โอกาสที่มนุษย์จะมาเจริญความเพียรเห็นค่าของประโยชน์ตรงนี้
ถ้าไม่ได้บำเพ็ญมาก่อนแล้ว..ไม่มีทางเลยที่จะเกิดขึ้นได้แม้เสี้ยววินาที เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ก็ขอให้โยมได้เห็นค่าในบุญกุศล อย่าได้ทำลาย เพราะมนุษย์นั้นเป็นผู้สร้างก็เป็นผู้ทำลายเช่นเดียวกัน
ดังนั้นโยมอย่าได้อธิษฐานสัจจะถ้าโยมยังไม่มั่นใจ ขอให้ทำความเพียรให้ถึง ถึงเมื่อไหร่สัจจะโยมถึงจะทำได้ คือทำให้ถึงใจซะก่อน
ทนให้ถึงที่สุดเสียก่อน ถ้าอะไรที่ไม่สุดนั้นแล มันเรียกว่าติดค้าง ตัวสงสัยมันก็จะถูกทำลายออกไปไม่ได้ นั่นคือนิวรณ์
โยมนั่งไปมีนิวรณ์เข้ามา ความง่วงก็ดีแต่โยมยังมีสติ ยังประคองจิตประคองกายสังขารอยู่ นั้นเรียกว่าโยมกำลังเจริญความเพียรอยู่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ตัวปัญญานั้นหากเกิดจากความเพียรไม่ได้แล้ว..ต่อให้เป็นปัญญาแค่ไหนก็บรรลุธรรมไม่ได้เพราะขาดความเพียร ทุกอย่างต้องมาพร้อมกัน
เช่นเดียวกับตัวระลึกได้คือตัวสติ ถ้ามีแต่สติอย่างเดียวไม่เจริญปัญญาแล้วไซร้..ก็บรรลุพ้นทุกข์ไม่ได้เช่นกัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ทุกอย่างนั้นจึงเป็นองค์ปัจจัยที่จะเกื้อหนุนและเรียกว่าอาศัย ใช่มั้ยจ๊ะ
โยมอาศัยอะไรจ๊ะโลกนี้ อาศัยอากาศธาตุ โยมต้องอาศัยธาตุทั้ง ๔ ใช่มั้ยจ๊ะ มันหามโยมอยู่อย่างนี้ กายสังขารจึงได้อาศัยให้จิตวิญญาณได้มาอาศัย
คำว่า"อาศัย"นี้ล้วนแล้วต้องหวังผลประโยชน์ทั้งนั้น จิตมาอาศัยสังขารเพื่ออะไร ใช่มั้ยจ๊ะ ลมหายใจที่เข้าออกแล้วต้องการประโยชน์อะไร ใช่มั้ยจ๊ะ
บุคคลจะรู้และเห็นประโยชน์ได้ต่อเมื่อจะสิ้นลมหายใจ อุปมาจะเห็นค่าต่อเมื่อว่าเสียของสิ่งนั้นไปแล้วนั่นเอง ใช่มั้ยจ๊ะ
เมื่อถึงเวลาที่มันเสีย..แม้จะรั้ง ขอร้องให้เป็นเช่นเดิมก็เป็นไม่ได้ เพราะเรียกว่ามันถึงเวลา จงจำไว้สิ่งไหนก็ตามที่โยมมีอยู่ ขอให้รักษาไว้ ทำให้ดีที่สุด
เมื่อถึงเวลาต้องจากก็ดี ต้องพลัดพรากก็ดี จงทำใจให้เป็นปรกติ เรียกว่าเราได้อาศัยมามากพอแล้ว ถึงเวลาเค้าต้องไปแล้ว
อะไรที่มันเกิดขึ้นแล้วถ้ามันเสียไปก็อย่าได้อาลัยอาวรณ์ ให้เห็นทุกอย่างนั้นเป็นปรกติ เห็นทุกอย่างเป็น"ธรรมดา"
สิ่งไหนก็ตามที่มันเกิดขึ้น..ตั้งอยู่..ดับไป ทุกสิ่งนั้นเรียกว่าเป็นธรรม เมื่อโยมเห็นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นเป็นธรรมดา บุคคลผู้นั้นที่เห็นสิ่งนั้นย่อมเป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดา
บุคคลที่จะเห็นสิ่งไหนทั้งปวงว่าเป็นธรรมดาได้ บุคคลนั้นต้องมีปัญญาแล้ว ต้องมีบารมีแล้ว ต้องมีการสะสมมาแล้ว
เพราะผู้ที่ไม่เห็นเป็นธรรมดาได้ นั้นเรียกว่ายังเข้าไม่ถึงธรรม เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นเรียกว่ายังมีความโลภโมโทสัน ยังถูกมัดถูกบ่วงนั้นร้อยรัดตราตรึงอยู่ จึงไม่เห็นทุกสิ่งนั้นเป็นธรรมดา
ที่ฉันบอกว่าเป็นธรรมดานั้นเรียกว่า ทุกอย่างนั้นมันเป็นเช่นนั้นของมันอยู่แล้ว มีเกิดก็มีตาย มีมืดก็มีสว่าง เมื่อโยมตายไปโยมก็ต้องไปเกิด แต่การเกิดนี้แต่ละครั้งที่โยมดับไป..
โยมจะเกิดขึ้นมาดีหรือไม่ ถ้าบอกว่าการเกิดดับนั้น ทำให้โยมนั้นมองไม่เกิดปัญญา ก็เอาเกิดในระยะสั้น ตายในระยะสั้นก็แล้วกัน
เมื่อโยมหลับนอนลงไปขณะที่โยมเจริญภาวนาจิต แผ่เมตตาจิต ระลึกถึงแต่บุญกุศลที่กระทำมา จิตโยมไม่มีเวรภัยกับใคร ไม่มีความเศร้าหมอง
ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหลายทั้งปวงได้ เมื่อโยมตื่นมาดวงพระเนตรโยมนั้นจะใส ไม่ขุ่นมัว ร่างกายจะกระชุ่มกระชวย จิตเบิกบาน สมองปลอดโปร่ง นั้นเรียกว่าเกิดดี
ก็เช่นเดียวกัน ถ้าบุคคลใดก่อนนอนก่อนหลับก็ดี มีแต่จิตใจอาฆาต วางไม่ลงปลงไม่ได้เสียแล้วไซร้ มีแต่ความอยากได้ใคร่ดี แม้โยมหลับตาไปกายโยมได้พักผ่อน
แต่จิตโยมนั้นไม่ได้นิ่งเลย มีแต่ความอาฆาตพยาบาท เรียกว่าโยมนั้นตายทั้งเป็น เกิดมาก็สลด เรียกว่าภพต่อภพ โยมก็จะเจอสิ่งเหล่านั้นอยู่ตลอดเวลา
แล้วบอกว่าสิ่งเหล่านั้นเมื่อไหร่จักไปจากบุคคลนั้นเสียที เพราะบุคคลนั้นยังไม่ได้วางไฟ ยังไม่ดับไฟเลย มันจะไปได้ยังไงเล่าจ๊ะ ใช่มั้ยจ๊ะ
นี่ล่ะจ้ะ..นี่ก็คือการตายการเกิดเช่นเดียวกัน เพราะว่าภพมันต่อภพ ภพนี้โยมทำอะไรมา ภพหน้าโยมก็เสวยแบบนั้น ชาติที่แล้วโยมทำอะไรมา ก็ให้ดูชาตินี้ซะ
แล้วจงจำไว้ สิ่งไหนที่โยมเสียไป..นั่นเรียกว่าโยมได้ชดใช้ สิ่งไหนที่โยมได้มา..นั่นเรียกว่าสิ่งที่โยมปรารถนาไว้..นั้นคือกำไร โยมจะได้อย่างเดียวไม่ได้
ในโลกนี้ถ้าไม่มีคนเกิดและไม่มีการตาย โยมว่าล้นมั้ยจ๊ะ นี่เรียกความสมดุลของในตัวของมันเอง
ดังนั้นสิ่งที่โยมเสียไปโยมอย่าได้เสียดาย เพราะถ้าโยมเสียดายสิ่งที่โยมเสียไปจักไม่มีมาอีก แต่สิ่งไหนที่โยมเสียไปแล้ว แล้วโยมทำใจได้..สิ่งนั้นก็จักมีขึ้นมาอีก
เพราะเรียกว่ามันถ่ายเทในกฎแห่งกรรมเป็นเช่นนั้นของมันเอง อย่าได้เสียดาย เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่สิ่งไหนที่ควรทำและควรดายให้มันเหี้ยนให้มันเตียน..นั่นคืออกุศล เข้าใจมั้ยจ๊ะ
เพราะมันจะบดบังดวงจิตโยม ไม่เห็นความตามความเป็นจริงได้
ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๙
ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ