ธรรมะไตรปิฎก วันที่ 16 มกราคม 2563
ตอนที่ 28 **ความสงบ 3 ขั้น**
+ +
ในเช้าของวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2563 ณ วัดพระพุทธเจ้าใหญ่ศรีเชียงของ
เมื่อท่านพระยาธรรมิกราช ได้ขึ้นเข้าเฝ้านอบน้อมต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้นอบน้อมเฝ้าทูลถามต่อพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
คือว่า ลูกได้ลองพิจารณาดู อย่างถี่ถ้วนแล้วว่า.. ความสงบนั้น เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
ถ้าเรามีความสงบตั้งมั่นอยู่.. เราก็จะรู้แจ้ง เห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามเหตุของมัน - เราจะสามารถที่จะแก้ไข และอยู่เหนือสิ่งเหล่านั้น
แต่ที่สำคัญ ก็คือ คนเรานั้น.. ส่วนใหญ่ก็มักจะหาความสงบไม่เจอ น่ะเจ้าค่ะ
ลูกจึงปรารถนาที่จะขอถึงพระพุทธองค์ โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมเรื่อง “ความสงบ วิธีทำความสงบ 3 ขั้น” ให้ลูกทั้งหลาย ได้นำไปฝึกฝนประพฤติปฏิบัติ ให้จิตทุกๆดวงที่ตั้งใจจะทำความดี ได้มีความสงบ ช่วยให้ได้ทำความดีได้สำเร็จด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ “
- - - -
ดีแล้วละ พระยาธรรมเอย.. แล้วลูกนั้นคิดว่าอย่างไรเล่า ความสงบมันอยู่ข้างนอก หรือว่าอยู่ข้างใน
จะหาตรงที่ไหนดีเล่า.. พระยาธรรมเอย
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
ลูกคิดว่า ความสงบนั้น ต้องอยู่ที่ตัวของเรา อยู่ภายในตัวของเรา พระพุทธเจ้าค่ะ
พระพุทธองค์ :: ดีแล้วละ ถ้าอย่างนั้น แสดงว่าจะหาเจออยู่
บุคคลผู้หาความสงบ แต่หาความสงบจากภายนอก - ย่อมไม่เจอ.. ลูกเอ๋ย
เพราะความสงบภายนอก เป็นของภายนอก
-- เป็นของที่ไม่ใช่เกิดขึ้นในตัวเรา เราจะสงบได้อย่างไรเล่า !
สิ่งใดที่เขาเป็นยังไง มันก็คือของบุคคลผู้นั้น ของสถานที่นั้น ของสิ่งนั้น ละลูก
... มันจึงไม่ใช่ของมีอยู่ในเรา
ฉะนั้น ถ้าหากว่าจะหาความสงบให้เจอ - มันต้องหาที่ตัวของเรา ลูก.. มันถึงจะเจอ
พระยาธรรมเอ๋ย.. เรานั้น.. จงตั้งจิต ตั้งใจ ตั้งมั่น ที่จะเอาตัวเราเป็นที่ตั้ง หาความสงบในตัวของเราให้เจอ ให้ได้
แม้การที่เราเห็นความสงบอยู่ภายนอก.. ก็จงน้อมเข้ามาสู่จิตใจของเรา สู่ตัวสู่ตนของเรา
เราจึงสามารถที่จะค่อยๆ ฝึกให้เจอความสงบได้
แต่หากส่งจิตไปหาความสงบ แล้วก็เลื่อนไหลไปตามความสงบภายนอก เท่ากับส่งจิตออกนนอก แต่ไม่ได้น้อมกลับเข้ามาสู่ตน.. ตนก็จะล่องลอยไปตามคลื่น ตามสภาวะภายนอก
ทีนี้ ก็มีแต่จะพากายวิ่งวุ่นไปหาที่ที่สงบ..
แล้วทีนี้พอไปถึง - กาย จิตของตน ตัวของตน ก็จะรู้สึกว่า ต้องหาที่สงบใหม่อีก
... ก็จะกลายเป็นเช่นนั้น..
ฉะนั้น พระยาธรรมเอ๋ย.. เราจะเจอที่ที่สงบ จะเจอบุคคลผู้สงบ เจอกับธรรมที่สงบ
เราต้องน้อมเอาเข้าสู่จิต กาย และใจของตน
ยังไง ก็จะต้องเอาจิต กาย ใจของตน - เป็นที่ตั้งแห่งการค้นหา สั่งสมความสงบ ให้ก่อเกิดขึ้นมาในจิตใจของเรา.. จึงจะหาความสงบนั้นเจอ ++
พระยาธรรมเอย.. ทีนี้ ก็มาเริ่มเข้าสู่ระดับที่ 1 - ของการทำจิตใจให้สงบ หรือหาความสงบในตัวของเราให้เจอ นะลูก
การที่บุคคลผู้หนึ่ง เขาจะมีความสงบเกิดขึ้นในตัวของเขาได้ – เขาจะต้องมีการรักษาศีล
ศีล จะเป็นเกราะป้องกันไม่ให้กิเลสตัณหาเพิ่มพูนขึ้น / ไม่ให้กรรมวิบาเพิ่มพูนขึ้น
เมื่อกิเลสตัณหา และกรรมวิบาก อันเป็นเหตุของความรุ่มร้อน เบาบางลง -- ชีวิตของบุคคลผู้นั้น ย่อมที่จะมีความสงบเริ่มก่อเกิดขึ้นกับชีวิต
ความสงบสุข เริ่มก่อเกิดขึ้น..
จากภายนอก - ด้วยการรักษาศีลด้วยกาย
จากภายใน - ด้วยการรักษาศีลด้วยใจ
จิตของเขา และกายของเขา.. ก็จะเริ่มเข้าสู่ ความสงบสุข - ขั้นที่ 1 ลูก
ฉะนั้น บุคคลผู้ปรารถนาจะหาความสงบสุข ให้เจอ..
/ จะต้องเริ่มต้นด้วยการรักษาศีล เพื่อป้องกันไม่ให้กิเลสเพิ่มพูนขึ้น
/ จะต้องมีการรักษาศีล ตั้งแต่ศีล 5 ขึ้นไป เพื่อไม่ให้กรรมวิบากเพิ่มพูนขึ้น
และกรอบของศีล จะช่วยให้กาย วาจา และใจ อยู่ในกรอบ
และเมื่อกาย วาจา ใจ อยู่ในกรอบ -- จิตของเขา ก็ย่อมจะเข้าถึงความสงบสุข ได้มากขึ้นกว่าคนทั่วไปที่ไม่รักษาศีลเลย...
พระยาธรรมเอย.. เมื่อเรามีกรอบของศีลแล้ว ป้องกันสิ่งไม่ดี ไม่ให้ไหลเข้ามาเพิ่ม -- เราจะอยู่กับตัวเองมากขึ้น
ด้วยการที่เรานั้นอยู่ด้วยตัวเองมากขึ้น - ก็จะทำให้จิตของเรา สงบขึ้น
เมื่อจิตของเราความสงบขึ้น - สมาธิก็จะเริ่มเกิดขึ้นในจิตของเรา
เมื่อสมาธิเกิดขึ้น - ความสงบก็เกิดขึ้น
-- เมื่อสมาธิ ได้เพิ่มพลังของความสงบมากขึ้นเรื่อยๆ.. ชีวิตและดวงจิตดวงนั้น ย่อมเข้าถึงความสงบสุขในขั้นที่ 1 ++
นี่ละ พระยาธรรม คือ ขั้นที่ 1 - ของการหาความสุข ความสงบให้เจอ
- เริ่มต้นด้วยศีล
- เริ่มต้นด้วยการหยุดเอากิเลสตัณหา กรรมวิบากเข้ามาทับถมในชีวิต
จิต กาย และใจ ตั้งมั่นอยู่ในศีล -- ก็จะย่อมปลอดภัยจากความรุ่มร้อน เร่าร้อนทั้งหลาย
เหมือนปลอดภัยจากความเร่าร้อนทั้งหลายแล้ว จิตก็จะเริ่มมีสมาธิ
คลื่นแห่งความสงบ ตั้งมั่น - ก็จะเริ่มก่อเกิดขึ้น
ขั้นที่ 1 - ของความสงบ เราก็จะเจอเช่นนี้ละ..
แล้วก็คอยสั่งสมไปอย่างนี้ เช่นนี้ ไปเรื่อยๆ
/ ด้วยการรักษาศีล
/ ด้วยการฝึกฝนจิตของตนให้เป็นสมาธิ ให้สงบ
/ ไม่เพิ่มกิเลสและตัณหา อันเป็นเหตุแห่งความเร่าร้อนแก่ชีวิต
เราก็ค่อยๆทำเช่นนี้ ดำเนินเช่นนี้ไป..
อยู่ในกรอบของศีล อยู่ในกรอบของธรรม ของสมาธิ และปัญญา ในขั้นต้น
ฝึกไปๆ เรื่อยๆ.. จนจิตของเรานั้น มีพลังมากขึ้นเรื่อยๆ
พลังของจิต ความสงบระงับที่ตั้งมั่น เกิดขึ้นในจิต - ก็จะค่อยๆออกมา
- ควบคุมให้เป็นคนที่พูดดี คิดดี และทำดี
- ควบคุมวาจา ควบคุมกาย ให้เป็นคนดี
จิตมีพลังมากกว่า อำนาจแห่งกิเลสตัณหา จิตก็จะควบคุมกาย และวาจา ให้เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น
สร้างแต่ความสุข ความเจริญ / สร้างแต่บุญที่เป็นความสุข ให้แก่ชีวิตของตนมากขึ้นเรื่อยๆ..
เมื่อจิตที่เริ่มมีความสงบสุข มากกว่ากิเลสตัณหา กรรมวิบากแล้ว.. จิตดวงนั้น ก็ย่อมจะคุม กาย ใจ วาจาของตน ให้อยู่ในกรอบของความสงบได้ ไม่รุ่มร้อน เร่าร้อน
และผลจากการทำความดี ก็จะส่งมาผลมาให้ชีวิต ที่รักษาศีล ที่ฝึกฝนหาความสงบ จากขั้นที่ 1 - เลื่อนสู่ขั้นที่ 2 คือ เข้ามาอยู่ในคลื่นพลังงานแห่งบุญ คือ ความสุข
คลื่นพลังงานแห่งความสงบ ตั้งมั่น - ในระดับที่ 2
.. จิตดวงนั้นจะมีพลังที่ดี ห่อหุ้มมากขึ้น
.. จิตดวงนั้น จะตั้งมั่นอยู่ในความสุข อยู่ในความสงบมากขึ้น
.. จิตดวงนั้น ก็จะสามารถที่จะมีความสงบสุข เกิดขึ้นในชีวิต และดวงจิต ++
เมื่อมีสิ่งใดไม่ดีที่เกิดขึ้นมากระทบ - ก็จะกระทบได้แต่เพียงภายนอก.. เพราะจิตของเขาตั้งมั่นอยู่ด้วยความสุข ความสงบภายใน
- เขาจึงไม่ได้แสวงหาสิ่งที่เป็นสุขภายนอก
- เขาจึงมองเห็นทุกสิ่งภายนอก เป็นเพียงสิ่งที่สักแต่ว่า
เกิดขึ้นตามเหตุ / เป็นไปตามเหตุ
กระทบเข้ามาตามเหตุ / และแก้ไขตามเหตุ
เขาก็จะดูสิ่งเหล่านั้น ไปตามเหตุที่ควรจะแก้ไข ด้วยการมีกรอบของความสุข ความสงบ คือ บุญ
และความสงบในจิตใจ คือ สมาธิที่ตั้งมั่นในระดับหนึ่ง
... ช่วยเหลือเขา คุ้มครองเขา รักษาเขา ให้ปลอดภัยจากกรรม และกิเลสตัณหา ที่จะพัดเข้ามาจนถึงดวงจิต คือตน คือตัวเราที่แท้จริง..
จิตของเขา จะเหมือนมีเกราะคุ้มกัน เฝ้ารักษา และเติมพลังแสงสว่าง จากความสงบสุขในจิตใจ
จะทำให้จิตของเขาสามารถที่จะเข้าถึงความสงบได้ - ในระดับที่ 2
และเมื่อทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ.. พลังแห่งความดี พลังแห่งความสุข พลังแห่งความสงบ
พลังทั้งหมดนั้น.. จะรวมเข้าไปอยู่ในจิต จนจิตดวงนั้นสว่างไสว
รู้ตื่น รู้แจ้งโลก เข้าใจทุกสรรพสิ่ง - อย่างพุทธะ อย่างรู้ตื่น ++
จิตดวงนั้น หลุดลอยเหนือทั้งดีและชั่ว
หลุดลอยเหนือทุกสรรพสิ่ง เป็นอิสระ ไม่มีอะไรทำให้มัวหมอง เศร้าหมองอีกต่อไป
จิตดวงนั้นหลุดพ้นแล้ว จากการกระทบครอบงำ จากความวุ่นวายทั้งหลาย
เป็นจิตที่สงบ สมบูรณ์ ถาวรอย่างแท้จริง คือ..
จิตอันเป็นพุทธะ
จิตผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
จิตของพระอรหันต์เจ้าทั้งหลาย..
-- สว่างไสวจากจิตดวงนั้น ไม่มีวันมืดมิด มืดบอดได้อีกต่อไป ++
เช่นนี้ละ พระยาธรรม.. คือ การฝึกฝนตนให้เข้าถึงความสงบ ถึง 3 ขั้น
ฉะนั้น พระยาธรรมเอย.. จงตั้งใจ ตั้งมั่น ที่จะเริ่มฝึกฝนกันเป็นขั้นๆ เช่นนี้
เมื่อเริ่มฝึกฝนกันเป็นขั้นๆเช่นนี้แล้ว ลูกทั้งหลาย.. ก็จะสามารถที่จะเข้าถึงความสงบ
ที่ตั้งมั่น ที่แท้จริง ที่มีอยู่ในตัวของลูก เป็นขั้นๆ เป็นลำดับๆไปนะ
พอจะรู้ พอจะเข้าใจหรือเปล่าเล่า พระยาธรรม.. เมื่อได้ฟังธรรมนี้แล้ว
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
ลูกพอจะเข้าใจในสภาวธรรม ตามที่พระองค์ทรงแสดงมาแล้ว 3 ขั้น ว่า
ขั้นที่ 1 - เราต้องรักษาศีล เพื่อเอากิเลสตัณหา กรรมวิบากที่ไม่ดี ออกจากตัวเราไป ป้องกันไม่ให้เข้ามาอีก
จิตนั้นย่อมสงบได้โดยธรรมชาติ เพราะตัวเร่าร้อน คือ กิเลสตัณหา กรรมวิบาก
เมื่อมันได้ออกจากเราไป - ความสงบก็จะเกิดขึ้น พระพุทธเจ้าค่ะ
และเราก็ต้องรักษาศีล รักษาความสงบนั้น ไปเรื่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนความดีของเราก็มาก
การสร้างบุญ คือ ความสุขนั้น ก็เป็นเกราะป้องกันเรา และจิตของเราก็จะมีพลังมากขึ้น
เราก็จะสามารถมีเกราะแห่งความดีคุ้มกันอีกชั้นหนึ่ง ให้เรานั้นสามารถที่จะหลีกเลี่ยงจากการกระทบต่างๆ จิตของเราจะสงบได้อีกขั้นหนึ่ง คือ ขั้นที่ 2
แล้วเราก็ทำดีไปเรื่อยๆ จนความดีภายนอก และความดีภายใน คือ ความสงบตั้งมั่น รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียว รวมไปอยู่ในดวงจิตของเรา จนจิตของเรานั้นสว่างไสว หลุดลอยเหนือทั้งดีและชั่ว
เราก็จะสามารถที่จะ..
เป็นจิตที่รู้ตื่น รู้แจ้งโลก
เป็นจิตที่หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด
และเป็นจิตที่เป็นองค์พระอรหันต์ได้ในที่สุด
... ลูกพอจะเข้าใจเช่นนี้แล้ว พระพุทธเจ้าค่ะ
เราต้องเอาความชั่วออกไปก่อน เอาความดีเติมเข้ามาใส่
และจิตก็จะต้องถึงขั้นที่ดีเต็มแล้ว และก็หลุดลอยเหนือดีและชั่ว
3 ขั้น เช่นนี้ พระพุทธเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง นะเจ้าคะ
ลูกจะน้อมไปประพฤติปฏิบัติตาม พระพุทธเจ้าค่ะ...
สาธุ