พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 13 ธันวาคม 2560
ตอนที่ 229 **รู้เหตุที่กระทบกายใจ**
+ +
ในเช้าของวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2560 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า ได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้า ต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านเพื่อเฝ้าฟังธรรม เมื่อข้าพระพุทธเจ้าได้กราบนอบน้อมต่อพระพุทธองค์ท่านแล้ว จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกมาเข้าเฝ้า เพื่อนอบน้อมฟังธรรม ถึงเรื่องของ ผู้มีปัญญาธรรมในแบบต่อไป น่ะเจ้าค่ะ
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงแสดงธรรม ให้ลูกได้ฟังด้วยเถิด เจ้าค่ะ “
- - - -
ดีแล้วละ พระยาธรรม.. ถ้าอย่างนั้นก็ตั้งใจฟังไว้ให้ดีนะลูก จะได้จำได้ จะได้ทำความเข้าใจถูกต้อง
แล้วจะได้นำไปประพฤติปฏิบัติตาม นำไปเผยแผ่ เพื่อเป็นหนทางที่จะนำทาง ให้ลูกทั้งหลายได้พ้นทุกข์ *
พระยาธรรมเอย.. เมื่อปัญญารู้แจ้ง รู้แจ้งเหตุเกิดทุกข์ รู้แจ้งทุกข์ที่มีอยู่ และรู้แจ้งในการดับทุกข์แล้ว ปัญญาที่บุคคลผู้ประพฤติปฏิบัติ จนเข้าถึง เข้าใจ และเกิดปัญญาแห่งธรรมต่อไปนั้น..
ก็คือ การรู้เหตุที่เกิดกับตน
เช่น ถ้าสมมุติว่า.. ตนนั้นจะต้องเจ็บต้องป่วย ในสิ่งนั้นสิ่งนี้ เรื่องนั้นเรื่องนี้
ตนเป็นโรคนั้น โรคนี้
หรือว่าเผชิญ กับเคราะห์กรรมใด เคราะห์กรรมหนึ่ง..
ตนก็จะรู้ดีว่า.. เหตุที่เกิดขึ้นในคราวครั้งนี้
/ เกิดขึ้นเพราะอะไร
/ วิบากกรรมตัวไหน
/ หนี้กรรมเก่าตัวใด.. ที่เราจะต้องชำระล้างมันไป *
ถ้าเกิดว่า เราเจ็บเราป่วย - เราก็จะรู้ว่าเจ็บป่วยนี้.. เพราะเรานั้น เคยไปทำร้ายใครคนใดคนหนึ่งเอาไว้ และก็รู้อีกว่า.. มันคือการเจ็บการป่วย เพื่อทดสอบความเพียรของเรา ทดสอบความอดทนของเรา
แล้วก็รู้อีกว่า.. ที่มันเจ็บมันปวด มันทุกข์ มันทรมานเช่นนี้ - ก็เพื่อให้เราเห็นทุกข์ในร่างกาย
เห็นว่า..
ในความเป็นจริง..ร่างกายนี้ ไม่ใช่ตัวใช่ตนของเราเลย
เราสั่งให้มันหยุดเจ็บ - มันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เราสั่ง
เราอยากให้มันเป็นยังไง.. มันก็ไม่เป็นไปตามที่เราต้องการ
แต่ว่า มันเป็นไปตามเหตุของมัน - ซึ่งมาจาก..กรรมที่ส่งผลให้มันเป็นไป
เช่นนั้น เช่นนี้ ตามเหตุของมัน
และเราเองก็ลุ่มหลง ยึดติดในร่างกายนี้ ว่า..มันคือตัวของเรา
พอมันเจ็บ เราก็เลยคิดว่าเราเจ็บ
พอมันเป็นอะไรสักหน่อยหนึ่ง.. เราก็ดิ้นสุขดิ้นทุกข์กับมัน อยู่ร่ำไป
ผู้มีปัญญา เขาก็จะรู้ และเข้าใจเช่นนี้ละ.. พระยาธรรม
เมื่อรู้ และเข้าใจเช่นนี้.. ก็จะเข้าใจว่า ทุกอย่างมันเกิดขึ้นมา
/ เพื่อทดสอบเราบ้าง
/ เพื่อให้เรา เห็นความเป็นจริงบ้าง
/ เพื่อให้เรา เข้าใจ *กฎแห่งกรรม* บ้าง
-- แล้วเราก็จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมดา.. หากว่าเรานั้นเข้าใจในทุกเหตุผล เช่นนี้ --
หรือถ้าสมมุติว่า.. เรา เผชิญกับเคราะห์กรรมใดเคราะห์กรรมหนึ่ง / เหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง
เช่น อยู่ๆก็โดนบ่น โดนว่า
ผิดไม่ผิด ไม่รู้..
แต่ว่าครูบาอาจารย์ตักเตือนบอกกล่าว บ่นเรา
ว่า.. ให้เราทำอย่างนั้น ไม่ให้ทำอย่างนี้…
เราก็จะมีปัญญา รู้เท่าทันเหตุ -ที่ครูบาอาจารย์ตักเตือนเรา ..
เราก็จะรู้ว่า.. มันมีหลายสิ่ง ที่มันแฝงในคำพูด หรือเหตุการณ์นั้นๆ ที่เกิดขึ้น
ครูบาอาจารย์กำลังโยนข้อสอบอะไร ให้กับเรา
เราก็จะรู้เท่าทันเหตุต่างๆ ว่า..มันเป็นการ
“ สอบตัวสอบตน สอบอารมณ์ สอบความอดทน สอบสติ สอบปัญญา ”
และเราก็จะน้อมเอาคำบอกคำเตือนนั้น - มาพิจารณาหาเหตุ หาจุดที่บกพร่องของเราจนได้ +
เมื่อเราหาเหตุหาจุดที่บกพร่องของเราจนเจอแล้ว - เราก็จะเข้าใจในคำพูดของครูของอาจารย์
แล้วเราก็จะสามารถที่จะปรับจิตเดินต่อไปได้ / ขยับขึ้นไปในระดับจิต ที่สูงขึ้นได้..
อย่างนี้ ก็เรียกว่า.. เป็น“ผู้มีปัญญา”
พระยาธรรมเอย.. สรุปง่ายๆในตอนนี้ก็คือ รู้เท่าทันเหตุที่เกิดขึ้นกับตน
ทั้งเป็นเหตุเจ็บป่วยในร่างกาย ทั้งเป็นเหตุที่กระทบมาทางจิตใจ
.. เรารู้เท่าทันปล่อยวางได้ / แก้ไขให้มันดีขึ้น..
อย่างนั้นละ พระยาธรรม.. เรียกว่าเป็น “ผู้มีปัญญาธรรม”
ไม่ใช่ว่า พอเจ็บพอป่วย - เราก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ว่า..ทำไมมันต้องเจ็บต้องป่วย
พอมันโดนกระทบหน่อย เราก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ว่า..ทำไมถึงโดนกระทบ
มีแต่จิตคิดเพ่งโทษ -
โทษครูโทษอาจารย์ โทษบททดสอบ โทษเหตุต่างๆที่มันเกิดขึ้น
อย่างนั้น เรียกว่ายังเป็น “ผู้ไม่มีปัญญาธรรม”.. ลูก
เราต้องฝึก ฝึกให้เรามีปัญญาธรรม..
/ รู้ให้ทันเหตุที่เกิดทุกสิ่งทุกอย่างกับเรา.. ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม เราต้องรู้ให้ทัน
/ รู้ผลกรรมที่ทำไป.. รู้ว่า ทำแล้ว ได้รับผลเช่นนี้
/ รู้ว่าที่เกิดขึ้นนั้น.. เพราะอะไร
อย่างนี้ละ..พระยาธรรมเอย
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
พระพุทธองค์เจ้าขา.. เหมือนกันกับตอนที่หนูไปที่ทะเล แล้วหนูก็ไปทุบหอยดู
เพราะว่าหนูอยากรู้ว่า มันอยู่ในนั้นหรือเปล่า ?
ทีนี้ พอหนูทุบมันไปแล้ว.. มันตายแล้วเจ้าค่ะ
หนูตกใจ แต่ว่าพอแป๊บเดียวเท่านั้นเอง ยังไม่ถึง 5 นาทีเลยเจ้าค่ะ หนูเดินกลับมา แล้วหนูก็เหยียบก้อนหิน แล้วเลือดก็ไหลเต็มเท้าหนูอีก
แล้วเป็นน้ำทะเลที่เค็มมาก หนูเลยเจ็บมาก
มันทำให้หนูรู้ว่า.. ที่หนูโดนบาดขา เพราะว่าหนูไปทุบหอย น่ะเจ้าค่ะ
มันจะเป็นอย่างนั้นหรือเปล่าเจ้าคะ ?
คือว่า เราจะสามารถรู้ทันทีเลยว่า.. กรรมนี้- เพราะกรรมตอนนั้น ที่เราทำแบบนี้ น่ะเจ้าค่ะ
พระยาธรรมเอย.. เป็นเช่นนั้นละลูก การที่เรานั้นบำเพ็ญจนเข้าถึงผู้ที่มีปัญญา
หรือว่าเข้าถึงความมีปัญญาในทางธรรมแล้ว..เราก็จะเห็นเรื่องราวต่างๆทั้งหลายที่มันเกิดขึ้น
เราจะมองเห็นสิ่งที่มันซ้อนอยู่เบื้องหลัง / เหตุที่มันทำให้เกิดเหตุต่างๆนั้น..
- เราจะมองเห็นมัน อย่างชัดเจนเลย…
อย่างที่ลูกกล่าวมานั่นละ..
ทำกรรมปุ๊บ แป๊บเดียว ผลของกรรม.. ก็ออกผลให้เราได้เห็นในทันที
อย่างนั้นละ พระยาธรรมเอย.. บุคคลผู้มีปัญญาธรรม เขาก็จะ..
เห็นชัดเจน ในเรื่องราวที่เกิดขึ้น
เห็นชัดเจน ใน*กฎแห่งกรรม*
+ +
พระยาธรรม :: อ๋อ เจ้าค่ะ
แล้วก็ยังมีบางที ถ้าเกิดว่าเราโดนดุ
หรือว่ามีเหตุการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา ที่ถูกใจก็ดี ไม่ถูกใจก็ดี
เราก็จะต้องตามรู้ว่า.. แท้ที่จริงเราบกพร่องเรื่องนี้ เรื่องนั้น
- เรายังทำไม่ถูก เราก็เลยโดนดุแบบนี้ด้วย..
แล้วก็บางที บางคนเขาพูดไม่ถูกใจเรา เราก็จะเห็นว่า
บางที เราก็พูดไม่ถูกใจคนอื่นเหมือนกัน..
คือ เราจะเห็นเรื่องต่างๆที่มันเกิดไปเกิดมา แบบนี้น่ะเจ้าค่ะ
ถือว่าคล้ายกันหรือเปล่า เจ้าคะ ?
พระพุทธองค์ :: อย่างนั้นละ.. พระยาธรรม
เห็นเหตุที่เกิดเฉพาะหน้า และเข้าใจเหตุนั้นได้เป็นอย่างดี
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ แต่ว่าตอนเมื่อวานนี้หนูเห็น ที่เป็นข่าวน่ะเจ้าค่ะ
มันมีคน 2 กลุ่ม เขาถกเถียงกันในเรื่องๆหนึ่ง ที่ซึ่งหนูดูแล้ว มันก็ทำให้เกิดปัญญาว่า
อีกคนหนึ่ง ก็ยังไปไม่ถึงจุดของความสำเร็จธรรม บรรลุจริงๆ.. ก็เลยตอบคำถามอีกฝ่ายหนึ่งไม่เป็น
ส่วนอีกฝ่ายหนึ่ง เขาก็เอาแต่ตัวอัตตา ยึดมั่นถือมั่นของเขา.. แล้วก็ไม่ประพฤติ ปฏิบัติ อย่างแท้จริง
- เขาก็เลยไม่สามารถเข้าใจสภาวธรรม ที่อีกคนหนึ่งเป็น +
ในความเป็นจริงแล้ว มันมีความจริงที่ซ่อนอยู่ในนั้น..
แต่เป็นเพราะว่า 2 คนนี้ เขายังไม่เข้าใจสภาวธรรมที่ถูกต้องเฉยๆ.. ก็เลยถียงกัน
ถ้าเกิดว่าเราไปเห็นเช่นนี้ ล่ะเจ้าคะ.. มันเป็นแบบไหน ยังไงล่ะเจ้าคะ ?
- - -
พระพุทธองค์ :: ก็ถือว่าเป็นการตรึกตรอง เรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น
ให้เห็นเหตุและผล ที่ส่งผลมาให้เป็นเช่นนั้น
เราก็จะได้ทำความเข้าใจกับจิตต่างๆทั้งหลาย ที่เขานั้นมีสภาวะของภูมิจิตภูมิธรรม ที่อยู่ในระดับต่างๆ
เราก็จะเห็นความขัดแย้งในสิ่งที่เกิดขึ้น และก็นำมาดูถึงความไม่ขัดแย้ง
เราก็จะเป็นผู้ที่มีปัญญา รู้เท่าทันเหตุการณ์ต่างๆที่มันเกิดขึ้น และก็รู้ทะลุเข้าไปถึงความเป็นจริง ของสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น ..
- เราก็จะสามารถ ที่จะทำความเข้าใจกับสัตว์โลกทั้งหลาย / กับเหตุต่างๆทั้งหลายที่มันเกิดขึ้น
- เราจะได้มี การวางเฉยกับสิ่งที่เกิดขึ้น.. เห็นเป็นธรรมดา ว่าเป็นเช่นนั้น
วันหลัง ถ้าเกิดว่าเราจะชี้ทาง บอกทางกับผู้อื่น.. เราก็จะได้บอกได้อย่างถูกต้อง ++
เพราะเราเคยเห็นสภาวธรรมเช่นนี้ และมีคำตอบขึ้นมา ใน*ปัญญาธรรม* แห่งเราแล้ว ..
อย่างนั้นละ พระยาธรรม.. ก็ดีแล้วละลูก ที่รู้จักฝึกฝน ทบทวนดูเหตุต่างๆที่มันเกิด
พระยาธรรมเอย.. สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับนักบวชนะลูก
คือ การหมั่นทบทวน พิจารณาหาให้เจอ ว่า..
- เหตุที่มันเกิดขึ้นกับตนนั้น - มันมาจากไหน ?
- แล้วก็ปรับปรุงแก้ไข ให้มันดีขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ
.. จนกว่าเรา จะสามารถดับการเกิดแห่งตนได้ **
พระยาธรรมเอย.. พากันฝึกฝนปัญญา เช่นนี้แหละลูก
รู้เหตุ ที่เกิดในกาย
รู้เหตุ ที่ทุกข์อยู่ - ที่เรานั้นกำลังคิด ยึดติด ลุ่มหลงในกาย.. เลยทำให้ทุกข์
รู้กฎแห่งกรรม ที่มันส่งผลมา.. และเราต้องชดใช้มันไป
รู้ตามเหตุต่างๆที่มันเกิดกับเรา จะเป็นเรื่องที่ดี..
* เมื่อเรารู้เราอย่างชัดเจน - เราก็จะรู้โลก.. รู้ผู้อื่น *
-- เมื่อนั้นละ เราก็จะดับการเกิดแห่งตนได้ ลูก..
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
พระพุทธองค์เจ้าขา.. แต่ว่าบางคนก็มีปัญญามาก ก็จะรู้เท่าทันเหตุต่างๆ
บางคน ถ้าเกิดว่าไม่มีปัญญามากเท่าไร.. แล้วเขาจะรู้ได้แบบไหน ยังไงล่ะเจ้าคะ ?
พระยาธรรมเอย.. ผู้ที่จิตเข้าถึงธรรม จนสว่างแจ่มแจ้งในธรรมแล้วนั้น..
- เขาก็ย่อมมีปัญญา รู้ตามความเป็นจริง -
ถึงแม้ว่าไม่มีความเป็นทิพย์..
แต่ว่าปัญญา แสงสว่างจากปัญญา.. จะชี้บอกเหตุให้เขาเข้าใจในสิ่งนั้น
.. แล้วเห็นเป็นธรรมดา
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรม เรื่อง “ปัญญา”
- รู้เท่าทันเหตุที่เกิด ในกาย / ในจิตของตน
- เห็น *กฎแห่งกรรม*
- เห็นแจ้ง ในเหตุต่างๆทั้งหลาย
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาเจ้าค่ะ..
สาธุ