♥ต้องเป็นผู้ฉลาดในจิตของตนด้วยการพิจารณาอยู่เสมอ
ถ้าเห็นว่าจิตใจยังมีอกุศลธรรมเหล่านี้อยู่โดยมาก
ก็นิ่งนอนใจไม่ได้แล้ว ต้องขวนขวายต้องพากเพียร
ในการที่จะเป็นผู้เจริญสติสัมปชัญญะ
เพื่อละอกุศลธรรมเหล่านี้
แต่ถ้าหากว่าพิจารณาดูแล้วว่าจิตใจของเรานี้
ไม่มีอภิชฌาอยู่โดยมาก ไม่มีพยาบาท
ไม่มีฟุ้งซ่าน ไม่มีหดหู่ ไม่มีสงสัย
ไม่มีความโกรธ จิตใจผ่องใส ไม่กระสับกระส่าย
มีความพากเพียร มีจิตตั้งมั่นดีอยู่
.
.
♥พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่าเธอก็จงทำความเพียร
เพื่อดำรงอยู่ซึ่งกุศลธรรมเหล่านี้
และเพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวกิเลสทั้งหลาย
เมื่อมีจิตดี ๆ เกิดขึ้นอยู่ก็รักษาไว้
เพียรดำรงกุศลธรรมเหล่านี้ไป
และเพื่อที่จะให้เข้าถึงที่สุดในการละสละอาสวกิเลสทั้งหลาย
.
.
♥อะไรคือแก่นในพระพุทธศาสนา ลาภสักการะชื่อเสียงหรือ
พระพุทธเจ้าว่าลาภสักการะชื่อเสียง
เป็นเพียงกิ่งใบในพระพุทธศาสนาเท่านั้น
ความสมบูรณ์ด้วยศีลก็ยังเป็นเพียงสะเก็ดไม้ในพระพุทธศาสนา
ความสมบูรณ์ด้วยสมาธิก็ยังเป็นเพียงเปลือกไม้ในพระพุทธศาสนา
ความสมบูรณ์แห่งปัญญา
ก็ยังเป็นเพียงกระพี้ในพระพุทธศาสนา
สิ่งที่เป็นแก่นในพระพุทธศาสนาก็คือ
ความหลุดพ้นแห่งใจ “อกุปปาเจโตวิมุตติ”
ความหลุดพ้นแห่งใจที่ไม่กำเริบ
ก็คือการวิมุตติหลุดพ้นจากอาสวกิเลสโดยสิ้นเชิง
จึงจะถือว่าแก่นในพระพุทธศาสนา
.
.
♥จึงไม่ให้นิ่งนอนใจ
ไม่ใช่พอใจอยู่แค่เราเป็นผู้มีศีลอันดีแล้ว
คนอื่นไม่มีศีลอย่างเรา
หรือพอใจมุ่งว่าเราจะทำให้เกิดสมาธิ เกิดความสงบ
ให้รู้ว่าสมาธิเป็นเพียงแค่สะเก็ดไม้เท่านั้นในพระพุทธศาสนา
หวังความสงบนี่ความสงบยังไม่ใช่แก่น
ยังไม่ใช่ดับทุกข์ได้จริง
ศีลเป็นเพียงสะเก็ดไม้ สมาธิเป็นเพียงเปลือกไม้
ปัญญาก็ยังเป็นเพียงกระพี้
คิดว่าเราเห็นรูปเห็นนาม เห็นความเกิดดับ
เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จะไปอยู่แค่นั้นก็ไม่ได้
ยังต้องทำต่อไป
.
.
♥แม้ระดับบรรลุอริยบุคคลโสดาบันก็ยังนิ่งนอนใจไม่ได้
ยังมีการเวียนว่ายตายเกิดอยู่
พระพุทธเจ้าจึงไม่ได้สรรเสริญเลยว่า
จะเกิดภพไหนชาติไหน
ขึ้นชื่อว่าการเกิดเป็นของทุกข์ทั้งหมด
เหมือนอุจจาระแม้จะเกิดจากอาหารอันประณีต
เกิดจากหมูเห็ดเป็ดไก่ ก็ยังเป็นของน่ารังเกียจ มีกลิ่นเหม็น
ภพชาติก็เหมือนกันไม่ว่าจะเกิดชาติไหนอย่างไร
ก็ยังตกอยู่ในกองทุกข์
โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี
ไม่เกิดในกามสุคติภูมิ ไปแต่พรหมโลก ก็ยังต้องเกิด
ก็ยังไม่หลุดพ้นทีเดียว ต้องระดับพระอรหันต์
เกิดอรหัตตมรรค อรหัตตผล สูงสุดหลุดพ้น
แก่นแท้ ดับทุกข์โดยสิ้นเชิง
.จะเห็นว่าพระพุทธเจ้าเตือนไว้ทุกระดับ
.
.
♥ฉะนั้น ยิ่งถอยมาดูแค่ระดับศีล
ระดับแค่ลาภสักการะนี่ยังไกล
ให้เราได้เตือนตัวเองว่าเราจะต้องเป็นผู้มุ่งไปสู่
แนวทางตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
เข้าถึงวิมุตติหลุดพ้น
ไต่ลำดับไปจากศีล สมาธิ ปัญญา ถึงวิมุตติหลุดพ้น
จากวิมุตติหลุดพ้นเป็นขณะ ๆ
เป็นตทังควิมุตติเป็นตทังคปหานที่เห็นรูปเห็นนาม
เห็นสภาวะความเปลี่ยนแปลงเกิดดับอยู่เป็นขณะ ๆ
ก็ยังต้องเพียรไป รู้แล้วก็รู้อีก เห็นแล้วก็เห็นอีก
อย่าคิดว่าเราเห็นแค่นั้นก็พอแล้ว
ไปนอนใจอยู่ พอใจอยู่แค่สงบ สบาย
ไม่เพียรพิจารณาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาให้ยิ่งขึ้น ๆ
มันก็ยังไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ ต้องเพียรยิ่งขึ้น ๆ
🌹ธรรมะบรรยายเรื่อง ให้ฉลาดในจิตของตน
อ่านตอนที่ ๑ คลิกที่นี่
อ่านตอนที่ ๒ คลิกที่นี่
อ่านตอนที่ ๓ คลิกที่นี่
.............................
เราจะดูว่าปฏิบัติก้าวหน้าไม่ก้าวหน้าก็ดูว่า
จิตใจเราอยู่กับเนื้อกับตัวมากขึ้นไหม
จิตมันออกไปนอกตัว
ส่งไปนอกกับอยู่กับรู้ตัวอันไหนมากกว่ากัน
ถ้าเราฝึกต่อเนื่องๆเราจะพบว่า
จิตเราจะอยู่กับเนื้อกับตัวมากขึ้น ๆ
ออกไปข้างนอกน้อยลง ๆ
จนกระทั่งถึงจุดหนึ่งมันจะอยู่กับตัวตลอด
โดยที่ไม่ต้องไปตั้งใจไม่ต้องไปบังคับเคี่ยวเข็ญ
มันจะอยู่เองรู้เองอยู่อย่างนั้น
ขลุกอยู่ในตัว ไม่ต้องออกแรงแล้วตอนนั้น
.
สติสัมปชัญญะพอฝึกฝนมากขึ้นๆ
ก็จะรู้เนื้อรู้ตัวอยู่อย่างนั้น
จะขยับจะทำอะไรจะรู้สึกไปหมด
นี่เขาเรียกว่าสติดีขึ้น
มันก็จะเป็นโอกาสให้เรา
ได้พิจารณาเห็นธรรมะในตัวเอง
เพราะเราจิตใจดี สติดี เราก็ไม่ต้องไปเพ่งอะไรแล้ว
ดูอยู่สบายๆเบาๆ สังเกตสภาวะในตัวเอง
ดูความเปลี่ยนแปลงดูความเสื่อมสลาย
ในสังขารร่างกายจิตใจที่ปรากฎ
ประสานเป็นธรรมชาติ เรียกว่ารู้ตัวทั่วพร้อมขึ้น
ไม่ต้องไปจดจ้องเฉพาะที่ใดที่หนึ่ง
เวลาที่ดู รู้ที่กาย มันก็รู้ที่ใจ รู้ที่ใจก็รู้สึกที่กาย
ตลอดทั้งสภาวะทางอื่นๆทางหู ทางจมูก ก็ตาม
.
เหมือนเราไปยืนอยู่ที่สี่แยก
เราไปยืนอยู่บนเนินสี่แยก
เราก็จะมองเห็นรถทางหน้าทางหลังทางซ้ายทางขวา
ถ้าเราไปเน้นทางเดียว
เน้นไปถนนสายทางหน้า ทางหลังไม่เห็นแล้ว
ทางซ้ายทางขวาไม่เห็น
เราต้องมองกลางๆอยู่กลางๆระหว่างกายใจ
ระลึกรู้ทั้งความรู้สึกทางกายทางใจ
เปิดใจรับรู้นี่แหละแต่ว่าเราไม่ไปเน้นทางใดทางหนึ่ง
.
ยกเว้นเราฝึกใหม่ ๆ
ฝึกใหม่ๆยังไม่ถนัดก็ไปเน้นทางกายไปก่อน
ดูลมหายใจเข้าออก ดูอิริยาบถยืนเดินนั่งนอน
แต่พอต่อ ๆ มา เราก็ระลึกรู้มาที่จิต แต่ก็ยังรู้กายอยู่
ต่อ ๆ มามันก็รู้ผสมผสานกัน
ทั้งความรู้สึกทางกายทางใจ
เปิดรับรู้ทั้งเสียงทั้งสภาวะอื่น ๆ ที่ผสมผสานอยู่ในตัว
ไม่ได้จ้องไปที่ใดที่หนึ่ง
มันก็จะเหมือนอยู่ระหว่างกลางกายใจ
.
เพราะฉะนั้นสภาวะอะไรจะเกิดขึ้น
ที่กายส่วนไหนก็จะรับรู้ แล้วก็รู้ทั้งตัว
หมายถึงว่าสติสัมปชัญญะมันดูแลทั่วทั้งตัว
จะปรากฏรู้สึกส่วนไหนของกายมันก็รับรู้
สะเทือนถึงกัน แต่ไม่ต้องวิ่งไปดู
ไม่ต้องทุ่มใจลงไปที่ขาที่แขน
มันสะเทือนถึงกัน
เหมือนกลองใบหนึ่งเคาะตรงไหนก็สะเทือน
เหมือนใยแมงมุมที่มันชักใยไว้ มันมีใยไว้ทั่ว
ตัวมันก็อยู่ตรงกลาง
มีแมลงมาโดนจุดไหนมันก็สะเทือนไปถึงตัวมัน
มันไม่ต้องไปวิ่งคอยดักตรงนั้นดักตรงนี้
.
อันนี้ก็เหมือนกัน เราก็ต้องเจริญสติให้มีเครือข่าย
รู้ไปทั้งตัว แต่ไม่ต้องวิ่งไปดู
เหมือนมีกระแสออกไปรับรู้
เหมือนเรามองอะไรแม้ว่าเราจะมองสิ่งตรงหน้าเรา
แต่เราก็สามารถจะชำเลืองมองสิ่งข้างๆก็ได้
โดยที่เราไม่ต้องหันไป
เราก็สามารถมองเห็น
มองตรงหน้าแต่เราสามารถสังเกตสิ่งข้าง ๆได้
สายตาเรามันจะสังเกตได้
อาตมาบางทีไม่ได้มองหน้าคน ที่จริงเห็นคน
บางคนหาว่าไม่มองหน้า
คือเราไม่ได้มองตรง ๆแต่เราก็เห็น
แต่ว่าสายตาเขาไม่ทันสายตาเรา
บางทีคนมากราบ มาลุก เรามองก็เห็น
แต่เขาว่าเราไม่มอง ไม่มองจะเห็นได้อย่างไร ก็เห็น
เหมือนเรามองตรงหน้าเราจะเห็นคนข้างๆได้
เราไม่จำเป็นต้องหันไปมองก็ได้
.
เหมือนกัน ที่เราระลึกรู้ที่จิตอยู่นี้
แต่เราก็สามารถชำเลืองมองสภาวะที่กายได้
โดยที่เราไม่ต้องเพ่งลงไปความรู้สึกทางกายทางใจ
จะได้ไม่เสียศูนย์
ถ้าเราจิตหลุดจากฐาน
ไปดูตรงนั้นไปดูตรงนู้นมันก็เสียฐาน
แต่ถ้าเรารักษาฐานไว้ รักษาไว้
แต่เราก็สามารถจะมีกระแสของจิต
ไปรับรู้ความรู้สึกต่าง ๆ
โดยความเป็นจริงแล้ว
มันก็คือรู้จิตอยู่เสมอ ๆ นั่นแหละ
สติมาดูแลรักษาจิตอยู่เสมอ
แต่ก็ไม่ใช่รู้เฉพาะจิต
มันก็เปิดรับอะไรที่จะสัมพันธ์สื่อเข้ามาถึงจิตก็รับรู้กันไป
.
เหมือนเรามีเครื่องเรดาร์ส่องทั้งตัว
เหมือนอย่างปัจจุบันนี้เขามีดาวเทียม
ฉะนั้นความเคลื่อนไหวโลกทั้งโลกผิวโลกเขารู้
ดาวเทียมมันสื่อถึงกัน เขาจึงสามารถถ่ายภาพ
อย่างที่วัดนี้เขาก็ถ่ายออกมาได้
ที่ถ่ายคัดมาจากอินเตอร์เน็ตนี่ถ่ายมาจากดาวเทียม
สามารถเห็นภาพสถานที่ของวัด เห็นผังวัด
ตรงไหนเป็นต้นไม้เป็นศาลา มีเห็นได้ กำหนดได้เลย
เพราะฉะนั้น ตัวนั้นมันก็จะส่งอยู่ไกล
พอส่งก็ส่งไปได้ทุกจุด แต่ถ้ามันลงมาที่ต่ำลง
ลงมาที่จุดจังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง
จังหวัดอื่นมันก็ไม่รู้แล้ว ประเทศอื่นก็ไม่รู้
แต่ว่าเขาส่องทีเดียวทั้งหมด
เหมือนคนไปอยู่ที่สูงก็จะมองไปได้ทั่วไกล
.
จิตเราเหมือนกัน
เราก็ฝึกสติเหมือนกับมองทั้งหมดนี่แหละ
มองกายทั้งหมด มองใจทั้งหมด
แต่ว่าไปจับที่ความรู้สึก มองไปจับที่ความรู้สึก
ถ้าเราเจริญวิปัสสนา เป็นตัวสภาวะ
ความรู้สึกมันเป็นสภาวะ
ไปจับความรู้สึกเย็น ร้อน ตึง หย่อน ไหว
สบาย ไม่สบาย จิตใจรู้สึกนึกคิด
มันไปจับที่สภาวะอย่างนี้
แต่อย่างกล้องเขาจับเขาจับสีสัน มันก็เป็นภาพขึ้นมา
.
หรือเราอาจจะอุปมา
เหมือนกับเครื่องเอ็กซเรย์ที่ส่องเอ็กซเรย์ทั้งตัว
เขาไปจับอวัยวะภายใน ไปจับกระดูก เห็นโครงกระดูก
อันนี้เรามีเอ็กซเรย์ส่องสัมผัสความรู้สึก
เราไม่ได้จับเป็นภาพ
สติสัมปชัญญะที่ส่องลงไปไม่ได้ไปจับภาพ
แต่ไปจับความรู้สึก
ไปรู้ที่ความรู้สึกว่ามันจะรู้สึกตึง หย่อน ไหว
สบาย ไม่สบาย นึกคิด รู้สึก
มันไปจับกันที่ความรู้สึก
มันถึงจะเป็นการรู้ที่เป็นวิปัสสนาคือรู้สภาวะ
.
ถ้าเราไปจับเป็นเนื้อเป็นหนัง
เป็นท่อนแขนขาหน้าตานี้เราไปจับสมมติ
ส่องแล้วไปติดสมมติ
มันต้องผ่านสมมติเพิกสมมติ
เป็นรูปร่างสัณฐานแขนขาหน้าตานี่
มันเพิกออกไป มันส่องลึกซึ้งไปถึงความรู้สึก
ไปเจอความไหวๆ ตึงๆ รู้สึกสบาย ไม่สบาย
นั่นแหละเป็นตัวสภาวะ
ที่มันจะป้อนแสดงความจริงให้เกิดสติปัญญา
.
แล้วเอาอะไรมาส่อง
ก็คือสติสัมปชัญญะนี้ที่เป็นตัวส่อง
ทีนี้มันส่องนี่มันส่องตัวมันเองด้วย
ส่องไปที่กายเจอความรู้สึกที่กาย
ส่องตัวมันเอง ส่องใจ ใจรู้ใจก็เจอใจด้วย
เจอความรู้สึกของจิตใจ
จิตนี่มันมีความสามารถที่จะรู้ได้รอบตัว
รู้ที่รู้ที่ตัวด้วย
ที่สุดเมื่อส่องสัมผัสเจอสภาวะความเป็นจริง
แล้วก็จะเห็นความเปลี่ยนแปลง
เห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
เรียกว่าเกิดวิปัสสนาญาณ
มันก็จะทำให้เป็นไปเพื่อละเพื่อสละ
เพื่อคลายจากความอยากความยึด
เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเช่นนั้นเอง
มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา มีความดับไปโดยธรรมดา
มันบังคับบัญชาไม่ได้ ไหลไปตามเหตุตามปัจจัย
............................
ธัมโมวาท โดยพระวิปัสสนาจารย์
ท่านเจ้าคุณ พระภาวนาเขมคุณ วิ.
(หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี)
เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา
"...ความปรุงแต่งนี่เหมือนเป็นโรงผลิต
เป็นโรงงานผลิตอะไรต่าง ๆ
ถ้าเราทำลายโรงงานผลิตเสียแล้ว
คือเข้าถึงรังผลิต ทำลายรังผลิต
มันก็ผลิตอะไรออกมาไม่ได้
จิตนี่ก็เหมือนกันนะ
#ก็เพราะเกิดการผลิตขึ้นจากในใจ
แต่ถ้าเรารู้ทันก็จะไม่ผลิต
ไม่สร้างอะไรออกมา ก็จะไม่กลัวอะไร
ไม่ว่าจะเป็นความกลัว
ความวิตกกังวล ความแค้น
หรือความกำหนัดยินดีในกามก็ตาม
#ล้วนเกิดจากการปรุงแต่งทั้งสิ้น
อย่างเช่น ความโกรธ
ความอาฆาตมาดร้าย
ก็เกิดจากการปรุงแต่งในจิต
ปรุงว่า เขาว่าอย่างนั้น เขาไม่ดีอย่างนี้
เขาเป็นอย่างนั้น
เขาทำไม่ดีต่อเราอย่างโน้น
เขาพูดไม่ดี เขาอะไรต่างๆ
เมื่อมีสิ่งเหล่านี้ปรุงอยู่ในจิต
ก็จะเกิดความโกรธแค้น เกิดเป็นความทุกข์
#ความทุกข์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นมาในใจนั้น
#ก็มีเหตุมาจากการปรุงแต่งในจิตทั้งหมด
#ไม่เห็นความเป็นเหตุเป็นปัจจัย..."
................................
🌺🍃 ท่านเจ้าคุณพระภาวนาเขมคุณ
(หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี)
ตัวผู้รู้คืออะไร...?
ก็คือ...จิตที่อยู่กับสติ
จิตที่มันมีสติอยู่นั่นแหละ
มันมีสติ มีสัมปชัญญะ
มันเกิดร่วมกับจิต
ทำงานร่วมกันอยู่
เป็นผู้รู้สภาวะอยู่
ยกตัวอย่างเช่นว่า
กายเคลื่อนไหวแล้ว
ก็มีผู้รู้ไปดูการเคลื่อนไหว
มีผู้รู้กำลังไปรู้ถึงเคลื่อนไหว
นี่เท่ากับว่าความไหวก็อันหนึ่ง
ผู้รู้ก็อันหนึ่ง
จะต้องระลึกรู้ทั้งสองอันนี้
คือรู้ความไหวและรู้ตัวผู้รู้ด้วย
ในขณะนั้นๆ ต้องฝึกหัดรู้
ความไหวด้วย รู้ตัวผู้รู้ด้วย
ผู้รู้นั้นกำลังรู้อะไร
กำลังรู้...ความไหว
เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง
สติที่เกิดขึ้นมาทีหลัง
มันก็เป็นผู้รู้เหมือนกัน
แต่มันไปรู้ผู้รู้
ขณะหนึ่งมันไปรู้ความไหว
ขณะหนึ่งมารู้ผู้รู้
ก็เหมือนกับมันรู้ตัวมันเอง
แต่มันคนละขณะกัน
ผู้รู้อันใหม่มารู้ ผู้รู้อันเมื่อครู่นี้หยกๆ
นี่คือตัวอย่างอันหนึ่ง
ธัมโมวาท โดยพระวิปัสสนาจารย์
ท่านเจ้าคุณ พระภาวนาเขมคุณ
(หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี)
เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา
♥นิวรณ์ แปลว่า เครื่องกั้น
เครื่องกั้นขวางความดี
ความง่วง นั่งง่วง ยืนง่วง เดินง่วง
ถือว่าเป็นนิวรณ์ข้อหนึ่ง
ความฟุ้งซ่าน ฟุ้งมาก
จิตใจซัดส่ายวุ่นวาย จิตไม่สงบ
นี่ก็เป็นนิวรณ์ข้อหนึ่ง
.
.
♥มีความขัดเคืองใจ มีความโกรธ
โกรธเสียงดังบ้าง เสียงเครื่องจักร
เสียงคนคุย เสียงหนวกหู
โกรธตัวเองบ้างทำไม่ได้
นี่ก็เป็นนิวรณ์อีกข้อหนึ่ง
บางครั้งก็มีกามฉันทะนิวรณ์
ความกำหนัดยินดีในกามคุณอารมณ์
มีวิจิกิจฉา ความสงสัยลังเลใจ
นิวรณ์ทั้ง 5 กลุ้มรุมใจ
เราจะต้องฝึกให้ผ่านนิวรณ์เหล่านี้ไปได้
.
.
♥เมื่อจิตยังไม่มีสมาธิ จิตใจยังไม่ตั้งมั่น
นิวรณ์เหล่านี้ก็จะกลุ้มรุมใจ
หรือว่าสติสัมปชัญญะยังไม่เข้มแข็ง
กายใจยังไม่มีพลัง ก็ถูกนิวรณ์เหล่านี้กลุ้มรุมใจ
เราจะทำอย่างไรต่อนิวรณ์ที่เกิดขึ้น
ก็มีแนวทางปฏิบัติทั้งวิธีของวิปัสสนา
ทั้งวิธีของสมถะ
.
.
♥วิธีของสมถะเ ป็นการเข้าไปเพ่ง
อยู่ในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งให้มาก
เมื่อจิตตั้งมั่นก็จะสามารถระงับดับนิวรณ์เหล่านี้ได้
เป็นวิธีการข่มระงับนิวรณ์สำหรับสมถกรรมฐาน
.
.
♥ส่วนวิธีของวิปัสสนานั้นจะใช้การระลึกรู้
เมื่อนิวรณ์ข้อใดเกิดขึ้น ก็จะระลึกรู้นิวรณ์นั้น ๆ
เอานิวรณ์นั้นเป็นกรรมฐาน หรือเป็นที่ตั้งของสติ
.
.
♥เมื่อเกิดความฟุ้งซ่าน ก็ให้กำหนดรู้ความฟุ้งซ่าน
เกิดราคะก็กำหนดรู้ราคะ
เกิดความโกรธความพยาบาท
ก็กำหนดรู้ความโกรธความพยาบาทที่เกิดขึ้น
เกิดความหดหู่ท้อถอย ง่วงเหงาหาวนอน
ก็กำหนดรู้อาการของความหดหู่
ความง่วงเหงาหาวนอนที่เกิดขึ้น
เกิดความสงสัยก็กำหนดรู้ความสงสัย
เพราะว่านิวรณ์แต่ละข้อนี้
เป็นปรมัตถธรรม เป็นนามธรรม
.
.
♥สิ่งที่เราทั้งหลายไม่สามารถจะขอร้อง
หรือปรารถนาให้เป็นไปได้อย่างใจ
พระพุทธเจ้าแสดงไว้มี ๕ ประการด้วยกัน
พระองค์ตรัสไว้ในทสกนิบาต อังคุตตรนิกาย ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฐานะ ๕ อย่างเหล่านี้
อันสมณะหรือพราหมณ์ เทวดา มาร พรหม
หรือใคร ๆ ในโลกไม่พึงได้
ฐานะ ๕ อย่างไม่ว่าจะเป็นสมณะ
เป็นพราหมณ์ เป็นเทวดา มาร พรหม
หรือใคร ๆในโลกไม่พึงที่จะปรารถนาให้เป็นไปได้คือ
.
.
♥หนึ่ง #ขอสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาอย่าได้แก่เลย
เราทุกคนก็ตกอยู่ในสภาพที่มีความแก่เป็นธรรมดา
ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้ และเป็นสิ่งที่เราห้ามไม่ได้
เราจะปรารถนาว่าขออย่าแก่เลย
สังขารนี้อย่าแก่เลย มันก็ไม่ฟัง มันก็ต้องแก่
เพราะฉะนั้น เราก็ควรจะพิจารณาเนือง ๆ ว่า
เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้
.
.
♥พระพุทธเจ้าสอนว่าให้พิจารณาเนือง ๆ
ไม่ว่าจะเป็นสตรีเป็นบุรุษ จะเป็นคฤหัสถ์เป็นบรรพชิต
ควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า
เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้
เพื่อประโยชน์อะไร
เพื่อจะได้บรรเทาความเมาในความเป็นหนุ่มเป็นสาว
เพราะว่าบุคคลที่ตกอยู่ในความเมา
เมาว่าเรายังหนุ่มยังสาว
ก็จะประกอบกายทุจริต วาจาทุจริต มโนทุจริต
แล้วก็เป็นการสั่งสมเหตุแห่งบาป เหตุแห่งความทุกข์
เบื้องหน้าแห่งกายแตกก็จะลงสู่อบาย
อันมีทุคติ วินิบาต นรก
.
.
♥ฉะนั้น เราก็ควรพิจารณาไว้เสมอ ๆ ว่า
เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้
อย่าคิดว่าเราไม่แก่ เรายังหนุ่มยังสาว แป๊บ ๆ เดี๋ยวก็แก่
เราก็ลองพิจารณา
เราเห็นคนบางทีไม่พบกันไม่กี่ปีแก่ลงไปมาก
นึกถึงตัวเราเองเราก็แก่เช่นเดียวกัน
.
.
♥สิ่งที่เราขอร้องหรือปรารถนาให้เป็นอย่างใจไม่ได้
ประการที่สองก็คือ
#ขอสิ่งที่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดาอย่าได้เจ็บไข้เลย
นี่ก็ขอร้องไม่ได้ สังขารร่างกายเหล่านี้
จะต้องมีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา เราจะขอร้องมันก็ไม่ฟัง
ฉะนั้น ก็ควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า
เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้
ก็เพื่อที่จะบรรเทาความเมาในความไม่มีโรค
เพราะว่าบุคคลมักจะเมา
ในชีวิตที่ยังไม่มีโรคภัยไข้เจ็บก็มัวเมาอยู่แล้ว
ก็ประกอบกายทุจริต วาจาทุจริต มโนทุจริต
มีการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม
โกหก หยาบคาย ส่อเสียด เพ้อเจ้อ ที่สุดก็ไปสู่อบาย
.
.
♥ฉะนั้น ถ้าเราพิจารณาไว้เนือง ๆ ว่า
เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้
จะได้บรรเทาความเมาในความไม่มีโรค
คิดว่าเราจะไม่มีโรค โรคมันรออยู่ข้างหน้า
เราก็ดูคนอื่น ๆ ทั้งหลายป่วย เดี๋ยวก็ป่วยโรคนั้นโรคนี้
ยิ่งปัจจุบันโรคภัยไข้เจ็บเยอะแยะ
คนที่ตายด้วยโรคมะเร็งก็เยอะ ตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บ
.
.
♥สิ่งที่ขอร้องหรือปรารถนาให้เป็นดังใจไม่ได้ประการที่สามคือ
#ขอสิ่งที่มีความตายเป็นธรรมดาอย่าได้ตายเลย
(โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป ในวันพรุ่งนี้)
อย่างเช่น เวลาฟุ้งซ่านแล้วกำหนดดูฟุ้งซ่านที่เกิดขึ้น
เป็นนามธรรม เป็นปรมัตถธรรม
สภาพของจิตที่ฟุ้งไปฟุ้งมา คิดไปคิดมา
ซัดส่าย วุ่นวายใจ ก็กำหนดดู
ทีนี้การกำหนดรู้ความฟุ้งซ่าน
จะต้องวางใจให้ถูกด้วย
ถ้าเราวางใจไม่ถูก มันจะไปซ้ำเติมมากขึ้น
.
.
♥เช่น กำหนดความฟุ้งแบบไม่ชอบ
ดูทีไรก็โกรธ เกลียด ไม่ชอบฟุ้ง เกลียดฟุ้ง
ไม่ชอบฟุ้ง อยากหายฟุ้ง อยากสงบ
กลายเป็นมีอวิชชาและโทมนัส
ความไม่พอใจในความฟุ้งเป็นโทสะ
มันเป็นโทมนัส เป็นอกุศลเติมลงไป
ถ้ากำหนดแบบไม่พอใจ
หรือว่าอยากหายฟุ้ง อยากสงบ เป็นอวิชชาอีก
เพ่งเล็งอยากจะได้สงบ นี่วางใจไม่ถูก
เมื่อวางใจไม่ถูกก็เหมือนเราเจริญกิเลสเติม
จะดับไฟแต่ใส่ฟืน ต้องวางใจให้ถูก
.
.
♥กำหนดฟุ้งอย่างไร
วางใจเป็นกลาง ไม่ยินดียินร้าย
ละอวิชชาและโทมนัสออกไป
รู้ฟุ้งก็รู้ไปเฉย ๆ อย่าไปใส่ความไม่ชอบ
อย่าไปอยากให้หายฟุ้ง
ดูฟุ้งอย่างไม่ว่าอะไร นี่เป็นการวางใจให้ถูก
ถ้าวางใจถูก มันก็จะดับ ไม่ไปเติมเชื้อมัน
ความฟุ้งเมื่อถูกรู้ ถูกรู้ มันก็ค่อยคลี่คลาย
รู้สึกมันเบาลง จางลง คลายลง
.
.
♥บางทีสติสัมปชัญญะดี
กำหนด มันดับให้เห็นเลย
กำหนดปุ๊บ ดับทันที ใจมันโล่งโปร่งทันทีก็ได้
ถ้าสติยังไม่เข้มแข็ง
ก็จะเห็นว่ามันค่อยจางลง เบาลง คลายลง
ถ้าวางใจให้ถูกแล้วมันก็มีผล
จิตใจมันจะกลับมาสู่สภาพที่ดีงาม
.
.
♥ต้องคอยสำรวจเวลาปฏิบัติ วางใจถูกไหม
ดูซิเวลาระลึกไป ยินดียินร้ายหรือเปล่า
ฝึกการวางเฉยให้เป็น
ฝึกการวางใจเป็นกลางให้ถูก
อันนี้มันเป็นเรื่องที่ต้องฝึกหัดทำ
โดยมีความเข้าใจ มีคำสอนอยู่แล้ว
คำสอนคืออย่างไร วางใจเป็นกลาง
วางเฉย ปล่อยวาง ไม่ยินดียินร้าย
ต้องไม่ลืม แล้วก็ฝึกหัดทำไป
หนึ่ง ระลึกตรงตัวของความฟุ้ง
สอง วางใจให้ถูก
.............................
ธัมโมวาท โดยพระวิปัสสนาจารย์
ท่านเจ้าคุณ พระภาวนาเขมคุณ วิ.
(หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี)
เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา
.............................
ขอร่วมอนุโมทนาบุญ จิตอาสาช่วยถอดเทปธรรมบรรยาย
คุณจุฑาทิพย์ หิรัญญสัมฤทธิ์ สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิค่ะ
ถอดจากเทปธรรมบรรยาย นิวรณ์
♥สิ่งที่ขอร้องหรือปรารถนาให้เป็นดังใจไม่ได้
ประการที่สามคือ ขอสิ่งที่มีความตายเป็นธรรมดาอย่าได้ตายเลย
ก็ไม่ได้อย่างใจหรอก ชีวิตนี้จะต้องตาย
เราจะไปขอร้องปรารถนาอย่าให้ตายก็ไม่ฟัง ไม่สมปรารถนา
เพราะฉะนั้น ก็ควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า
เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้
คนที่ไม่พิจารณาความตายก็จะเกิดความมัวเมาในชีวิต
ไม่ได้นึกถึงว่าความตายรอคอยอยู่
หรือความตายจะมาถึงเมื่อไรก็ไม่รู้ตัว
ไม่รู้ว่าเราจะตายด้วยโรคอะไร ไม่รู้ว่าเราจะตายด้วยอายุเท่าไร
ไม่รู้ว่าเราจะตายเวลาไหน ไม่รู้ว่าเราจะนอนตายที่ไหน
ตายแล้วจะไปไหนไม่มีนิมิตเครื่องหมายบอกให้รู้
แต่ที่แน่ ๆ คือต้องตาย
.
.
♥เหมือนคนบางทีก็ทำมาหาเลี้ยงชีพจนลืมความตาย
เราจึงบอกเป็นคำคมคำพังเพยว่าคบพ่อค้าอายุยืนหมื่นปี
คบยายชีตายวันตายพรุ่ง คือคนเป็นพ่อค้าแม่ขายลืมวันตาย
เหมือนตัวเองจะอายุยืน เรียกว่าอายุยืนหมื่นปี
ไม่ได้ยืนจริง ๆ หรอก แต่ลืมวันตาย
มัวแต่ทำมาหากินทุกวัน ๆ ไม่ได้นึกถึงความตาย
ถ้าเราไปคบแม่ชีแกจะพูดแต่เรื่องตายอย่างเดียว
แม่ชีเขาพิจารณาเรื่องตาย ไปใกล้แม่ชี แม่ชีก็จะพูดแต่เรื่องตาย
ก็เลยเหมือนตายวันตายพรุ่ง นึกถึงความตายอยู่เรื่อย ๆ
ฉะนั้น ถ้าเรานึกถึงความตายแล้วเราจะไม่มัวเมาต่อชีวิต
ชีวิตเราตายแล้วเราก็เอาอะไรไปไม่ได้ จะมัวหลงอะไรอยู่
.
.
วันเวลาผ่านไปทุกนาที
กลืนกินชีวิตนี้ไปทุกขณะ
เราทำอะไรเป็นแก่นสารบ้างล่ะ
หรือแค่เกะกะเกิดแก่เจ็บตาย
เกิดมาไม่ได้ทำอะไรให้เป็นสาระ
เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น
ก็เกิดมาแค่เกิดแก่เจ็บตาย ไม่ได้สาระอะไร
สาระของชีวิตอยู่ที่คิดดี ทำดี พูดดี
ทำหน้าที่อย่างถูกต้องตามครรลองประโยชน์ตนและคนอื่น
.
.
♥สิ่งที่ขอร้องหรือปรารถนาให้เป็นไปอย่างใจไม่ได้
ประการที่สี่ก็คือ ขอสิ่งที่มีความสิ้นไปเป็นธรรมดาอย่าได้สิ้นไปเลย
สิ่งทั้งหลายที่จะต้องสิ้นไปเราก็บังคับไม่ได้ ต้องสิ้นไป
ไม่ว่าเราจะมีสิ่งใดสมบัติอันใดก็ต้องสิ้นไปเหมือนกัน
จะเป็นบุคคลอันเป็นที่รัก จะเป็นสมบัติอะไรก็ตามก็ต้องสิ้นไป
เขาไม่จากเรา เราก็จากเขา
ฉะนั้น ควรจะที่จะพิจารณาไว้เสมอว่า
เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของเจริญใจทั้งหลายไป
พิจารณาไว้บ่อย ๆ
พอมีอะไรก็ให้รู้ว่าสิ่งเหล่านี้จะต้องจากเราไป
ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ สามีภรรยา ลูกหลาน วงศ์วาน สมบัติพัสถาน
มีก็รู้ว่าสิ่งเหล่านี้จะต้องพลัดพรากจากกัน
บางทีก็พลัดพรากกันยังมีชีวิตอยู่นี่แหละ
แต่ที่สุดแล้วก็ต้องจากพลัดพรากอย่างแน่นอน
เมื่อวันสิ้นลมหายใจ
.
.
♥ประการที่ห้า ขอสิ่งที่มีความพินาศไปเป็นธรรมดาอย่าได้พินาศเลย
นี่ก็ห้ามไม่ได้ สังขารทั้งหลายทั้งสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต
มีความเกิดขึ้นจากเหตุปัจจัยแล้วก็จะต้องดับไปตามเหตุตามปัจจัย
ต้องพินาศไปหมดทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมดาอย่างนี้
คนที่ไม่ได้สดับก็จะพิจารณาไม่ออก
ถ้าเราได้เป็นผู้สดับตรับฟัง เป็นผู้ฟังธรรมประพฤติธรรม
เมื่อถึงคราวต้องประสบสิ่งเหล่านี้ก็จะรู้จักคิดเป็น
เช่นที่ว่าเผชิญต่อความแก่ ความเจ็บ ความตาย
ก็ให้รู้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เกิดขึ้นกับเราคนเดียว
คนอื่นสัตว์อื่นก็เกิดขึ้นทั้งนั้น
แท้ที่จริงแล้วสัตว์ทั้งหลายก็ต้องเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น
บางคนพอเจอปัญหาชีวิตเจอทุกข์
เหมือนกับว่าตัวเองเป็นทุกข์มากกว่าใครทั้งหลายในโลกนี้
หารู้ไม่ว่าทุกคนก็ต่างคนต่างคิดอย่างนี้ว่า
ทำไมเราเกิดมาทุกข์กว่าคนอื่น มันก็ทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น
.
.
♥ฉะนั้น ถ้าหากว่าเราต้องประสบกับกองทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้
ถ้าเราจะมัวเศร้าโศก ลำบากใจ บ่นเพ้อ
ตีอกชกลม คร่ำครวญ หลงใหล
เราก็ต้องพิจารณาว่าเราก็อาจจะกลืนอาหารไม่ลง
มัวเศร้ามัวโศกพิไรรำพัน กินอาหารไม่ลงคอ
ผิวพรรณของเราก็จะทราม การงานก็จะดำเนินไปไม่ได้
ศัตรูก็ดีใจ ส่วนมิตรสหายของเราก็จะเสียใจ
.
.
♥พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“บุคคลที่ตกอยู่ในอาการแห่งความทุกข์เหล่านี้
เรากล่าวว่าถูกลูกศรคือความโศกอันมีพิษแทงเอาแล้ว
ย่อมทำตัวเองให้เดือดร้อนอยู่”
แต่สำหรับอริยสาวกนั้นจะคิดเป็น
เมื่อประสบกับกองทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้ไม่ใช่มีแต่เราคนเดียว
คนอื่นก็เป็นอย่างนี้เหมือนกัน สัตว์โลกทั้งหลายก็เป็นอย่างนี้
ถ้าเรามัวเศร้ามัวโศกอยู่เราก็จะกินอาหารไม่ลง
ผิวพรรณก็จะทราม การงานก็จะเสียไป
ศัตรูดีใจ มิตรสหายเสียใจ
พิจารณาได้อย่างนี้ก็จะไม่ถูกลูกศรทิ่มแทงใจ
(โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป ในวันพรุ่งนี้)
♥การที่เราพิจารณาความแก่ ความเจ็บ
ความตายไว้บ่อย ๆ มันเป็นการเตรียมใจ
คนไม่เตรียมใจอะไรไว้ถึงเวลาก็ทำใจไม่ได้
เรามีสิ่งใดเราก็ต้องเตรียมใจไว้ก่อน
เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้
เรามีความเจ็บเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไปได้
เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้
เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของเจริญใจทั้งหลายไป
เรามีกรรมเป็นของของตน เราจะต้องรับผลของกรรม
เป็นทายาทรับมรดกกรรมที่เราทำไว้
เรามีกรรมเป็นกำเนิด เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์
เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำกรรมอันใดไว้
เราก็จะต้องเป็นผู้รับผลแห่งกรรมอันนั้น
พิจารณาอย่างนี้เราก็เลือกทำแต่กรรมดี
เว้นกรรมชั่ว ในกรรมชั่วนั้น
.
.
♥พระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่มีเลยที่จะให้ผลเป็นความสุข
การทำชั่วไม่มีผลเป็นความสุขได้
การทำความดีไม่มีผลเป็นความทุกข์ได้
การทำชั่วย่อมมีผลเป็นความชั่วมีผลเป็นความทุกข์
การทำดีย่อมมีผลเป็นความดีเป็นความสุขอย่างแน่นอน
ฉะนั้น เราก็ต้องพิจารณาตนเอง
ให้เป็นผู้ห่างไกลต่อความชั่วทางกาย ทางวาจา
ตลอดทั้งทางใจ ทางกายทางวาจาเราก็ดูได้ง่ายหน่อย
กายไม่ฆ่าสัตว์ กายไม่ลักทรัพย์
กายไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่ประพฤติผิดพรหมจรรย์
วาจาไม่โกหก วาจาไม่กล่าวโทษ ไม่ส่อเสียด
ไม่หยาบคายด่าทอ ไม่เพ้อเจ้อ เราต้องระมัดระวัง
.ส่วนทางใจเราก็ต้องพิจารณายิ่งขึ้น
.
.
♥พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ในทสกนิบาตร อังคุตตรนิกายว่า
“ถ้าหากว่าไม่ฉลาดในเรื่องจิตของผู้อื่น
ก็ควรฉลาดในเรื่องจิตของตนเอง”
จิตของคนอื่นเราไม่ฉลาดไม่เป็นไร
ขอให้ฉลาดในเรื่องจิตของตนเอง
เหมือนหญิงสาวหรือชายหนุ่มวัยรุ่นหนุ่มสาว
ปกติเขาแต่งเนื้อแต่งตัวแล้ว
เขาก็จะไปส่องกระจกดูเงาตัวเอง
ถ้าเห็นว่าตรงไหนมันเป็นมลทิน
ตรงนั้นมันเปื้อน ตรงนี้ไม่งาม
เขาก็จะจัดการชำระตกแต่งใหม่
แต่งให้ดีให้ผุดผ่องใหม่
ถ้าส่องแล้วก็ผ่องใส หน้าตาดูงดงาม
เขาก็จะปลื้มใจ ภูมิใจ รักษาความงดงามของเขา
.
.
♥ข้อนี้ฉันใด ภิกษุทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน
ก็ต้องตรวจสอบพิจารณาจิตของตัวเอง
พิจารณาจิตเหล่านี้จะมีอุปการะมากในกุศลธรรมทั้งหลาย
จะต้องดูว่าเรามีอะไรเป็นมลทินบ้าง
เหมือนหญิงสาวชายหนุ่มที่เขาต้องคอยดูหน้าตาส่องกระจก
.
.
♥ภิกษุทั้งหลายหรือผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย
ก็ต้องคอยส่องตัวเอง พิจารณาจิตตัวเองว่า
เรามีอภิชฌาหรือไม่มีอภิชฌาอยู่โดยมากหนอ
อภิชฌาคือความเพ่งเล็งอยากได้
ความละโมบโลภมาก ความพอใจติดใจในอารมณ์
ส่องดูใจตัวเองซิว่าเรานี้
เป็นบุคคลที่มีอภิชฌาหรือไม่มีอภิชฌามากอยู่หนอ
มันอยู่โดยมากไหม อภิชฌามันเป็นโดยมากไหม
ส่องดูใจตัวเอง
.
.
♥ส่องดูว่าเรามีพยาบาทหรือไม่มีพยาบาทอยู่โดยมากหนอ
ตรวจสอบเช็คจิตใจตัวเองซิว่า
เราเป็นคนมีจิตพยาบาทอยู่โดยมากหรือไม่มากหนอ
ตรวจดูว่าเราถูกความหดหู่ง่วงงุน
รึงรัดอยู่โดยมากหรือไม่มากหนอ
สำรวจตัวเองวันๆหนึ่งนั่งหลับสัปหงกเซื่องซึมง่วงงุน
หรือว่าเราไม่ตกอยู่ในความง่วงเหงาหาวนอนอยู่หรือไม่
ตรวจดูว่าเรามีความฟุ้งซ่าน
หรือไม่มีความฟุ้งซ่านอยู่โดยมากหนอ
ความฟุ้งซ่าน จิตใจซัดส่ายไป
ดูซิว่าเราเป็นคนจิตใจฟุ้งซ่านหรือจิตใจไม่ฟุ้งซ่านโดยมากหนอ
.
.
♥เรามีความลังเลสงสัยหรือไม่มีความลังเลสงสัยอยู่โดยมากหนอ พิจารณาใจของตัวเองเต็มไปด้วยความสงสัย
หรือว่าไม่สงสัยโดยมากหนอ
ดูว่าจิตใจของเรามันมีความโกรธ
หรือไม่มีความโกรธอยู่โดยมากหนอ
ส่องดูเสมอว่าใจของตัวเองมันโกรธบ่อยไหม
มีความโกรธอยู่โดยมากหรือว่าเป็นคนจิตใจไม่มักโกรธ
จิตของเรามีความเศร้าหมองหรือว่า
จิตของเราไม่เศร้าหมองอยู่โดยมากหนอ
.
.
♥วัน ๆ หนึ่งจิตของเราเป็นอย่างไร
เศร้าหมองอยู่โดยมากหรือว่าจิตผ่องใสอยู่โดยมาก
เรามีความกระสับกระส่าย กายของเรากระสับกระส่าย
เรามีความเกียจคร้าน เราเป็นคนขี้เกียจเกียจคร้าน
ไม่อยากตื่น ไม่อยากปฏิบัติ ไม่อยากทำงานทำการ
หรือเราเป็นคนมีความพากเพียรอยู่โดยมากหนอ
พิจารณาดู เรามีจิตไม่ตั้งมั่นหรือมีจิตตั้งมั่นอยู่โดยมากหนอ
.
.
♥พระพุทธเจ้าสอนให้พิจารณาจิตของตัวเองเหล่านี้
เราไม่ฉลาดในเรื่องจิตของผู้อื่นไม่เป็นไร
ขอให้ฉลาดในเรื่องจิตของตัวเอง
ดูอยู่เสมอว่าจิตเป็นอย่างไร
ถ้ารู้ว่าจิตของเรามันเป็นไปโดยมากในความพยาบาท
ในความละโมบโลภมาก ในความหดหู่ง่วงงุนรึงรัดอยู่
มากไปด้วยความฟุ้งซ่าน มากไปด้วยความลังเลสงสัย
มากไปด้วยความโกรธ มากไปด้วยความเศร้าหมอง
กระสับกระส่าย เกียจคร้าน จิตใจไม่ตั้งมั่น
.
.
♥เมื่อเราพิจารณาอย่างนี้อยู่ พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นก็ควรทำฉันทะคือความพอใจ
ความพยายาม ความอุตสาหะ ความตั้งใจ
ความไม่ท้อถอยในความที่จะเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ
อันมีประมาณยิ่งเพื่อจะละธรรมอันเป็นบาปอกุศลเหล่านี้
ให้เสมือนว่าคนมีผ้าถูกไฟไหม้
หรือมีศีรษะถูกไฟไหม้ที่จะต้องรีบทำการดับไฟเหล่านั้น”
ถ้ารู้ว่าเราก็ยังมากไปด้วยอกุศลธรรมอย่างนี้
ก็ควรจะต้องทำให้มีฉันทะพอใจในการปฏิบัติ
ต้องปรารภความเพียรขึ้น ต้องอุตสาหะ ตั้งใจ
ไม่ท้อถอยในการประพฤติปฏิบัติ
.
.
♥การเป็นผู้ที่จะต้องมีสติสัมปชัญญะระลึกรู้สึกตัวอยู่
เพื่อที่จะละอกุศลธรรมบาปกรรมเหล่านี้
ให้เสมือนว่าคนที่กำลังถูกไฟไหม้ผ้าอยู่หรือไฟไหม้ศีรษะ
ผ้าที่เรานุ่งไฟมันไหม้อยู่หรือไฟมันไหม้อยู่บนศีรษะอย
เราจะทำอะไร จะมัวไปทำอย่างอื่นหรือ
สิ่งที่ควรทำก็ต้องรีบดับไฟก่อนอื่น
ฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่สนใจพอใจต่อการปฏิบัติ
เพราะการที่เราปฏิบัติเจริญสติสัมปชัญญะนี่แหละ
จะเป็นสิ่งที่จะละ ที่จะชนะกิเลสเหล่านี้
.
.
♥ถ้าเราไม่พากเพียร ไม่อุตสาหะ ไม่พยายาม ไม่ตั้งใจ
แล้วอะไรจะมาช่วยได้ ใครจะมาช่วยได้
ใจของตนเองไม่มีใครมาช่วยได้
ใจของเราก็จะต้องตกอยู่ในกองทุกข์อย่างนี้
เพราะว่าจิตที่มีกิเลสเหล่านี้ก็จะมีความเร่าร้อน
เวลาเกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง ความฟุ้งซ่าน
เหล่านี้มันเหมือนเป็นไฟไหม้อยู่
เพลิงทุกข์เพลิงกิเลสเผาไหม้ใจอยู่
เราจะต้องรีบดับไฟเหล่านี้ด้วยการปฏิบัติเจริญภาวนาอยู่
.
.
♥ที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ให้แล้ว
พึงมีสติระลึกรู้กายในกายอยู่เนือง ๆ
ด้วยความเพียร ด้วยสติ ด้วยสัมปชัญญะ
กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย
มีสติสัมปชัญญะพิจารณาเวทนาในเวทนาอยู่เนือง ๆ
อาตาปี สัมปะชาโน สติมา
“อาตาปี” คือความเพียร “สติมา” ก็เป็นผู้มีสติ
“สัมปะชาโน” ก็ความรู้สึก
การพิจารณาต้องมาคู่กันสติสัมปชัญญะความเพียร
เพียรระลึกเพียรรู้สึกตัวอยู่บ่อย ๆ
ถ้าปล่อยไปตามเรื่องมันก็ไปตามเรื่อง
ต้องตั้งใจว่าจะเป็นผู้รู้สึกตัวไว้เสมอ ตั้งใจปฏิบัติ