน เมื่อโยมมีความเชื่อศรัทธาเข้าถึงในพระรัตนตรัย แสงสว่างแห่งดวงจิต ความสว่างของศีลก็ดีจะมาปกคลุมป้องกันภัย เมื่อศีลมาปกคลุมโยมจะรู้สึกมีความอบอุ่น ความกลัวหดหู่ใจ ความเศร้าหมองใจมันจะถูกทำลายออกไป
ดังนั้น เมื่อโยมจะออกรบปราบปรามข้าศึกกับกิเลสของตัวเองในไฟสามกอง หากโยมไม่มีเสื้อเกราะ หากโยมนั้นเอาแต่ตัวลำพังแต่ฝ่ายเดียวแล้ว ถามว่าความเร่าร้อนที่โยมต้องเจอ โยมจะทนกับมันได้หรือไม่ เราต้องมี"เสื้อเกราะ" เรียกว่าเสื้อกันภัย..ก็คือ"ศีล" "อาวุธ"ก็คือตัว"สติ" ถ้าโยมขาดสติเมื่อไรอาวุธอยู่ในมือของโยมมันก็จะหลุด เป็นการเปิดทางให้ศัตรูเข้ามาเล่นงานโยมได้ การเจริญพระกรรมฐานก็ดีหากไม่มีครูบาอาจารย์แล้วก็เป็นสิ่งที่น่ากลัวยิ่งนัก ดังนั้นจะทำอะไรแล้วขอให้มีความตั้งใจ ความตั้งใจนี้ครูบาอาจารย์ เทพเทวดาเค้าย่อมรู้จิตผู้ประพฤติปฏิบัติชอบได้...
สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
การเพ่งโทษในขันธ์ ๕ คือการละอารมณ์ ละให้มากที่สุด เพราะหัวใจของกรรมฐานคือการเพียรละ เมื่อละถึงที่สุดแล้วไม่มีอารมณ์แล้วจิตมันก็สงบ จิตมันก็ว่าง นั่นแลเรียกว่าเราเข้าถึงพุทโธ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน แต่เมื่อพุทโธเกิดขึ้นแล้วก็เอาพุทโธนั่นแลไปอบรมบ่มจิต ไปอบรมบ่มจิตไปอบรมที่ไหน..กาย กายานุสตินี้แลเราอบรมเรียนรู้มันให้มากๆ
เพราะที่เราไปหลงกายอยู่นี้ ไปหลงอะไร หลงหนัง..หนังเมื่อไม่มีห่อหุ้มกายแล้วจะเป็นอย่างไร ใต้ผิวหนังเรามีอะไร มีน้ำเลือดน้ำหนอง..ก็เพ่งพิจารณาดูธาตุ สีสันวรรณะ น้ำเลือดน้ำหนอง ก็ให้พิจารณาอย่างนี้ ถ้าเราพิจารณาได้อย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วเห็นสภาวะความไม่เที่ยงนั่นแล ก็เราให้พิจารณาให้เห็นอยู่บ่อยๆ จะทำให้จิตเรานั้นคลายจากความกำหนัด ความยึดมั่นถือมั่นในกาย แม้เรายังมีหลงรูปพอใจ มันก็เป็นธรรมดาในขณะจิตที่เรานั้นออกจากสมาธิออกจากฌานเสียแล้ว มันก็จึงเป็นวิสัยของมนุษย์ธรรมดา
แต่เมื่อในขณะจิตที่เราเจริญกรรมฐาน เราต้องน้อมจิตเพื่อเข้าถึงเพื่ออะไร..เพื่ออบรมบ่มจิต เรานั้นแล..เมื่อเราเห็นโทษเห็นภัยมันมากเข้าแล้ว มันจะละรูปละความพอใจของมันไปในตัวทีละเล็กทีละน้อย ดังนั้นไม่ต้องถามว่าการเจริญพระกรรมฐานนี้มันจะสิ้นสุดอย่างไร กิเลสมันจะดับสลายไปตอนไหน..ไม่ต้องไปถามหามัน มันจะทำให้อุปาทานในขันธ์เกิดขึ้น
แต่เมื่อเราทำอยู่บ่อยๆ ละอยู่บ่อยๆ ในขณะนี้ทำตอนนี้ นั่นแลมันจะเป็นผู้บอกเองว่าเราจะละได้มากเท่าไหร่ การเจริญกรรมฐานมีความก้าวหน้าอย่างไร จะรู้ได้อย่างไร ดูซิว่าโกรธมันลดลงมั้ย โลภมันลดลงมั้ย โมหะมันเหลือน้อยมั้ย ถ้าสามตัวนี้พิจารณาแล้วเพ่งดูแล้วด้วยจิตด้วยญาณมันน้อยลง ถ้ามันน้อยลงสติของเราจะควบคุมมันได้ แต่ถ้ามันมากเหมือนความเร็วของรถถ้ามันเร็วจนเกินไปเราจะควบคุมยาก ถ้าเราขับพอประมาณอยู่ในวิถีสติของเรากำลังของเราในความสามารถ เราก็จะบังคับบังเหียนมันได้ เท่าทันมันได้ในสตินั้น คือไม่ประมาท
นี่ก็เช่นกัน สิ่งที่เรามาเจริญกรรมฐาน บุญกุศลที่เรามีอยู่มันพัฒนาอย่างไร ถ้าสิ่งไหนลด..คุณธรรมภูมิธรรมเราก็เพิ่ม ถ้าสิ่งไหนมันเสื่อม..คุณธรรมภูมิธรรมเราก็ลด ก็ให้พิจารณาอย่างนี้ ไม่ต้องไปถามครูบาอาจารย์ที่ไหนว่าฉันนั้นสำเร็จขั้นไหนแล้ว ได้ภูมิธรรมอะไร ไม่ต้องไปถามหาขั้น เพราะบุคคลประพฤติปฏิบัติแล้วจะรู้ด้วยจิตของตัวเอง
หากโทสะ โมหะ โลภะ ไอ้พญามารสามตัวนี้ โยมสามารถควบคุมและลดมันลงไปได้ ถ้าเราสามารถลดมันได้ ควบคุมมันได้ ทีนี้แล้วเมื่อเรากำหนดรู้อยู่บ่อยๆมันก็เป็นประโยชน์ เราจะได้รู้ว่าทางเดินที่เราจะออกจากทุกข์นั้นมันอีกไกลแค่ไหน ความเพียรเราต้องมีมากแค่ไหน..
ดังนั้นทุกข์เวทนาเค้าไม่ได้ให้มาเป็นทุกข์ แต่เค้าให้รู้ทุกข์ ทีนี้โยมรู้ถึงที่สุดหรือยัง บางคนยังไม่รู้ถึงที่สุด พอเจ็บนิดก็ทนไม่ได้ เมื่อเรายังไม่มีการข่มเวทนาหรือข่มอารมณ์..นี่เรียกว่าการสะกดวิญญาณ ถ้าเราไม่รู้จักสะกดวิญญาณ อารมณ์มันจะพลุ่งพล่านอยู่ตลอดเวลา
ดังนั้นเวทนาเกิดขึ้นก็ดี ความไม่พอใจก็ดีเราต้องรู้จักข่มจิต คือข่มอารมณ์ ต้องทำใจให้ได้ก่อน..ว่าเราทำไปเพื่ออะไร เรากำลังทำอะไรอยู่ มันต้องรู้ใจตัวเองก่อนถึงจะไปรู้อารมณ์ แล้วถึงจะไปรู้สภาวะจิตได้ ถ้าเราไม่รู้จักข่มจิตข่มใจเสียเลย..หิริโอตัปปะมันไม่มีทางเกิดขึ้นได้แน่นอน เทวดาที่เป็นมิจฉาทิฏฐิมันไม่สามารถหนีจากเราไปได้แน่นอน มันก็จะเกาะบุญเกาะกุศล ทำให้เราหลงฤทธิ์หลงเดช หลงตัวหลงตน เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ดังนั้นเราต้องเปลี่ยนเทวดาที่อยู่กับเราเสียให้เป็นสัมมาทิฏฐิ ก็เปลี่ยนอะไรเล่าที่จะเป็นอย่างนั้น เปลี่ยนจากตัวเรา เปลี่ยนจากต้นกำเนิดตัวเรา ให้เรามีศีล ให้เรามีหิริโอตัปปะ ให้เรามีความเกรงกลัวต่อบาป
สิ่งไหนที่เรามีโอกาสที่จะทำชั่วได้โดยที่ไม่มีใครเห็นก็ตาม..แต่เราไม่ทำ นั่นแลเค้าเรียกว่าบารมี มีขันติธรรม นั้นก็ค่อยๆฝึกไปทีละเล็กละน้อยมันจะมากเอง ต้องอย่าลืมว่าทีละเล็กละน้อย..บุญที่ทำแล้ว กรรมชั่วก็ดีทำแล้วแม้เพียงเล็กน้อย..ไม่มีทางหายไปเลย ยังคงอยู่เป็นรอย เมื่อขีดไปแล้วจะว่าไม่เป็นรอยเป็นไปไม่มี เข้าใจมั้ยจ๊ะ
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
การมาเจริญกุศลธรรมเจริญพระกรรมฐานอย่าได้มีการต่อรองต่อครูบาอาจารย์ เพราะมันเป็นผลประโยชน์โดยแท้ของเราเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ เราต้องมีศรัทธา เอาศรัทธานั่นแลเป็นเงินตราเป็นตัวลงทุนเป็นเหตุปัจจัย การใดๆก็ตามแม้ว่าทางโลกหรือทางธรรมต้องมีต้นทุนคืออัฐเบี้ย เปรียบเหมือนอย่างนั้น..คือศรัทธา
สิ่งใดในโลกก็ดี..ในทางโลกก็ดี ทางธรรมก็ดี ในการงานใดๆก็ดี ถ้าขาดจากการมหาพิจารณาแล้วในความศรัทธาลงไป สิ่งการนั้นงานนั้นหามีความสำเร็จไม่ได้เลย การเจริญพระกรรมฐานฌานวิถีก็เช่นเดียวกัน..ต้องมีศรัทธา คือการปลูกศรัทธา ปลูกศรัทธา..ยังไงจึงเรียกว่าปลูกศรัทธา..
ต้องรู้จักทานเสียก่อน ทานคืออะไร ทานคือการให้ ในขณะที่เรานั่งอยู่บนวิหารนี้จะเอาเวลาที่ไหนไปให้ทาน บางคนก็บอกไม่ได้พกอัฐเบี้ยมาจะไปให้ได้อย่างไร ถ้าในทางพระพุทธศาสนาแล้ว..ทานที่แท้จริงคือการสละนั่นเอง สละอะไรถึงเรียกว่าเป็นทาน สละละอารมณ์แห่งโทสะ แห่งโมหะ แห่งโลภะ หรือเรียกโลภ โกรธ หลง
เมื่อเรามีความอาฆาตพยาบาทใคร..เราสละ เราให้อภัย คือให้อภัยทาน เมื่อให้แล้วเข้าถึงความสงบ ความเมตตามันก็บังเกิดขึ้น เค้าจึงบอกว่าบุคคลที่เจริญสมาธิได้ต้องมีศีล แล้วบุคคลที่จะมีศีลได้ต้องอาศัยพรหมวิหาร ๔ เป็นเบื้องบาทเป็นของคู่กัน เกื้อหนุนกัน เป็นกำลัง
อันว่าพรหมวิหาร ๔ มันต้องมีเมตตา กรุณา มุทิตา และมีอุเบกขา คือวางเฉยในอารมณ์ที่พอใจไม่พอใจได้นั่นแล ดังนั้นคำว่าทานในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างนี้คือสละละอารมณ์แห่งความพอใจ คือละสุข คำว่าละสุขนี้หมายถึงว่าเมื่อเรามีมากเราก็ให้อย่างนี้ เรียกว่าสุขคือการละ เช่นการละอารมณ์แห่งความโกรธเกลียดพยาบาท เมื่อเราทำได้ ไม่ผูกโกรธ ไม่อาฆาตไม่พยาบาทอย่างนี้ นั่นเรียกว่าเป็นการสละ เป็นอภัยทานเป็นทานชั้นสูง
แต่ก็ยังสู้การให้ธรรมทานยังไม่ได้ เพราะว่าสิ่งเหล่านี้เมื่อเราให้ไปแล้ว แม้จะให้ชีวิตกับสัตว์ ก็ยังไม่แน่ใจว่าสัตว์ตัวนั้นที่เราปล่อยไป จะเป็นปลาดุกก็ดีลงไปในคลองแล้ว ก็ไม่แน่ว่าอาจจะโดนตาสีตาสาจับขึ้นมาอีก มาเวียนว่ายตายเกิดในวัดในกะละมัง แล้วเราก็ไปปล่อยอีกอย่างนี้
แสดงว่าการให้ชีวิตก็ยังไม่ใช่ทานที่สูงสุด ใช่มั้ยจ๊ะ เพราะว่ามันอาจจะกลับมาอยู่ในกะละมังอีกก็ได้ ของแม่ค้าแม่ขายหรือในตลาดสดอย่างนี้ เห็นมั้ยจ๊ะ แต่การจะให้ชีวิตโดยตรงก็คือ เพชรฆาตจะลงมือฆ่าแล้วนั่นแล..แล้วให้ชีวิต ซื้อชีวิตมาได้นั้นแล นั่นมีอานิสงส์มาก เข้าใจมั้ยจ๊ะ เป็นการสะเดาะเคราะห์ต่อชีวิตต่อชะตาไปในตัว..อย่างนี้ควรทำ
ดังนั้นแล้วการให้คือเรียกว่าทาน..ต้องรู้จักก่อน ที่สุดแห่งทานคือธรรมทาน เพราะว่าธรรมทานนี้เมื่อให้กับบุคคลผู้ใดแล้ว เมื่อผู้ใดรับได้ในทานนั้นแห่งธรรมทาน..ย่อมเกิดปัญญา เมื่อเกิดปัญญาแล้วผู้นั้นเมื่อมีสติย่อมสามารถเอาตัวรอดได้ในภัยในทุกข์ได้นั้นแล เข้าใจมั้ยจ๊ะ จึงชื่อว่าธรรมทานนั้นเป็นเลิศกว่าทานทั้งปวงนั้นเอง
ดังนั้นการที่โยมจะหลุดพ้นได้ โยมต้องให้ทานตัวเองให้เกิดขึ้น คือให้อภัยทานให้ได้เสียก่อน ไม่ว่ากรรมอันใดที่เราทำมากรรมชั่วในอกุศล ในความลามก ในความชั่วในดวงจิตในดวงใจที่ผ่านมาแล้ว..ขอให้ลืมไปเสีย แม้มันยังจำแต่เราก็ต้องข่มอารมณ์ เอาอารมณ์แห่งกุศลนั้นแลมากดบังคับไว้ เพื่อจะสร้างกุศลให้เพิ่มขึ้นอีก เพื่อให้มันมีกำลังมาก
อย่าลืมว่ากุศลที่มีกำลังมากย่อมมีมากกว่าอกุศลถ้ามันจะส่งผล เข้าใจมั้ยจ๊ะ หรือว่าบุญมีกำลังมากกว่าบาปนั่นเอง ถ้าเราทำในปัจจุบัน ถ้ามันไม่มีกำลังมากจริง เราจะทำบุญ..บุญนั้นย่อมไม่สำเร็จได้ ให้พิจารณาอย่างนี้ ถ้าเราทำบุญอยู่แล้วบาปเข้าแทรกไม่ได้ แสดงว่าบุญมีกำลังมากกว่าบาป เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ยิ่งเรารักษากาย วาจาได้ตลอดเวลานั้นแล..คือสติ บาปแม้มันจะเกิดขึ้นมันก็ทรงตัวอยู่ไม่ได้ อุปมาตรงกันข้ามกันถ้าบาปมันมีกำลังมากเล่าจะเป็นอย่างไร..ก็ทำบุญได้ยาก พอจะสวดมนต์ก็สวดไม่จบ พอจะนั่งสมาธิภาวนา..ขันธมารก็มาเบียดเบียนบีฑา ดึงลาให้จิตกุศลเรานี้ตกทอนลง ไม่สามารถเข้าถึงกุศลในคุณงามความดีได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
กรรมฐานก็ดีเมื่อเราปฏิบัติลงมือทำมากๆแล้ว เราก็จะเกิดปัญญาพิจารณาธรรรม แม้ธรรมข้อเดียวก็ได้ปัญญาแตกต่างกันไป นั่นคือความละเอียดความสงบจากจิต จิตที่สงบตั้งมั่นแม้เราจะพิจารณาธรรม..ความละเอียดของปัญญามันก็ต่างกัน ซึ่งมันก็ต้องอาศัยการประพฤติปฏิบัติให้มากๆ การประพฤติปฏิบัติมากๆมันเป็นยังไง (ลูกศิษย์ : ละให้มากเจ้าค่ะ) ละอะไรได้บ้างมากๆ (ลูกศิษย์ : ละอารมณ์ ละโลภ โกรธ หลง)
เรามาเจริญกรรมฐานกัน อันดับแรกเราก็ตั้งจิตตั้งใจขอขมากรรมต่อพระรัตนตรัยเสียก่อน แล้วตั้งจิตอธิษฐานอุทิศกาย วาจา ใจที่เราได้ล่วงเกินคุณพระรัตนตรัย ในสิ่งการใดก็ตามที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ในการใดก็ดี ให้ตั้งจิตอธิษฐานขอขมากรรม สิ่งใดที่เราไม่รู้จะว่าผิดเลยก็ไม่ได้ จะว่าไม่ผิดเลยก็ไม่ได้..
สิ่งที่เราจะว่าผิดหรือถูกได้นั้นคือเราต้องถอนมานะทิฏฐิ การถือตัวถือตนคือการถือดี วางจิตให้สงบแล้วก็ละอารมณ์เหล่านั้นที่ขุ่นเคืองในจิต อารมณ์ทั้งหลายที่ผ่านมาแล้วมันก็เป็นอดีตไปแล้ว ให้เราตั้งใจเสียใหม่ ดังเช่นว่าคืนนี้เราตั้งใจมาเจริญพระกรรมฐานมาเจริญบุญเจริญกุศล เมื่อสิ่งการใดก็ดีที่ล่วงมาแล้ว..ไม่ว่าจะเป็นกรรมชั่วทางกาย ทางวาจา ใจก็ดี ที่นึกคิดล่วงเกินผู้ใด หรือแม้แต่ล่วงเกินในธรรมในครูบาอาจารย์ ในพระรัตนตรัยก็ดี
ขอบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้มาเจริญทาน ศีล ภาวนานี้ จงเป็นตบะเดชาให้ตัวของข้าพเจ้านั้นหลุดพ้นจากเวรพยาบาทเวรภัยทั้งหลาย ขอน้อมส่งบุญกุศลนี้จงสำเร็จประโยชน์ใหญ่ให้กับเวไนยสัตว์ ดวงจิตดวงวิญญาณทั้งหลาย แม้จะอยู่ในภพภูมิใดก็ตาม ขอให้เขาเหล่านั้นจงมาโมทนาในผลบุญของเราในขณะนี้
เพื่อช่วยเปิดทางเปิดแสงสว่าง เปิดจิตเปิดญาณให้เกิดให้มีแก่ข้าพเจ้า จะได้น้อมนำเจริญในความเพียร เจริญปัญญาให้เกิดขึ้น ให้เห็นตามความเป็นจริงแห่งธรรม ให้ปรากฏชัดคือตัวสติ ตัวระลึกรู้ได้ว่าในขณะนี้เรากำลังทำอะไรอยู่ ก็กำหนดรู้ที่จิตของเรา สภาวะจิตเราเป็นอย่างไร เมื่อสภาวะจิตเรารู้ก็เรียกว่าเรารู้สภาวธรรม
ก็เอาธรรมที่เกิดขึ้นในขณะนี้เพ่งดูในอารมณ์ในอาการนั้น จนธรรมก็ดีที่เห็นลึกซึ้งในอารมณ์นั้นของจิต เกิดขึ้นแล้ว ตั้งอยู่ แล้วดับไปของอารมณ์นั้น ก็ทำจิตให้มันว่าง วางอุเบกขาคือการวางเฉย คือไม่สนใจใดๆแล้วของอารมณ์ ไม่สนใจในกาย แต่แค่ทำความรู้สึกในกาย ทำความรู้สึกในลม เมื่อเรารู้ลมรู้กายแล้ว..เราก็วางลมไว้ในกาย แล้วก็ทรงจิตอยู่อย่างนั้น
รู้ความกระเพื่อมของจิตของอารมณ์ ที่เหนือสะดือ ศูนย์กลางกาย ใต้ท้องน้อยของเรา รู้ลมเข้าลมออกพองยุบอย่างนี้ ดูความสงบนิ่งของจิต ไอ้ความนิ่งนี้ที่มันสงบนี้ที่เราต้องทำให้มันสงบ..ก็เพื่อให้เราเห็นตัวที่มันยังไม่นิ่งมันเป็นอย่างไร ตัวจิตที่เป็นอกุศลมูล อารมณ์แห่งอดีต อารมณ์แห่งอนาคตที่จิตมันฟุ้งออกไป
ความหดหู่เศร้าหมองของจิต ความเคลิบเคลิ้มของจิต ความลังเลสงสัยใดๆ ก็ให้กำหนดรู้ในอารมณ์นั้น แล้วพิจารณาละมันลงไป นี่เรียกว่าวิตกวิจาร เมื่อเราวิตกวิจารละอารมณ์ได้เสียแล้ว ไม่นานปิติสุขมันก็บังเกิด เมื่ออาการปิติสุขมันบังเกิดนี้ มันจะทำให้จิตเราค่อยๆตื่นขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อย
นั้นการจะข้ามสภาวะนิวรณ์ที่มันเป็นข้าศึกแห่งสมาธิ บางครั้งมันก็ต้องต่อสู้กันยาวนาน เหตุเพราะการทรงศีลทรงสมาธิเราไม่สามารถทำได้อยู่ตลอดเวลา เมื่อเราจะกระทำจิตให้มันสงบมันก็เหมือนมาบังคับจิตนั้นแล ดังนั้นโดยธรรมชาติของจิตนั้นเราหาควรที่จะไปบังคับบีฑามันไม่ เราต้องมีอุบายแห่งธรรม ล่อหลอกให้จิตเรานั้นมีความเพลิดเพลินเสียก่อน
ความเพลิดเพลินจิตเป็นอย่างไร ก็คือมีอิทธิบาท ๔ คือมีความพอใจฉันทะในความเพียรในการที่เราจะประพฤติปฏิบัติในธรรม นั่นก็คือการอธิษฐานจิต ที่เราจะประพฤติปฏิบัติธรรมให้เกิดมรรคเกิดผล เพื่อให้รู้ถึงสภาวธรรมของเรา ในบุญบารมีของเราเอง
นั้นถ้าจิตก็ดีกายก็ดีมันอ่อนล้า ก็ขอให้เรานั้นกำหนดลมรู้อาการของอานาปานสติ..นี่จึงว่าเป็นกรรมฐานบทใหญ่ กรรมฐานคือการงานของจิต เป็นที่ตั้งมั่นของจิต ดังนั้นถ้าเราไม่กำหนดรู้..จิตมันก็จะเคลิบเคลิ้มอยู่อย่างนั้น เมื่อจิตมันเคลิบเคลิ้มเพลินอยู่ในสุข อยู่ในกามสุข พวกตัวนิวรณ์นี้มันก็จะมีกำลังมาก
เมื่อเราจะฝืนทำความเพียรมันก็เป็นการทรมานสังขาร เหตุอย่างนี้เรียกว่าทำให้สังขารมันเสื่อม ดังนั้นต้องทำอย่างไร ให้กำหนดรู้ลมเข้าลมออก ลมเข้าลมออกก็รู้ ทีนี้กำหนดลมเข้าให้สุด แล้ววางลมกักลมไว้ที่ลิ้นปี่ เราจะเอากำลังลมนี้ที่อยู่ภายใน เรียกว่าเดินกระแสลมปราณของจิต รู้สึกว่าตั้งมั่นมากจิตนั้น..ให้เพ่งไปที่ศูนย์กลางกายก็ดี ไปที่กลางกระหม่อม ทั่วสรรพางค์กายก็ดี เพื่อให้จิตมันเกิดสติสัมปชัญญะ จะรู้สึกว่าขนลุกขนพองขนชันเกิดขึ้นนั่นแล เรียกว่าปลุกธาตุให้มันตื่น ก็เรียกว่าปิติก็ดีมันก็บังเกิด
แล้วค่อยๆผ่อนลมหายใจ ทำความรู้สึกให้ทั่วตัวให้พร้อมในกายนี้ ผ่อนกายสังขารลงมาเหมือนเรานั่งแบบพักผ่อนกาย ไม่ต้องไปตึงไปเครียดอะไร ทำจิตให้มันสบาย ทำกายให้มันสบาย เมื่อกายมันก็สบายแล้ว จิตมันก็สบายแล้วเราก็จะมีความพอใจในการทำความเพียร..มีฉันทะ ไอ้ตัววิริยะนี้ก็คือขันติแห่งธรรม
ขันติคืออะไร คือความอดทนอดกลั้นต่ออารมณ์ต่อความขัดข้องใจ นั้นถ้าเรามีการอธิษฐานเข้ากรรมฐาน ปรารภปรารถนาอยากจะเจริญความเพียรให้บังเกิดขึ้น แม้จะมีความง่วงก็ดีเราก็สามารถประคับประคองมันได้..นั่นเรียกว่าเรารู้หน้าที่
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
ตามรอยกรรมฐาน ตอน 1
ประตูแห่งนิพพาน
กายนี้เป็นที่ตั้งแห่งนิพพาน ไม่ใช่เขาลูกใดลูกหนึ่ง เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่อยู่ในกายสังขารนี้ เมื่อโยมอ่านในกายนั้นออก..เท่ากับว่าโยมเจนจบในพระไตรปิฎก จะได้รู้ว่าพระองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกว่าอะไร ทุกอย่างเป็นทุกข์ ไม่เที่ยง เป็นอนัตตา ให้เข้าถึงในกฎไตรลักษณ์ ทุกอย่างเมื่อรู้ก็ควรวาง แม้ธรรมทั้งหลายทั้งปวงก็ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น การใดสภาวะใดที่โยมไปยึดนั่นแล..แม้เพียงแค่ขณะจิตเดียว..โยมก็เกิดทุกข์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นไม่ควรยึดเลย แต่ควรอาศัยเอามาเป็นประโยชน์ให้เข้าถึงในกิจที่ควรทำ
นั้นถ้าโยมมีกายสังขาร อันใดก็ตามถ้าเป็นประโยชน์ต่อจิตวิญญาณ ต่อส่วนรวม ต่อประเทศชาติ ต่อบ้านเมือง ต่อผู้มีคุณ..จึงควรทำ เพราะกายสังขารนี้แล เรียกว่าถูกหล่อหลอมขึ้นมา เค้าให้เรามาได้อาศัย แสดงว่าเราที่ได้มาหล่อหลอมนี้..คำว่ายืมเค้ามาคือเช่า เข้าใจมั้ยจ๊ะ คำว่าเช่า..โยมต้องจ่ายค่าเช่า ยืมมาจากบิดามารดา บิดายืมมาจากใคร (ลูกศิษย์ : บรรพบุรุษ) ก็เช่ามา มาเนิ่นนานจนเป็นกรรมสิทธิ์ตกทอดให้โยม นั้นโยมต้องรักษาไว้ ใช่มั้ยจ๊ะ
แล้วกายนี้มันมีกายซ้ำ กายซ้อน กายทิพย์ กายพรหม กายเทวดา กายมาร กายอสุรกาย มีตั้งหลายกายซ้อนกันอยู่อย่างนี้ ใช่มั้ยจ๊ะ เราต้องแยกให้ออกว่าเรานั้นจะไปอาศัยกายไหน กายจริงเราอยู่ไหน เราจะไปไหน โยมต้องเลือกเอา ใช่มั้ยจ๊ะ
ถ้าโยมอยากจะไปนิพพานนั้นต้องไม่มีกาย เพราะเอากายไปไม่ได้นิพพาน..คือ ตัวตนถ้ายังมีอยู่ไปนิพพานไม่ได้..คับประตูนิพพาน
ประตูนิพพาน..ประตูน่ะเล็กมาก แต่ถ้าเข้าไปได้..ไม่มีอาณาเขต ไม่มีประมาณ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ต้องไปด้วยจิตวิญญาณ แต่ถ้ามีจิตวิญญาณอยู่แล้วไม่ดับจิตวิญญาณ..ก็ไปไม่ได้ คือไม่ต้องยึดอะไรเลยเมื่อถึง เข้าใจมั้ยจ๊ะ คงสภาวะรู้ก็ให้รู้อย่างนั้น คือถ้าโยมรู้หมดแล้วโยมจะสิ้นสงสัย ตัวรู้จะเป็นตัวรู้เรียกว่าธรรมบริสุทธิ์..นั่นแหล่ะจ้ะนิพพานก็บังเกิดที่นั่น
เมื่อโยมละอารมณ์ ดับโมหะ โทสะ โลภะได้..นิพพานมันเกิดที่นั่นทันที..ดับที่ใจ เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั่นแหล่ะจ้ะนั่นคือนิพพาน แต่ถามว่ารสชาติของนิพพานเป็นอย่างไร โยมมีสุขอะไรเล่าที่ว่าเป็นสุขที่สุด รสนิพพานก็มีรสชาติเป็นอย่างนั้น อยู่ที่เรานั้นพอใจจะให้เป็นอย่างไร
นั้นฉันถึงได้ถามว่าโยมจะเอาอะไรไปวัดได้บ้าง คือปรอทวัดไข้ โยมมีความร้อนเพียงใด..โยมก็มีไข้สูง โยมก็ต้องกินยาที่เค้ามีปฏิกิริยา คือต้องมียาที่แรงพอสมควร ดังนั้นก็ขอให้โยมมีความเชื่อมั่นศรัทธาในพระรัตนตรัย ศรัทธาอย่างเดียวไม่ได้ เชื่ออย่างเดียวเลยก็ไม่ได้ โยมต้องลงมือปฏิบัติด้วย ใช่มั้ยจ๊ะ
ครูให้การบ้าน ครูเค้าสอนแล้ว โยมไม่น้อมนำเอาไปปฏิบัติ โยมจะรู้ได้ยังไงสิ่งที่เค้าสอนมา โยมเข้าใจที่แท้จริง ใช่มั้ยจ๊ะ ดังนั้นเค้าเรียกว่าโยมยังไม่ได้เรียนจริง จบมาก็ทำอะไรไม่ได้ ใช่มั้ยจ๊ะ เพราะโยมทำอะไรไม่ได้..เพราะไม่ได้ทำด้วยตนเองเลย ลอกเค้าอย่างเดียว หันไปข้างๆเห็นเค้านั่งสมาธิก็นั่งมั่ง ไม่รู้ว่านั่งแล้วภายในมันทำอะไรบ้าง เข้าใจมั้ยจ๊ะ
นั่งสมาธิไม่ได้นังหลับตาอย่างเดียวนะจ๊ะ นั่งสมาธิแล้วในจิตในใจมันสับสนวุ่นวาย ก็ลืมตาออกมาให้เห็นความเป็นจริง ให้เห็นว่าเรานั่งจริงๆ แล้วก็เพ่งดูวิตกดูอารมณ์นั้นน่ะ เดี๋ยวมันก็ดับ เมื่อมันสงบเราก็ค่อยน้อมจิตเข้าไปใหม่ เข้าออกอยู่บ่อยๆ นี้เค้าเรียกว่าเข้าออกฌาน แต่ถ้าเรานั่งแล้วมันสงบ แล้วมันสงบได้ไม่นาน ก็หาอุบายให้จิตนั้นแลมันมีหลักยึด ไม่ให้อารมณ์ของจิตนั้นมันส่ายเซไปไหน คือมีองค์ภาวนาว่าพุทโธก็ดี ธัมโมก็ดี สังโฆก็ดี พุทธัง สรณัง คัจฉามิก็ดี หรือภาวนาคาถาบทใดก็ดี ให้จิตมันยึดเป็นอารมณ์
จิตที่ตั้งมั่นยึดเหนี่ยวเป็นอารมณ์ วิตกเป็นอารมณ์
เค้าเรียกว่าการเจริญฌาน เพ่งฌานให้บังเกิด
เมื่อจิตมีกำลังยกจิตขึ้นมากลางหน้าผาก โดยธรรมชาติของจิต
สภาวะจิตของธรรมนี้ นี่เค้าเรียกประตูปัญญาจะบังเกิด..รู้อยู่ตรงนี้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ นี่แหล่ะจ้ะที่เค้าเรียกประตูมิติ ประตูที่สามเค้าจะเปิด
บางคนบอกว่าถ้าไปเพ่งตรงนี้แล้วจะทำให้เกิดมโนยิทธิอย่างนั้นอย่างนี้..อันนี้ไม่จริง เพราะอยู่ที่ว่าโยมนั้นจะน้อมนำสิ่งนี้ไปทำอะไร..คือตัวปัญญา เมื่อเกิดปัญญาแล้วก็น้อมนำเอาย้อนกลับมาดูในกายตนต่างหาก ไม่ใช่ว่าเอาจิตตนไปภายนอกว่าอยากรู้อยากเห็นอันใด ถ้ามันอยากรู้อยากเห็นอันใดก็รู้ได้ แต่ก็ต้องวางรู้นั้น
ที่ควรรู้จริงคือในกายสังขาร..เรารู้จริงเพียงใด เรา"ละอารมณ์"ได้มากเพียงใด นิพพานโยม..ระยะทางที่โยมจะไปก็สั้นเพียงนั้น นั่นคือจงทำนิโรธให้บังเกิดมากๆ นิโรธคืออะไร นิโรธคือการดับทุกข์ ดับทุกข์คือยังไง เรียกว่าจิตเห็นจิต เห็นอารมณ์ความไม่เที่ยง นั่นแหล่ะจ้ะ เห็นอยู่บ่อยๆนิโรธมันก็บังเกิด หากว่าจิตเห็นความเบื่อหน่าย เห็นโทษภัยในวัฏฏะ นั่นแหล่ะจ้ะ..มรรคคือทางออกที่ต้องทำให้แจ้ง เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๑
ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
คำทำนายกึ่งพุทธกาล
การกำเนิดเกิดเมืองแห่งศิวิไลซ์ก็ดี จงจำไว้อีกไม่นานภัยพิบัตินั้นกำลังถาโถมเข้ามา ดังนั้นบุคคลใดยังไม่มั่นในทาน ศีล ภาวนา..ขอให้มั่นซะ นั่นก็เรียกว่าให้เจริญภาวนาจิตให้แนบสนิทกับลมหายใจเมื่อระลึกได้ก็ดี เมื่อนั้นบุคคลผู้นั้นจะอยู่รอดปลอดภัย หรือถ้ารอดมาแล้วก็ยังมีสติสมประกอบอยู่
ดังนั้นขอให้โยมเชื่อว่า กรรมเมื่อให้ผลแล้วมันจะยังให้ผู้นั้นแลที่ได้สร้างกรรมไว้ในอดีตต้องชดใช้ กงล้อแห่งธรรมนี้..กงธรรมจักรนี้ได้เดินเข้ามาสู่..กำลังเข้าสู่หายนะ นั่นหมายถึงว่าอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นมาแล้ว..ตั้งอยู่แล้ว..ย่อมมีแต่วันเสื่อม นั่นก็หมายถึงว่ามนุษย์กำลังเสื่อมด้วยศีลด้วยธรรม เมื่อคราใดมนุษย์นั้นเสื่อมด้วยศีลด้วยธรรม เมื่อผู้ทรงศีลไม่ตั้งมั่นในศีลแล้ว คุณธรรมทั้งหลายก็เสื่อมลง เมื่อมีความเสื่อมลงเป็นไปในตามธรรมและศีล ก็เรียกว่ามีการถูก"เหลื่อมล้ำ"
การว่าถูกเหลื่อมล้ำหรือถูกกระทบมันก็จะบังเกิดขึ้น กงล้อของศีลเมื่อมันเสื่อมแล้ว เรียกว่ากำแพงศีลมันเสื่อม เมื่อกำแพงศีลมันเสื่อมก็ขอให้จงจำเอาไว้ ภัยก็ดีที่จะเกิดขึ้นมันก็ย่อมเข้ามาได้โดยง่าย
ดังนั้นสยามใด ประเทศใด ณ ที่แห่งใดเจริญในทาน ศีล ภาวนาอยู่ มีการอธิษฐานจิต ขอขมา ขออโหสิกรรมอยู่นั้นแล ก็เรียกว่าพระแม่ธรณีจะยกแผ่นดินขึ้นมาให้สูงขึ้นเป็นเกาะเป็นแก่ง ดังนั้นในช่วงนี้ก็จะเห็นว่าจะมีภัยขึ้นมา จึงบอกว่ายุคนี้ต่อไปนี้..มนุษย์นั้นจะล้มตายหายจากนั้นเป็นหมู่คณะเป็นกลุ่มเป็นก้อน และผู้ที่จะหลุดพ้นกรรมนั้นก็จะไปเป็นหมู่คณะ เป็นกลุ่มเป็นก้อนเช่นเดียวกัน
ดังนั้นขอให้โยมสามัคคีกันไว้ กรรมอันใดในกรรมที่โยมทำไว้ ไม่ว่าจะเป็นอาฆาตพยาบาทมาดร้ายต่อกัน ความไม่เข้าใจ ความมีอคติต่อใจแล้ว ขอให้โยมให้อภัยกันให้มาก การให้อภัยนี่แลคือการตัดวงจรแห่งกรรมได้อย่างสิ้นเชิง เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะเมื่อโยมตัดอโหสิกรรม ขอขมากรรม ไม่มีภัยต่อกันแล้ว การจะเจริญทาน ศีล ภาวนา มันก็เป็นไปได้โดยง่าย เข้าใจมั้ยจ๊ะ หากไม่อย่างนั้นแล้วแม้แต่โยมจะเจริญกรรมฐานเป็นร้อยปีก็จักเป็นผลได้ยาก เพราะว่าจิตใต้สำนึกของโยมนั้นยังมีอคติมีอกุศลอยู่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ดังนั้นเมื่อมีการกระทบกระทั่งกัน ขอให้โยมรู้จักการให้อภัย ให้ความเมตตาต่อกัน คนเมื่อเจริญเมตตาต่อกันมากๆแล้ว แม้บุคคลนั้นจะมีโทสะ โมหะ โลภะมากแค่ไหนก็ตาม มันจะลดลงไปในตัวของมันเอง เพราะว่าอำนาจแห่งความเมตตานี้ เค้าเรียกว่าจะไม่ถือสา เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ดังนั้นฉันจึงบอกว่าทุกครั้งที่โยมจะเจริญพระกรรมฐานก็ดี ขอให้โยมมี ๓ สิ่ง คือมีพระประจำกาย เสกพระเข้าตัว หรือเชิญสมเด็จฯเข้าตัว อันที่สองให้ใส่เสื้อเกราะเพื่อป้องกันภัย ก็คือศีล สำรวมกาย วาจาให้มันตั้งมั่น อาวุธอย่าได้ขาดทิ้งหรือห่างกายไป คือตัวสติ ตัวภาวนา เท่านี้มันจะคุ้มครองโยมได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ถ้ายังมีความมักมากอยู่ ยังขาดหิริโอตัปปะอยู่..กรรมนั้นแลจะเป็นผู้ให้ผล ดังนั้น ๓ อย่างที่ฉันบอกนี้ หากโยมตั้งมั่นในศรัทธา โยมก็จะอยู่รอดปลอดภัย แล้วก็ยังไม่ใช่อย่างนั้นอย่างเดียว หมายถึงว่าโยมก็จะช่วยเหลือคนอื่นเค้าได้ เพราะผู้ใดเจริญมนต์ เจริญศีลก็ดี มีภาวนาก็ดี แม้ผู้อยู่ใกล้ก็ยังได้อานิสงส์อยู่รอดปลอดภัยไปด้วย เข้าใจมั้ยจ๊ะ
เพราะว่ากงล้อแห่งธรรมจักร กงล้อแห่งธรรมได้เคลื่อนที่มากึ่งยุคแล้ว เมื่อมันมากึ่งยุคแล้วมันจะเข้าสู่ยุคมืด เมื่อโยมจะผ่านถ้ำ มันมีความมืดยาวนานแค่ไหน ใช่มั้ยจ๊ะ ในขณะที่มันอยู่ในยุคมืดนั่นหมายถึงว่าศีลธรรมมันเสื่อม ความมืดบอดมันก็ได้บังเกิดขึ้น อวิชชามันได้ปกคลุมในสิ่งนั้น คราวนี้มันจะออกไปได้ยาวนานที่รอดพ้นจากถ้ำแห่งความมืดนี้ได้อย่างไร ก็ต้องผู้นั้นต้องจำศีลได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
เหตุนี้แลฉันจึงต้องมาบอกทางหนึ่งทาง หรือที่หลบภัยอย่างหนึ่ง แล้วที่หลบภัยที่แท้จริงก็คือการเจริญอานาปานสติ คือการทรงสมาธิ ทรงฌาน ทรงธรรม ทรงศีลให้บังเกิดขึ้น ณ สถานที่ใดมีการเจริญภาวนาจิต มีการสาธยายมนต์ มีการแผ่เมตตาจิต ย่อมปกคลุมปกครองรัศมีกว้างขวางไปได้
ไม่มีใครหนีกรรมธรรมชาติได้ แต่เมื่อเราหนีธรรมชาติไม่ได้เราจะทำยังไง เราต้องสร้างภูมิป้องกัน สร้างภูมิจิตให้สูง ยกแผ่นดินขึ้นมา อ้าว..ยกจิตให้มันสูงมันพอยกได้ พอเข้าใจหลวงปู่ แต่ยกธรณีจะทำยังไง อ้าว..ยกแผ่นดิน ก็อธิษฐานต่อแม่ธรณี อธิษฐานเพื่ออะไร จะขอใช้พื้นที่แห่งนี้ไปทำอะไร แล้วถ้าโยมมีสัจจะความจริงใจพอ..พระแม่ธรณีท่านรับทราบ..นั้นมันเป็นหน้าที่ของท่าน ท่านจะยกเว้นไว้กับมนุษย์กลุ่มนั้น มนุษย์ผู้นั้นผู้มีศีลมีธรรม
แล้วเมื่อคำทำนายที่พระองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าท่านพยากรณ์ไว้ เมื่อมาถึงกึ่งพุทธกาลหรือกึ่งแห่งศาสนา มนุษย์นั้นจะมีความชอกช้ำ ศาสนานั้นจะมีความชอกช้ำ ทุกอย่างนั้นมนุษย์ทั้งหลายนั้นจะเห็นผิดเป็นชอบ ดังนั้นถ้าโยมไม่ตั้งมั่นในศีล ทาน ภาวนา ในศีลธรรมแล้ว ความเสื่อมก็ดีอวิชชาก็ดี มนต์ดำก็ดีจะเข้าหาตัวโยมได้ง่าย
ฉันถึงบอกว่าโยมต้องมี ๓ อย่าง ก็คืออาราธนาพระสมเด็จเข้าตัว คือระลึกถึงพระพุทธไว้ มีองค์ภาวนาก็ดี พุทโธ ธัมโม สังโฆก็ดี พุทธัง สรณัง คัจฉามิก็ดี อย่าลืมใส่เสื้อเกราะอยู่ตลอดเวลาคือการใส่เสื้อเกราะทำยังไง ให้สำรวมกาย วาจา ใจให้มันตั้งมั่นคือศีล อันว่าปัญญานั้นเปรียบดังอาวุธคือโยมมีสติ คือระลึกถึง ๒ อย่างนั้นคือพระพุทธ และก็ศีลที่โยมมีอยู่ ก็จะรวมแล้วเป็นพระรัตนตรัย เข้าใจมั้ยจ๊ะ จะคุ้มครองให้โยมนั้นอยู่รอดปลอดภัย แม้ว่าโยมจะทำการสิ่งใดก็ตาม โยมก็จะทำในสิ่งนั้นได้
ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๑
ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี