พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 10 พฤษภาคม 2561
ตอนที่ 337 **การปฏิบัติเป็นพระอรหันต์ แบบที่ ๔**
+ +
ในเช้าของวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
เมื่อข้าพระพุทธเจ้า ได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า..
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
ในแบบต่อไป คือแบบที่ 4* ของการประพฤติปฏิบัติ เพื่อที่จะเข้าถึงการเป็นองค์พระอรหันต์ น่ะเจ้าคะ- เราจะยึดแนวทางใดอีกเจ้าคะ มีหนทางอื่นนอกเหนือจากที่ได้แสดงไปแล้วนั้น หรือเปล่าเจ้าคะ ?
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟังด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ”
- - - -
พระยาธรรมเอย.. แนวทางอื่นนอกเหนือจากที่ได้แสดงไปแล้วนั้น ก็คือการพิจารณาถึงกิเลส ที่ตนนั้นยังมีอยู่ ยังเหลืออยู่..
หมั่นพิจารณา ระลึกรู้ตามความชั่ว ความไม่ดี สิ่งไม่ดี - ที่มันมีอยู่ในตัวของเรา
ระลึกเช่นนี้อยู่เสมอว่า..
ตัวของเรานี้ - มีความหลงอยู่มากไหม
ตัวของเรานี้ - มีความรักอยู่มากไหม
ตัวของเรานี้ - มีความโลภอยู่มากไหม
ตัวของเรานี้ - มีความโกรธอยู่มากไหม
หมั่นพิจารณา รู้ตาม.. ในสิ่งที่ตนเป็นอยู่ มีอยู่ ทำอยู่
ดูใจของตน ดูกายของตน ดูความคิด ดูจิตดูใจ อยู่ในวงแคบๆแห่งตนนี้ น่ะลูก
หมั่นพิจารณาอยู่บ่อยๆ อ่านใจของตน อ่านวาจาของตน อ่านการกระทำของตน
อยู่กับตน อยู่เสมอ..
- คอยดูกิเลสที่มันทำงานอยู่ในตัวของเรา- กิเลสความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ -
ถ้าเมื่อไหร่ที่เรา รู้ทันมันว่า..
นี่คือความโกรธ.. ซ่อนอยู่ในเรา
นั่นคือความโลภ.. ซ่อนอยู่ในเรา
ความรัก คือเชื้อราคะ.. มันยังทำงานอยู่ในเราอยู่
ความลุ่มหลงยึดมั่นถือมั่น ลุ่มหลงในตัวเรา / ตัวบุคคลผู้อื่น / สิ่งของต่างๆ.. ยังมีอยู่ในเรา
เรารู้ทันมันแล้ว.. เราก็เร่งทำความดี เพื่อที่จะเอาความดีที่เราทำนั้น มาถอดมาถอนกิเลส เช่น การทำสมาธิ การฝึกสติ ฝึกปัญญา ฝึกพลังแห่งจิต เพื่อที่จะกลับมาถอดถอนสิ่งที่มันมีอยู่นี้..
และเมื่อเราระลึกรู้ตามมันอยู่เสมอ - เราก็จะรู้ช่องทางที่มันจะพาเราสร้างกรรม
ความโกรธกำลังจะพาสร้างกรรม – เราก็หยุด ระงับมันซะ !
ความโลภ ความรัก ความหลง มันจะพาให้เราสร้างกรรมใดที่ไม่ดี - เราก็ระงับ หยุดมันซะ
อย่าให้มันได้ทำงาน.. แล้วคอยเอาชนะมันอยู่ทุกฉากทุกตอน
มีสติระลึกรู้อยู่ ตั้งมั่นอยู่
- มันจะทำงานไม่ได้เลยลูก ถ้าเราเฝ้าดูมันอยู่เสมอ !
เปรียบเสมือนเชื้อโรคที่มันมีอยู่ในตัวเรา /ในจิตใจเรา..
มันกำลังกินเรา กัดเรา
มันกำลังเป็นนายแห่งเรา - สั่งให้เราทำสิ่งนั้น ทำสิ่งนี้ ตามใจของมัน
-- เราก็แค่รู้ตาม มีสติรู้ตาม.. อย่าเผลอปล่อยให้มันทำงาน --
เราก็คอยเฝ้าดูมัน อย่างมีสติอย่างนี้เสมอ..
ไม่ต้องส่งจิตออกนอก ไปดูคนโน้นคนนี้
เขาโกรธ เขาโลภ เขาหลง
เขาดี เขาไม่ดี
.. ไม่ต้องสนใจ..
เอาจิตตั้งมั่นไว้ในตัวของเรา ไงล่ะลูก
เฝ้าดูความหลงของเรา หลงหนอ
หลงในร่างกายนี้จริงๆเลยหนอ
หลงยึดติดว่า นี่คือเราจริงเลยหนอ
หลงอยู่ หลงจริงหลงจัง
.. ไม่น่าหลงเลย ถอดถอนออกไปเสีย..
รักหนอ รักจริงรักจังเลยหนอ รักในรูปของเรา ในรูปของคนอื่น
รักในสิ่งนั้น สิ่งนี้ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสต่างๆ หนอ
.. ทิ้งมันไปถอดถอนมันไป..
จะรักทำไมเรา เมื่อมันต้องดับ ต้องเสื่อมไป.. ไม่มีอยู่จริง
.. มันเป็นของปลอม มันเป็นของหลอกล่อให้ลุ่มหลงให้รักหนอ – ถอดถอนมันไปเสีย !
โลภหนอๆ โลภทำไมหนอ..โลภมาก็เอาไปไม่ได้
โลภมาแล้วหลายล้านชาติ บัดนี้ไม่เห็นมีอะไรเลย..
โลภหนอๆ ทิ้งมันไปถอดถอนมันไป
.. ไม่ควรโลภกับมันเลย.. ไม่ควรสนใจมันเลย
โกรธหนอ โกรธแล้วได้ประโยชน์อะไรกับเรา -โกรธไปก็เท่านั้น..
โกรธหนอๆ โกรธแล้วไม่มีประโยชน์อะไร - มีแต่ทำจิตใจให้เศร้าหมอง และเป็นทุกข์
ทั้งคนที่โกรธ และคนที่ถูกโกรธ
มีแต่จะสร้างกรรมทำเวรหนอ
.. ไล่มันไป อย่าให้เกิดที่เรา..
-- อย่าโกรธ อย่าโลภ อย่าหลง อย่ารักเลย.. *
สิ่งเหล่านี้มันเป็นเชื้อ ที่ทำให้เราเจ็บป่วย
เราเหมือนคนป่วยนะลูก
ที่ถ้าเกิดเรามัวแต่มองว่า คนนั้นป่วย คนโน้นป่วย คนนี้ป่วย.. เราก็มัวแต่มอง แล้วก็เอาเชื้อของคนอื่นเข้ามาหาเรา
ถ้าหากว่าเรา ไม่มองที่เขา - มองแต่ที่เรา *
... เราก็จะมีสติระลึกรู้ และก็ถอดถอนเชื้อแต่ละตัวออกจากเรา ++
ฆ่าเชื้อด้วยการมีสติรู้ทัน.. เราก็จะถอดถอนมันไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ
.. จนเรานั้นมีสติตั้งมั่นอยู่เหนือความลุ่มหลง - ที่มันลุ่มหลงว่าเป็นเรา เป็นตัวตนของเรา
สิ่งสมมุติทั้งหลายที่เป็นรูป เป็นนามต่างๆ - มันก็จะทำอะไรเราไม่ได้
.. เพราะเราสามารถอยู่เหนือมันแล้ว…
เราก็จะค่อยๆถอดถอนกิเลสเหล่านี้ ออกจากตัวของเราได้
เริ่มจากกิเลสที่มันหยาบ - มันก็จะค่อยๆไปสู่..กิเลสที่ละเอียด
ทีนี้ เราก็ค่อยมาพิจารณาตาม..
จับตามมันไปเรื่อยๆ ตามสังโยชน์ 10 ประการ ของบุคคลที่จะเข้าสู่การเป็นองค์พระอรหันต์
เรารู้ตื่น รู้ตัว รู้เท่ารู้ทัน ความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธนั้น
เรารู้ตามมันรู้ทันมัน ถอดถอนมันไปเรื่อยๆ
จนเราก็มาพิจารณาถึง “กิเลสหยาบ” ทั้ง 5 อย่างก่อน
เรายังมีความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายนี้ ว่าเป็นเรา / เป็นของเรา มากน้อยเพียงใด ?
หรือว่า.. ไม่มีแล้ว
ไม่มีจริงหรือเปล่า ?
- ต้องดูให้ลึกเข้าไปข้างใน…
พิจารณาถอดถอนมัน
ถ้าเราสิ้นแล้ว หมดแล้ว 1 ข้อ - ถือว่าใช้ได้
ถ้ายังไม่สิ้นยังไม่หมด ก็ระลึกรู้ไว้ว่า.. ความหลงมันยังมีอยู่ ความยึดมั่นถือมั่น ในร่างกายนี้ -- --- - กิเลสมันยังทำงานอยู่ในเรา นะลูกนะ
แล้วก็พิจารณาถึงข้อที่ 2* ว่า.. เรา
- ยังมีความลังเลสงสัย ในเรื่องอะไรอีกอยู่หรือเปล่า ?
- ยังสงสัยใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สงสัยในคุณงามความดี ในกฎแห่งกรรม สงสัยการเวียนว่ายตายเกิด
มีความสงสัยเหล่านี้อยู่หรือเปล่า ?
ถ้ายังมีอยู่ แสดงว่า.. เรายังต้องถอดถอนกิเลสออกอีก
.. เพราะว่าเรายังไม่รู้แจ้งตามความเป็นจริง เรายังสว่างไม่พอ..
ถ้าสามารถ เข้าใจแล้ว รู้แล้ว.. แล้วรู้ในระดับไหน ?
รู้แจ้งวัฏสงสาร การเวียนว่าย เวียนวน รู้แจ้งตามคำสอนอย่างแท้จริงแล้วหรือยัง ?
รู้จริงแล้ว ปฏิบัติตามได้หรือเปล่า ?
ดูให้มันลึกๆเข้าไป ให้มันที่สุดแห่งการดู
ดูจนกว่าจะแน่ใจจริงๆว่า.. ไม่ได้สงสัยอะไรอีกต่อไป - ถือว่าใช้ได้
ถ้ายังมีความสงสัยอยู่.. นั่นแสดงถึงกิเลสที่มันยังปกคลุม ปิดบังครอบงำจิตใจเรา
ทำให้เราลุ่มหลง ทำให้เราไม่รู้ตามความเป็นจริงอยู่ - ต้องถอดถอนกิเลสต่อไปอีก..
เราก็ลองพิจารณาดูว่า บัดนี้..
เรายังทำผิดศีลผิดธรรม อยู่หรือเปล่า ?
ยังคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่วอยู่หรือเปล่า ?
ยังมีจิตคิดเพ่งโทษ เบียดเบียนผู้อื่นด้วย กาย วาจา ใจ หรือเปล่า ?
.. หรือว่า เราไม่ได้กระทำสิ่งเหล่านั้น
เราอยู่ในกรอบของศีลที่บริสุทธิ์ ไม่ได้ทำผิดแม้แต่เล็กน้อย..
เราก็ลองพิจารณาดู.. เรื่องของ กาย วาจา และใจ
อยู่ในกรอบของศีล
คือกรอบของการทำความดี อย่างบริสุทธิ์
ไม่เบียดเบียนเขา ไม่เบียดเบียนเรา
ตั้งมั่นอยู่บนความจริง ตั้งมั่นอยู่ในศีลที่บริสุทธิ์ สว่างไสวหรือเปล่า ?
พิจารณาดู..
ถ้าละเมิดผิดศีลอยู่ ไปคิดเพ่งโทษคนอื่น พูดเพ่งโทษคนอื่น กระทำโทษคนอื่น หรือเบียดเบียนต่อผู้อื่น..
- ถือว่าใช้ไม่ได้ / ถือว่ายังต้องถอดถอนกิเลสต่อไป..
เมื่อเราทำได้แล้ว.. ก็ต้องดูลึกเข้าไปอีกว่า.. เรานั้นน่ะ ทำได้ขนาดไหน ?
.. ก็ต้องดูไป ให้มันละเอียด..
อย่างนี้ละ.. พระยาธรรม
ต้องพิจารณาตาม สังโยชน์ทั้ง 10 ประการ
พิจารณาให้ลึกเข้าไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ
มีอยู่ - มีมาก มีน้อย มีปานกลาง
หรือว่าหมดสิ้นแล้ว จากสังโยชน์เหล่านี้
เช่นข้อที่ 4 ต่อไป.. ไม่มีความลุ่มหลงในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส..
- เรายังมีความลุ่มหลง ในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง สัมผัส หรือเปล่า ?
- มีแล้วมันมีมากแค่ไหน ?
- ไม่มีแล้ว มันละเอียดเพียงใด ?
- ลึกเข้าไป มันยังมีอยู่หรือเปล่า.. ในส่วนลึก ?
ลองพิจารณาดู.. ถ้ายังมีสิ่งเหล่านี้อยู่
ต้องถอดถอนกิเลสให้สิ้น ให้หมดจากตัวของเรา
แสดงถึง.. ความยังมีกิเลสอยู่ในตัวของเรา
ต่อไป.. สังโยชน์ ข้อที่ 5 - ไม่มีความพอใจ หรือไม่พอใจ ไม่มีความผูกโกรธอะไรต่อไปอีก..
เรายังมีผูกโกรธ ไม่พอใจ ถูกใจ ไม่ถูกใจ เหล่านี้อยู่หรือเปล่า ?
พิจารณาให้ลึก ดูที่ตัวของเรา มี / ไม่มี
.. ถอดถอนในตัวเรา..
ข้อที่ 6 - เข้าสู่ระดับของกิเลสที่มันละเอียดลึกเข้าไป เรามีความหลงในรูปที่เป็นวัตถุ หรือรูปฌานหรือเปล่า ? ลองพิจารณาดู..
- ไปหลงติดอยู่ในรูปฌานต่างๆอยู่หรือเปล่า
- หลงในรูปที่เป็นวัตถุต่างๆอยู่หรือเปล่า ก็ต้องพิจารณาดู
ต่อไป.. ข้อที่ 7 - มีความหลงใหลในอรูป หรืออรูปฌาน.. ว่าดีอยู่หรือเปล่า ?
คือสิ่งที่ไม่มีรูป หรือฌานที่ไม่มีรูป น่ะลูก
.. เราไปติด ไปหลงอยู่ในนั้น หรือเปล่า ?
ต่อไปข้อที่ 8 - มีการเปรียบเทียบเขา เปรียบเทียบเรา
ถือว่าเราดีกว่าเขา เขาดีกว่าเรา เสมอกัน.. อย่างนี้หรือเปล่า ?
.. ถ้ายังมีสิ่งนี้อยู่ - ต้องถอดถอนกิเลสออกเสีย ให้มันสิ้นซาก..
ต่อไปข้อที่ 9 - มีอารมณ์ฟุ้งซ่าน ไม่แน่ใจว่าจะไปนิพพานดี หรือไม่ไป / จะไปได้หรือไปไม่ได้..
ไม่มั่นใจในตนเอง ขาดความเข้มแข็งในจิตใจ อย่างนี้หรือเปล่า ?
ลองพิจารณาดู.. ถ้ามี ก็ต้องถอดถอนกิเลสให้หมด ให้สิ้นซากจากเราไป
ข้อที่ 10 - มีความหลงในมนุษย์โลก
คิดว่าโลกมนุษย์นี้ดี หรือในเทวโลก พรหมโลก คิดว่าการเวียนวนอยู่ในภูมิที่สมมุติว่าดีในวัฏสงสารนี้.. ยังดีอยู่
หรือว่า คิดว่าไม่ดีแล้ว
.. ก็ต้องลองตรึกตรองดู ทบทวนดู ที่ตัวของเรานี้ละลูก ว่ามันเป็นแบบไหน ยังไง ?
เมื่อเราพิจารณา จากกิเลสตัณหา / จากสิ่งที่มันซ่อนอยู่ในใจของเรา / เชื้อที่มันทำงานอยู่ในเรา..
จับมันให้ได้ ดูที่จิตที่ใจเรา
- รู้ให้ทันมัน ตีมันให้ถูก -
เมื่อตีมันถูกแล้ว.. ก็เข้าไปดู ไล่ตามสังโยชน์ 10 ประการว่า..
- มันยังมีฤทธิ์อยู่หรือเปล่า ?
- มันยังทำงานอยู่หรือเปล่า ?
.. ค่อยๆไล่กิเลสละเอียด ตามสังโยชน์10 ประการนั้น อีกทีหนึ่ง
บางทีเราหลงคิดว่า มันหมดแล้วละ เจ้าหลงนี่ เจ้ารัก เจ้าโลภ เจ้าโกรธ - มันหมดในเราแล้ว..
เราอาจจะหลงก็ได้ นะลูกนะ !
ฉะนั้น.. เมื่อเรารู้เท่ารู้ทันเชื้อกิเลส รักโลภ โกรธ หลง นี่
.. เราตีมันถูกตัวแล้ว - เราก็หมั่นหยิบเอา สังโยชน์10 ประการ ขึ้นมาพิจารณาอยู่บ่อยๆ
พิจารณาอยู่เสมอๆ ให้มันลึกเข้าไป ๆ / ละเอียดเข้าไป ๆ ทุกที..
ทำอยู่อย่างนี้เรื่อยๆ.. จนกว่าเราจะมั่นใจว่า เราสามารถขัดเกลากิเลสตัณหา ตั้งแต่หยาบสู่ละเอียด ออกจากตัวของเราได้แล้ว อย่างสิ้นเชิง - ไม่มีเกิดขึ้นในเรา อีกต่อไป..
- เราดับแล้ว จากความทุกข์
- เราดับแล้ว จากความเป็นเรา
- ดับแล้ว จากการเกิด ไม่มีเรา ไม่มีเขาอีกต่อไป..
เราสักแต่ว่าอยู่ / สักแต่สมมุติเป็นเราไป- โดยไม่สุขไม่ทุกข์
-- รอเพียงแค่กายนี้ดับ - กิจก็จบลง +
อย่างนี้ละ พระยาธรรม..
พิจารณาตามทางเส้นนี้.. ก็สามารถเป็นองค์พระอรหันต์ได้ลูก**
เราก็ฝึกฝนตามแนวทางเหล่านี้ดู ก็แล้วกันนะ.. พระยาธรรม
การที่เราจะเข้าสู่การเป็นองค์พระอรหันต์นั้น.. ก็มีแนวทาง รูปแบบต่างๆ ตามที่กล่าวมาแล้ว 4 อย่างนี้
จงน้อมไปประพฤติปฏิบัติ เพราะมันเป็นแนวทางหลัก ที่จะพาให้ลูกทั้งหลาย.. เข้าสู่การเป็น *องค์พระอรหันต์*
และอาจจะมีแนวทางนอกเหนือจากนี้ ที่เป็นปลีกย่อยออกไปอีก - มันมาก
.. แต่ว่าเราเอาแค่ที่มันเป็นหลักๆก็แล้วกัน ++
เอาเป็นว่า ทำความดี ก็คืออยู่ในกรอบแห่งศีล
เอาเป็นว่า อยู่ในกรอบของศีลแล้ว.. ปัญญา สมาธิก็จะก่อเกิด
ให้เราค่อยๆรู้ตาม ดับกิเลสตัณหาได้.. ไล่ขึ้นมาเรื่อยๆ
-- แล้วเราก็จะดับการเกิดได้ --
หนทางของการไปสู่การเป็นองค์พระอรหันต์ ก็มี คิดดี พูดดี ทำดี - เพื่อละความรัก โลภ โกรธ หลงให้ได้ และก็มีทางละเอียด ดังที่ได้กล่าวไปแล้วนั้นละ.. พระยาธรรม
-- อะไรก็ตามที่มันมากมาย มากเกินไป.. ก็จะสับสน --
เอาให้มันได้สักอย่างหนึ่ง ใน 4 อย่างนี้ - ถือว่าใช้ได้แล้วละ.. พระยาธรรม
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตา แสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง พระพุทธเจ้าค่ะ
วันนี้ลูกกราบขอลาพระพุทธองค์ก่อน นะเจ้าคะ
ไว้ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่ เจ้าค่ะ..
สาธุ