"สติ "เป็นเหมือนกับยาม เฝ้าดูการกระทำของเรา ดูความคิด การพูด การกระทำต่างๆ ให้มีสติ คอยติดตาม มีปัญญาคอยกลั่นกรอง ถ้าปฏิบัติอย่างจริงจัง จะได้เห็นผลอย่างจริงจัง
ลองไปปฏิบัติดูครับ ฝึกตั้งสติอยู่เรื่อยๆ ตั้งแต่ตื่นจนถึงหลับ
ถาม ท่านอาจารย์เน้นเรื่องสติ เรื่องการสำรวมอินทรีย์ เรื่องศีล พวกนี้เป็นเรื่องเดียวกันหมดเลยใช่ไหมครับ
ตอบ ต่อเนื่องกัน
ถาม เพื่อจะทำให้สติมั่นคง ได้ทั้งศีล การสำรวมอินทรีย์เล่าครับ
ตอบ สนับสนุนกัน เป็นเหมือนวงกลม ตัวนี้ก็ดันตัวนั้น ตัวนั้นก็ดันตัวต่อไป จนกลับมาดันตัวนี้ใหม่ ต่างฝ่ายต่างดันกัน ทำให้มีกำลังมากขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้าเรายืนเข้าแถวเป็นวงกลม พอคนที่อยู่ข้างหลังเราดันเรา เราก็ต้องดันคนข้างหน้า คนข้างหน้าก็ต้องดันคนต่อไปๆ จนย้อนกลับมาดันคนที่อยู่ข้างหลังเรา แล้วก็ดันเราต่อไปอีก
>>>ตัวที่สำคัญที่สุด ที่เป็นตัวริเริ่มก็คือ "สติ" ที่จะทำให้ทุกอย่างเริ่มขยับไป เริ่มพัฒนาไป ถ้าเมื่อคืนนี้กินเหล้าเมา ตื่นขึ้นมายังเมา ไม่มีสติ ก็จะมาวัดไม่ไหว มาทำบุญทำทาน มาฟังเทศน์ฟังธรรมไม่ได้ หรือมาแล้วกลางทางก็แวะซื้อเบียร์ดื่ม พอมาถึงที่นี่ก็ต้องนั่งในรถ เพราะไม่มีสติ ตัวสำคัญตัวแรกก็คือสติ ถ้าไม่มีสติก็จะไม่สามารถควบคุมใจให้ทำภารกิจต่างๆได้ ถ้าทำตอนที่เมา ก็จะทำไปแบบผิดๆถูกๆ ขับรถชนกันตายก็เพราะเมาแล้วขับ สติจึงเป็นตัวสำคัญที่สุดในบรรดาธรรมะทั้งหลาย ทรงเปรียบเทียบ เป็นเหมือนรอยเท้าช้าง ครอบรอยเท้าของสัตว์ทุกชนิดได้หมด ถ้าไม่มีสติ ทาน ศีล ภาวนา วิมุตติหลุดพ้นก็จะไม่เกิด ถึงแม้วิมุตติหรือปัญญาหรือภาวนาจะเป็นธรรมะที่สูงมาก ก็ยังต้องมีสติเป็นผู้สนับสนุนผลักดัน เราสามารถเจริญสติได้ตลอดเวลา ไม่ว่าอยู่ในวัดหรือนอกวัด ที่บ้านหรือที่ทำงาน เพราะมันอยู่ที่ตัวเรา แต่เราไม่ฝึกทำให้เป็นนิสัย จึงชอบทำแบบไม่มีสติ คือมีสติบ้าง แต่ไม่พอต่อการปฎิบัติธรรม มีเพียง ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ปุถุชนคนธรรมดาสามัญจะมีสติประมาณร้อยละ ๕๐ พอควบคุมดูแลจิตใจให้ทำอะไรได้ ยังมีสติไม่ถึง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ทำอะไรก็จะเผลอไปคิดเรื่องอื่น แล้วก็กลับมาดูบ้าง กลับไปกลับมา มีสติเพียง ๕๐ เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่นี่ ๕๐ ไปที่นั่น ๕๐ กลับไปกลับมาอยู่อย่างนี้ ถ้าเป็นสติของนักปฏิบัติจริงๆ จะมี ๑๐๐ ทั้ง ๑๐๐ อยู่ตรงนี้เดี๋ยวนี้ตลอดเวลา ทำอะไรก็จะอยู่ตรงนี้อย่างเดียว เวลารับประทานอาหารก็อยู่กับการรับประทานอาหาร เวลาเคี้ยวก็อยู่กับการเคี้ยว แต่ไม่ทำอย่างเชื่องช้า ไม่ทำแบบตักข้าวขึ้นมาหนอ ใส่เข้าไปในปากหนอ กำลังเคี้ยวหนอ กำลังกลืนหนอ ไม่ต้องทำอย่างนี้ เพราะสติไวพอ ทำตามธรรมดา ให้มีสติเฝ้าดูอยู่ ตอนฝึกใหม่ๆ สำหรับบางคนอาจจะเป็นประโยชน์จากการทำแบบช้าๆ เพื่อฝึกให้มีสติอยู่กับการกระทำนั้นๆ เมื่อถึงเวลาจริงๆแล้ว ต้องสามารถดำเนินชีวิตไปอย่างปกติ มีสติ ตามรู้อยู่ตลอดเวลา
สติ(สัมมาสติ) ก็คือ ความรู้สึกตัวโดยธรรมชาติ โดยไม่ปรุงแต่งใดๆ ไม่มีความหมายใดๆ มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ ความคิดนั้นไม่ใช่สัมมาสติเพราะมีการปรุงแต่ง คําว่าสติที่ใช้กัน นั้นก็แยกออกเป็นสติแบบโลกๆเป็นความคิดมีการปรุงแต่ง กับสติที่เป็นสัมมาสติ เป็นความรู้สึกตัวโดยธรรมชาติ...Trader Hunter พบธรรม
ผู้มีสติจะไม่ตกเป็นทาสของความคิดฝึกสติ เจริญสติ "เรียกว่าเป็นอยู่โดยชอบ"...#พระสิ้นคิด
การเจริญสติ หลวงพ่อเทียน
การมีสติเป็นเรื่องสำคัญ เพราะจะทำให้ผู้นั้นทำงานทำการได้ผลดี จะตัดสินใจทำอะไรก็ไม่ค่อยผิดพลาด ถ้ามีสติ-ความรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา บุคคลนั้นก็ไม่จำเป็นต้องไปวัด ถือศีลกินเจ เพราะเขารู้ตัวว่าตัวเขากำลังทำอะไร กำลังพูดอะไร กำลังคิดอะไร
ทำให้ตัวเองหรือผู้อื่นเดือดร้อนหรือไม่ เพราะสติ-ความรู้สึกตัวนี้คือสิ่งที่มีประโยชน์และสำคัญที่สุดในชีวิตเรา สติจะช่วยไม่ให้เราหลงไปกับอารมณ์หรือความคิด เนื่องจากสติทำให้เรารู้เท่า รู้ทัน รู้จักกัน รู้จักแก้ความทุกข์ที่จะเกิดขึ้นกับเรา นอกจากนั้นผู้ที่มีสติสมบูรณ์จะมีสมาธิและปัญญา จะไปถึงที่สุดของทุกข์ได
เมื่อคนเรามีสติ ความหลง (โมหะ) จะไม่มี ถ้าสติขาดไป ความหลง - ความไม่รู้จะเข้ามาแทน ฉะนั้นถ้าไม่ต้องการให้ความหลง - ความไม่รู้มาครอบงำ เราก็ควรมีสติ-ความรู้สึกตัวอยู่เสมอและให้มีอย่างต่อเนื่อง เพราะสติเป็นเครื่องกั้นกิเลสทั้งหลายไม่ให้มาครอบคลุมจิตใจได้
ควรเจริญสติให้รู้ตัวทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน และทุกการเคลื่อนไหวของกายรวมทั้งให้รู้ทันความคิดทุกครั้งที่มันคิด ในขั้นต้นให้เจริญสติอยู่กับความรู้สึกตัวอย่างต่อเนื่อง เรื่องความคิดเราไม่ควรห้ามมัน ปล่อยให้มันคิด แต่ต้องมีวิธีและเทคนิคให้รู้ทันความคิด เห็นความคิด และตัดมันทิ้งไป ดังที่หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภสอนว่า คิดปุ๊บ ตัดปั๊บ และทำความรู้สึกตัวต่อไป อย่าเข้าไปในความคิด
ความรู้ ความเข้าใจที่ได้จากการเจริญสติ เป็นความรู้ของตัวเอง จึงเรียกว่าเกิดปัญญารู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง
ขั้นแรก จะรู้ เข้าใจ เรื่องรูป - นาม (กาย - ใจ) รู้เรื่องชีวิตที่มีกาย - ใจสัมพันธ์กัน แต่จะแยกได้ว่ากายก็ส่วนกาย ใจก็ส่วนใจ เช่น กายได้รับบาดเจ็บ แต่ใจไม่ได้เจ็บด้วย กายต้องเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ แต่ธรรมชาติของใจมันเป็นปกติ มันนิ่ง มันสงบ มันไม่ทุกข์ หลวงพ่อให้คำจำกัดความ อารมณ์รูป - นาม ว่า ใจรู้กาย
จะรู้เรื่องรูปทำ คือกายเคลื่อนไหวในอิริยาบถต่าง ๆ
จะรู้เรื่องนามทำ คือความคิดและอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น เช่นความโลภ ความพอใจ ความไม่พอใจ ฯลฯ
จะรู้เรื่องรูปโรค คือเจ็บป่วยทางกาย ต้องไปหาแพทย์ ให้ทำการรักษา
จะรู้เรื่องนามโรค คือจิตใจป่วย เช่น ความคิด ความทุกข์ ความอยาก ฯลฯ จิตใจป่วยต้องรักษาด้วยการเจริญสติเท่านั้น และเราต้องเป็นผู้รักษาตัวเอง
จะเข้าใจเรื่อง ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ซึ่งเกี่ยวกับกาย ไม่ได้เกี่ยวกับใจ
ทุกขัง คือ ทุกข์ ทนไม่ได้
อนิจจัง คือ อยู่นิ่งไม่ได้ ต้องมีการเคลื่อนไหว หรือการเปลี่ยนแปลง
อนัตตา คือ ไม่อยู่ในบังคับ
ฉะนั้นจึงมีแต่กายเท่านั้นที่เป็นทุกขัง เป็นอนิจจัง และเป็นอนัตตา เช่น เมื่อเกิดมาเป็นเด็กทารก ก็มีการพัฒนาและเติบโตขึ้น จะบังคับให้อยู่เฉยๆ นิ่งๆ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยนั้นเป็นไปไม่ได้ เมื่อมีการเกิด ต้องมีการแก่ การเจ็บ การตาย ทุกคน
ที่ว่า ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ไม่ใช่เรื่องของใจ เพราะคนที่มีความปกติ ใจไม่เป็นทุกข์ ใจจะนิ่งเฉย สงบ ไม่มีการหวั่นไหวใดๆ ผู้ปฏิบัติจะเห็นและเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจนว่ากายกับใจมันต่างกัน มันคนละเรื่อง
หลังจากนั้นจะเข้าใจเรื่อง สมมติ ทั้งหลาย เช่น พระ ผี เทวดา นรก สวรรค์ เงินทอง ทรัพย์สมบัติ ยศถาบรรดาศักดิ์ ต่างเป็นสมมติทั้งสิ้น เมื่อเข้าใจสมมติแล้ว จะไม่ยึดติดกับสิ่งเหล่านี้
จะเข้าใจเรื่องพุทธศาสนา ว่า พุทธ คือ ผู้ตื่นจากความไม่รู้ ผู้ที่มีสติ สมาธิ ปัญญา ผู้รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง มีปัญญาเกิดขึ้นเอง
ศาสนา คือ ที่พึ่ง
พุทธศาสนาแปลว่า ที่พึ่งอันอุดมด้วยสติ – ปัญญา
ศาสนานี้อยู่ที่ตัวเรา เมื่อมีสติ สมาธิ ปัญญา มีจิตใจที่สะอาด สว่าง สงบ
ความรู้หรือปัญญาที่เกิดจากสมาธินั้นคือของจริงที่เห็นและสัมผัสได้ด้วยญาณปัญญา
ต่อไปจะรู้ เข้าใจ เรื่อง บุญ บาป
บุญ คือ ความสว่าง ความรู้แจ้ง รู้จริง จิตใจเบิกบานจากการได้รู้ เข้าใจสัจจธรรม
บาป คือ ความโง่ ความไม่รู้ ตามืดบอด เพราะโมหะและอวิชชา จึงหลงผิด
การรู้แจ้ง รู้จริงด้วยตัวเอง เป็นสัญญาจะจดจำได้ตลอดไป เพราะเราเห็นเอง รู้เอง เข้าใจเอง จึงเชื่อตัวเอง ไม่เชื่อผู้อื่น
การรู้จำ รู้จัก เป็นความรู้ของคนอื่น เราไม่ได้รู้เอง จึงอาจหลงลืมได้
ความรู้ที่เรารู้ด้วยตัวเอง ในกาย - ใจของตัวเอง เรียกว่า วิปัสสนาญาณ เมื่อมีความรู้สึกตัวมากขึ้นๆ สติก็จะมีมากขึ้นๆ จนกระทั่งเป็นมหาสติ จะไม่มีการปรุงแต่ง จะเห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน จะทำกิจทั้งหลายโดยใจไม่ต้องสั่ง แต่กายจะทำเอง หรือเรียกได้ว่า มันเป็นของมันเอง มันทำของมันเอง เมื่อถึงจุดนี้เราจะเชื่อจริงๆ ว่าสตินั้นมีคุณค่าใหญ่หลวงนัก เพียงแต่เจริญสติให้ถูกต้องตามเทคนิคของหลวงพ่อเทียนเท่านั้นเอง สติจะนำเราไปจนถึงที่สุดของทุกข์ พบแสงสว่าง ความรู้แจ้งเห็นจริง อายตนะภายนอกและอายตนะภายในขาดจากกัน ติดต่อกันไม่ได้อีกต่อไป ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จะทำหน้าที่ รู้ ตามความเป็นจริง โดยไม่มีการปรุงแต่งใดๆ แต่ในคนธรรมดา มันจะเป็นเช่นนี้ คือ
ตา เห็น รูป ใจ จะบอกว่ารูปนั้นเป็นอย่างไร
หู ได้ยิน เสียง ใจ จะบอกว่าเสียงนั้นเป็นอย่างไร
จมูก ได้ กลิ่น ใจ จะบอกว่ากลิ่นนั้นเป็นอย่างไร
ลิ้น รู้ รส ใจ จะบอกว่ารสนั้นเป็นอย่างไร
กาย รับ สัมผัส ใจ จะบอกว่าสัมผัสนั้นเป็นอย่างไร
ใจ เกิด ความคิด/อารมณ์ ใจ จะบอกอารมณ์พอใจหรือไม่พอใจ
เมื่อใดที่ใจเป็นสมาธิบนฐานของมหาสติ จะเห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน แล้วมันก็ผ่านไป เพราะใจสงบด้วยสติ - สมาธิ - ปัญญาจึงไม่มีการปรุงแต่งว่าเป็นอย่างไร เราต้องปฏิบัติให้ได้ถึงขั้นนี้ จึงจะเข้าใจเรื่องการปรุงแต่ง - การทำงานของใจ เรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ (อายตนะภายใน) เรื่องรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ (อายตนะภายนอก)
ใจ เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นทุกข์ หรือ ไม่เป็นทุกข์
ทุกข์ เกิดขึ้นเพราะการขาดสติ มีความหลงหรือโมหะ ถ้าไม่มีโมหะ ก็จะไม่มีโลภะ โทสะ; ถ้ามีโมหะ จะมีโลภะ โทสะ ตามมา ปกติใจของเรามันสะอาด สว่าง สงบ มันเฉยๆ แต่ที่เกิดความวุ่นวายใจจนเป็นทุกข์ เพราะไม่มีสติ เห็นจิตใจตัวเอง โทสะ โมหะ โลภะ จึงมีขึ้น
การเจริญสติตามแนวของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ นั้น ท่านให้ปฏิบัติอยู่บนฐานของความรู้สึกตัว แต่ต้องรู้จักความคิดด้วย เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วเราไม่รู้จักหรือไม่เห็นความคิดนั้น เราก็จะเข้าไปในความคิด คือ เราจะหลงไปกับมัน เพราะเราลืมตัว ไม่มีสติรู้เท่าทันความคิด ซึ่งเกิดจากการปรุงแต่งเป็น โลภะ โทสะ กิเลส ตัณหา อุปาทาน ท่านจึงสอนให้ทำความรู้สึกตัว ให้มีสติ เพื่อจะได้รู้เท่า รู้ทัน รู้จักกัน รู้จักแก้ เมื่อมันคิดจะได้รู้มัน เห็นมัน และตัดมันทิ้งไป เมื่อตัดทิ้งบ่อยๆ เข้า ความคิดก็จะสั้นลงๆ จนไปพบต้นกำเนิดของความคิดในที่สุด
การปฏิบัติจึงเป็นการกำจัดโทสะ โมหะ โลภะ; กิเลส ตัณหา อุปาทาน เมื่อใดที่เรารู้จักมัน เห็นมัน เข้าใจมัน สิ่งเหล่านี้จะไม่มีอีก หรืออาจจะหลงอยู่บ้างแต่ก็จะเหลือน้อยมาก ฉะนั้นจึงควรปฏิบัติให้รู้ เห็น เข้าใจตลอดสาย ให้หมดสิ้นสงสัยและรู้จักเรื่องชีวิตจิตใจให้ครบ เพื่อจะได้มีชีวิตเหนือสุขเหนือทุกข์
ในขณะที่มีความทุกข์จะรู้สึกเหมือนมีนรกอยู่ในใจ ถ้ารู้สึกสงบ สบายใจ สุขใจก็เหมือนมีสวรรค์อยู่ในใจ ดังคำกล่าวที่ว่า สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ
คนทำชั่ว พูดชั่ว คิดชั่ว คนนั้น คือ ผี
คนทำดี พูดดี คิดดี คนนั้น คือ เทวดา
กรรม หมายถึง การกระทำ
การทำดี มันดี
การทำชั่ว มันชั่ว
ผู้ปฏิบัติจนสิ้นอาสวะ และไม่มีความยึดมั่นถือมั่นอีกแล้ว แม้ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ใดๆไม่ว่าสุขหรือทุกข์ ย่อมไม่รู้สึกยินดียินร้ายในสุข - ทุกข์นั้น
เมื่อเจริญสติให้ถึงจุดสมบูรณ์ สมาธิ ปัญญา และศีล จะเกิดขึ้นเอง โดยไม่ต้องคอยระวังรักษาศีล แต่ศีลจะรักษาเรา ป้องกันเราจากโทสะ โมหะ โลภะ; กิเลส ตัณหา อุปาทาน ศีลจะทำหน้าที่ของมันเองโดยเราไม่ต้องทำอะไร และปัญญาจะเกิดขึ้นเอง จนวันหนึ่งจะเข้าถึงธรรมได้เอง เมื่อถึงที่สุดแล้วญาณย่อมมี
ถ้าตั้งอกตั้งใจเจริญสติอยู่เสมอให้ต่อเนื่อง ก็จะมีสติที่ว่องไวและทันความคิด ความคิดจะถูกตัดด้วยสติจนความคิดน้อยลง/สั้นลงทุกที เมื่อมีสติรู้สึกตัวทั่วพร้อมทั้งกาย - ใจ จะพบว่าจิตใจมีแต่ความปกติเหลืออยู่เท่านั้น มันคือธรรมชาติของใจที่สะอาด สว่าง สงบ ซึ่งผู้ปฏิบัติจะเห็นและสัมผัสได้ด้วยตนเอง ถ้าความไม่ปกติเกิดขึ้นเมื่อใด แสดงว่าตัวกิเลส (ไม่ว่าจะเป็นความสุขหรือความทุกข์) ได้เข้ามาในจิตใจแล้ว จึงควรปฏิบัติเพื่อให้หลุดพ้นจากทั้งสุขและทุกข์ เพื่อจะได้เหลือแต่จิตใจที่ปกติจริงๆ
หลังจากนั้น จะเข้าใจว่าความสงบมี ๒ อย่าง คือ ความสงบแบบสมถะ และ ความสงบแบบวิปัสสนา
คนที่มีสติที่แท้จริงคือคนที่มีสมาธิ มีปัญญา และมีศีลอยู่ในตัวเอง จะรู้ด้วยปัญญาว่าควรทำอย่างไรในสถานการณ์ต่างๆ เพราะมีปัญญาเป็นเครื่องนำทาง ทุกสิ่งที่ทำ พูด คิด จะมีที่มาที่ไป มีเหตุและผล ต่างจากคนที่ไม่เคยเห็นจิตใจตัวเอง ถูกกิเลสครอบงำ จะทำ จะพูด จะคิดไปตามกระแสกิเลสและอารมณ์
เมื่อมีสติรู้สึกตัวอยู่เสมอ จิตใจจะเป็นปกติ ใส สะอาด จะเห็นทุกอย่างชัดเจน ทั้งการกระทำ คำพูด และความคิด เมื่อใดที่เราทำชั่ว พูดชั่ว คิดชั่ว เราจะรู้ทันทีว่าเป็นบาป มันไม่มีศีลแล้ว มันไม่ปกติแล้ว รู้สึกเหมือนมีนรกอยู่ในใจ ถ้ามีนรกจริง เราจะตกนรกขุมไหน เมื่อใดที่เราทำดี พูดดี คิดดี เราจะรู้ว่ามันเป็นบุญอย่างไร เหมือนมีสวรรค์อยู่ในใจ ถ้ามีสวรรค์จริง เราจะไปอยู่สวรรค์ชั้นไหน
ขั้นสุดท้ายของการปฏิบัติจะได้พบเห็นต้นกำเนิดของความคิด จะเห็นว่ามันเกิดขึ้นอย่างไรและดับลงอย่างไร อาการเกิด - ดับเป็นอย่างไร อาการเกิด - ดับนี้เป็นสภาวะอาการ อย่าเข้าใจผิดว่ามันคิดครั้งหนึ่งเป็นเกิด - ดับครั้งหนึ่ง นั่นเป็นการเรียกอย่างสมมติว่าเกิด - ดับ ถ้าเป็นปรมัตถ์ จะต้องเห็นสภาวะอาการเกิด - ดับ จริงๆ เพราะมันคิดและเลิก/หยุดคิดวันละหลายร้อยครั้ง เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ปุถุชน หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภไม่เรียกมันว่าอาการเกิด - ดับ จนกว่าจะได้พบ สภาวะ นั้นจริง อาการเกิด - ดับแบบหลวงพ่อเทียนมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นในชีวิตนี้ และจะพบกับการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงของกาย - ใจ จะหมดสิ้นสงสัยเรื่องชีวิตจิตใจของตนเอง จะมีจิตใจที่เป็นอุเบกขาโดยไม่ต้องเสแสร้งหรือฝืนใจให้เป็น จะเห็น จะรู้ จะเป็น จะมี สิ่งนั้นตลอดไป จะมีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณที่ไม่เป็นทุกข์อีกต่อไป
บทสรุป
๑. รู้อารมณ์รูป - นาม เข้าใจเรื่องสมมติ ไม่เชื่อเรื่องฤกษ์ยาม ผี เทวดา นรก สวรรค์
๒. รู้อารมณ์นามรูป เกิดปัญญา เห็น รู้ เข้าใจเรื่องวัตถุ- ปรมัตถ์ - อาการ จิตใจเปลี่ยน ไม่ยึดมั่นถือมั่น
๓. รู้จักศีล ศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ มีความปกติกาย วาจา ใจอยู่เสมอ
๔. รู้ - เข้าใจเรื่องความสงบ ๒ อย่าง คือ
สงบแบบสมถะ สงบชั่วคราว ไม่มีปัญญาสงบแบบวิปัสสนา
สงบด้วยปัญญา รู้แจ้งเห็นจริง ตามความเป็นจริง รู้บาป - บุญ, นรก - สวรรค์
๕. พบสภาวะอาการเกิด - ดับ รู้ เข้าใจเรื่องชีวิตจิตใจอย่างแจ่มแจ้ง สิ้นสงสัย ถึงที่สุดของทุกข์
"..สตินี้มันก็ทันน่ะ คิดขึ้นเรื่องใดมันก็ดับ คิดขึ้นเท่าใดมันก็ดับ
▪ถ้ามีสติพร้อมกับ...ปรุงขึ้น...ดับ ปรุงขึ้น...ดับ
เรียกว่า สติพร้อมกัน
▪คิดไปก็หลงไปลืมไป แปลว่าไม่มีสติ
ถ้ามีสติแล้ว คิดขึ้นร้ายก็ดี คิดดีก็ดี รู้พร้อมกันนั้นล่ะ
สติรู้พร้อมกันดับลงทันทีนั่นล่ะ มีสติแล้ว มีปัญญา
...เมื่อไม่มีสติมันก็เผลอ เผลอแล้วมันก็หลงไป
ครั้นไม่เผลอแล้วมีสติแนบอยู่ทุกเมื่อแล้ว คิดดีก็ดับลง
คิดชั่วก็ดับลง พอใจก็ดับลง ไม่พอใจก็ดับลง
เอาลงทันทีนั่นล่ะ...มีสติแล้วก็ใช้ได้ ใจเบิกบานขึ้น
ปัจจุบันมีสติพร้อมกันกับคิด...คิดผิดก็ดี คิดถูกก็ดี
รู้พร้อมกันก็ดับทันที เรียกว่า สติ...สัมมาสติ สติสัมโพฌงค์
》อุบายก็อาศัย ความเพียรความหมั่นนั่นล่ะ...ตั้งอยู่นั้นล่ะ
ตั้งดูมันอยู่นั้นล่ะ...มันปรุงขึ้นรู้ทันที เป็นสติ.."
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
ถ้าเรามัวแต่คิดว่าเกิดเพื่อจะต้องมาคอยชดใช้กรรมเก่า
ชาตินี้เราคงไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะกรรมเก่านั้น
มากมายมหาศาล ลองคิดง่ายๆ เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่า
เราเกิดมาเท่าไรแล้ว เคยเป็น เคยทำอะไรมาบ้าง
พระพุทธองค์ตรัสว่า สังสารวัฏหาเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้
สิ่งที่ควรทำคือ มีสติรู้อยู่ในปัจจุบัน สิ่งที่เข้ามากระทบ
ทั้งวิบากฝ่ายดีและไม่ดีที่ให้ผลในปัจจุบัน
ให้รู้จักยอมรับด้วยจิตที่เป็นกลาง ถ้าเป็นกลางแท้ๆ
ไม่เข้าไปเป็นในวิบากนั้น
ผลแห่งวิบากทางกายอาจยังอยู่ เพราะยังมีกายรองรับ แต่ทางใจจะหมดทันที เพราะหมดการกระทำกรรมทางใจใดๆ
ไม่ว่าจะเพลินรักษาไว้หรือขัดใจผลักไสออก
เมื่อนั้นย่อมไม่อาจก่อภพทางใจได้อีก
ตัดกระแสความสืบเนื่องกันตรงนี้เอง
....................
เมื่อใดมีใครทำให้เราโกรธ แล้วเราโกรธตอบทันที
ไม่มีสติยับยั้ง เมื่อนั้นใจเราก็ไม่ต่างอะไร
กับคนที่เราโกรธ อาจจะร้อนรุ่มกังวลมากกว่าด้วยซ้ำไป
สติ เมตตา อภัย รวมกันเป็น อหิงสา คือความไม่เบียดเบียน
ความไม่มีเวรไม่มีภัย หมั่นเจริญไว้เถิดนะ หรือเราจะเอาไฟ มาเผาใจก็ตามแต่จะเลือกเองนะ หมั่นยิ้มไว้เถิดนะ ยิ้มน้อยๆ ยิ้มนี้ช่วยปรับจิตให้อ่อน ทั้งยังรู้สึกตัวได้ด้วย
เมื่อรู้สึกตัว มันก็ไม่เข้าไปเป็นในอารมณ์ทั้งหลาย
เมื่อนั้นอารมณ์ที่ขาดตัณหาหล่อเลี้ยง ก็ดับไปเอง
พระเจษฎา คุตฺตจิตฺโต
สติ ปัญญา สัมปชัญญะ ต่างกันอย่างไร?
และ มรดกที่ขอฝากไว้
.
“สติ” คำนี้ก็รู้สึกว่ายังไม่ค่อยเข้าใจกัน ยังเถียงกันอยู่ ยังถามกันให้วุ่นไปหมดว่าคืออะไร อย่างไร มันต่างกับ “ปัญญา” อย่างไร มันต่างกับ “สัมปชัญญะ” อย่างไร ๓ คำนี้ช่วยจำไว้ให้ดีเถิด สติ สัมปชัญญะ นี้คู่หนึ่งแล้ว และ สติ ปัญญา อีกคู่หนึ่ง แต่แล้วมันก็มีเพียง ๓ ตัว ๓ เรื่อง สติ ตัวหนึ่ง สัมปชัญญะ ตัวหนึ่ง ปัญญา ตัวหนึ่ง
.
ปัญญา คือ ความรู้ รอบรู้ เพราะ ป มันแปลว่า รอบ ญา แปลว่า รู้ ป กับ ญา นี้แปลว่า รอบรู้ เรียกว่า ปัญญา เราจะต้องมีปัญญา แล้วปัญญานี้ก็มีหลายระดับ อย่างได้ยินได้ฟังเขียนไว้นี้ก็เป็นปัญญารอบรู้ ในระดับที่ว่า ฟัง แล้วจำไว้ จดไว้ ก็เป็นปัญญาระดับหนึ่งเหมือนกัน เขาเรียกว่า “สุตปัญญา”
.
ทีนี้เอาไอ้สิ่งที่ได้ยินได้ฟังนี้ไปทำ Reasoning ค้นหาเหตุผลอย่างนั้นอย่างนี้ ทดสอบโดยกฎเกณฑ์ของธรรมชาติก็ได้ ไม่ต้องถึงกับปรัชญาหรอก มันจะเพ้อเจ้อ เอาเพียงตรรกะสามัญสำนึก ไอ้ตรรกะสามัญสำนึกนี้ก็ได้ หรือตามกฎของธรรมชาติก็ได้ เราก็จะมีความเข้าใจยิ่งขึ้นในสิ่งนั้นโดยอาศัยไอ้ Reasoning นี้
.
การทดสอบด้วยเหตุผล ก็จะเกิดปัญญาไอ้ที่สูงกว่านั้นขึ้นมา ปัญญาที่มาจากการทดสอบ คิดค้นด้วยเหตุผล ทีแรกปัญญาได้ยินได้ฟังได้อ่าน ก็เป็นปัญญาชนิดดิบ ปัญญาดิบๆ เป็นวัตถุดิบนะ มันก็ไปทำให้มันเป็นปัญญาที่ดีกว่านั้นโดย Reasoning มันก็เข้าโรงงานผลิตออกมาเป็นปัญญาชนิดนี้
.
ทีนี้ปัญญาชนิดนี้ก็ยังไม่ดีไม่เก่งเท่ากับ “ปัญญาที่เกิดมาจากการทำให้เห็นแจ้ง” ต้องเป็นสิ่งที่ Experience กันจริง ๆ Realization Experience อะไรต่างๆ จริงๆ ด้วยจิตเดิมนั้น คือเรื่องที่ผ่านไปแล้วนะ นี้ก็ปัญญาของชั้นสุดยอด เรียกว่า “ปัญญาที่รู้แจ้งแทงตลอด”
.
อย่างนี้มันไม่ทำได้ด้วยการใช้เหตุผล มันเหนือขึ้นมาอีก มันเหนือการใช้เหตุผล ต้องเป็นสิ่งที่เราได้ผ่านไปจริงๆ เช่นความทุกข์เราผ่านไปแล้ว เราก็รู้สึกว่าความทุกข์เป็นอย่างไร ว่า ตัวกู-ของกู มันเกิดขึ้นมาแล้ว มันเกิดเป็นไฟขึ้นมาอย่างไร อย่างนี้ ไม่ต้องใช้เหตุผล แต่เราอาศัยความรู้ที่เราได้ยินได้ฟังหรือเคยใช้เหตุผลมานั่นแหละ มาเข้าใจสิ่งนี้ได้ เรียกชื่อสิ่งนี้ถูก มันดียิ่งขึ้นไปอีก นี้ก็เรียกว่า ปัญญารู้แจ้งแทงตลอด มันเป็นไอ้ Realization หรือว่ามันเป็น Wisdom เป็นไอ้ยิ่งขึ้นไปกว่าความเข้าใจ นี้เรียกว่าปัญญานั้นน่ะ
.
๓ อย่างนี้เรียกว่า ปัญญา แต่ว่ามันเป็นเหมือนกับที่ว่า เรารวบรวมไว้ ประมวลไว้ สร้างไว้ สะสมไว้ มันเป็นอะไร มันเป็นของนิ่ง ที่อยู่นิ่ง ไม่มี Dynamic อะไร เพราะมันนิ่ง สะสมเข้าไว้ ใส่ยุ้งใส่ฉางเข้าไว้นี้ มันอยู่อย่างนี้ ทีนี้ เรามี ทุกคนก็มีมากขึ้นจากการสะสม การได้เห็น ได้ฟัง ได้อ่าน อะไรสักอย่างหนึ่งด้วยการใช้เหตุผลอย่างด้วยการผ่านไปๆ ด้วยจิต ผ่านเรื่องทางจิตไปมากนั้นก็มี
.
มีสติคำเดียวนะ ที่จะป้องกันไม่ให้เกิดตัวกูหรือว่าแก้ไขตัวกูที่เกิดแล้วก็ตาม
ทีนี้ ไอ้ปัญญาอย่างนี้แหละ ถ้ามันถูกดึงไปใช้ในกรณีฉุกเฉินที่มันเกิดขึ้นทาง ตา หู จมูก ลิ้น อะไรนี้ อย่างนั้นก็เรียกว่า “สติ” มันแปลว่า ความระลึกได้ คือเอาปัญญาเฉพาะกรณีนั้นๆ วิ่งไปทันท่วงทีในกรณีนั้น ๆ ทำให้เรารู้สึกได้ ระลึกได้ นั่นเป็นปัญญาที่ไปในรูปของสติ ที่ระลึกได้ ทีนี้มันต้องการเวลาอยู่นานกว่านั้น มันก็ให้มีสัมปชัญญะให้คุมไว้ อย่าให้หนีกลับไปไหนเสีย ก็เป็นเรื่องของความรู้นั้นอีกเหมือนกัน ปัญญาที่เอาที่พาไปทันท่วงที เป็นสติ แล้วก็มีไว้จนกว่าจะเสร็จกรณี เรื่องนี้ ปัญหานี้ จะแก้ปัญหานี้ไปเรื่อยๆ นี้เรียกว่า สัมปชัญญะ
.
คำพูดมีเพียงคำสั้นๆ หรือลุ้นว่ามีสติคำเดียวนะ ที่จะป้องกันไม่ให้เกิด ตัวกู หรือว่าแก้ไขตัวกูที่เกิดแล้วก็ตาม เรียกว่าสติตัวเดียว แต่แท้จริงมันเป็นตั้ง ๓ ตัว คือ ทั้งสัมปชัญญะ และทั้งปัญญา ถ้าไม่มีปัญญา แล้วสติจะเอาอะไรไป จะมีสติได้อย่างไร จะระลึกอะไรได้ ที่เราระลึกได้ เราระลึกซึ่งความจริง ความรู้ ความถูกต้องไอ้ที่เราเคยเข้าใจ เคยนั่นแล้ว ความระลึกได้นั่นแหละจำเป็นมาก ถ้าเราระลึกไม่ได้มันก็เป็นหมันหมด เหมือนว่านักเรียนเรียนอะไรไปมากในโรงเรียนตลอดทั้งปี สะสมไว้เป็นความรู้มาก แต่เหมือนคราวสอบไล่มันนึกไม่ได้ มันระลึกไม่ได้ มันก็เลยเป็นหมันหมด จะสำเร็จประโยชน์อีกทีก็คือคราวที่มันระลึกได้ นึกได้ทันท่วงทีทันเวลา
.
ก็ลองไปสังเกตดู ไอ้บางอย่างบางเรื่องนั้นเรานึกไม่ทันความ ไม่ทันต่อเหตุการณ์ที่ฉุกละหุกหรือฉุกเฉิน เราก็พ่ายแพ้ไปแล้ว ถ้าไปนึกได้ทีหลังจะมีประโยชน์อะไร ดังนั้น ไม่ว่าอะไรมันจะต้องมีขณะจำกัดสำหรับสติที่ระลึกได้ทันท่วงที เอาความรู้หรือปัญญาที่เหมือนกับอาวุธนี้ ไปใช้ฟาดฟันไอ้สิ่งที่มันเป็นปัญหาหรือข้าศึกให้มันพ่ายแพ้ไป”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายอบรมนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ วันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๑๖
---------------------------------------
“ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นสิ่งที่ต้องควบคุมให้ดีๆ มันจะเกิดเป็นนรกขึ้นมา เมื่อมีการปฏิบัติผิด และจะเกิดเป็นสวรรค์ขึ้นมา เมื่อมีการปฏิบัติถูก ณ ที่นั้นๆ จงจัดการกับ ตา หู ฯลฯ ใจ ให้ถูกต้อง ในเมื่อมีการสัมผัส ณ ที่นั้นๆ จนเป็นสวรรค์อยู่ได้ จนตลอดเวลาเถิด จะเป็นพุทธบริษัทโดยสมบูรณ์อยู่ในขั้นต้น”
..……..( มรดกที่ขอฝากไว้ มรดกที่ ๑๑๑ )
.
“ ของจริง เห็นด้วยใจของพระอริยเจ้า, ของเท็จ เป็นด้วยตาของปุถุชน ดังนั้น จึงต่างกันมาก : ต่างฝ่ายต่างเชื่อตามความรู้สึกของตนๆ และได้ผลตรงตามสถานภาพแห่งจิตของตนๆ ด้วยกันทั้งสองฝ่าย”
……..( มรดกที่ขอฝากไว้ มรดกที่ ๑๓๕ )
.
“ ปัญญาต้องมาก่อนทุกสิ่งที่จะปฏิบัติ นี้คือหลักเกณฑ์ที่ถูกต้อง เหมือนอริยมรรคมีองค์ ๘ ที่มีสัมมาทิฏฐิเป็นตัวนำ ; มิฉะนั้น การปฏิบัติจะเข้ารกเข้าพง พลาดวัตถุประสงค์ไปเสียหมดสิ้น นับตั้งแต่สรณาคมน์ และ ศีล ดังที่กำลังมีอยู่ในที่ทั่วไป”
……..( มรดกที่ขอฝากไว้ มรดกที่ ๑๔๘ )
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : จาก “ฟ้าสางทางมรดกที่ขอฝากไว้” ในหนังสือ “อสีติสังวัจฉรายุศมานุสรณ์ ฟ้าสางระหว่าง ๘๐ ปี”
การระลึกสิ่งใดสิ่งหนึ่งเดิมๆซ้ำๆ
จนกลับกลายเป็นความเคยชิน
จนจดจำได้หมายรู้เองโดยอัตโนมัติ
จะจงใจ ไม่จงใจ ความเป็นไปโดยธรรมชาติก็เกิดขึ้นเอง
สิ่งนี้เรียกว่า...มหาสติ
ส่วนการเห็นทุกข์เพราะอุปาทานสังขาร เบญจขันธ์...
เกิด ดับ แสดงพระไตรลักษณ์เป็น วิชชาปัญญาอริยสัจคือ เห็นความจริงอันประเสริฐ ที่ถูกปกปิดเพราะโมหะอวิชชา..
" ควรจะต้องตั้งสติ...
มองดูจิตของตน ตลอดเวลา
ไม่เลือก กาล
ไม่เลือก สถานที่
ไม่เลือก หนาว
เลือกร้อน เลือกฝนตก
เลือกแดดออก เลือกสบาย
หรือเลือกเจ็บไข้
ต้องเป็นผู้มีสติ...
อยู่...ทุกเวลา
ทุก...สถานที่ และ
ทุก...อิริยาบถ."
__________________________________________
(หลวงปู่ชอบ ฐานสโม)
“ ... อายตนะทั้งหลาย เป็นเครื่องวัดจิตของตนได้อย่างดีที่สุด
เมื่ออายตนะ มากระทบจิตของเรา เราหวั่นไหวหรือไม่
เมื่อหวั่นไหวมาก ก็แสดงว่า มีสติน้อย
มีธรรมเป็นเครื่องอยู่ ก็ยังน้อย
เมื่อหวั่นไหวน้อย หรือไม่หวั่นไหวเสียเลย ก็แสดงว่า
มีสติมาก มีธรรมะเป็นเครื่องอยู่มาก แล้วรักษาตัวได้ ... ”
.
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
.
ให้แค่รู้ แล้วอย่าเข้าไปในความคิด ถ้าเข้าไปในความคิด จะทําให้ความคิดใหญ่โตขึ้น ไอ้ความคิดที่คิดถึงหรืออารมณ์นั้นหล่ะ อะไรทําให้ความคิดใหญ่โตได้จนมีอํานาจเหนือเรา ก็คือความคิดนั้นเอง ความคิดถูกหล่อเลี้ยงด้วยความคิด
เผลอเข้าไปในความคิด ไม่ละความคิด โดยเอาสติมาไว้กับกายใจตนเอง เสร็จ(แพ้)ทุกราย ให้ละความคิด แล้วเอากําลังของสติ+ กําลังของสมาธิ(สมถะ)มาช่วย แต่สมถะนะช่วยได้ชั่วคราว แต่สติที่เป็นทางไปสู่ปัญญาน่ะ จะช่วยให้พ้นได้ถาวรเลย
เอาสติช่วย (สติก็คือสติปัฏฐาน4) นะ โดยการเอาใจไว้ที่กายของเราแทน เช่นการรู้สึกตัว กับลมหายใจ จะทําให้สติมีกําลังมากขึ้นไปเรื่อยๆนะ หรือการรู้สึกตัวผ่าน การขยับกาย ก็เหมือนกันครับ
“…*ถ้าเราต้องการชีวิตที่เป็นอิสระจริง ๆ แล้ว
เราต้องกลับมารู้ตัวเองให้มาก อย่าเป็นคนลืมตัว*
เมื่อไม่ลืมตัว เราก็หยุดได้-หยุดความคิดที่สับสนวุ่นวาย
หยุดได้ เพราะเราเห็น-เรารู้-เราเข้าใจ
ดังนั้น *คนใดที่หยุดความคิดที่สับสนวุ่นวาย-ที่เป็นทุกข์ได้
คนนั้นก็เป็นอิสระ เป็นอิสระจากโลภะ-โทสะ-โมหะ*
สิ่งเหล่านี้แหละ ที่พระโสดาบันละได้
เป็นอิสระออกมาได้ เป็นการหลุดพ้นขั้นต้นที่สุด
ดังนั้น แม้จะรักษาศีล กินเจ ให้ทาน ภาวนาพุท-โธ
หรือทำอะไรอยู่ก็ตาม ถ้าหากยังละไปจากสิ่งเหล่านี้ไม่ได้
ก็ชื่อว่าเป็นไม้ผุ ไม้ไม่มีแก่น-ไม่มีแกน
การเป็นพระอริยบุคคล ไม่ได้มีเครื่องหมายเหมือนกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน หรือทหาร-ตำรวจ
*เครื่องแบบของพระอริยบุคคลเหล่านี้ ก็คือ
กาย-วาจา-ใจที่ไม่สับสนวุ่นวายแล้ว
ไม่มีทุกข์แล้ว เพราะไม่ลืมตัว*
*ที่เราเป็นทุกข์กัน เพราะเราลืมตัว
มันคิดขึ้นมา เราไม่รู้-เราไม่เห็น-เราไม่เข้าใจ*
ความไม่รู้-ไม่เห็น-ไม่เข้าใจนั่นแหละ คือ ความทุกข์
พระพุทธเจ้าจึงสอน*‘ให้มาเจริญสติ’*
ให้มีสติเข้าไปรู้ในอิริยาบถทั้ง ๔ คือ
ยืน-เดิน-นั่ง-นอน ให้มีสติเข้าไปรู้อยู่ตลอดเวลา
เท่านั้นยังไม่พอ
ยังสอนให้มีสติเข้าไปรู้ในอิริยาบถย่อย
คู้-เหยียด เคลื่อนไหว กระพริบตา อ้าปาก หายใจ
เมื่อรู้แล้ว ญาณปัญญาจะเกิดขึ้น
'ญาณ' หมายถึง 'รู้'
'ปัญญา' หมายถึง 'รอบรู้'
แต่ก่อนเราไม่เคยรู้-ไม่เคยเห็น-ไม่เคยเข้าใจ
เปรียบเหมือนกับความมืด
เดี๋ยวนี้เราเห็น-เราเข้าใจ
ก็เหมือนกับ'แสงสว่าง'ที่มันเข้ามาแทนที่'ความมืด'
เราไม่ต้องไปไล่ความมืด
เพียงเราจุดไฟ ความมืดก็หายไป
อันความโกรธ-ความโลภ-ความหลงนี้ก็เหมือนกัน
*เพียงมีสติเข้าไปรู้จิตใจของเรา
ความโกรธ-ความโลภ-ความหลง มันก็ไม่มี
มันเกิดขึ้นได้เฉพาะตอนที่ 'เราเผลอ' เท่านั้น*…”
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
" จิต ตายไม่เป็น...จิต ไม่ใช่ผู้ตาย จิต เป็นนักต่อสู้ สู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกข์ เคยเกิดมานานแล้ว ตั้งแต่วันเกิด จิต ยังต่อสู้มาได้
ทำไม ? ทุกข์เกิดขึ้นในขณะนี้...จิต จะต่อสู้ไม่ได้ล่ะ ?
สติปัญญา เราเคยได้ใช้มาบ้างแล้วในกิจ อื่น ๆ
กิจนี้สำคัญ จงนำมาใช้ อย่า...หมักหมมเอาไว้
เวลาตายจะไม่มีอะไรติดตัว จะว่าไม่บอก
พระพุทธเจ้าเคยใช้ พระสาวกท่านเคยใช้มาแล้ว
ทำไม ? เราเอามาใช้จะอาภัพเล่า อาภัพไม่ได้
เมื่อเรา...เป็นนักรบอยู่แล้ว เป็นผู้สนใจต่อปัญญา
นำมาพิจารณา นำมาค้นคว้าอยู่แล้ว
ตามเรื่องของ รูป เวทนา จิต ที่กำลังต่อสู้
หรือ ประจัญบานกันอยู่แล้วนี้
แยกกันให้เห็น ตามความจริงของมันด้วยปัญญา
จะได้ชัยชนะ ที่ตรงนี้ เมื่อได้ชัยชนะ ที่ตรงนี้
อย่างประจักแล้ว เอ้า ! จะตายก็ตายเถอะ
ความกล้าหาญ ที่ไม่เคยคาดคิด เกิดขึ้นทันที
จะตายที่ไหน ก็ตายเถอะ
เวลาไหน ก็เถอะ อิริยาบถใด ก็เถอะ
มัน เป็นความจริงเสมอกันหมด
ทุกข์ เป็นทุกข์...เรา เป็นเรา มาตลอดอนันตกาลแล้ว
นี้เป็น ความรู้...นี้เป็น กาย...นี้เป็น เวทนา
มัน ต่างอัน ต่างจริง
เอ้า ! ดับ เป็นดับ...ถ้าไม่ดับ จะอยู่ก็อยู่ไป
ผู้รู้...ก็รู้ไป และรู้อยู่...เสมอไม่ลดละ
ความเป็นผู้รู้ เป็น นักรู้ กระทั่งหมดเรื่อง
ที่จะให้รู้ต่อไป ก็ปล่อยตามความจริง
หายห่วง ดังพระพุทธเจ้าท่านปรินิพพาน
คือ หมดเรื่องในขันธ์ ที่จะนำมาใช้ เหลือแต่...ธรรมล้วน ๆ
การปรินิพพานหมายความว่า...ดับรอบ
ไม่มี อะไรเหลือเลย บรรดาสมมุติ
นี่แหละ...สงคราม หรือ การพิจารณาให้เห็นจริง เห็นจัง
ให้เห็น ความสามารถของตนว่า...มีความแกล้วกล้าสามารถขนาดไหน หรือ อาภัพแค่ไหน เรา จะทราบที่ตรงนี้แล
เมื่อทราบ ที่ตรงนี้ว่า...
เรา มีกำลังความสามารถเต็มที่แล้ว
กับ สัจธรรมทั้งหลาย ที่แสดงตัวขึ้นมากับเราว่า
ต่างอัน ต่างมีความเสมอภาคกัน
ด้วยความจริงแล้ว ก็หมด...ความกลัว
ไม่หวั่นไหว...
เราต้องการ ความไม่มีหวั่น...ต้องการ ความปลอดภัย
ไม่มี อะไรมายั่วยวนจิตใจ ให้เกิดความลุ่มหลง
ต้องปฏิบัติให้ถึงฐาน...ความจริง."
(องค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
" ละกิเลสด้วย...สติ
สติ...ฟอกอาสวะกิเลสเอง
ใครเพียร ใครอาจหาญ ใครอดทน ในการ...ต่อสู้กับกิเลส
ตัวฝืนธรรมอยู่...ตลอดเวลา
ผู้นั้น...จะเจอร่มเงาแห่ง...ความสงบเย็นใจในโลกนี้
ใน...บัดนี้ และในดวงใจนี้
ไม่เนิ่นนานเหมือนการท่องเที่ยว ที่เจือไปด้วยสุข ด้วยทุกข์ อยู่...ทุกภพ ทุกชาติ ไม่มี วันจบสิ้น."
(หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต)
" พระพุทธเจ้า ท่านตรัสรู้...โลกุตรธรรม
เห็น ก็ได้แต่...เห็น วางไป ไม่ยึดถือ
ดับ ความยึด จึง...ไปรอด ด้วย...สติ
ตัวสติ แท้ ๆ เป็นโลกุตรธรรม เป็นธรรมพ้นโลก
ตัวโลกุตรธรรม
เหมือนไฟฟ้าแลบแปล็บเดียว มัน ก็เห็นหมดแล้ว
แลบ หนเดียว ไม่เเลบมาก เจริญสติหนทางเดียว...ไปรอด
เห็น ได้ยิน
ก็ สักแต่รู้...ไม่ไปถาม ไม่ตอบอะไร
ไม่ได้ สมมุติเป็นเรา เป็นเขา."
(หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต)
มีสติบ่อยเป็นมหาสติ สติอัตโนมัติ รู้สึกตัวอัตโนมัติ.
จึงเห็นตามจริง"รู้สักแต่ว่ารู้ เห็นสักแต่ว่าเห็น คือภาวะแห่งนิพพาน.......หลุดพ้นจริง
มโนธาตุ โพธิญาณ
#การรู้โดยไม่คิดเอง
คือ การเดินวิปัสสนาที่ละเอียดที่สุด
ตราบใดที่ยังเห็นว่า จิต คือตัวเรา เป็นของ ๆ เรา ที่ต้องช่วยให้จิตหลุดพ้นตราบนั้นตัณหา หรือ สมุทัยก็จะสร้างภพของ"จิตว่าง"ขึ้นมาร่ำไป
ขอย้ำว่า ขั้นนี้ จิตจะดำเนินวิปัสสนาเอง
ไม่ใช่ผู้ปฏิบัติจงใจกระทำ
ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่าไม่มีใครเลย ที่จงใจ
หรือ ตั้งใจบรรลุมรรคผลนิพพานได้
มีแต่"จิต"เค้าปฏิบัติตนเอง ไปเท่านั้น
เมื่อจิตทรงตัวรู้ แต่ไม่คิดอะไรนั้น บางครั้ง จะมีบางสิ่งผุดขึ้นมาสู่ภูมิรู้ของจิต แต่จิตไม่สำคัญมั่นหมายว่ามันคืออะไร เพียงแค่รู้ เฉย ๆ ถึงความเกิด-ดับ นั้น เท่านั้น
ในขั้นนี้เป็นการเดินวิปัสสนา ขั้นละเอียดที่สุด ถึงจุดหนึ่ง จิตจะก้าวกระโดดต่อไปเอง
การเข้าสู่มรรคผลนั้น รู้มีตลอด แต่ไม่คิด และไม่สำคัญมั่นหมายใน"สังขารละเอียด" ที่ผุดขึ้นมานั้น
เมื่อจิตถอยออกจากอริยะมรรคและอริยะผล ที่เกิดขึ้นแล้ว ผู้ปฏิบัติจะรู้ชัดว่า ธรรมเป็น อย่างนี้ "สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นต้องดับไป" ธรรมชาติบางอย่าง มีอยู่แต่ก็ไม่มีความ เป็นตัวตนสักอณูเดียว
นี้เป็นการรู้ธรรมในขั้น"พระโสดาบัน" คือ ไม่เห็นว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งแม้แต่ตัวจิตเอง เป็นตัวเรา แต่ความยึดถือในความเป็นเรา ยังมีอยู่
เพราะขั้น"ความเห็น" กับ "ความยึด"นั้น มันคนละขั้นกัน.
#หลวงปูดุลย์ อตุโล
โมฆราชมาณพทูลถามปัญหาว่า
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้ศากยะ
ข้าพระองค์ได้ทูลถามปัญหาถึงสองครั้งแล้ว
พระองค์ผู้มีพระจักษุไม่ทรงพยากรณ์แก่ข้าพระองค์
แต่ข้าพระองค์ได้สดับมาว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้เป็นเทพฤาษี จะทรงพยากรณ์ในครั้งที่สาม
(ข้าพระองค์จึงขอทูลถามว่า) โลกนี้ โลกอื่น พรหมโลก
กับทั้งเทวโลก ข้าพระองค์ย่อมไม่ทราบความเห็น
ของพระองค์ผู้โคดม ผู้เรืองยศ ข้าพระองค์มีความต้องการ
ด้วยปัญหา จึงได้มาเฝ้าพระองค์ (ผู้มีปรกติเห็นก้าวล่วงวิสัย
ของสัตว์โลก) ผู้มีปรกติเห็นธรรมอันงามอย่างนี้
บุคคลผู้พิจารณาเห็นโลกอย่างไร มัจจุราชจึงจะไม่เห็น
พระผู้มีพระภาคตรัสพยากรณ์ว่า
ดูกรโมฆราช ท่านจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ พิจารณาเห็นโลก
โดยความเป็นของว่างเปล่าเถิด จงถอนความตามเห็นว่า
เป็นตัวตนเสียแล้ว พึงเป็นผู้ข้ามพ้นมัจจุราช
ได้ด้วยอาการอย่างนี้ บุคคลผู้พิจารณาเห็นโลกอยู่อย่างนี้
มัจจุราชจึงจะไม่เห็น ฯ
__________________________
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗
โมฆราชปัญหา
วิธีปฏิบัติของผู้เล่าเรียนมาก
ผู้ที่ได้ศึกษาเล่าเรียนคัมภีร์วินัยมาก มีอุบายมากเป็นปริยายกว้างขวาง ครั้นมาปฏิบัติทางจิต จิตไม่ค่อยจะรวมง่าย
ฉะนั้นต้องให้เข้าใจว่า ความรู้ที่ได้ศึกษามาแล้ว ต้องเก็บใส่ตู้ใส่หีบไว้เสียก่อน " ต้องมาหัดผู้รู้ คือ จิตนี้ หัดสติให้เป็นมหาสติ หัดปัญญาให้เป็นมหาปัญญา กำหนดรู้เท่ามหาสมมติ-มหานิยม อันเอาออกไปตั้งไว้ว่าอันนั้นเป็นอันนั้น เป็นวันคืนเดือนปี เป็นดินฟ้าอากาศ กลางหาวดาวนักขัตตฤกษ์สารพัดสิ่งทั้งปวง
อันเจ้าสังขารคือ การจิตหาออกไปตั้งไว้บัญญัติไว้ว่าเขาเป็นนั้นเป็นนี้ จนรู้เท่าแล้ว เรียกว่ากำหนดรู้ทุกข์ สมุทัย เมื่อทำให้มาก เจริญให้มาก รู้เท่าเอาทันแล้ว จิตก็จะรวมลงได้
เมื่อกำหนดอยู่ก็ชื่อว่าเจริญมรรค " หากมรรคพอแล้ว นิโรธก็ไม่ต้องกล่าวถึง หากจะปรากฏชัดแก่ผู้ปฏิบัติเองเพราะศีลก็มีอยู่ สมาธิก็มีอยู่ ปัญญาก็มีอยู่ในกาย วาจา จิตนี้ ที่เรียกว่า อกาลิโก ของมีอยู่ทุกเมื่อ โอปนยิโก เมื่อผู้ปฏิบัติมาพิจารณาของที่มีอยู่ ปจฺจตฺตํ จึงจะรู้เฉพาะตัว คือ มาพิจารณากายอันนี้ให้เป็นของอสุภะ เปื่อยเน่า แตกพังลงไป ตามสภาพความจริงของภูตธาตุ ปุพฺเพสุ ภูเตสุ ธมฺเมสุ ในธรรมอันมีมาแต่เก่าก่อน สวางโร่อยู่ทั้งกลางวันและกลางคืน
ผู้มาปฏิบัติพิจารณาพึงรู้อุปมารูปเปรียบดังนี้ อันบุคคลผู้ทำนาก็ต้องทำลงไปในแผ่นดิน ลุยตมลุยโคลนตากแดดกรำฝน จึงจะเห็นข้าวเปลือก ข้าวสาร ข้าวสุกมาได้ และได้บริโภคอิ่มสบาย ก็ล้วนทำมาจากของมีอยู่ทั้งสิ้นฉันใด ผู้ปฏิบัติก็ฉันนั้น เพราะ ศีล สมาธิ ปัญญา ก็มีอยู่ใน กาย วาจา จิต ของทุกคน
พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
สติที่มีมาก จะแปรกลายเป็นสมาธิ
หมั่นรู้สึกตัวกับกาย ขยับกายแล้วรู้สึกตัว แค่รู้สึก สัมผัสถึงกายที่ขยับ หรือ การหายใจ แล้วรู้สึกถึงลมหายใจ แค่รู้สึกสัมผัสถึงลม ใจที่เข้าไปรู้สึกไปสัมผัสถึง เป็นการเข้าไปเจริญมรรคที่ใจ ความรู้สึกตัวที่เกิดสัมผัสถึงตอนแรกนั้น ยังไม่มีความคิดเข้าไปปรุงแต่งให้ความหมายว่าเป็นอย่างไร นี้หล่ะ ความรู้สึกตัว ให้รู้สึกถึงบ่อยๆ เป็นการเจริญสติ เมื่อสติมีกําลังมากๆ จะแปรตัวเองกลายเป็นสมาธิ เกิดการตั้งมั่นขึ้นมาของใจ เพื่อเจริญปัญญา
Trader Hunter พบธรรม
ลักษณะของมหาสติ...
สติคุมจิตอยู่ทุกขณะ จนกระทั่งเป็นมหาสติปัฏฐาน...
จะยืน เดิน นั่ง นอน ในอิริยาบถใด ๆ ทั้งหมด
มีสติรอบตัวอยู่เสมอโดยที่ไม่ได้ตั้งใจให้มีสติ แต่มันเป็นของมันเอง...สติควบคุมจิตไปในตัว...
เมื่อมีสติเช่นนั้น มันก็ไม่เกี่ยวข้องพัวพันกันกับสิ่งต่าง ๆ
เมื่อตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง ลิ้นลิ้มรสต่าง ๆ กายได้สัมผัส
มันก็เป็นสักแต่ว่า สัมผัสแล้วก็หายไป ๆ ไม่ได้เอามาเป็นอารมณ์ ไม่เอามาคำนึงถึงใจ...
อันนั้นเป็น มหาสติ แท้ทีเดียว...
(หลวงปู่เทสก์)
บุญที่สำคัญที่สุด คือ สติ
ที่ระลึก ภาวนารักษาจิตของเรา
ถ้าบุคคลผู้ใด มีสติ
ระลึกรู้ในจิต อยู่เสมอ
ผู้นั้นชื่อว่า ไม่ห่างจากฌาน
คอยเพ่งพินิจจิตของเราอยู่เสมอ
จิตของเราไม่ดี ก็ให้รู้ว่าจิตเราไม่ดี
จิตของเราดี ก็ให้รู้ว่าจิตของเราดี
จิตของเราไม่สงบ ก็ให้รู้ว่าจิตของเราไม่สงบ
จิตของเราสงบ ก็ให้รู้ว่าจิตของเราสงบ
คือ เราสร้างความรู้ ส่วนสงบหรือไม่สงบ เป็นเรื่องของสังขาร ความปรุงแต่ง
หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ