หลักของการปฏิบัติที่จะให้เกิดสติปัญญาแท้ๆ เกิดมรรคเกิดผลได้ มีไม่มากหรอก จำหลักสั้นๆ ไว้นิดเดียว
ให้เรามีสติ รู้กาย รู้ใจ ตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง
หลวงพ่อไปรวบรวมหลักของการทำวิปัสสนากรรมฐาน ย่อลงมาเหลือเท่านี้เอง ถ้าพูดให้ถูกๆ ก็มีสติรู้รูป รู้นาม ตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง รูปธรรมนามธรรมนั่นเอง เรียนรู้รูปธรรมนามธรรมที่ประกอบกันเป็นตัวเรา
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
ถ้าจิตของเราไม่เที่ยง ไม่แน่นอน ไหวตัวไปมาอยู่ ก็ย่อมจะเกิด"สัญญา"ขึ้นมา
และเมื่อ"สัญญา"เกิดขึ้น มันก็ฉายแสงออกมา และเราก็จะไหลไปตามมัน จะไปเหนี่ยวดึงเข้ามา
การที่เราไปตามเข้ามานั่นแหละมันเสีย ใช้ไม่ได้ จึงให้ทำความเข้าใจเสียใหม่ว่า “ตัวรู้” นั้น ไม่เป็นไรดอก แต่ “เงา” สัญญานั้นแหละสำคัญ
เราจะมุ่งไปทำให้ “เงา” มันดีขึ้นก็ไม่ได้ เช่น “เงา” มันดำเราจะเอาสบู่ไปขัดฟอกจนตายมันก็ไม่หายดำเพราะเงามันไม่มีตัว
ฉะนั้น สัญญา ความคิดนึกต่าง ๆ เราจะทำให้ดีเลว ย่อมได้ เพราะมันเป็นเพียง “หุ่น” หลอกเราเท่านั้น
พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงว่า "ใครไม่รู้จัก ตัว ไม่รู้จัก กาย ไม่รู้จัก ใจ ไม่รู้จัก เงา" ของตัวเอง นั่นคือ "อวิชชา"
คนที่สำคัญว่า"จิต" เป็นตน ตนเป็นจิต จิตเป็นสัญญา ปนเปกันไปหมดเช่นนี้ เขาเรียกว่า “คนหลง”
ท่านพ่อลี ธมฺมธโร
"...อย่าพยายามทึกทักเอาเองตามความรู้สึกของตนว่าพระอริยบุคคลไม่ว่าในลำดับใด เป็นบุคคลที่มีอะไรผิดแปลกไปจากคนธรรมดาสามัญ ท่านก็มีอะไรทุกอย่างเหมือนๆ กับคนธรรมดาสามัญ ทั้งร่างกายและจิตใจ หรือถ้าจะว่าให้ถูก ท่านเสียอีกเป็นธรรมดาสามัญ
ปุถุชนต่างหากที่มีอะไรผิดธรรมดา วิปริตไปด้วยการปรุงของกิเลสตัณหาอันเป็นเหตุแห่งทุกข์ พระอรหันต์ท่านเป็นปกติธรรมดา พ้นจากการปรุงแต่ง จึงอยู่อย่างไม่มีทุกข์...”
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
หลักการทำสมาธิภาวนา
พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ ( ท่านพ่อลี ธมฺมธโร )
ให้พยายามใช้สติกำหนด ตามลมหายใจเข้าออกไม่ให้เผลอ ไม่ให้ลืม พยายามปลดปล่อย สัญญาอารมณ์ทั้งหมดทั้งอดีต อนาคต แล้วภาวนาในใจว่า “ พุทโธ ๆ” ให้ “ พุท ” ตามเข้าไปกับลมหายใจเข้าทุกครั้ง และ“โธ” ก็ตามออกมาพร้อมกับลมหายใจออกทุกครั้งไป จนกว่าใจจะหยุดนิ่งจึงค่อยทิ้งคำภาวนา
ต่อจากนี้จงสังเกตดูลมหายใจเข้าออก ว่าช้า-เร็ว , ยาว-สั้น หนัก เบา, กว้าง-แคบ, หยาบ-ละเอียดอย่างไรถ้าอย่างใดดีเป็นที่สบาย ก็จงรักษาลมนั้น ๆ ไว้ให้คงที่ ถ้าอย่างใดไม่ดีไม่สะดวก ไม่สบาย ก็จงปรับปรุงแก้ไขและตกแต่งให้พอดี ใช้ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ เป็นหลักพิจารณา ( ตอนที่ขยับขยายเปลี่ยนแปลงนี้ ไม่ต้องใช้คำภาวนา ทิ้งคำว่า “พุทโธ” เสียได้ )
ต้องคอยระวังจิตอย่าให้วอกแวก หวั่นไหว และแส่ส่ายไปตามสัญญาอารมณ์ภายนอก วางตัวเฉยเหมือนกับมีตัวเรานั่งอยู่คนเดียวในโลก กระจายลมหายใจออกไปให้ทั่วทุกส่วนของร่างกาย ตั้งแต่ศรีษะจดปลายมือ ปลายเท้า ข้างหน้า ข้างหลัง ทรวงอก ส่วนกลาง ช่องท้อง ตลอดถึงลำไส้ และกระเพาอาหาร ไปตามเส้นโลหิตทะลุผิวหนังออกขุมขน
สูบลมหายใจให้ยาว ๆ เข้าไปในตัวจนเต็มอิ่ม กายก็จะเบาโปร่งโล่ง เหมือนกับรังบวบที่อมน้ำไว้ได้ชุ่มและบีบเอาน้ำออก ก็จะไหลกลับออกมาได้ทั้งหมดโดยง่ายไม่ติดขัด ตอนนี้ร่างกายก็จะรู้สึกเบาสบาย ใจก็จะเย็นเหมือนกับน้ำที่ซึมซาบไปตามพื้นดิน หรือที่เข้าไปหล่อเลี้ยงในลำต้นไม้ให้สดชื่น จิตก็จะตั้งตรงเที่ยง ไม่มีอาการเอียงไปทางซ้าย เอียงไปทางขวา หรือเอียงไปข้างหน้า เอียงมาข้างหลังคือ ไม่ยื่นออกไปในสัญญาอารมณ์ใด ๆ
สัญญาทั้งหมดเป็นตัว “สังขาร” คือ จิตคือนึกไปในเรื่องราวต่างๆ ทั้งอดีต อนาคต แล้วก็เกิด ความปรุงแต่งเป็นดีไม่ดี ชอบไม่ชอบ ถ้าเป็นเรื่องที่ดีก็ชอบใจ เพลิดเพลินไปเป็นตัวโมหะ ถ้าเป็นเรื่องไม่ดีก็เกิดความไม่ชอบใจ ทำจิตให้ขุ่นมัวเศร้าหมอง หงุดหงิด ฟุ้งซ่าน รำคาญใจ กลายเป็นตัวพยาบาท สิ่งที่ทำให้ดวงจิตเกิดความไม่สงบวุ่นวายเหล่านี้จัดเป็นตัวนิวรณธรรมทั้งสิ้น เป็นตัวสังขารที่ปรุงแต่งใจ เป็นตัวที่ทำลายคุณความดี ในการเจริญสมาธิ เพราะฉะนั้นเราจำเป็นจะต้องขจัดทิ้งให้หมด
ตัวสังขารนี้ ถ้าคิดนึกไปในเรื่องของโลก ก็เป็นสังขารโลก ถ้าคิดนึกไปในเรื่องของธรรม ก็เป็นสังขารธรรม ทั้งสองอย่างนี้ ย่อมเกิดจาก “ อวิชชา ” คือความไม่รู้ ถ้าตัวไม่รู้นี้ดับก็จะเกิด “ วิชชา ” ขึ้นแทนที่ ฉะนั้น เราต้องพยายามเพิ่มกำลังแห่งสมาธิขึ้นอีก จนสังขารเหล่านี้ดับไป เมื่อนั้น อวิชชาก็จะดับไปด้วย คงเหลือแต่ “วิชชา” คือตัวรู้ ตัวรู้ตัวอันนี้เป็นตัว “ปัญญา” แต่เป็นปัญญาที่เกิดขึ้นในตัวเอง ไม่ใช่เกิดจากครูบาอาจารย์สั่งสอน เกิดขึ้นจากความสงบนิ่งของดวงจิตที่ตั้งอยู่ในปัจจุบันธรรมเป็นตัวความรู้ที่ลึกซึ้งมาก แต่ตัวรู้นี้ยังเป็นโลกีย์ปัญญา ไม่ใช่โลกกุตตปัญญา เพราะเป็นความรู้ที่เกิดจากสัญญา ยังเป็นเรื่องที่เกี่ยวแก่ชาติภพอยู่ บางทีก็รู้ไปในเรื่องอดีต รู้เห็นชาติภพของตัวเองที่เป็นมาแล้ว เรียกว่า บุพเพนิวาสญาณ
บางทีก็รู้ไปในอนาคต รู้เรื่องของคนอื่น รู้ถึงการเกิดการตาย ของเขา เรียกว่า จุตูปปาตญาณ ความรู้ทั้งสอง อย่างนี้ ยังมีความยึดถือเข้าไปเจือปนเป็นเหตุให้ดวงจิตหวั่นไหวไปตามเรื่องที่ชอบและไม่ชอบเป็นตัว“วิปัสสนูปกิเลส” บางคนได้รู้เห็นไปในเรื่องอดีตของตัวเองที่เป็นชาติภพที่ดี ก็เกิดความเพลิดเพลินยินดี ตื่นเต้นไปกับเรื่องนั้นๆ ถ้าไปพบเรื่องราวที่ไม่ดี ก็เกิดความน้อยใจเสียใจก็เพราะจิตยังมีความยึดถืออยู่ ในชาติในภพของตัวนั่นเอง
ชอบในเรื่องที่ดี ที่ถูกใจ ก็เป็นกามสุขัลลิกานุโยค ไม่ชอบในเรื่องที่ไม่ดีไม่ถูกใจ ก็เป็นอัตตกิลมถานุโยค จัดเป็นมิจฉามรรคทั้ง ๒ อย่าง ไม่ใช่ดำเนินตามทางที่ถูกต้อง คือ สัมมาทิฏฐิ เรื่องอดีตก็ดี ถึงแม้จะเป็นธรรมก็ยังเป็นสังขารใช้ไม่ได้
ฉะนั้น ต่อจากนี้จะต้องพยายามใช้อำนาจสมาธิเพิ่มกำลังจิตขึ้นอีก จนดับโลกียปัญญานี้ได้ จิตก็จะก้าวขึ้นสู่โลกุตตรปัญญา เป็นปัญญาที่สูงขึ้น เป็นความรู้ที่นำมาให้จิตหลุดพ้นจากความยึดถือ เป็นสัมมาสติ สัมมามรรค คือถึงจะรู้เห็นในเรื่องดี เห็นในเรื่องดีหรือไม่ดีของตัว หรือ ของคนอื่น ก็ไม่ดีใจเสียใจ แต่มี นิพพิทา เกิดความเบื่อหน่าย สลดสังเวชในการเกิดการตายของสัตว์โลก เห็นเป็นของไม่มีสาระแก่นสาร อะไรเลย หมดความยินดียินร้าย หมดความยึดถือในตัวของตน และสิ่งทั้งหลาย จิตก็มีความมัธยัสถ์เป็นกลางวางเฉย เป็น ฉฬังคุเบกขา ปล่อยเรื่องราวที่รู้ ที่เห็น ที่เกิดขึ้น ให้เป็นไปตามสภาพธรรมดาโดยไม่ติดใจ ระดับของจิตก็จะเลื่อนขึ้นสู่วิปัสสนาญาณ
ต่อจากนี้ จงเพิ่มอำนาจแห่งกำลังจิตให้สูงขึ้นอีกจนพ้นจากความยึดถือ แม้แต่ในความรู้ความเห็น ที่ตัวมีตัวได้
รู้ก็สักแต่ว่ารู้ เห็น ก็สักแต่ว่าเห็น
กันจิตไว้คนละทาง ไม่ให้ตามออกไปกับความรู้ รู้ก็รู้ เฉยๆ เห็นก็เห็นเฉยๆ ไม่ยึดถือว่าเป็นของเรา จิตก็จะมีอำนาจเต็มที่เกิดความสงบขึ้นโดยลำพัง ไม่เกี่ยวเกาะกับสิ่งใด ๆ สังขารดับสนิทเหลือแต่สภาพธรรมล้วนๆ คือ ความไม่มีอะไร เป็นวิสังขารธรรม เป็นวิมุตติธรรม จิตก็จะเป็นอิสระ พ้นจากโลก ตกอยู่ในกระแสธรรมฝ่ายเดียว ไม่มีการขึ้นลงก้าวหน้าหรือถอยหลัง เจริญขึ้นหรือเสื่อมลงใจเป็นหลักปักเป็นแน่นอยู่ที่เดียว เหมือนกับเชือกที่เขาผูกต้นไม้ไว้กับหลัก พอตัดต้นไม้โค่นเชือกก็ขาด แต่หลักยังคงมีอยู่
"ใจที่คงที" ย่อมไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์ใดๆ เป็นจิตของพระอริยเจ้าผู้พ้นแล้วจากอาสวกิเลสบุคคลใดปฏิบัติใจให้เป็นไปตามที่กล่าวมาแล้ว ก็ย่อมจะประสพความร่มเย็นสันติสุข ปราศจากความทุกข์เดือดร้อนใด ๆ ได้อธิบายมาโดยย่อพอเป็นแนวทางที่จะให้น้อมนำไปปฏิบัติจิตใจของตนให้พ้นจากทุกข์ในโลกนี้ ผู้ใดสนใจก็เป็นประโยชน์แก่ตนต่อไปในภายภาคหน้า
ทำไมบางคนบรรลุธรรมได้โดยง่าย?
บางคนได้ฟังคำตรัสเพียงสองสามคำ
แล้วก็บรรลุมรรคผลได้ตรงที่ที่ตนนั่งนั่นเอง
และบางคนถึงกับบรรลุอรหัตตผลก็มีอยู่ไม่น้อย
ข้อนี้เป็นที่เชื่อได้แน่นอนว่า เขาต้องมี "ทุนเดิม"...
...
ปัญหาคือเขามีทุนเดิมอะไร และเขาได้มาโดยวิธีใด
เพราะเขาไม่เคยพบพระพุทธเจ้ามาก่อนเลย
ถ้าตอบปัญหาข้อนี้ได้ ก็จะเข้าใจสิ่งที่เรียกว่า
"ปัญญาวิมุตติ" หรือการเจริญภาวนาชนิดที่เหมาะสม
แก่คนทุกคน และทุกยุคทุกสมัยได้ทันที
ทุนเดิมที่กล่าวนั้น หมายถึง ความรู้สึกเบื่อหน่ายต่อสิ่งต่าง ๆ
ว่าเป็นสิ่งที่ "ไม่น่าเอา-ไม่น่าเป็น ไม่น่ายึดถือ
ไม่น่าเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย"
เพราะเขาได้ผ่านสิ่งนั้น ๆ มาอย่างเพียงพอบ้าง
หรือเพราะเป็นคนฉลาดในการสังเกตและพิจารณาบ้าง
ความรู้สึกดังที่กล่าว เป็นการเห็น "อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา"
อย่างถูกต้องและสมบูรณ์ที่สุด
ทั้ง ๆ ที่บุคคลนั้น ไม่เคยได้ยิน ได้ฟัง
คำว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มาก่อนเลย
ผลของการเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็คือ
ความรู้สึกที่ว่า ไม่มีอะไร น่าเอา น่าเป็น นั่นเอง
โดยทำให้เกิดขึ้นมาได้ โดยทางใดทางหนึ่ง
ไม่มีข้อจำกัด
แต่ผลย่อมเหมือนกันหมด
คือ ไม่รู้สึกอยากได้อะไร หรืออยากเป็นอะไรด้วยความรู้สึก
รุนแรงที่ขนาดเรียกว่า ยึดมั่น ถือมั่น
เมื่อเขามีความรู้สึกในลักษณะเช่นนี้ มาบ้างแล้ว
ก็เรียกว่า มีทุนเดิมมาแล้ว
ฉะนั้น จึงอยู่ในฐานะที่จะบรรลุมรรคผลได้ทันที
เมื่อได้ฟังพุทธดำรัส หรือแม้คำพูดของบุคคลอื่นโดยไม่กี่คำ
หรือแม้เพียงได้เห็นสิ่งต่าง ๆ ที่แสดงความหมายอย่างเดียวกัน
การบรรลุผลหรือการหลุดพ้นทำนองนี้
เป็นไปด้วยอำนาจของปัญญาเป็นส่วนใหญ่
มีปัญญาออกเดินหน้า หรือนำหน้า จนสมาธิไม่ปรากฎ
ทั้งที่มีสมาธิอยู่ตามธรรมชาติ
ก็ซ่อนอยู่ภายใต้การเคลื่อนไหวของปัญญา
รวมความว่า เป็นการใช้กำลังของปัญญาซึ่งเป็นการพิจารณา
มากกว่าการใช้กำลังจิต
เป็นเครื่องบ่มปัญญาหรือบีบบังคับปัญญา
ให้เดินไปในกระแสใดกระแสหนึ่งนั่นเอง
จึงได้นามว่า "หลุดพ้นด้วยอำนาจปัญญาล้วน"
มากกว่าที่จะหลุดพ้นด้วยอำนาจของจิตและปัญญาร่วมกัน
พุทธทาสภิกขุ
ทางที่นำไปหาพระพุทธเจ้า
"...พระพุทธเจ้าสอนเรื่องทุกข์ เรื่องดับทุกข์
คนเราทุกคนนี่แหละ ถ้าหากว่าอยู่ที่นี่ก็ต้องมีความสงสัย
อันความสงสัยก็คือความทุกข์ ความทุกข์นั้นมันมีหลายชั้น หลายเรื่อง
อย่างที่คนธรรมดานั้นทุกข์ คือ ความไม่มีเงินไม่มีทอง
ไม่มีข้าวไม่มีของ อันนี้ทุกข์อีกแบบหนึ่ง
และบางคนผู้มีปัญญาลึกกว่านั้นก็ทุกข์ คือว่า มีความโกรธ
ความโลภ ความหลง อันนี้ก็เป็นทุกข์อีกอย่างหนึ่ง
ทุกข์...บางคนมีความสงสัย นอกเหนือไปจากความโกรธ ความโลภ
ความหลงแล้ว ก็ยังมีความสงสัย อันนี้ก็เป็นทุกข์อีกแบบหนึ่ง
ทุกข์อีกแบบหนึ่ง ทุกข์จากความไม่เห็น การไม่รู้
การไม่เข้าใจ อันนี้ก็เป็นทุกข์อีกแบบหนึ่ง
ดังนั้นคนเรา จึงว่า พยายามศึกษาให้รู้จักจริงๆ
ที่ผมเคยเป็นทุกข์มาหลายเรื่อง
แต่ผมคิดว่าจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ให้ได้ เฉพาะตัวผมเอง
ผมพยายามทำมัน ที่ผมทำมา ผมเข้าใจเพราะการรู้จัก
ไม่ใช่ไปนั่งนิ่งให้มันตัวสงบ หลับตาอยู่คนเดียว
อันนั้นผมทำมา มันมีความสงสัย
มันมีความนึกความคิดอันใด ผมไม่รู้
อันนี้คือว่าผมยังมีความสงสัย
ต่อเมื่อผมไม่ต้องหลับตา...บัดนี้
อันใดมาผมเห็นด้วยตาเนื้อ และความคิด...
ผมคิดขึ้นมา ผมรู้ ผมเข้าใจ ผมเห็นความคิดของผม
ผมก็เลยเข้าใจว่า นี่! ที่ทางที่จะนำไปหาพระพุทธเจ้า
ผมเลยเข้าใจอย่างนี้
พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน?
พระพุทธเจ้า คือ ตัวเจ้าชายสิทธถะกุมารนั่น
อันนั้นเป็นเพียงรูปภาพ หรือเป็นรูป เป็นวัตถุ ผมเข้าใจอย่างนี้
อันพระพุทธเจ้าจริงๆ นั้นน่ะอยู่ที่ไหน
อันพระพุทธเจ้าจริงๆ นั้น คือคนที่ไม่ทุกข์นั่นแหละ
บุคคลใดไม่มีทุกข์ อันนั้นแหละคือพระพุทธเจ้า
บุคคลใดยังมีทุกข์ อันนั้นชื่อว่ายังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า
หรือยังไม่ได้นำไปหาพระพุทธเจ้า ผมเข้าใจอย่างนี้
หรือคำว่าไม่มีทุกข์นั้น ไม่มีทุกข์เพราะการไม่รู้
อันนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทุกข์ คือมันยังมีทุกข์อยู่
แต่ความทุกข์นั้นมันไม่เหมือนกัน
บางคนพูดไปตามอารมณ์ตัวเอง...ไม่มีทุกข์
อันนั้นก็ดีเหมือนกัน ดี...เพราะบุคคลพูดเช่นนั้น แต่ผมไม่ได้คิดอย่างนั้น
ผมว่า...ไม่มีทุกข์เพราะการเห็น การรู้ การเข้าใจ การสัมผัสได้ ผมเข้าใจอย่างนี้
ผมก็เลยพยายามทำ พยายามทำจริงๆ ครับ ทำเพื่อความเข้าใจจริงๆ
ทำเพื่อชีวิตของเราจริงๆ ทำเพื่อตัวเราจริงๆ
ทำเพื่อคนทุกคนในโลกนี้จริงๆ ครับ อันนี้ผมเข้าใจอย่างนี้..."
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
เดินตามพระพุทธเจ้า ที่อยู่ในใจตน
จิตแห่งพุทธะทุกคนมีอยู่แล้ว มองตนเอง หาจิตแห่งพุทธของตนให้เจอ ธรรมทั้งหลายจะแจ้งแก่ใจตน อย่าใช้ความคิดยึดติดสิ่งใดๆ
แม้แต่ธรรมก็ไม่ให้ยึด ตราบใดที่ยังยึด จิตย่อมไม่ว่างจากความคิดปรุงแต่ง วิปัสสนาย่อมไม่เกิด ย่อมไม่เห็นความจริง เป็นเพียงความคิด เป็นการรู้จากการนึกคิด เป็นการรู้จํา รู้ฟัง รู้อ่าน จิตย่อมไม่หลุดพ้นนะ หมดสัญญา หมดสังขาร
.
Trader Hunter พบธรรม
" กัมมัฏฐานอานาปานสติ
การกำหนดพิจารณา กำหนดลมหายใจนั้น
จะไปแทรกอยู่...ทุกกัมมัฏฐาน
จะบริกรรมภาวนา ก็ดี
จะพิจารณา ก็ดี
ในเมื่อจิตสงบลงไป ปล่อยวางอารมณ์ที่พิจารณา
แล้ว
ส่วนใหญ่ จิตจะไปรู้อยู่ที่ลมหายใจเข้า - ออก
ในเมื่อ จิตตามรู้ลมหายใจเข้า - ออก กำหนดรู้
ลมหายใจเข้า - ออก อยู่...เป็นปกติ
จิต เอาลมหายใจ เป็นสิ่งรู้
สติ เอาลมหายใจ เป็นสิ่งระลึก
ลมหายใจเข้า - ออก เป็นไปตามปกติของร่างกาย
เมื่อสติ...
ไปจับอยู่ที่ลมหายใจ ลมหายใจก็เป็นฐานที่ตั้ง
ของสติ...
ลมหายใจ
เป็นสิ่งที่เกี่ยวเนื่องด้วยกาย
สติ...
ไปกำหนดรู้อยู่ ที่ลมหายใจเข้า - ออก
จดจ่ออยู่...ที่ตรงนั้น."
___________________________________________
(หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล)
เพื่อบูชาพระในพิธีกรรมต่างๆ
มักจะไม่เหมือนกัน
บางท่านต้องการไหว้พระแต่ยัง
ตกลงใจไม่ได้ว่า จะใช้ธูปกี่ดอก
จึงจะเหมาะสม
หลวงปู่ดู่เคยตอบปัญหาเรื่องนี้
กับผู้ที่สงสัยว่า
"จุดกี่ดอกก็ได้ ส่วนใหญ่มักใช้ ๓ ดอก
บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
กี่ดอกก็มีความหมายทั้งนั้น"
#ผู้ถาม "อย่างนั้นถ้าจุดดอกเดียว
ไม่ถือว่าไหว้ผี หรือไหว้ศพหรือครับ"
"จุด ๑ ดอก หมายถึง จิตหนึ่ง
จุด ๒ ดอก หมายถึง กายกับจิต โลกกับธรรม
จุด ๓ ดอก หมายถึง พระรัตนตรัย หรือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
จุด ๔ ดอก หมายถึง อริยสัจ ๔
จุด ๕ ดอก หมายถึง พระเจ้า ๕ พระองค์ นะโมพุทธายะ
จุด ๖ ดอก หมายถึง สิริ ๖ ประการ ที่แกกราบพระ ๖ ครั้ง
จุด ๗ ดอก หมายถึง โพชฌงค์ ๗
จุด ๘ ดอก หมายถึง มรรคแปด
จุด ๙ ดอก หมายถึง นวโลกุตรธรรม
จุด ๑๐ ดอก หมายถึง บารมี ๑๐ ประการ
อยู่ที่เราจะคิดให้ดี เอาอะไรก็ได้"
#ผู้ถาม "ถ้า ๑๑ ดอก หมายถึง... "
"ก็บารมี ๑๐ ประการกับจิตหนึ่ง
ว่าไปได้เรื่อยๆ แหมแกถามซะข้าเกือบไม่จน"
#ผู้ถาม "ถ้าไม่มีธูปเทียน"
"ก็ใช้ชีวิตจิตใจบูชา ไม่เห็นต้องมีอะไร
พุทธัง ธัมมัง สังฆัง ชีวิตัง เม ปูเชมิ"
************************
" การรู้สึกตัว...
ตามหลักของ...สติปัฏฐาน ไม่เหมือนสติธรรมดา
สติธรรมดาใคร ๆ ก็มีได้ สัตว์ ก็มีสติ
สติตามหลัก
ของสติปัฏฐานนั้น คือ...รู้ซื่อ ๆ
ไม่มี ผิด - ถูก ไม่มีสุข - ทุกข์
รู้...ซื่อ ๆ
รู้เห็น...
ผิด ก็เห็น ถูก ก็เห็น
สุข - ทุกข์ ก็เห็น
มีแต่เห็น...
ไม่เป็น สุข ไม่เป็น ทุกข์
เหนือผิด เหนือถูก
ผิด - ถูก สุข - ทุกข์
ไม่มีค่า...อะไร."
_________________________________________
(หลวงปู่คำเขียน สุวัณโณ วัดป่าสุคะโต)
การทําสมาธิ รู้สึกตัวกับลมหายใจ
รู้สึกตัวกับลมหายใจเข้า รู้สึกตัวกับลมหายใจออก ตรงที่รู้สึก นั้นเป็นการอยู่กับจิตผู้รู้ จิตผู้รู้จะตั้งมั่นเด่นขึ้นมา ปล่อยจากขันธ์หยาบมาละเอียด
อย่าไปอยากให้เกิดสภาวะ อย่าอยากใดๆทั้งสิ้น อย่าไปอยากหูดับ กายเบา จะไม่เกิด ให้ปล่อยกายสบายๆ วางใจสบายๆอยู่กับความรู้สึกที่ปรากฏ จิตจะปล่อยวางอารมณ์อื่นเองอัตโนมัติ ปล่อยแล้วก็อย่าไปดึงกลับมาอีก ตรงนี้อย่าพยายามไปคิดพิจารณาหรือสงสัยนะ มันจะหลุด
กาย ใจ จะหลุดออกจากการยึดถือ ปล่อยออกจากขันธ์ ยิ่งรู้สึกตัวชัด ตรงนี้รู้อยู่กับใจแล้ว กายหลุดไป หรือ กายเบา ไม่มีความเวทนาจากกายอีก เพราะความเวทนาเป็นอารมณ์หยาบ
เห็นเป็นขณะ เป็นช่วง บางทีว่างมีรู้สึกตัว , บางทีหลุดเผลอไม่รู้ตัวว่าง หรือ ไหลไปคิดหรืออยู่กับอารมณ์ , ให้ กลับมารู้สึกตัวเป็นหลัก เป็นการกลับมาอยู่กับจิตผู้รู้ ปล่อยออกจากอารมณ์
จิตตั้งมั่นเด่น ใจจะว่างๆ สังเกตุดูความว่างที่ปรากฏ อย่าเข้าไปอยู่กับความว่าง ให้เห็นเองว่าใครเป็นผู้รู้ความว่างอยู่ นั้นคือจิตผู้รู้ที่เข้าไปรู้ความว่างนั้นเอง ให้อยู่กับจิตผู้รู้ ที่รู้ความว่าง อย่าปล่อยใจไหลไปแช่ความว่าง
ธรรรมแท้จะปรากฏกับใจ ตามความก้าวหน้าในธรรม
..การบวชอยู่ที่บ้าน...
.
อยู่บ้านก็บวชได้ เพียงทำสมาธิหรือเจริญภาวนา โดยยึดหลักอินทรีย์ 5 ได้แก่
.
1. ศรัทธา คือ เชื่อมั่นในหลักธรรมคำสอนที่ถือเอาตนเป็นที่พึ่ง และเชื่อมั่นในตนเองว่าสามารถทำได้
.
2. วิริยะ คือ ความกล้าหาญ พากเพียร บากบั่น และพอใจในสิ่งที่ทำ ในธรรมะที่ยึดถือปฏิบัติ
.
3. สติ เป็นธรรมะสำคัญที่ต้องใช้ในทุกกรณี ให้ทุกเรื่องอยู่ในความควบคุมของสติ
.
4. สมาธิ คือ เอกัคคตาจิตที่มีนิพพานเป็นอารมณ์หรือจิตที่มุ่งนิพพานเพียงสิ่งเดียว
.
5. ปัญญา คือ ความรู้ รู้ในสิ่งที่ควรรู้ รู้ความจริงที่ควรรู้ ซึ่งความจริงที่ดับทุกข์ได้นั้นเป็นความจริงที่ควรรู้
.
(จากหนังสือ "บวชทำไม" โดยท่านพุทธทาสภิกขุ)
เมื่อรู้สึกตัวได้บ่อย จะเข้าไปเห็นจิต ในระดับที่ลึกขึ้น
เบื้องต้นเห็นจิต ด้วย สติ
เบื้องกลางเห็นจิต ด้วย สมาธิ
เบื้องปลายเห็นจิต ด้วย ปัญญา
ให้หมั่นเจริญสติ รู้สึกตัว รับรู้ถึงจิตผู้รู้
เพื่อให้จิตผู้รู้มีกําลัง เข้มแข็ง จะเห็นจิตได้ชัดเจน ในอนาคต
สติกับนันทิ เป็นของตรงข้ามกัน แปรผกผันกัน เมื่อละนันทิได้ นั้นหล่ะ คือ สติเดิมแท้ ที่มีอยู่แล้วบางครั้งถ้าเราวิ่งหาสติกันแทบตาย ยิ่งวิ่งหา ยิ่งคิดค้นคว้า "สติ"กับยิ่งไกลห่างออกไป เต็มไปด้วยอวิชชาที่ล้วนเกิดจากความคิดที่แสวงหาแล้วทั้งสิ้น หากแต่เราไม่หา"สติ"กันแต่เรามาละนันทิ(ความเพลิน)แทนละ สิ่งที่เหลือมันก็คือ"สติเดิมแท้"ที่เรามีนั่นหล่ะ... ปลุกผู้รู้ให้เด่น
ธรรมแท้ เพียงแค่ละ ไม่ใช่เอา หรือหลงยึด สุดท้ายแม้แต่ธรรม เราเองก็ละในช่วงปลาย แต่ไม่ใช่ไปละช่วงต้น ที่ละเพราะเข้าสู่สภาวะสูญญตา ความไม่มีตัวตน...
จิตรู้ จิตละ จิตหลุดพ้น
เพราะรู้ดูบ่อยๆจึงเห็นว่าไม่ใช่เรา เห็นสิ่งไหนไม่ใช่เราจึงค่อยๆละๆไปทีละอย่างละอุปาทานในขันธ์ เมื่อละอุปาทานได้จึงเป็นอิสระจากการหลงยึดเป็นอิสระหลุดพ้น...
ชะตาชีวิตเรา ล้วนเป็นผลมาจาก การคิดการกล่าว(มโนกรรมและวจีกรรม) และ การกระทํา(กายกรรม) ของเราเองในอดีตแล้วทั้งสิ้น ซึ่งเกิดขึ้นและแสดงออกมาอย่างต่อเนื่องตลอดสังสารวัฏฏ ที่เราเวียนเกิดเวียนตาย...ดังโรงละครชีวิต ที่มีเราเป็นตัวเอกไม่ว่าร้ายหรือดี ดุจกงกรรมกงเกวียน...
< ความเป็นอนัตตาของขันธ์ ๕ >
● รูปขันธ์หรือสังขารร่างกาย เกิดแต่เหตุอันคือ ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ มาเป็นปัจจัยซึ่งกันและกัน
》รูปไม่ใช่อัตตา (คือเป็นอนัตตา) เพราะไม่สามารถบังคับบัญชาในรูปได้เลยว่า เจ้าจงอย่าเสื่อม เจ้าจงอย่าแก่ เจ้าจงอย่าเจ็บ เจ้าจงอย่าตายเลย ฯ. ขอเจ้าจงมีรูปอย่างนี้ในกาลที่ล่วงแล้ว หรือเจ้าจงมีรูปอย่างนี้ในกาลอนาคตเถิด ขอรูปในปัจจุบันจงเป็นอย่างนี้เถิด จึงย่อมไม่ได้ตามใจปรารถนานั้น จึงไม่ใช่อัตตาของตัวของตนแท้จริง
● เวทนา เป็นสังขาร เกิดแต่เหตุปัจจัยอันมี อายตนะภายนอก + อายตนะภายใน >> วิญญาณ๖ >> ผัสสะ >> สัญญา >> เวทนา
》เวทนาไม่ใช่อัตตา เพราะไม่สามารถบังคับบัญชาในเวทนาได้ว่า เจ้าจงเป็นสุข เจ้าจงอย่าทุกข์ แต่เป็นไปตามเหตุปัจจัย จึงย่อมไม่เป็นไปตามปรารถนาในเวทนาเหล่านั้น
● สัญญา เป็นสังขาร เกิดแต่สมอง(หทัยวัตถุ)อันเป็นส่วนหนึ่งของสังขารร่างกาย และการผัสสะต่างๆอันเกิดแต่อดีต ฯ.
》สัญญาไม่ใช่อัตตา เพราะไม่สามารถบังคับบัญชาในสัญญาได้ว่า เจ้าจงจำได้หมายรู้แต่สุข เจ้าจงอย่าได้จำอย่าได้หมายรู้ในทุกข์เหล่านี้เลย, ที่อยากจะจำกลับลืม ที่อยากจะลืมกลับจำ จึงเป็นไปตามเหตุปัจจัย จึงย่อมไม่ได้ตามใจปรารถนาในสัญญานั้น
● สังขารขันธ์ เป็นสังขารปรุงแต่ง ล้วนเกิดการกระทำต่างๆขึ้นได้ก็มาแต่เหตุปัจจัยของขันธ์อีกทั้ง ๔ จึงเกิดการกระทำต่างๆได้
》สังขารขันธ์ไม่ใช่อัตตา เพราะไม่สามารถบังคับบัญชาในสังขารขันธ์ได้ว่า เจ้าจงอย่ากระทำดังนี้เลย เจ้าจงกระทำดังนี้เถิด (เช่นความคิดผุดขึ้นเองโดยที่เราไม่ได้สั่ง) จึงย่อมไม่ได้ตามปรารถนาในสังขารขันธ์เหล่านั้น
● วิญญาณ เป็นสังขาร เกิดแต่เหตุปัจจัยของ การกระทบกันของอายตนะภายนอกและภายใน ของผู้มีชีวิตเป็นธรรมดา หรือตถตา
》วิญญาณไม่ใช่อัตตา เพราะไม่สามารถบังคับบัญชาในวิญญาณได้เลยว่า เจ้าจงเกิดขึ้นเลย เจ้าจงอย่าได้เกิดขึ้นเลย (เช่นเวลาเราดูทีวี เราสั่งให้ตาเห็นอย่างเดียวไม่ได้ โดยไม่ให้ได้ยินเสียงเป็นต้น) แต่เกิดดับตามเหตุปัจจัย จึงย่อมไม่ได้ตามปรารถนาในวิญญาณเหล่านั้น
รู้สึกตัวมากๆ ให้หลุดออกจากความคิด เพราะเราใช้ปัญญาความคิด ไปละภพชาติไปละกิเลสไม่ได้ เพราะความคิดนั้นหล่ะที่เป็นตัวตนของเรา แต่เมื่อ เรารู้สึกตัว เป็นการทําให้จิตผู้รู้เราเข้มแข็งขึ้นมา เป็นการเข้าถึงใจตนเอง แล้วอยู่กับใจตนเอง ใจที่ตั้งมั่น สบายๆ แบบตอนที่เราสบายใจ ใจเป็นกลางนั้นหล่ะ ใจที่เป็นกลางตรงนี้ จะเห็นวิปัสสนาได้เอง เรียนรู้เห็นกายใจตนเอง สุดท้าย ใจมันจะปล่อยเอง
ในการพิจารณาธรรม จนเกิดวิมุตติหรือบรรลุธรรมนั้น
จะต้องมีโยนิโสมนสิการ คือมีการพิจารณาใคร่ครวญ ให้เห็นถึงต้นเหตุ คือต้องพิจารณาให้ละเอียดรอบครอบทุกแง่มุมและสืบไปให้ถึงต้นเหตุจริงๆ จนจิตบังเกิดความหลุดพ้น (วิมุตติ) ซึ่งเรียกว่าเป็น การเห็นสัจธรรม ซึ่งในขณะที่มีการเห็นสัจธรรม หรือเห็นความจริงแท้ของธรรมชาตินั้นจะมีลำดับขั้นในการเห็นโดยละเอียด อยู่ถึง ๙ ขั้น อันได้แก่
๑. อนิจจตา เห็นความไม่เที่ยง
๒. ทุกขตา เห็นความต้องทน
๓. อนัตตา เห็นความไม่ใช่ตัวตน
๔. ธัมมัฏฐิตตา เห็นความที่มันตั้งอยู่ โดยความเป็นอย่างนั้น
๕. ธัมมนิยามตา ห็นความที่มันเป็นไปตามกฎของธรรมชาติอย่างนั้น
๖. อิทัปปัจจยตา เห็นความที่มันเป็นไปตามปัจจัย
๗. สุญญตา เห็นความว่างจากตัวตน
๘. ตถตา เห็นความที่มันเป็นของมันเช่นนั้นเอง
๙. อตัมมยตา เห็นสภาวะจิตที่ไม่มีอะไรมาปรุงแต่งให้หวั่นไหวได้
เมื่อเรายกสิ่งใดสิ่งหนึ่ง (เช่น รูปขันธ์) ขึ้นมาเพ่งพิจารณา
ให้เห็นความไม่เที่ยง (หรือการเกิด-ดับ) อย่างแรงกล้า (ด้วยสมาธิ) ก็จะมองเห็นความทุกข์และถ้าเพ่งมองทุกข์ต่อไปอย่างแรงกล้า ก็จะมองเห็นความไม่ใช่ตัวตน และถ้าเพ่งมองไปไม่หยุด ก็จะบังเกิดการเห็นต่อไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายจิตก็จะเกิดความเห็นแจ้ง ในความเป็นเช่นนั้นเอง แล้วจิตก็จะหลุดพ้น และมองเห็นสภาวะจิตที่หลุดพ้น ที่ไม่มีอะไรมาปรุงแต่งให้หวั่นไหวได้อีกต่อไป ซึ่งการเห็นทั้งหมดนี้ จะเกิดต่อเนื่องกันอย่างรวดเร็ว แต่เราสามารถแยกแยะ ออกมาให้ศึกษาได้ถึง ๙ ขั้น โดยในแต่ละขั้นนั้นจะเรียกว่าเป็น ญาณ ที่หมายถึง ความรู้ที่เกิดมาจากการปฏิบัติ แต่ญาณทั้ง ๙ ขั้นนี้เมื่อสรุปแล้วจะเหลือเพียง ๒ ญาณ อันได้แก่
๑. ธัมมฐิติญาณ ญาณที่เห็นความตั้งอยู่ของธรรมชาติ
๒. นิพพานญาณ ญาณที่เป็นส่วนของการดับทุกข์
ญาณทั้งหลายถ้ายังไม่ถึงกับดับทุกข์ได้ จะสรุปลงในธัมมฐิติญาณ คือยังเป็นเพียงการเห็นความตั้งอยู่ ของธรรมชาติเท่านั้น แต่ถ้านิพพานปรากฏแล้ว
ก็จะเกิดนิพพานญาณคือ จะเกิดความรู้ว่านิพพานปรากฏแล้ว
ถูกต้องแล้ว ไม่มีอะไรที่จะยิ่งไปกว่านี้อีกแล้ว....
องค์ประกอบที่สำคัญที่สุดในการบรรลุธรรม
ตอนที่ 1
การที่เราจะเกิดดวงตาทั้งสอง คือ ดวงตาภายนอก และดวงตาภายใน มีองค์ประกอบ 3 ประการ เช่น พระอัญญาโกณฑัญญะ ได้ดวงตาเห็นธรรม เพราะท่านถึงพร้อมไปด้วยองค์ประกอบหลักสองประการคือ
(1) ปะระโตโฆสะ อันได้แก่การได้ยินได้ฟังจากคนอื่นซึ่งแยกเป็นสามประการคือ กัลยาณมิตตา กัลยาณสหายตา และกัลยาณสัมปะวังกะตาขอแยกให้เห็นชัดๆดังนี้
1/1ได้พระพุทธเจ้า ผู้เป็นยอดกัลยาณมิตร เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบเป็นพระอรหันต์ ( กัลยาณมิตรในที่นี้ มิได้หมายเพียงพระพุทธองค์เท่านั้น แต่จะเป็นใครก็ได้ ที่เป็นมีความรู้เข้าใจ และรู้แจ้งเห็นจริงในตนเอง แล้วสามารถนำมาถ่ายทอดให้เราเห็นตามรู้ตามได้ และเป็นที่ตั้งของความเลื่อมใสของเราได้ด้วย )
1/2.ได้พระปัญจวัคคีย์ทั้งห้าเป็นกัลยาณสหายตา คือได้เพื่อนร่วมปฏิบัติที่เป้าหมายเดียวกัน มีความรักความสามัคค เคารพเชื่อฟังกันอย่างเหนียวแน่น
1/3 สัมปะวังกะตาได้สิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการปฏิบัติ และกลายเป็นสถานที่ๆพระพุทธเจ้าแสดงธรรมกัณฑ์แรก ซึ่งเป็นสถานที่ ที่สงัดแวดล้อมไปด้วยแนวป่า แมกไม้ เพราะ ความสงบสงัดของป่า ช่วยทำให้ท่านได้สิ่งแวดล้อมที่ดีบุคคลผู้แวดล้อมส่งเสริมด้วย จึงทำให้ท่านเหล่านั้นได้ดวงตาเห็นธรรมได้รวดเร็ว และบรรลุพระอรหันต์ภายในสามเดือนเท่านั้นเอง
ทั้งสามเงื่อนไขนี้เป็นเพียงองค์ประกอบที่หนึ่งเท่านั้น แต่ถ้าขาดองค์ประกอบที่สองค์การบรรลุธรรมก็เป็นไปได้ยากยิ่ง นั้นคือ
(2) โยนิโสมนสิการ พระปัญจวัคคีย์ทั้งห้า ยังเป็นผู้เปี่ยมล้นด้วยอินทรีย์ห้าและพละห้าอย่างเข้มแข็ง นั้นคือมีกำลังศรัทธาที่ไม่หวั่นไหว มีกำลังวิริยะ คือความเพียรอย่างต่อเนื่อง มีกำลังสติอย่างถูกต้อง มีกำลังสมาธิอย่างมั่นคง และมีกำลังปัญญาอันคมกล้า นี่เป็นองค์ประกอบสำคัญไม่น้อยไปกว่าองค์ประกอบแรก
พระพุทธองค์ทรงตรัสยืนยันว่า ใครก็ตามที่มีคุณสมบัติสองประการนี้แล้ว จะไม่บรรลุธรรมนั้นเป็นไปไม่ได้ ส่วนจะได้ขั้นไหนนั้นก็แล้วแต่วาสนาบารมีของท่านนั้นๆว่าจะแก่กล้าเพียงใด
ดังนั้น การได้ดวงตาเห็นธรรมนั้นจึงไม่ง่ายและไม่ยากเกิน ที่ว่าไม่ง่าย ก็เพราะว่า กว่าเราจะได้พบกับมิตรดี ได้พบสหายดี ได้พบสิ่งแวดล้อมดีนั้นไม่ง่ายเลย และที่ว่าไม่ยาก ก็เพราะว่าถ้าเราได้พบกับบุคคลที่สามารถเป็นกัลยาณมิตร กัลยาณสหาย และสิ่งแวดล้อมที่ดีๆและมีโยนิโสมนสิการอย่างสมบูรณ์ แล้วจะไม่มีความยุ่งยากใดๆ เหลืออยู่เลย ลองพยายามแสวงหาดูสิ แล้วสักวันหนึ่งจะพบองค์ทั้งสามประการนี้ได้
แต่ที่สำคัญเราต้องไม่ท้อถอย ไม่ดูถูกสติปัญญาของตนเอง โดยเฉพาะองค์ประกอบที่สอง อยากจะให้ไปทบทวนกันให้ดี เป็นองค์ประกอบที่เราพัฒนาด้วยตนเองได้ตลอดเวลา ไม่มีอุปสรรคอะไรที่ต้องพึ่งพาบุคคลหรือปัจจัยภายนอกเลย
พระพุทธยานันทภิกขุ
ต้นเหตุของการบรรลุธรรมได้ไว ตอนที่ 2
"การดูเป็น”
หมายถึง การเฝ้าดูด้วยดวงตาใน คือดวงตาแห่งวิปัสสนาญาณ ได้แก่การ เห็นแล้ว ไม่นึกคิดปรุงแต่งต่อเติมในสิ่งในสิ่งที่พบเห็นตามอำนาจของความเคยชินของเรา แต่ให้เห็นด้วยตาแห่งสติสัปชัญญะ คือเห็นธรรมชาติของมัน คือ เห็นเฉยๆ รู้ซื่อๆ เห็นซื่อๆ หรือเห็นสักแต่ว่าเห็น จนอาการของความคิดเห็นนั้นๆ ดับไปต่อหน้าต่อตา เรียกว่า เห็นแบบวิปัสสนาญาณ
แต่ถ้าเฝ้าดูไม่เป็น ก็คือ เห็นแบบขาดสติสัปะชัญญะ
ไม่มีการฝึกฝนอบรมสัมมาสติปัญญามาก่อน จึงเกิดความรู้สึกความพอใจ และความไม่พอใจเกิดขึ้นในขณะพบเห็นสิ่งต่างๆ การพบเห็นแบบนั้น
จะพัฒนาตัวความคิดปรุงแต่งไปเรื่อยๆ เรียกว่า จิตตสังขาร เหมือนเชื้อโรคในร่างกาย ถ้าเกิดขึ้นแล้วเราไม่รีบรักษา ก็ขยายผลมากขึ้นไปๆ จนยากแก่การรักษาเยียวยา นั้นคือการเห็นของปุถุชนทั้งปวงนั้นแล
พระพุทธยานันทภิกขุ
ถ้าไม่เห็น "จิตแท้" ของตัวเองแล้ว เราจะชำระกิเลสออกจากใจได้อย่างไร....ต้องปฏิบัติให้เห็น "ตัวมัน" เสียก่อน รู้จัก "ตัวที่เราพูดถึง" เสียก่อน
ใคร ๆ ก็พูดถึง "จิตถึงใจ" จิตเป็นทุกข์ จิตเดือดร้อน จิตยุ่งวุ่นวาย จิตกระวนกระวาย จิตกระสับกระส่าย มันเรื่องของ "จิต" ทั้งนั้นแหละ แต่ยัง "ไม่เคยเห็นจิต" สักที "จิตแท้" เป็นอย่างไร ก็ไม่ทราบ
เมื่อไม่เห็น "จิตแท้" ของตัวเอง ไม่เห็น "ตัวของเราเอง" เสียก่อน เมื่อ "ไม่เห็นจิตไม่เห็นใจ" มันก็ไม่มีโอกาสที่จะชำระกิเลสออกไปจาก "จิตจากใจ" ได้
พอเราเดือดร้อน เรายุ่งเหยิงหรือส่งส่าย เราก็แก้ตรงนั้นเอง
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
กรรมไม่ใช่สุนัข
"กรรมอยู่กับตัวและตัวทำกรรมอยู่ทุกขณะ ผลก็เกิดอยู่ทุกเวลา ยังสงสัยหรือไม่เชื่อ กรรมว่ามีและให้ผลแล้วก็สุดหนทาง
ถ้ากรรมวิ่งตามคนเหมือนสุนัขวิ่งตามเจ้าของ เขาก็เรียกว่าสุนัขเท่านั้นเอง ไม่เรียกว่ากรรม นี่กรรมไม่ใช่สุนัข แต่คือการกระทำดีชั่ว ทางกายวาจาใจต่างหาก ผลจริงคือความสุขทุกข์ที่ได้รับกันอยู่ทั่วโลก
กระทั่งสัตว์ผู้ไม่รู้จักกรรม รู้แต่กระทำ คือหาอยู่หากิน ที่ทางศาสนาเรียกว่า
กรรมของสัตว์ของบุคคล และผลกรรม ของสัตว์ของบุคคล...”
โอวาทธรรมพระอาจารย์ มั่น ภูริทตฺโต
วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ. สกลนคร
"ความฟุ้งซ่าน กับการภาวนา"
" .. มันเป็นเรื่องการทดสอบของการภาวนา "นักภาวนาทั้งหลายเมื่อมีความสงบมากเท่าไร ก็จะมีการฟุ้งมากเท่านั้น" เพราะจิตของเรายังไม่คงที่ "จึงควรใช้อุบายให้มาก ๆ คือคิดถึงเรื่องนั้น ๆ จนจิตสงบลงให้ได้"
เช่น เรื่องการสร้างวัดทำให้ได้ประโยชน์อย่างนั้น ๆ มีคุณอย่างนั้น ๆ ทำแล้วจะมีอายุอยู่นานอย่างนั้น ๆ เมื่อหมดอายุของวัดหรือตัวเราผู้สร้างวัดแล้ว สิ่งเหล่านั้นจะต้องสลายไปตามสภาพของมันไม่มีอะไรเหลือสักอย่างเดียว เมื่อเราพิจารณาอย่างนี้จิตก็ปล่อยวางแล้วรวมเข้ามาเป็นอันหนึ่ง
"การภาวนา คือการต่อสู้" ถ้าต่อสู้ถูกวิธีทาง จิตก็จะรวมลเป็นหนึ่งได้ ถ้าไม่ถูกวิถีทางก็ฟุ้งไปกันใหญ่ จึงไม่ควรทิ้ง แต่พิจารณาให้ถูกตามหลักกรรมฐาน ถ้าหากพิจารณาไม่ได้ก็ควรทิ้งเสีย
เราก็จะต้องตาย ตายแล้วเอาอะไรไปไม่ได้ทั้งนั้น เว้นเสียแต่บุญแลบาปเท่านั้น ซึ่งจะติดตัวเราไปเกิดในภพนั้น ๆ "การทำจิตให้รวมลงเป็นอันหนึ่งนี้แหละคือการรวบรวมเอาบุญกุศลไว้สำหรับติดตัวเราไปเกิดในภพข้างหน้า" .. "
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
ภาวนาเราต้องใช้ปัญญาควบคุมจิตใจของเรา
ให้มีจิตได้ทบทวนตรวจค้นความรู้สึก
สำนึกในจิตของเราอยู่เสมอ
ไม่ให้มันล่วงเลยไปตามอารมณ์ คือไม่ตามใจ
โดยมากคนเราที่ไม่ภาวนา ก็คือตามอารมณ์
คิดตามอารมณ์ พูดตามอารมณ์ ทำตามอารมณ์
แล้วแต่อารมณ์เป็นหลัก
การภาวนาจึงเป็นการควบคุมไม่ให้จิตของเราตามอารมณ์
เหมือนกันกับสำลีหรือนุ่นที่เป็นของเบา ก็ต้องมีอะไรครอบไว้
รักษาไว้ ลมพัดมามันจึงจะไม่ไปตามลม จิตของเราก็เหมือนกัน
เราก็ต้องควบคุมด้วยการภาวนา ตรวจค้นจิตของเรา
จึงเรียกว่า โอปนยิโก น้อมเข้ามาในตน ทบทวนเข้ามา
หาจิตของเรา ความรู้สึกนึกตรวจค้นอยู่เสมอทบทวน
จิตของเราให้รู้ผิดรู้ถูก รู้ดีรู้ชั่วของจิต
.
หลวงปู่วัน อุตฺตโม
" สติ คุมจิตอยู่...ทุกขณะ
จนกระทั่งเป็นมหาสติปัฏฐาน จะยืน เดิน นั่ง นอน ในอิริยาบถใด ทั้งหมด
มีสติ รอบตัว อยู่...เสมอ
โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ให้มีสติ แต่มันเป็น ของมันเอง
สติ...ควบคุมจิต ไปในตัว
เมื่อมีสติเช่นนั้น มันก็ไม่เกี่ยวข้องพัวพันกัน กับสิ่ง
ต่าง ๆ
เมื่อตา เห็นรูป หู ได้ยินเสียง ลิ้น ลิ้มรสต่าง ๆ
กาย ได้สัมผัส มัน ก็เป็นสักแต่ว่า สัมผัส
แล้วก็ หายไป หายไป
ไม่ได้ เอามาเป็นอารมณ์
ไม่เอา มาคำนึงถึงใจ
อันนั้น...
เป็นมหาสติแท้ ทีเดียว."
_____________________________________________
(หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง)
“สมาธิเป็นบาทฐานตั้งของปัญญา”
...เวลาเราทำงานสิ่งใด มันก็จดจ่อมันก็อยู่ตรงสิ่งนั้น มันไม่คิดวอกแวกไปเรื่องอื่น มันก็ทำงานตรงนั้นต่อเนื่องจนเสร็จ อันนั้นล่ะเรียกว่ามันตั้งมั่นอยู่ในงานตรงนั้น มันไม่ใช่ตั้งมั่นที่ไม่รับอารมณ์อย่างเมื่อกี้พูด อันนี้เป็นตั้งมั่นอยู่ในงานตรงนั้น อันนั้นก็เป็นสมาธิเหมือนกัน แต่ท่านเรียกว่าขณิกสมาธิ
ขณิกะแปลว่าขณะ ขณะ ๆ ๆ มันตั้งมั่นอยู่ตรงนี้ แล้วงานมันต่อเนื่องมันเคลื่อนไหว มันก็ตั้งมั่นต่องานอันใหม่อยู่เป็นขณะ ๆ ต่อเนื่อง จึงเรียกว่าขณิกสมาธิ ถ้าอัปปนาสมาธิมันแนบแน่น มันต้องตั้งมั่นอยู่ในจุดนั้น แล้วมันไม่มีการเคลื่อนไหว มันนิ่งอยู่ตรงนั้น นี่มันเป็นอัปปนาสมาธิจึงเข้าสู่องค์ฌานนั่นเอง
เพราะฉะนั้นสมาธิ ๒ แบบนี้ต้องฝึกหมด เพราะมันเป็นประโยชน์ทั้งคู่ถ้ารู้จักใช้
ทีนี้เวลามันตั้งมั่น มันไม่คิดฟุ้งซ่าน มันไม่หลงตามอารมณ์ จิตนั้นมันก็มีความสงบอยู่ในตัวของมัน เพราะนั้นไวพจน์อีกอย่างหนึ่ง เราเลยบอกว่าสมาธิคือความสงบ แต่จริง ๆ ก็ไม่ใช่ เพราะในตำรานั้น ความสงบเขาเรียกว่าปัสสัทธิ
ปัสสัทธิกับสมาธิ เป็นอรรถคนละตัว ไม่ใช่ตัวเดียวกัน นี่ต้องให้เข้าใจ
ทีนี้เวลามันตั้งมั่นในงานมันก็มีความสุข ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า happy ชอบที่จะทำงานตรงนั้น ทำแล้วมีความสุขไง เพราะจิตมันตั้งมั่นอยู่ตรงนั้น มันก็เป็นสมาธิในงานตรงนั้นนั่นเอง
อันนี้คนไม่เข้าใจ พอไม่เข้าใจก็เลยพยายามทำสมาธิให้ตั้งมั่นให้หยุดนิ่งอยู่ตลอดเวลา พอหยุดนิ่งตลอดเวลาก็เลยไม่ได้เจริญตัววิปัสสนา เพราะสมาธิที่จะเกิดวิปัสสนาญาณนั้น จะต้องตั้งมั่นอยู่ในงานที่กระทำตรงนั้น มันมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอด มันมีการพิจารณา
เพราะนั้นการพิจารณานั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในกรรมฐานอนุสติ ๑๐ พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆนุสติ แม้แต่เทวตานุสติ มันคือการคิดนึกนั่นเอง
แต่การคิดนึกนั้น มันจะมีการเคลื่อนไหวของความคิดอยู่ตลอด แต่มันตั้งมั่นอยู่ทุกการเคลื่อนไหวของความคิด
เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ว่า อนุสติพวกนี้เวลาที่มันเกิดสมาธิมันเกิดได้อย่างสูงที่สุดคืออุปจารสมาธิ มันเกิดได้ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ แต่มันไม่เกิดอัปปนาสมาธิ เพราะมันไม่ได้แนบแน่นในจุดใด มันมีการเคลื่อนไหวอยู่ แต่มันตั้งมั่น ตั้งมั่นจุดนี้ พอเคลื่อนไหวจุดนี้ มันก็ทิ้งตรงนี้ มันก็ไปตั้งมั่นตรงใหม่ มันรวดเร็วต่อเนื่อง ๆ
ตัวนี้มันจึงทำให้ความตั้งมั่นตรงนั้นนี่มันมาวิจัยธรรมอยู่ตรงนั้นได้ มันจึงเห็นเหตุเห็นผลของเรื่องนั้น ของงานตรงนั้น มันจึงเรียกว่าปัญญามันเกิดนั่นเอง
เหตุนั้นจึงมีการสอนผิดในสายกรรมฐานต่าง ๆ มีการสอนผิด แต่พอเราพูดประเด็นนี้ออกไป เดี๋ยวเขาก็หาว่าอาจารย์ไปบอกว่าเขาผิดได้ยังไง ก็ให้รับฟังไปพิจารณาดู
ส่วนใหญ่ก็จะบอกว่าพยายามทำสมาธิ เดินจงกรมนั่งสมาธิให้สมาธิมันเกิด เดี๋ยวปัญญามันจะเกิดเอง พอทำไปแล้วพระส่วนใหญ่ก็จะไปเกิดเป็นพรหม เพราะได้สมาธิแต่ไม่ได้ปัญญา แล้วก็หลงตนเองว่าเป็นพระอรหันต์ แล้วลูกศิษย์ลูกหาก็มาโฆษณาหรือพระด้วยกันก็โฆษณา พยากรณ์องค์นั้นอรหันต์ องค์นี้อรหันต์ องค์นั้นอรหันต์ อรหันต์ของเขาก็คือการหยุดนิ่งด้วยสมาธินั่นเอง
พอเวลาพวกนี้ตาย โสดาฯบางทีก็ไม่ได้ ไปเกิดเป็นพรหมหมด เพราะจิตที่ติดสมาธิตัวนั้นเวลาดับก็ไปเกิดเป็นพรหม ถ้าจิตมีมหากุศล ๘ ก็จะไปเกิดเป็นเทวดา นี่ มันไปตามเหตุปัจจัยของจิตดวงนั้นที่กระทำกรรมนั้นเอง ก็เลยเข้าใจว่าทำสมาธิแล้วปัญญาจะเกิดเอง
เขาคิดว่าพระพุทธเจ้าตรัสไว้ ภิกษุทั้งหลาย เธอจงยังสมาธิให้เกิด เมื่อเธอยังสมาธิให้เกิดแล้วเธอจะรู้เห็นตามความเป็นจริง เขาก็เลยพยายามทำสมาธิให้เกิด เพื่อจะได้ปัญญาเกิดนั่นเอง
คำว่า รู้เห็นตามความเป็นจริงนั้น ก็คือตัวปัญญามันเกิด แต่การที่เขาพยายามทำสมาธินั้น เขามีมิจฉาทิฏฐิ เพราะเขาไม่เห็นอรรถของสมาธิ ๒ แบบที่พูดให้ฟัง เขาไม่มีปัญญารู้ว่าสิ่งที่จะเกิดปัญญานั้น อะไรเป็นเหตุให้ปัญญามันเกิดนั่นเอง...
โดยท่านพระอาจารย์วิชัย กัมมสุทโธ
" ความหลง
เรียกว่า โมหะ เป็นกิเลสเหมือนว่า จะไม่มีพิษ
อะไรเลย ดักอยู่ในเบื้องหลัง คอยสั่งการไม่ค่อย
โผล่หน้าออกมาข้างนอก
ความจริงแล้ว
มีพิษมากมายทีเดียว ยากที่จะบอกให้ทราบได้
ถ้าหาก มันได้เกลี้ยกล่อมกัดกินหัวใจ ใครแล้ว
ไม่ยอมละวาง หรือถอยออกจากใครง่าย ๆ
ความโกรธ ความโลภ
ละได้ง่าย หายเร็ว แต่มันจะกำเริบอีกเมื่อไร ก็ได้
ถ้าไม่คอยระวังรักษามัน
แต่เจ้าความหลง ตัวโมหะนี้
ละได้ยากมาก ถ้าหากปิดหู ปิดตา ปิดใจ ของใคร
แล้วแก้ไม่ตก
เหมือนสอนปลาให้ว่ายน้ำบนบก สอนไก่ ให้ดำน้ำ
กิเลส
คือ โมหะจึงเป็นสิ่งสำคัญ มันมีอิทธิพลโดยเราไม่รู้
สึกตัวเลย คือ...
มันสามารถเข้าไปจับยุทธศาสตร์ ที่สำคัญ คือ ใจ
เมื่อ...
มัน จับนายใจ หรือพญาจิตราชได้แล้ว สิ่งทั้งหมด
จะต้องเป็นไปตามคำบังคับบัญชา ของมัน
เช่น ยกตัวอย่าง
รูปัง อนิจจัง รูปทั้งหมดไม่เที่ยง แต่โมหะ มันบอก
ใหม่ว่า...รูปทั้งหมดเที่ยงแท้
พระบอกว่า...
สังขารทั้งหลาย เป็นทุกข์อย่างยิ่ง
มัน จะบอกคนโง่ว่า สังขาร เป็นสุขอย่างยิ่ง."
____________________________________________
(หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล)
🚩 พวกฆราวาสที่สำเร็จพระโสดา สกิทาคา อนาคา ผู้มีศรัทธา ผู้มีความยินดีแล้ว พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้เลือกว่าต้องนุ่งเหลืองจึงจะสำเร็จ ไม่ใช่ นุ่งขาวก็ไม่ว่า นุ่งเหลืองก็ไม่ว่า หัวโล้นก็ไม่ว่า หัวดำก็ไม่ว่า สำเร็จหมด ชั้นสูงก็ไม่ว่า ชั้นต่ำก็ไม่ว่า สำเร็จหมด ไม่เลือกชั้นวรรณะ ไม่เลือกชาติเลือกภาษา
.
🚩 ผู้ที่เข้ามาปฏิบัติธรรมะของพระพุทธเจ้าทำลงไปแล้วไม่มีผลไม่มี ต้องมีผลทีเดียว ทำน้อยก็ได้รับผลตามน้อย ทำมากก็ได้รับผลตามมาก ติดตนเป็นอริยทรัพย์ สมบัติอันนี้ได้รับผลตามกำลัง
.
*หลวงปู่ขาว *อนาลโย 🙏🙏🙏
ให้อยู่กับ ความรู้สึกตัว
ความรู้จากการคิดไม่ใช่สิ่งที่เราต้องไปสะสม ให้รู้เองออกมาจากใจ อย่าไปคิด เพราะจะไปขวางปัญญาที่จะเกิด แล้วหากใจเป็นอิสระ ย่อมไม่มีอะไรให้ยึดถือ แม้ความรู้ก็ปล่อยออก ใจที่อิสระแล้ว ยังมีอะไรให้ยึดถืออีก ว่างสงบกับใจ
ความคิดเป็นดังอกุศล เป็นเหมือนความมืด อกุศลนั้นท่านให้ละ ไม่ใช่ให้เจริญ หากมัวอยู่แต่กับความคิด ลังเลสงสัย อยากรู้ เฝ้าพิจารณาอยู่กับความคิด ค้นหาอยู่กับความมืด มันย่อมไม่สว่างสักที หากแต่มา รู้สึกตัว เป็นวิธีจุดไฟ เป็นกุศล เป็นวิธีเข้าถึงความสว่าง แค่เราจุดไฟ หรือ แค่รู้สึกตัว เมื่อสว่างแล้ว ใจเป็นอิสระ เป็นกุศลแล้ว ความมืดทั้งหลายย่อมหมดไป ความรู้จากการคิดในความมืด ย่อมไม่เหลือประโยชน์อันใดและหมดไป เพราะความมืดหมดไปแล้ว มีเพียง ว่างสว่างกับใจ ใจที่ไม่ยึดถือ
การละความคิด ไม่ใช่การไปห้ามความคิด เพราะเป็นการไปคิดห้าม มันก็ยังเป็นความคิด แต่ให้หมั่น " รู้สึกตัว " เมื่อรู้สึกตัว เราจะปล่อยออกจากความคิดเป็นอัตโนมัติ
"บุญ - บารมี" ต่างกันอย่างไร?
"บุญ" นั้นมีพลานุภาพมาก... สามารถอยู่กับเราได้ข้ามภพข้ามชาติแต่หากส่งผลของกรรมดีจนบุญหมดแล้ว เมื่อหมดก็คือ "หมด" จริงๆ
เราควรสะสม "กรรมดี" อันเป็น "บุญ" ไปเรื่อยๆ พยายามอย่าสร้าง "กรรมไม่ดี" ให้มันบันทึกไว้ใน "จิต" เพราะเวลา "บาป" มันส่งผล มันก็จะมีอานุภาพหนักหนาพอๆกัน
พิจารณาดูสิ! พระพุทธองค์เมื่อบรรลุธรรมก็ยังต้องรับ "วิบากกรรม" ที่ได้กระทำไว้ในอดีตแต่ถ้าท่านเป็นพระอรหันต์แล้วท่านจะรับกรรมแบบ "ไม่มีทุกข์" ในขันธ์ 5 ในสังขารของท่าน
"บุญ" นั้นมาจาก "กรรมดี" ซึ่งมีที่มาได้ 2 ทาง คือ
1. บุญจาก "การกระทำเอง"
2. บุญจาก "การรับรู้ที่ผู้อื่นได้ทำดี" อันเรียกว่า "อนุโมทนาบุญ"
ส่วน "บารมี" มาได้ทางเดียวเท่านั้น คือ "ท่านจะต้องทำเอง" และเป็นการทำบุญอย่างยิ่งยวดเพื่อความหลุดพ้นจากกองทุกข์ เมื่อสร้างแล้วมันจะถูกบันทึกไว้ใน "จิต" ไม่มีลดมีแต่ทรงกับเพิ่ม ซึ่งต่างจาก "บุญ"
และวิธีการสร้าง "บารมี" มี 10 วิธี! ดังนี้
1. ทานบารมี = การที่จิตของเราพร้อมที่จะให้ทาน ให้เพื่อสงเคราะห์ไม่ใช่ให้เพื่อผลตอบแทน ให้แบบไม่เลือกเพศ ไม่เลือกฐานะ ไม่เลือกบุคคล และเต็มใจในการให้ทานนั้นๆ
2. ศีลบารมี = การที่จิตของเราพร้อมในการรักษาศีล พยายามไม่ให้ศีลบกพร่อง และไม่ยุคนอื่นให้ละเมิดศีล ไม่ดีใจเมื่อคนอื่นละเมิดศีล
3. เนกขัมมบารมี = การที่จิตพร้อมในการถือบวช ในการมุ่งไปสู่การปฏิบัติธรรม การบำเพ็ญภาวนา
4. ปัญญาบารมี = การที่จิตพร้อมที่จะใช้ปัญญาเป็นเครื่องประหัตประหารกิเลสและมีความรู้เท่าทันสภาวะของกฎสามัญลักษณะ ได้แก่ การเห็นอนิจจัง - ทุกขัง - อนัตตา ทุกอย่างไม่แน่!
5. วิริยบารมี = การที่มีความเพียรทุกขณะในการที่จะทำความดี ทำอย่างไม่ย่อท้อ
6. ขันติบารมี = การที่มีความอดทนอดกลั้นต่อสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์ในการทำความดี
7. สัจจะบารมี = การที่ตั้งมั้นในคำพูดที่ได้รับปากไว้แล้วหรือการตั้งมั่นกับตนเอง พูดจริง! ทำจริง!
8. อธิษฐานบารมี = การตั้งเป้าหมายให้จิตแบบเจาะจง การที่ตั้งใจไว้ให้ตรงโดยเฉพาะ ตัวอย่างเช่น...สมัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ทรงนั่งประทับที่โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์พระองค์อธิษฐานว่าถ้าเราไม่ได้สำเร็จพระโพธิญาณเราจะไม่ยอมลุกจากที่นี้ พระองค์ทรงอธิษฐานแบบเอาชีวิตเข้าแลกแล้วพระองค์ก็ทรงบรรลุในคืนนั้น
9. เมตตาบารมี = การที่มีความเมตตาไม่เป็นศัตรูกับใคร ไม่เกลียดใคร ไม่อาฆาตใคร มีความรักตนเสมอด้วยบุคคลอื่น
10. อุเบกขาบารมี = การที่มีความวางเฉยมีความเป็นกลางต่ออารมณ์ที่ถูกใจและอารมณ์ที่ไม่ถูกใจ
ขอให้ชาวพุทธทุกท่าน ได้เสริมสร้าง "บุญ - บารมี" กันด้วยความเข้าใจกันด้วยนะครับ
# ธรรมทาน (^/\^)
ปกติเวลาเทพบุตร เทพธิดาจะจุติลงมาเป็นมนุษย์ ทุกองค์มีความตั้งใจจะลงมาสร้างคุณงามความดีเพื่อยกภูมิของตนให้สูงขึ้น
แต่พอมาเป็นมนุษย์จะลืมและหลงไปในอบายมุขในโลก ไม่สร้างกรรมดีตามที่ตั้งใจ ซ้ำกลับต้องตกต่ำลงกว่าที่ตนเคยเสวยสุขอยู่เสียอีก..!!
บนสวรรค์เมืองแมนแดนสวรรค์ท่านว่าสุขทุกขณะจิต ส่วนผู้เสวยบาปต้องลงนรก ลำพังความเดือดร้อนจากไฟนรกก็แสนสาหัส ไม่ต้องถูกลงทัณฑ์ ทรมาน ชาวนรกก็พูดไม่ออกบอกไม่ถูกกันอยู่แล้ว
ในนรกท่านก็ว่าเป็นทุกข์ไม่มีเวลาสุข ทุกขณะจิตเช่นกัน..!!
"..พวกเราเองเป็นอย่างไร สว่างมา สว่างไป หรือ สว่างมา มืดไป หรือ มืดมา สว่างไป หรือ มืดมา มืดไป ทรัพย์สมบัติทุกชิ้นที่หามาจากโลกนี้ ยศตำแหน่งหน้าที่การงาน คำสรรเสริญติชมทุกสรรพเสียง ความสุขรื่นรมณ์ทุกประการ คนรักสัตว์เลี้ยงสิ่งของที่สะสมห่วงหาอาลัย สุดท้ายคืนโลกหมด เหมือนฝันไปจำต้องตื่น เหมือนอายุงานที่จำต้องเกษียณ ประกันชีวิตที่ทำชาตินี้ ควรเป็นศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อเอาไปใช้ในชาติหน้าได้จริง..."
คติธรรมคำสอน : หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป
วัดอรัญญวิเวก อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่
ลักษณะหน ทางแห่ง ความหมดจด
ทางมีองค์แปด เป็นทาง อันประเสริฐ กว่า
ทางทั้งหลาย.
บทแห่ง อริยสัจสี่ ประเสริฐ กว่า บททั้งหลาย.
วิราคธรรม ประเสริฐกว่า ธรรมทั้งหลาย.
ผู้มี พุทธจักษุ ประเสริฐกว่า สัตว์สองเท้า ทั้งหลาย.
นี่แหละทาง เพื่อ ความหมดจด แห่ง ทัสสนะ ทางอื่นมิได้มี. เธอ ทั้งหลาย จงเดิน ตามทางนั้น อันเป็นที่หลง แห่งมาร; เธอทั้งหลาย เดิน ตาม ทางนั้นแล้ว จัก กระทำที่สุด แห่งทุกข์ได้.
ทาง เราบอก แล้วแก่ เธอทั้งหลาย เพื่อ
การรู้จัก การถอน ซึ่งลูกศร; ความเพียร เป็นกิจ
อันเธอ ทั้งหลาย พึงกระทำ ตถาคตทั้งหลาย เป็นเพียงผู้บอก ผู้มุ่งปฏิบัติ แล้วย่อมพ้น จาก
เครื่องผูก แห่งมาร.
เมื่อใด บุคคล เห็นด้วย ปัญญาว่า
“สังขาร ทั้งหลาย ทั้งปวงไม่เที่ยง”;
เมื่อนั้น เขาย่อม เบื่อหน่ายใน สิ่งที่เป็นทุกข์ :
นั่นแหละ เป็นทางแห่ง ความหมดจด.
เมื่อใด บุคคล เห็น ด้วยปัญญาว่า
“สังขาร ทั้งหลาย ทั้งปวง เป็นทุกข์”;
เมื่อนั้น เขาย่อม เบื่อหน่าย ในสิ่งที่ เป็นทุกข์ :
นั่นแหละเป็น ทางแห่ง ความหมดจด.
เมื่อใด บุคคลเห็น ด้วยปัญญาว่า
“ธรรม ทั้งหลาย ทั้งปวง เป็น อนัตตา”;
เมื่อนั้น เขาย่อม เบื่อหน่าย ในสิ่งที่เป็นทุกข์ :
นั่นแหละ เป็นทาง แห่ง ความหมดจด.
ธ. ขุ. ๒๕/๕๑/๓๐
"อย่าพูด ตามความคิด
อย่าทำอะไร ตามความคิด
อย่าปล่อย ให้ความคิดออกหน้า
ให้สตินำหน้า พูดกับผู้อื่นให้น้อย
เตือนตนเองให้มาก
ความหลงเป็นศัตรู ความรู้เป็นมิตร
ให้กลัวความหลง ให้กล้ากับความรู้สึกตัว
ฉลาดในการเอาชนะตน
ยอมแพ้คนอื่น ในทางสมมติ
มีสติ เฝ้าดูตัวเอง"
หลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ
ผมเเสวงหาการปฏิบัติธรรมะเพื่อมาเเก้ปัญหาตัวเองครับ ไม่ใช่จะไปเเก้ปัญหาผู้อื่น เเก้ปัญหาตัวเอง เเก้ปัญหาครอบครัว. เเก้ปัญหาสังคม ต้องเเก้ตัวเองก่อนครับ เมื่อเเก้ตัวเองเเล้ว ก็เเก้ปัญหาครอบครัวได้ เเก้ปัญหาสังคมได้ อย่างพระสงฆ์องค์เณรก็เหมือนกัน เเก้ปัญหาตัวเองได้เเล้ว ก็ต้องเเก้ปัญหาหมู่พวก เเก้ปัญหาหมู่พวกไม่สำคัญครับ สำคัญเเก้ตัวเอง
เมื่อตัวเองเเก้ปัญหาไม่ได้ จะไปเเก้พวกหมู่ไม่ได้เเท้ๆ เพราะมันเก็บเอาเรื่องของพวกหมู่มาเเบก มันเข้าเรื่องเขาว่า คนเเบกโลก ยิ่งเเบกยิ่งหนัก. เมื่อมีคนทักว่า ยิ่งเเบกก็ยิ่งหนัก มันหนักมันเกิดว่า ตัวกูของกู. เขาเล่าให้ฟัง ขยับเข้าๆผลที่สุด โลกทับหัวตาย โลกทับดับชีวาก็เลยตาย ตายเพราะเเบกโลก. เเบกโลกไม่ใช่จะไปเเบกให้มันหนักอย่างที่เเบกดินหรือเเบกต้นไม้. เเบกอะไรต่างๆไม่ใช่อย่างนั้น. เเบกความคิด ความคิดคนพูดอยู่ที่ไหนเก็บมาเเบกทั้งหมด ท่านเรียกว่าคนเเบกโลก ไม่ดี ผิด ทุกข์ นำความทุกข์ความเดือดร้อนมาให้เเก่เรา
พอได้ยินเสียงเรื่องอะไรต่างๆ เราสลัดทิ้ง สลัดทิ้ง ไม่เอามาเเบก ไม่เอามาคิด เเต่เราต้องรู้จักว่าเราทำดีหรือเราทำชั่ว เราทำผิดหรือเราทำถูก อันนี้ซิเป็นการปฏิบัติธรรม ถ้าเราทำดีเเล้วคนอื่นว่าชั่ว มันไม่ใช่ชั่วกับคำพูด. ชั่วอยู่กับตัวเรา. บัดนี้ถ้าเราทำชั่วเเล้วคนอื่นว่าดีมันไม่ได้ดีกับคำพูด. โน่นมันดีอยู่กับตัวเรา
ดังนั้นท่านจึงว่า. ให้เเก้ตัวเราก่อน. เรื่องคำพูดนั้นไม่สำคัญ. เมื่อเเก้ตัวเราเเล้วมันสบายเเล้วตัวเรา. ท่านให้รู้จักเเก้ตัวเรา มันเป็นอย่างนั้น
พระธรรมเทศนา หลวงพ่อ เทียน จิตฺตสุโภ
อยู่กับความรู้สึกตัวคือ การไม่ไปตามความคิด ละความคิดโดยให้รู้สึกตัว
เมื่อเรารู้สึกตัว ความคิดจะไม่เกิด
การที่เราไปคิด ( สงสัย ) หรือไปดักคิดรู้สึกตัว หรือพยายามจะรู้สึกตัวยาวๆ นานๆ ตลอดนั้นเป็นวิธีที่ผิด
แค่ให้รู้แว๊ปๆ วูบๆ วาบๆ โดยไม่คิดไม่ให้ความหมายใดๆ วิปัสสนาจึงจะเจริญ
.
Trader Hunter พบธรรม