กำหนดรู้ลม
ธรรมะมหัศจรรย์ ตามรอยธรรมสมเด็จโต ให้เสียงธรรมโดยคุณแดง
กำหนดรู้ลม ลมมันอยู่ที่ไหนจ๊ะ ลมก็อยู่ในกายเรานี้แล
ถ้าในกายโยมไม่มีลม..โยมก็จักไม่มีชีวิต เพราะเรามีชีวิตก็ต้องอาศัยกองลม จึงเรียกว่ากองลมนี้คือกรรมฐานอย่างหนึ่ง
โยมก็เอาจิตนั้นแล สตินั้นแลไประลึกรู้ที่กองลมเข้าและออก ออกและเข้า จนไม่เข้าไม่ออก
อันว่าไม่เข้าและไม่ออกนั้นแลคือการวางเฉยในลม การวางเฉยในลมนั้นแลเรียกว่าลมนั้นเป็นหนึ่ง
อันว่า"เป็นหนึ่ง"เป็นอย่างไร..ก็คือจิตที่ตั้งมั่น มีความสงบในใจนั้นแล..เรียกชื่อว่าสมาธิก็บังเกิด
เมื่อสมาธิบังเกิดก็เอาปัญญานั้นแลน้อมนำพิจารณาเห็นความทุกข์ทั้งปวง เห็นความไม่เที่ยง
ความทุกข์และความไม่เที่ยงนั้นแลก็เป็นสภาวะที่เกิดขึ้นมา อะไรว่าไม่เที่ยงก็เป็นทุกข์ อะไรเรียกว่าเป็นทุกข์นั่นเรียกว่าเป็นอนัตตา
ที่เราว่าไม่เป็นทุกข์ก็เพราะเรามีความพอใจ แต่ถ้าเราไม่พอใจเสียแล้ว..เราจะเข้าถึงความว่างเปล่า คือการวางเฉยนั้นแล
ก็พิจารณาไปตามลำดับขั้นตอน..ลมเข้า..ลมออก เมื่อลมสงบก็เรียกว่าลมดี เมื่อลมไม่สงบจึงเรียกว่าลมยังเสียอยู่
ที่ลมมันเสียเพราะเราเสียอารมณ์ ก็ต้องไปแก้ไขที่อารมณ์ อารมณ์ที่มันเสียมีอะไรบ้าง
ในวันๆหนึ่งตั้งแต่แรกเริ่มที่เราตื่นขึ้นมานั้น เรามีอะไรบ้างที่เสียไป ใครมาทำให้เราเสีย เราไปทำให้ใครเสีย แสดงว่าคำว่าเสีย..ไม่มีได้
งั้นจงยอมเสียซะ ยอมเสียนั้นเป็นอย่างไร คือให้สละเป็นทาน คืออภัยทาน ไม่ถือโทษโกรธเคือง
ไม่ว่าแม้เราเองจะทำให้เสีย เราก็ต้องไม่ถือโทษโกรธเคืองตัวเราเอง คือการให้อภัยตัวเราเองให้ได้
เมื่อจิตใจเรานั้นปล่อยวาง สภาวะจิตที่เรานี้ไม่มีอกุศลเกิดขึ้นแล้วในจิต จิตเรานั้นจะเข้าถึงในสภาวะที่สงบได้
เมื่อความสงบบังเกิดนี้แล..ธรรมมันก็บังเกิด "ธรรม"คืออะไร ธรรมคือสภาวะความเป็นจริง คืออยู่แต่อารมณ์ปัจจุบัน
อารมณ์ปัจจุบันนั้นในขณะนี้เป็นเช่นไร..ก็ให้รู้ ตัวรู้นี้แลคือวิญญาณ
จิตของเรานี้เค้าเรียกว่าตัวปัญญา เมื่อเราไปรู้อารมณ์ก็จงพิจารณาให้เกิดขึ้น
เมื่อเราพิจารณาเห็นอารมณ์ทั้งหลายเกิดขึ้น..ตั้งอยู่..และดับไป ก็จะเห็นว่าสภาวะอารมณ์ทั้งหลายนั้นไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
เพราะเราไปยึดอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งแล้ว ก็ทำให้จิตเรานั้นเป็นกังวลเป็นทุกข์
เมื่อนั้นแลไม่ว่าจะอารมณ์ดีหรือไม่ดีก็ตาม จะเป็นคำสรรเสริญ เป็นคำติฉินนินทาว่าร้ายก็ดี
ล้วนแล้วหาว่ามีสาระแก่นสารอะไรไม่ ไม่ควรยึดถือมาเป็นอารมณ์
อารมณ์เหล่าใดก็ตามแล้วที่ทำให้จิตเรานั้นเศร้าหมอง..ล้วนแล้วเป็นโทษอย่างยิ่ง ควรสละ ควรปล่อย ควรกำจัดด้วยการละอารมณ์ออกไป
ล้วนแล้วแต่เป็นเสี้ยนหนามที่จะทิ่มแทงให้บุญกุศลของเรานั้นมันรั่วไหล
เมื่อเรารั่วไหลแล้วก็เปรียบเหมือนว่าเรานั้นเปิดช่องให้โลหิตของเรานั้นได้ไหลออก
สิ่งนี้เค้าเรียกว่าไม่สมบูรณ์ หรือว่าทำให้จิตเราเสื่อม สองทำให้ศีลเรานั้นสั่นคลอน
จงเจริญศีล จงเจริญภาวนา จงมีสติอยู่แต่อารมณ์ปัจจุบัน อยู่กับตัวรู้
"ตัวรู้"นี้แลคืออะไร คือรู้อยู่ในกาย รู้ในวาจา รู้ในใจของตัวเอง รู้ในอารมณ์ตอนนี้..สงบเป็นอย่างไรไม่สงบเป็นอย่างไร..ก็ต้องให้รู้
เมื่อเรารู้ถึงที่สุดแห่งตัวรู้ มันก็จะวางในตัวรู้นั้น เมื่อเราวางในตัวรู้นั้นแล จิตที่เราวางที่ตัวรู้นั้น..ก็จะทำให้เกิดการเบาจิตเบากาย
ปิติสุขมันก็บังเกิดขึ้นมา แม้จิตเราก็ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น นั่นก็คืออารมณ์ทั้งหลายทั้งปวง
เมื่อเราวางสภาวะอารมณ์ทั้งหลายทั้งปวงแล้ว จิตเรานั้นจะคลายความยึดมั่นถือมั่น ถือตัวถือตน ถือเขาถือเรา ไม่มีตัวไม่มีตน
มีแต่ตัวรู้คือตัวสตินั่นแล จงเอาตัวสตินั้นพิจารณากฏแห่งไตรลักษณ์ไป..ว่าทุกอย่างนั้นเป็นทุกข์ ทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกอย่างเป็นอนัตตา
จิตจะเข้าถึงความว่าง แต่ในความว่างนั้นยังมีตัวรู้อยู่ ก็เอาตัวรู้นั้นแลพิจารณาไปในความว่าง
ในความว่างมันว่างอย่างไร เมื่อเราพิจารณาแล้วมันจักไม่ว่าง แต่ที่ว่างที่จิตว่างคือว่างจากอกุศลมูล
เมื่ออกุศลมูลไม่เข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว ไอ้ตัวรู้ที่แท้จริงนั่นแลจักได้พิจารณาในธรรมทั้งปวงให้เกิดปัญญาอย่างแท้จริง ในสติปัฏฐาน ๔
คือดูกายก็ดี ดูเวทนาก็ดี ดูจิตก็ดี เพ่งอยู่ในธรรมก็ดี สิ่งเหล่านี้ผู้ที่มีสติแล้วจักไม่พลัดพรากจากฐานทั้ง ๔ นี้ไปได้เลย
เมื่อโยมมีสติแล้วมีการพิจารณาแล้ว จึงเรียกว่าจิตโยมมีการมีงานทำ จึงเรียกว่าเข้าสู่ในหมวดแห่งกรรมฐานนั่นแล
โยมก็พิจารณาไป อันว่ากรรมฐานเหล่าใดเล่าที่เราพิจารณาแล้วทำให้เรารู้จักสละและปลงนั้นแลก็พิจารณาไป..
พิจารณาธาตุก็ดี อันว่าธาตุเป็นอย่างไร ธาตุดินเป็นอย่างไร
ก็พิจารณากระดูกก็ดี ผมก็ดี ฟันก็ดี เล็บก็ดี ดินก็ดี หนังก็ดี เหล่านี้เรียกว่าพิจารณาธาตุ
ธาตุมีธาตุดิน มีธาตุน้ำ ในตัวเรามีอะไร มีเลือด มีน้ำหนอง มีน้ำมันไขข้น น้ำมูก น้ำลาย น้ำดีและน้ำเสีย ก็พิจารณาไป
ธาตุลม..ลมเข้าลมออก ลมพัดขึ้นเบื้องล่าง ลมพัดขึ้นเบื้องบน ลมหายใจ ลมไม่เข้าและออก ลมที่เข้าและออก
ธาตุไฟคืออะไร ความอบอุ่นในกาย ไฟที่ทำให้ร่างกายเสื่อมโทรม ไฟที่เผาไหม้ย่อยอาหาร
ไฟแห่งโทสะ ไฟแห่งโมหะ ไฟแห่งโลภะ เรียกว่าไฟของอกุศลที่เมื่อใครจุดขึ้นมาแล้ว..ย่อมดับลงได้ยาก
นั้นทางเดียวที่ไฟสามกองนี้จะดับลงได้ คือ"ไม่จุดไฟเพิ่มเข้าไป" เรียกว่าไม่เพิ่มเชื้อนั่นเอง
ขอให้โยมจงพิจารณาตามลำดับขั้นตอนด้วยสติและปัญญาของโยมดู..ก็จักได้ประโยชน์ไม่มากก็น้อย
ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๑
สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)