พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 10 ธันวาคม 2560
ตอนที่ 227 **รู้ในตัวตน**
+ +
พุทธธรรมสำหรับนักบวช ในเช้าของวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2560 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า ได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านเพื่อเฝ้าฟังธรรม เมื่อข้าพระพุทธเจ้าได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อพระพุทธองค์ท่านแล้ว จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า…
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอมาเฝ้าฟังธรรม เรื่องของปัญญา ตอนที่ 2* หน่ะเจ้าค่ะ
บุคคลผู้มีปัญญาทางธรรม จะต้องมีลักษณะแบบไหน มีปัญญายังไงล่ะเจ้าคะ ? จึงจะเรียกว่า เป็นผู้มีปัญญาธรรม หน่ะเจ้าค่ะ “
- - - -
พระยาธรรมเอ๋ย..
บุคคลผู้ประพฤติ ปฏิบัติ รักษาศีล ทำสมาธิ
บุคคลผู้ฝึกฝนตน จนดีแล้ว..
.. ย่อมมีปัญญาก่อเกิดขึ้น รู้แจ้งในบุคคลผู้นั้น
ในดวงจิตดวงนั้น ย่อมมีแสงสว่างในตัวของตน ส่องให้ตนนั้นรู้แจ้ง เข้าใจ ตามความเป็นจริงของชีวิต
และชีวิตนั้น ก็หมายถึง ตัวของเรานั่นแหละ - จะเป็นที่ตั้งแห่งชีวิต ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก
เมื่อเราเข้าใจตนเอง.. เราก็จะเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง
พระยาธรรมเอย.. ฉะนั้น บุคคลผู้มีปัญญาธรรมแล้ว เขาก็จะแตกฉาน..
รู้จักตัวตนของตน
รู้ว่าตนเกิดเพราะอะไร ทำไมต้องเกิด
- เมื่อรู้การเกิดของตนแล้ว.. ก็จะเข้าใจคำว่าชีวิตของตน -
พระยาธรรมเอย.. บุคคลผู้มีปัญญา ย่อมระลึกได้เช่นนี้ว่า
องค์พระพุทธเจ้า ได้สอนไว้ว่า..
*การเกิดนั้นเป็นเหตุของทุกข์ และกายนี้ก็ไม่ใช่ของเรา*
*การเกิดทุกคราว เป็นทุกข์ร่ำไป*
องค์พระพุทธเจ้าได้สอนไว้ว่า ให้เราค้นหาการมา การมีของตัวเราเอง ว่า..
แท้ที่จริงนั้น เราเป็นใคร ?
กายไม่ใช่ตัวตน ความรู้สึกต่างๆทั้งหลาย ทั้งสุขและทุกข์ อยากได้ อยากมี อยากเป็น
จิตที่ปรุงแต่งต่างๆทั้งหลาย.. ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน
สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี.. ก็ไม่ใช่ตัว ใช่ตน
แล้วเรานั้น.. เป็นใครกันเล่า ?
-- ย่อมต้องมีปัญญารู้ตามว่า.. องค์พระพุทธเจ้าสอนอะไร ?
เมื่อรู้ตามแล้ว.. กลับมาทบทวนดู ที่กายของเรานี้
- กายนี้ เกิดขึ้นมาจากไหนหนอ ?
- เหตุใด จึงเกิดหนอ ?
- เพราะอะไรเล่า จึงมีการเกิดอยู่ร่ำไป ?
ร่างกายนี้ ประกอบขึ้นมาด้วยธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ
มันเจริญเติบโต และเป็นไปตามธรรมชาติของคำว่า “มนุษย์”
แล้วเหตุใดมนุษย์เหมือนกัน แต่จึง..
มีรูปร่างหน้าตาที่แตกต่างกัน
เกิดในที่ๆแตกต่างกัน
มีฐานะความเป็นอยู่ที่แตกต่างกัน
เหตุใดหนอจึงเป็นเช่นนั้น ?
กายของเรานี้ มีเทวดาสร้างมา สวรรค์ให้มา..
แล้วทำไมถึงไม่เหมือนกัน
ทำไมถึงมีความแตกต่างกัน !
ถ้าอย่างนั้น เทวดา หรือสวรรค์ ก็คงไม่ยุติธรรมสินะ
ไม่น่าจะเป็นไปได้ ไม่น่าจะใช่อย่างนั้น
เพราะจะเอาอะไร มาเป็นตัววัดเล่า !
และองค์พระพุทธเจ้าก็ได้สอนเอาไว้ ถึงเรื่องของ * กฎแห่งกรรม * ด้วย
พระองค์ท่านได้กล่าวเอาไว้ว่า
* ทุกคน เป็นไปตามกรรมของตน *
ฉะนั้น..กายนี้ ตัวของเรานี้ น่าจะเป็นไปตามกรรมแห่งตนสินะ
* เราทำกรรมรูปแบบไหนเอาไว้ เราก็มาเกิด ตามรูปแบบของกรรมที่เราทำนั้น *
ดวงจิตที่รักษาความเป็นมนุษย์ เป็นคนดีอยู่ในกรอบ มีความเป็นคนอยู่ในใจ
รู้จักทำความดีไว้ ถึงเวลา ก็ได้กลับมาเป็นคน
ถ้าใครที่ไม่รักษาความเป็นคน
เป็นคน แต่ชอบประพฤติในสิ่งที่ไม่ใช่คนเขาทำกัน
ก็คงต้องเกิดไปเป็น เปรต เป็นสัตว์นรก อสุรกาย
หรือว่า คงต้องเกิดไปอยู่ในกายของสัตว์เดรัจฉานสินะ
ก็เราทุกคน ทำกรรมมาแตกต่างกัน เราก็เลยเกิดตามกรรมแห่งตน
และยังมีกรรมอยู่ กรรมก็เลยส่งผลให้เราเกิดอยู่ร่ำไป
นี่น่าจะเป็นเหตุผล เหตุผลที่แท้จริง ตามองค์พระพุทธเจ้าได้สอนเอาไว้
ก็ในเมื่อทุกคน เป็นไปตามกรรมของตน
กายนี้ที่ก่อเกิดขึ้นมา..ก็คงเป็นผลของกรรม
กรรมที่เราเคยทำเอาไว้ ทั้งดี และไม่ดี
…ก็เลยมีทั้งเรื่องที่ดี / เรื่องที่ไม่ดี เกิดขึ้น เกี่ยวข้องกับกายนี้..
กายนี้ เป็นผลของกรรม
กรรม เป็นเหตุที่ทำให้เกิดกายนี้
รู้แล้วสินะคราวนี้ ว่า..
ทำไมกาย จึงไม่ใช่ตัวใช่ตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
แท้ที่จริง.. เขาก็เติบโต จนงอกงาม
เป็นไปตามผลของกรรม หรือการกระทำของเรานั่นเอง !
เข้าใจคำว่า “กาย” เราแล้ว รู้จักเราแล้ว
ทีนี้ ก็ไปแสวงหาดูอีกว่า..
แล้วใครหนอ ใครกันเล่า ทำให้มันมีกรรมขึ้นมา
เมื่อมีกรรม เลยมีเรา
แล้วใครล่ะ ทำให้มีกรรม ?
ทีนี้ ก็ไปดู มองให้ลึก ลึกเข้าไปสู่ข้างในจิตใจของเรา
ใครหนอ..สั่งให้เราทำดี-ทำชั่ว คิดดี-คิดชั่ว ใครหนอ..อยู่ในนี้
เจาะลึกเข้าไป ผู้มีปัญญา ก็จะเห็นตามความเป็นจริงว่า
ความหลงหนอ หลงในตัวในตนของตน จึงหลงในสิ่งของต่างๆทั้งหลาย บุคคลทั้งหลาย ว่า..เป็นของตน
เมื่อมีความหลงในตัวของเรา เราก็สร้างกรรม แบบความลุ่มหลง ก็
หลงยึด หลงว่า มีคนนั้น คนนี้ เป็นของเรา
หลงว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้ ต้องเป็นของเรา
หลงแล้ว ก็ดิ้นรนขวนขวายให้ได้มา
จึงหน้ามืดตามัว สร้างกรรมตามความหลงนั้น
กรรมแห่งความหลง จึงส่งผลให้ก่อเกิด“ตัวของเรา” ขึ้นมา
แท้ที่จริงแล้ว เมื่อมีความหลงแล้ว ก็มีความรัก รักอยากได้ อยากครอบครอง
แล้วก็มีความโลภ โลภในสิ่งของข้าวของ
มีความโกรธ เมื่อไม่ได้มาตามที่คิดไว้ เมื่อไม่ถูกใจตน ที่ยึดว่าเป็นตน
โกรธเมื่อเรานั้น ต้องพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจ คิดว่าเป็นเรา เป็นของเรา
แท้ที่จริง เชื้อ 4 ตัวนี้เอง ที่สั่งให้เราทำกรรม
หลง ก็ทำกรรมแบบ หลง
รัก ก็ทำกรรมแบบ รัก
โลภ ก็สร้างกรรมแบบ โลภ
โกรธ ก็สร้างกรรมแบบ ความโกรธ
*ความ รัก โลภ โกรธ หลง* เหล่านี้.. ก็เลยทำให้เราทำกรรม
กรรมก็เลยมาเป็นของเรา
ฉะนั้น..
ความอยาก ก็ไม่ใช่ของเรา ความไม่อยาก ก็ไม่ใช่ของเรา
ตัวตนนี้ - ก็ไม่ใช่ของเรา
ตัวของบุคคลผู้อื่น - ก็ไม่ใช่ของเรา
สิ่งของข้าวของทั้งหลายทั้งหมด - ก็ไม่ใช่ของเรา
ความโลภ ความโกรธ - ก็ไม่ใช่ของเรา
มันล้วนแล้วแต่เป็นของมีคู่อยู่กับโลกสมมุตินี้
ล้วนแล้วแต่เป็นของกิเลสตัณหา - เป็นเชื้อของมันที่มีอยู่คู่กับโลก
ไม่ใช่ตัวตนของเราจริงๆด้วยสินะ !
เพราะหลง รัก โลภ โกรธ ไม่ใช่ตัว ใช่ตนของเรา
* แต่ว่ามันเป็นเชื้อ ที่ถ้าเราติดมันเมื่อไร เราก็จะถูกมันสั่งให้สร้างกรรม *
เมื่อเราสร้างกรรมแบบไหน เราก็จะต้องเป็นไปตามกรรมของตน
เข้าใจแล้ว ที่องค์พระพุทธเจ้าบอก
* ความสุข ความทุกข์ไม่ใช่ตัวใช่ตน
* กรรมดี หรือกรรมชั่ว ก็ไม่ใช่ของตน ไม่ใช่ตัว ใช่ตน
แท้ที่จริง ก็เป็นของกิเลส ของตัณหาทั้งนั้นเลย
เอาละ เข้าใจละ รู้จักตัวเรา รู้จักเหตุที่ก่อเกิดตัวเรา
เอ.. แล้วทีนี้ ใครหนอที่เป็นเหตุของการ ไปโดนกิเลสของตัณหาครอบงำ
นั่นก็คงจะเป็น จิตของเราสินะ !
องค์พระพุทธเจ้าบอกว่า.. จิตเป็นสิ่งบริสุทธิ์ แต่โดนกิเลสตัณหาครอบงำ
ก็เลยเป็นไปตามกรรมที่กิเลสตัณหา สั่งให้ทำ
ต้องตกเป็นทาสของเขา เวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบ
ถ้าอย่างนั้น.. ตัวเรา - เราก็คงเป็นดวงจิตสินะ
เจาะลึกเข้าไปให้เห็นตัวจริงของเรา
จริงด้วยสินะ จิตของเรา มันเปรียบเหมือนเมล็ดพืช
กิเลสและตัณหา เปรียบเหมือนพื้นดินที่อุดมสมบูรณ์
เมื่อเราโยนเมล็ดพืชลงไปบนพื้นแห่งกิเลสตัณหาเมื่อไหร่
ก็ย่อมก่อเกิดเป็นผลของกรรม ที่ส่งผลให้เป็นเรานี่ แน่นอนเลย
และกรรมเกิด ก็จะมีอยู่ร่ำไป ตราบใดที่เราเอาจิตมาคลุก มาหว่านอยู่กับพื้นของกิเลสตัณหา
การเกิดทุกคราว ย่อมมีอยู่ร่ำไป
เพราะสิ่งนี้สินะ เราจึงต้องเกิดแล้ว เกิดเล่า เกิดแล้วเกิดอีก
และการเกิดทุกคราวนั้น ก็จะต้องเป็นทุกข์ ทุกข์เพราะต้องดิ้นรนขวนขวาย
ต้องกิน ต้องมี ต้องใช้
ยึดตัวยึดตน ดิ้นรนกันไป
เป็นอยู่อย่างนี้
*การเกิด - ย่อมมีการแก่ การเจ็บ และการตาย การพลัดพรากจาก ก็ย่อมต้องมี ..ไม่มีใครหนีพ้นได้*
องค์พระพุทธเจ้าสอนไว้เช่นนี้ รู้แล้วซินะ เพราะเหตุนี้นี่เอง..
*เราจึงต้องเกิด - เกิดแล้วก็ต้องทุกข์ *
ทีนี้เราจะทำยังไงน้า.. ให้จิตของเรา ไม่ต้องมาคลุกอยู่กับกิเลสตัณหา
ทีนี้เราก็ฝึก ฝึกการสลายความเป็นจิต ด้วยการดับอัตตาตัวตน
ถ้ายังมีอยู่ เราก็ยังมีที่ตั้งแห่งจิตอยู่
ย่อมแน่นอนละว่า การมีอยู่นั้น จะดึงความหลงในตัวในตนเข้ามาแน่นอน
- ถ้าหลง ก็รัก
- ถ้ารัก ก็โลภ
- ถ้าโลภ ก็คงต้องโกรธ
ฉะนั้น.. เราจะไม่ยึดตัวยึดตน
จิตของเรา มีก็เหมือนไม่มี /ไม่มี ก็ทำเหมือนสมมุติมีเฉยๆ
* มีกับไม่มี.. ก็มีค่าเสมอเหมือนกัน *
ไม่ยึด และก็ไม่คิดว่ามันต้องไม่มี หรือต้องมี
ไม่ยึดในตัวในตน
ปล่อยให้มันว่างไปเลย..
มีก็ได้ ไม่มีก็ได้
ไม่มีความยึด ในจิตนี้
ทีนี้ เราก็ดับตัวตนของเรา ได้แล้วสินะ
ก็เมื่อจิตไม่มี ตัวตนไม่มี ความหลงก็ไม่มี ความโลภก็ไม่มี ความโกรธ ความรักก็ไม่มี
กรรมก็ไม่มี กรรมก็ไม่มี
แล้วเหตุเกิด ก็ต้องดับได้.. เพราะว่าเราสลายทุกสิ่งทุกอย่างไปแล้ว
แท้ที่จริง ก็เพราะเหตุนี้นี่เอง.. ที่ทำให้เราต้องเกิดทุกคราว เกิดอยู่ร่ำไป
เข้าใจแล้ว รู้จักตัวของเราแล้ว และก็รู้จักตัวของบุคคลผู้อื่นแล้วด้วย
ความหลงไม่มี ความรัก ความโลภ ความโกรธ ก็ไม่มี
ความอยาก/ ความไม่อยาก ความยึดติด การเบียดเบียน ก็ย่อมไม่มี
การเกิดไม่มีอีกต่อไปแล้ว ในตัวของเรา
เช่นนี้หละ.. พระยาธรรม
บุคคลผู้มีปัญญาธรรมย่อมแสวงหาทางเจอ เจอว่า
- เรานั้นเป็นใคร / ใครนั้นเป็นเรา
- เพราะอะไรเราจึงต้องเกิด
เมื่อรู้เหตุเกิด.. ก็ย่อมถอดถอนความเป็นตัวตนได้ เพราะเราเข้าใจตามความเป็นจริงแล้ว
ดวงจิตดวงนั้นย่อมรู้แจ้งสว่างไสว และไม่กลับมาเกิดอีก
อย่างนี้หละ พระยาธรรม.. เป็นแบบอย่างที่ผู้มีปัญญาธรรม เขาจะรู้และเข้าใจตาม
การออกบวช ถ้าบวชแล้วมีปัญญา รู้แจ้งเช่นนี้.. ย่อมพ้นทุกข์ลูก
และถ้าบวชแล้ว - บวชอย่างจริงจัง รักษาศีลตามที่ตนสมาทาน ฝึกสมาธิ ฝึกปัญญา
.. ย่อมเข้าใจความเป็นจริงของชีวิต
.. ย่อมเข้าถึงความพ้นทุกข์
อย่างนี้หละ เรียกว่า *ปัญญาธรรม*
*ปัญญาธรรม* เกิดขึ้นในบุคคลผู้ใดแล้ว
ย่อมสว่างไสวทำให้รู้แจ้ง เข้าใจ ในสรรพสิ่งทั้งหลาย
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรม เรื่องปัญญา ตอนที่ 2 ให้ฟัง
ให้ได้เข้าใจว่า
เกิดเพราะอะไร ทำไมต้องเกิด
เข้าใจตัว เข้าใจตน
เข้าใจทุกอย่างแล้ว เจ้าค่ะ
วันนี้ ลูกกราบขอลาก่อนนะเจ้าคะ
ไว้ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่ ในโอกาสหน้า เจ้าค่ะ
สาธุ