“จิตที่ส่งออกนอกเป็นสมุทัย ทำไมมันถึงเป็นสมุทัย รู้ไหม เพราะมันมุ่งไปข้างนอกเมื่อไร มันก็มุ่งอยู่ในความหลงนั่นเอง หลงว่าภาพนั้นน่ะ ข้างนอกนั้นน่ะมีอยู่จริงในใจเรา คำว่ามันมีอยู่จริงในใจเรา มันไม่ตรงความจริง เพราะมันไม่มี เมื่อมันไม่ตรงความจริง ตรงนี้เลยเรียกว่าความหลงไง ความหลงตัวนี้ก็คือตัวสมุทัยนั่นเอง
จิตที่ส่งออกนอกเป็นสมุทัย เพราะอะไร ที่มันส่งออกนอกทั้งหมด มันสำคัญว่าข้างนอกมันมีอยู่จริงในใจเรา ใช่ไหม มันหลงภายในก่อนนะ มันจึงไปหลงภายนอก ถ้ามันไม่หลงภายใน มันก็ไม่หลงภายนอก ใช่ไหมล่ะ พอมันพุ่งออกนอก มันก็มีเรื่องราวข้างนอกตลอด มันก็เลยไม่เห็นว่า จริง ๆ ในใจในความรู้ตรงนั้นน่ะ มันว่างเปล่า
ที่รู้ทั้งหมดเป็นสัญญาหมายรู้ เป็นสมมติหมดเลย นี่ มันไม่เห็นตรงนี้ พอไม่เห็นตรงนี้ มันก็จะมุ่งไปตามเรื่องข้างนอกหมด มุ่งซ้ายมุ่งขวา มุ่งซ้ายมุ่งขวา คือบวกกับลบ ก็คือยินดีกับยินร้าย มันก็เลยไปสร้างกรรมตลอด ไม่จบไม่หยุดไง ไม่ดับไง
ถ้าเราเห็นความจริงตรงนี้ มันภาพเสมือนหมด ข้างนอก มันไม่มีภาพข้างนอกจริงในใจเราหรอก มันเป็นภาพเสมือน คือตัวสัญญามันหมายรู้เฉย ๆ ถ้าเห็นตรงนี้เข้าไป มันก็เลยดับไง ดับความสืบต่อที่จะไปเอาข้างนอก จิตนั้นเลยไม่ส่งนอก เพราะมันไม่หลง มันไม่หลงก็เลยไม่เป็นสมุทัย
ฉะนั้นจิตส่งออกนอกจึงเป็นสมุทัย เพราะมันหลง หลงว่าข้างนอกมันมีอยู่จริงในใจเรา พอหลงว่ามีอยู่จริง สิ่งที่ชอบใจมันก็คว้ามาเป็นโลภะ สิ่งที่ไม่ชอบใจมันก็ผลักไส อยากทำลายเป็นโทสะ หรือจะพูดแบบตัณหาก็ได้ สิ่งที่ชอบใจมันก็อยากได้ มันก็เป็นภวตัณหา เป็นกามตัณหา ถ้าเรื่องนั้นเป็นกาม สิ่งที่มันไม่อยากได้ มันก็อยากผลักไสออก เป็นวิภวตัณหา ไม่อยากมี ตัณหามันเกิดได้เพราะความหลง ไม่รู้แจ้งในใจเรา ว่ามันไม่มีอยู่จริง มันเป็นขบวนการของขันธ์ ๕ หมดเลย สติปัญญาไม่แยบคาย แทงไม่ทะลุมัน มันก็ไปหลงมัน
เหตุนั้นจึงต้องหยุดไง ฉันจึงบอกหยุด อย่าไปยุ่งกับข้างนอก ใครจะดีจะเลวให้กรรมเป็นเครื่องตัดสินเขาเสีย เขาทำดีก็อนุโมทนาเขา เขาก็ได้รับผลดี เป็นมุทิตา เขาทำชั่ว เขาวิบัติ ก็อุเบกขาไม่ซ้ำเติมเขา เป็นเรื่องกรรมของสัตว์โลก เพราะเขาทำกรรมชั่วไว้ ให้กรรมเป็นเครื่องตัดสินเขา เราไม่ไปตัดสินเขา เพราะไม่ใช่หน้าที่เรา มันหน้าที่กฎแห่งกรรม
หน้าที่เรามีอย่างเดียว ต้องวิจัยกายใจเรา ให้มันเห็นแจ้งความจริงในใจเรานี่ ในกายเรานี่ เห็นแจ้งแล้ว มันก็ไม่มีโลภะโทสะนั่นเอง มันก็ไม่มีโมหะนั่นเอง หน้าที่เรา ก็เลยพูดโดยแบบสมมติ แบบโลก ๆ เขาพูดกัน หน้าที่เราก็มีหน้าที่เพื่อละโลภโกรธหลง
ทีนี้จะละโลภโกรธหลงอย่างไร คำว่าละโลภโกรธหลง ก็พูดง่าย ๆ คำว่าละโลภโกรธหลง ก็ไม่เอามันน่ะ ไม่เอาหัวจดเท้านี่เป็นของเรา เป็นเรา เป็นตัวตนของเรา ก็คือเห็นความจริง เห็นสัจธรรม คือความจริงของรูป ของนาม มันเป็นธาตุหมด ท่านจึงเรียกกายเป็นธาตุ ๔ รู้เป็นธาตุรู้ ท่านบัญญัติเป็นธาตุหมด แม้แต่กามเกิด ท่านก็เรียกกามธาตุ กามไม่เกิดท่านเรียกเนกขัมธาตุ โทสะเกิดท่านเรียกพยาบาทธาตุ โทสะไม่เกิดท่านเรียกอพยาบาทธาตุ อวิชชาเกิดท่านก็เรียกอวิชชาธาตุ
คำว่าธาตุ คือสูญจากสัตว์บุคคลตัวตนเราเขา นี่ในบัญญัติ ในพระไตรปิฎกท่านบอกไว้ คำว่าธาตุคือสูญจากสัตว์บุคคลตัวตนเราเขา มันเป็นธรรมชาติหนึ่งที่มันดำเนินไปตามเหตุปัจจัย ธรรมชาติที่เดินไปตามเหตุปัจจัย ธรรมชาตินั้นจึงไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา เป็นสังขตธรรม ธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่ง
เมื่อมีเหตุนี้เกิด สิ่งนี้จึงมี เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี เมื่อสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ มันไปตามเหตุปัจจัยหมด เมื่อมันมีเหตุเกิดจะไม่ให้มันเกิดก็ไม่ได้ เมื่อไม่มีเหตุเกิด จะให้มันเกิดก็ไม่ได้ มันไปตามเหตุปัจจัยหมด ถ้าเข้าใจตรงนี้ เห็นตรงนี้ ก็ปล่อยมันไปตามเรื่องตามราวมันเสีย มันมีเหตุอะไรเกิด ก็ให้มันเกิด มันไม่มีเหตุเกิด ก็ให้มันไม่เกิดเสีย ก็สบาย ไม่ต้องทุกข์กับมัน ถูกไหม ถ้าไม่อยากทุกข์ ก็สร้างเหตุแห่งไม่ทุกข์ไปเสีย ก็เท่านั้น หัดพินิจพิจารณาอยู่อย่างนี้
ถ้าเข้าใจแล้ว ข้างนอกจะทำอย่างไร ข้างนอกก็ทำไปตามเหตุปัจจัย สิ่งใดควรทำ สมควรทำ เป็นเหตุแห่งความเจริญ เป็นประโยชน์ก็ทำไป สิ่งใดไม่ควรทำ เป็นโทษ เป็นเหตุแห่งความเสื่อม ก็ละมันไป ไม่ทำตามมัน ก็เท่านั้น เพราะเราอาศัยโลกเหตุปัจจัยอยู่ ก็จึงทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ ละสิ่งที่เป็นโทษ ก็แค่นั้น”
โดย พระอาจารย์วิชัย กัมมสุทโธ
ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนา
เรื่อง “ภาพรวมวัฏสงสาร (พระพุทธเจ้าตรัสรู้)”
๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๗
"ทีนี้ปัญญามันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ปัญญามันก็จะเกิดขึ้น ๑.คือคบสัตบุรุษ ๒.ฟังธรรมของสัตบุรุษ ๓.โยนิโสมนสิการ นำธรรมเหล่านั้นมาพินิจพิจารณาแล้วแยบคายเข้าใจแจ่มแจ้ง ๔.ธัมมานุธัมมปฏิบัติ นำธรรมนั้นไปปฏิบัติสมควรแก่ธรรม จึงเป็นช่องให้เกิดปัญญา
เมื่อปัญญาเกิดจึงถึงซึ่งวิมุตติหลุดพ้น หลุดพ้นไม่ใช่หลุดพ้นจากสมาธิ หลุดพ้นด้วยปัญญาเห็นแจ้งในกายใจนี้ เห็นแม้แต่ทุกข์ เห็นแม้แต่สมุทัย เห็นแม้แต่นิโรธะ เห็นแม้แต่มรรค เห็นตั้งแต่ต้นจนจบสายของเขา นั่นล่ะคือปัญญาที่เห็นแจ้ง
เหตุนั้นต้องมีข้อวัตรปฏิบัติ ข้อวัตรปฏิบัติเกิดขึ้นจากสติปัญญานั่นเอง ได้วิเคราะห์วิจัยเห็นสิ่งที่ควรทำไม่ควรทำ ให้รู้เหตุรู้ผล ท่านจึงบัญญัติเป็นสัปปุริสธรรม ๗ ประการ รู้เหตุ รู้ผล รู้จักตน รู้จักกาลเวลา รู้จักประมาณ รู้จักประชุมชน เข้าไปสู่ประชุมชนนี้ควรประพฤติปฏิบัติเช่นไร รู้จักบุคคลควรคบมิควรคบ
เหมือนเช่นที่วัด ประชุมชนที่วัด วัดนี้เป็นที่หัดที่ขัดเกลากิเลส ที่ฝึก ที่หัด วัดไม่ใช่โรงแรม วัดไม่ใช่วิก ใครที่มาอยู่วัด ถ้าไม่มาหัด มาฝึก มาละ มาถอด มาถอนความรู้ความเห็นที่ผิดออกไป ก็เลยไม่ได้มาอยู่วัด นี่เขาเรียกว่ารู้จักประชุมชนรู้จักสถานที่ สถานที่นี้คืออะไรควรทำอะไร ต้องรู้จัก ถ้าไม่รู้จักก็คืออะไร ก็คือความหลงนั่นเอง หลงนะ ไม่รู้เหตุผลไง
คำว่าไม่รู้เหตุผลก็คือไม่รู้อริยสัจ ๔ นั่นเอง เพราะอริยสัจ ๔ ก็คือเหตุกับผลนั่นเอง ๔ ข้อย่นลงเหลือ ๒ คือเหตุกับผล สมุทัยเป็นเหตุ มรรคเป็นเหตุ ทุกข์เป็นผล นิโรธะเป็นผลน่ะ จริงไหม เหตุฝ่ายเจริญกับเหตุฝ่ายเสื่อม เพราะฉะนั้นถ้าไม่รู้จักเหตุรู้จักผล ตั้งแต่เบื้องต้นจนถึงเบื้องปลายก็คือโมหะนั่นเอง อวิชชานั่นเอง ไม่รู้จักอริยสัจ ๔ นั่นเอง"
โดยพระอาจารย์วิชัย กัมมสุทโธ
ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนา
เรื่อง "ให้รู้จักสิ่งที่ควรทำ"
๖ เมษายน ๒๕๕๔
“พระพุทธเจ้าสอนพระมหากัสสปะ
กัสสปะ เธอจงเคารพยำเกรงในผู้อ่อนกว่า ผู้เสมอ ผู้แก่กว่า นี่ท่านให้ละมานะ
กัสสปะ เธอจงมีสติไปในกาย ไม่ให้ทิ้งสติออกนอกกาย ก็คือกายคตานั่นเอง สติสัมปชัญญะอยู่ที่กาย ไม่ไปไหนแล้ว ผูกมันไว้แล้ว
กัสสปะ เธอจงเงี่ยหูตั้งสติลงฟังธรรมที่เป็นกุศลด้วยความเคารพ พิจารณาเนื้อธรรมนั้น
แค่ ๓ ข้อนี้ ก็เป็นเอหิภิกขุอุปสัมปทา ให้พระมหากัสสปะบวชเป็นภิกษุ ท่านพิจารณาไป ๗ – ๘ วัน ท่านก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์
นั้น ตัดนอก พอไม่ไปไหนแล้ว มันตัดแล้ว พอตัดแล้ว จิตที่มันจะกังวล จะไปที่นั่นที่นี่ ที่ไหนดี ที่ไหนไม่ดี มันไม่มีแล้ว เพราะมันไม่ไปแล้ว พอไม่ไป จะที่ไหนดี มันก็แค่ที่นั้นดี ที่ไหนไม่ดี ก็แค่ที่นั้นไม่ดี แต่มันไม่มีความหมายในใจ เพราะใจมันไม่ไปแล้ว มันก็หัดละดี ละชั่ว ละสมมติหมดแล้ว
ทีนี้ มันก็วิจัยในกายใจตัวเอง วิจัยความรู้ ความเห็นหมด มันก็แยกออก ทั้งหมดเป็นธาตุหมด พอเป็นธาตุ มันก็แยกสมมติ ปรมัตถ์แล้ว สมมติมันก็ค่อยหมดไป หมดไป หมดไป หมดไปก็ไม่มีความหมายในใจ จึงไม่สำคัญหมายสิ่งทั้งปวง เมื่อไม่สำคัญหมายสิ่งทั้งปวงก็ไม่มีที่ไปเกิดแล้ว”
โดย พระอาจารย์วิชัย กัมมสุทโธ
ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนา
เรื่อง “ไม่ส่งจิตออกนอก (ตัดนอก)”
๒๙ มีนาคม ๒๕๕๗
"เมื่อเรามีสัจจะ มีความตั้งมั่นปรารถนาความพ้นทุกข์ สัจจะตัวนี้ล่ะมันจะเป็นเหมือนเกราะให้เราอยู่ในกายใจเรา ไม่ไปข้างนอก การไม่ไปข้างนอกก็คือการไม่ส่งจิตออกนอกนั่นเอง การไม่ส่งจิตออกนอกนั้นคือการละสมุทัยนั่นเอง เพราะจิตที่ส่งออกนอกไปหาเรื่องหาราวทั้งหลาย นั้นคือสมุทัย ผลแห่งจิตที่ส่งออกนอกได้รับความกระทบกระเทือนเกิดขึ้น เป็นความหลงเกิดขึ้นนั้นเป็นทุกข์
เมื่อเห็นแจ้งในจิตนั้น ว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรเป็นของเรา เกิดขึ้นแล้วดับไป แม้แต่ตัวเรา แม้แต่รูป แม้แต่นาม ขันธ์ ๕ นี้ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไปตามเหตุปัจจัย เมื่อสิ่งใดเกิดขึ้นแล้วดับไป เป็นไปตามเหตุปัจจัย สิ่งนั้นมิใช่ของเรา ก็จึงไม่มีความดิ้นรนที่จะแสวงหาเกินความจำเป็น เท่ากับละตัวตัณหานั่นเอง
เหตุนั้นตัวสัจจะนั้นล่ะเป็นกรอบเป็นรั้วกั้นให้อยู่ในการวิจัยกายใจนี้ ไม่ออกนอก จะไปทำกิจกรรมภายนอก ทำเพื่ออะไร ตามเหตุตามปัจจัยที่ตรงต่อธรรมก็ทำ ถ้าไม่ถูกต้องไม่ตรงต่อธรรมก็ไม่ทำ เพราะไม่เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์ สิ่งใดเป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์ก็ทำ สิ่งใดไม่เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์ก็ไม่ทำ จึงมีสัลเลขธรรม ธรรมเครื่องขัดเกลากิเลสทุกเมื่อ
เพราะตัวสัจจะที่ตั้งไว้เพื่อความพ้นทุกข์นั่นเองเป็นรั้วกั้น ไม่ให้จิตนั้นท่องเที่ยวออกไปเหมือนสัตว์ ออกไปหากินในที่ต่าง ๆ เข้าไร่นาเรือกสวนเขา ก็ถูกเขาตีเขาฆ่า ฉันใดก็ฉันนั้น เพราะไม่รู้ที่ไป ที่ควรไปหรือมิควรไป ฉันใดฉันนั้น จิตเมื่อส่งออกนอกไปเข้าไร่นาไร่สวนเขา ก็เลยถูกเขาตีเขาฆ่านั่นเอง ก็คือทุกข์เกิดนั่นเอง
อันนี้สัจจะตัวตั้งมั่นนั้น เมื่อเราปรารถนาพ้นทุกข์แล้ว ให้เจริญสติสมาธิดูกายดูใจเรา ศึกษากายเวทนาจิตธรรมอยู่อย่างนี้ ไม่เอาภาระภายนอก นอกขอบเขต นอกสิ่งที่เรารับผิดชอบ มายุ่งมาเป็นภาระของใจ เมื่อใจไม่มีภาระจากสิ่งภายนอก ลดละภาระลงแล้ว ก็จะเห็นเกิดความวิเวกนั่นเอง ก็จะเห็น เห็นความจริงในขันธ์ ๕ นี้ มันไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร เมื่อไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร มันตั้งอยู่ก็เพราะมีเหตุให้ตั้งอยู่ เมื่อเหตุนั้นดับ มันก็สลายไป เหมือนลมดับ มันก็เน่าเปื่อยผุพังไป เผาไฟฝังดินไปเป็นเถ้าถ่าน สูญไปหมด ไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร แล้วจะไปเอาอะไรกับสิ่งเหล่านี้
ก็เลยอยู่ทำประโยชน์ตนประโยชน์ท่านในขอบเขตในหน้าที่ของเรา อยู่ด้วยความสงบ ทำเพื่ออาศัย เพราะธาตุยังต้องการ อย่างปัจจัย ๔ นี้เป็นเครื่องอาศัย พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ ปัจจัย ๔ เป็นเครื่องอาศัย อาศัยเครื่องนุ่งห่ม อาหาร ที่อยู่ ยารักษาโรคเมื่อเจ็บป่วยขึ้น อาศัยเพราะธาตุยังต้องการ แต่ไม่ดิ้นรนไม่แสวงหาแล้ว ไม่ได้หามาเพื่อความสวยความงาม ไม่ได้หามาเพื่อความหล่อเหลา ไม่ได้หามาเพื่ออะไรทุกอย่างจนเกินความจำเป็น แค่ความจำเป็นพื้นฐานเพื่อดำรงชีพอยู่เท่านั้น เพื่อจะได้ศึกษากายใจ เพื่อจะได้ปล่อยวางภาระทั้งหลายออกจากใจนั่นเอง"
โดย พระอาจารย์วิชัย กัมมสุทโธ
ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนา
เรื่อง “สัจจะเป็นหลักของใจ”
๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๓
"มันเหนื่อยมันจะขัดเคือง ถ้ามองแง่โทษ มันก็ขัดเคืองขึ้นทันที ถ้ามองแง่คุณประโยชน์ เหนื่อยตัวนั้นล่ะ หยิบมันขึ้นมาวิจัย มันเหนื่อยเพราะอะไร เพราะมันมีการมีงาน มันเหตุเพราะธาตุ เพราะนั้นบังคับมันไม่ให้เหนื่อยได้ไหม ก็ไม่ได้ นั้นล่ะเป็นอนัตตา ไม่ใช่ของเรา ตัวนั้นเลยเป็นคุณทันที
เหนื่อยนั้นล่ะเป็นคุณ เท่ากับหัดวางตัวเหนื่อย หัดวางของกูตัวกูว่ากูเหนื่อย เท่ากับหัดวางเลยนะ ตัวนั้นล่ะเป็นคุณทันที ขึ้นกับจิตมันรู้จักพลิกไหม พลิกนิดเดียวเท่านั้นน่ะ เหนื่อยเท่านั้นล่ะ พลิกใจเป็นอนัตตา ไม่ใช่ของเรา เกิดจากธาตุ พอทำงานมาก ถ้าไม่ทำมันก็ไม่เหนื่อย พอทำแล้วมันก็เหนื่อย แต่นอนมาก นอนท่าเดียวก็เหนื่อย มันก็ต้องเกิดจากธาตุนั่นเอง บังคับไม่ให้มันเป็นไปได้ไหม ไม่ได้ นั้นล่ะไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา
พอปั๊บมันวางตัวเหนื่อยได้ เหนื่อยเลยเป็นสิ่งที่ถูกรู้ เป็นสิ่งที่ถูกรู้แล้วนะ ถูกจิตรู้เฉย ๆ เหนื่อยเลยเป็นสิ่งที่ถูกรู้ไง พอบ่อย ๆ เข้า มันไม่เอาเราเข้าไป เหนื่อยนั้นเลยเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ก็เลยเป็นรูปนาม ไม่มีบัญญัติ ละความยินดียินร้ายหมดเลย ก็คือละสมมตินั่นเอง ความไปตั้งเอาไว้ว่ากูเหนื่อย เลยเป็นประโยชน์เลยนะ
รู้จักคิดสิ สภาวธรรมแต่ละอย่างที่มันขึ้นมา เท่ากับสอนเราทุกเรื่อง เท่ากับเราฟังธรรมทุกเรื่อง ไม่งั้นก็จะขัดเคือง ใช้กูมาก กูเหนื่อย นี่มันจะขัดเคือง แล้วบารมีเลยไม่เกิด แทนที่ทำตรงนี้จะได้บารมีเต็ม ๆ แล้วนะ ความขัดเคืองมาทอน
ทีนี้ความขัดเคืองตัวนี้ ถ้าพลิกจิตขึ้นมาวิจัยเหนื่อยอีก มันจะบารมีนั้นน่ะกลับเป็นทวีคูณ เป็นปัญญาบารมีแล้วนะ ตอนนั้นได้วิริยะบารมี ได้ทานบารมี ได้สัจจะบารมี ความตั้งมั่น ได้เมตตาบารมีอยู่ในตัวนั้นล่ะ แต่ถ้าจิตไม่น้อมอาจจะยังไม่เห็น ทีนี้พอมันเหนื่อย วิจัยปั๊บ ได้เป็นปัญญาบารมี ไม่เอาหรือ แค่นี้ฉันบอกให้วิธีคิด
เหมือนฆติการพราหมณ์ พระพุทธเจ้าคดข้าวกินเอง พระพุทธเจ้ากัสสปะ โอย เป็นลาภอันประเสริฐ ไม่มีข้าวกินยังว่าเป็นลาภอันประเสริฐ นี่เขาพลิกจิต จิตเขามีแต่ปิติ อันนี้เหมือนกัน พอเหนื่อยปั๊บ จิตมันพลิกปั๊บ ไม่ใช่ของกูตัวกู เราได้ทำกุศลน่ะ เราได้เสียสละปั๊บ มันเห็นส่วนที่เป็นประโยชน์ปั๊บ จิตมันฟูขึ้นทันที มีปิติ เป็นบุญกุศลแล้วนะ
กับเหนื่อย กูเหนื่อยกูไม่อยาก มันขัดเคืองปั๊บ จิตเป็นอกุศล แทนที่ตัวเองทำกุศลแล้วนะ ดูสิเด็กมันน่ะ มันมาพูด โอ๊ย มันดีใจ มันอยากทำ เมื่อวานมันไม่อยากเลิกเลยน่ะ เด็กมันเกิดปิติมันน่ะ เกิดบุญกุศลแล้วนะ เอ็งรู้ไหมล่ะ มันเกิดแล้วน่ะ
แล้วทำไมจะไปรับเอาอวิชชา โมหะ เอาโทสะไปลดบุญกุศลเจ้าของ ฉลาดหรือโง่เอ้า แทนที่เราได้ร้อย แล้วยังจะไปลดตัวเองเหลือแปดสิบล่ะ ไม่เพิ่มให้เป็นสองร้อยขึ้นน่ะ คนฉลาดเพิ่มสองร้อยเลย นั้นล่ะเอาเหนื่อยน่ะวิจัยอีกทีหนึ่ง เป็นปัญญาบารมีเพิ่มแล้วนะ
ต่อไปบ่อย ๆ เข้านี่มันจะแลเห็นว่า ทุกอย่างเป็นแค่สิ่งที่ถูกรู้ เหมือนกาย เวทนา จิต ธรรม เป็นสิ่งที่ปัญญารู้เฉย ๆ เป็นสิ่งที่ให้สติระลึกเฉย ๆ เป็นสักแต่ว่า ซึ่งทิฏฐิ ตัณหา อาศัยไม่ได้ เห็นไหม มันเลยเข้าสู่มหาสติปัฏฐาน นี้ล่ะสติปัฏฐาน ๔ ล่ะ แล้วจะเจริญอย่างไรล่ะ ถ้าไม่เจริญแบบนี้
ทำมาทั้งหมดมันเลยไม่ได้เจริญสติปัฏฐาน ๔ เพราะอะไร เพราะมันเอาตัวเข้าไปตลอด ใช่ไหม มันเลยไม่เห็นอย่างที่ฉันอ่านให้ฟังเมื่อเช้า เป็นสักแต่ว่าเฉย ๆ พอไม่เอาตัวเข้าไป มันเป็นสักแต่ว่า แต่ละลักษณะนั้นล่ะ ความเหนื่อยก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ต้องฝึก เพื่อละตัวออก ทุกอย่างที่มันรู้ขึ้นมา เป็นฝึกเพื่อละตัวออกหมดเลย เลยได้ประโยชน์ทุกขณะเลย ทุกสภาวธรรม เลยได้ฟังธรรมทุกขณะเลย ทุกสภาวธรรมด้วย มันเลยมีแต่ความภาคภูมิใจที่เราได้รู้ ได้เห็น ได้ทำ ได้เสียสละ เข้าใจยังล่ะ"
โดย พระอาจารย์วิชัย กัมมสุทโธ
ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนา
เรื่อง "ตั้งตนไว้ชอบ"
๒๕ มีนาคม ๒๕๕๒
“อะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่ารูปกระทบตา เสียงกระทบหู กลิ่นกระทบจมูก รสกระทบลิ้น เย็นร้อนอ่อนแข็งกระทบกาย แม้แต่ธรรมารมณ์ จำ คิด นึกกระทบใจ มันรู้ขึ้นมาเราก็ต้องตั้งตนให้ชอบ ชอบที่จะศึกษาหาความจริงของสิ่งเหล่านี้ ถ้าเราตั้งไว้เช่นนี้ว่า อะไรเกิดก็จะศึกษาหาความจริงของสิ่งเหล่านี้
ถ้าตั้งไว้แค่นี้ ความยินดียินร้ายมันก็จะลดลงไปเยอะเลย เพราะมันจะไม่ตั้งในมุมที่ว่า อันนี้ชอบใจ อันนี้ไม่ชอบใจ อันนี้ตัวเรา อันนี้ตัวเขา เพราะถ้าตั้งด้วยจุดนี้หรือมุมนี้เมื่อไหร่ ความทุกข์ก็จะตามมา เพราะมันหลงสมมตินั่นเอง หลงความเป็นสัตว์บุคคลตัวตนเราเขา จึงไม่เห็นความจริงของรูปกระทบตา เสียงกระทบหู กลิ่นกระทบจมูก รสกระทบลิ้น เย็นร้อนอ่อนแข็งกระทบกาย แม้แต่ธรรมารมณ์กระทบใจ จะไม่เห็นความจริง จะหมุนไปตามความหลงในสมมติดีไม่ดี ความทุกข์ใจก็เกิดนั่นเอง
เหตุนั้นถ้าเราตั้งตนไว้ชอบ ไม่ว่าอะไรก็ตามเมื่อสัมผัสเกิดขึ้น ก็จะศึกษาหาความจริงของสิ่งนั้น มันเลยละความยินดียินร้ายในตัวนั่นเอง มันไม่ตั้งเพื่อยินดียินร้าย มันตั้งเพื่อจะศึกษาหาความจริงของสิ่งนั้น สิ่งนั้นจะถูกใจก็ตาม ไม่ถูกใจก็ตาม มันไม่ได้มุ่งเพื่อความถูกใจ ไม่ถูกใจ มันมุ่งเพื่อจะศึกษาสิ่งนั้นตามความเป็นจริง เหตุนั้นการตั้งตนไว้ชอบ ตั้งเพื่อจะศึกษาหาความจริงในกายใจตนเอง จึงเป็นอานิสงส์ เป็นผลนั่นเอง ที่จะให้สติปัญญาก้าวเดินออกมาได้ เป็นอานิสงส์ที่จะให้สติ สมาธิตั้งมั่น
เหมือนยกตัวอย่างในการไปถางต้นไมยราบอย่างนี้ ถ้าไมยราบมันขึ้นเยอะ ไม้อื่นมันก็ไม่ขึ้น ถ้าหญ้ามันขึ้นเยอะตำแหน่งนั้น มันปกคลุมหมด ไมยราบก็ขึ้นน้อย ฉันใดฉันนั้น ถ้าความเห็นที่ถูกต้องขึ้นมา ตั้งตนไว้ชอบ ความเห็นที่ผิด ความตั้งตนไว้ผิดก็จะไม่มี แม้แต่มันเกิดขึ้นมามันก็ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ มันเป็นแค่นิสัยเก่า ความเคยชินเก่าๆ ความหลงเก่าๆ เมื่อเราเห็นเช่นนี้ มันจะค่อยละค่อยถอนนั่นเอง
เมื่อไม่ตามความรู้ความเห็นเก่าๆ ก็เท่ากับหัดที่จะละวาง หัดที่จะถอนความเห็นผิดนั่นเอง คืออนุสัยในใจตนเอง อันนี้พูดโดยสมมติว่าถอน มันเป็นการฝึกนิสัยใหม่ นิสัยที่เคยเพื่อของกูตัวกู หัดไปสู่นิสัยที่ไปสู่ความจริง ไม่ใช่ของกูตัวกู ก็เลยสมมติเรียกว่าถอนอนุสัยนั่นเอง จริงๆ ไม่ได้ไปถอนอะไรมัน ไปหัดนิสัยใหม่ อาศัยการตั้งตนไว้ชอบ คืออัตตสัมมาปณิธินั่นเอง อันนี้มีผล ถ้าเราไม่รู้จักตั้งตนไว้ชอบ การประพฤติปฏิบัติมันก็ไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร”
โดย พระอาจารย์วิชัย กัมมสุทโธ
ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนา
เรื่อง "ตั้งตนไว้ชอบอย่างไร"
๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๔