ดวงเเก้วพระจักรพรรดิ รู้ได้ที่ท้องน้อย
สำผัสได้มากน้อยอยู่ที่กำลังของจิต
การภาวนาขอสำผัสดวงธรรมภายใน คือจุดเรื่มต้นของการเข้าถึงตนเอง
ยุคจากนี้ไปเข้าสู่ยุคพระธรรมจักร
เเก้วพระอริยะเเสงจะส่องสว่างทั่วโลก
การปลดปล่อยตนจากการหลงคิดปรุงยึดติดจิตจะพัฒนาอย่างก้าวกระโดด
ธรรมชาติธรรมดาของจิต
ดิดดิ้นรน จนกว่าจะพบความจริง
จงสร้างภูมิคุ้มกันให้เเก่ตน
ดีดพ้นเหนือน้ำ ความโล่งโปร่งสว่างจะปรากฏ ตนพึ่งตน พึ่งธรรม
เมื่อรู้เห็นความจริง
จึงหยุดดิ้นรนเเสวงหาต่อสิ่งใด
ความสวยงาม พร้อมอุดมสมบูรณ์ ภายในนั้นคือความจริงอันเป็นนิรันดร์
มหาบุญหลั่งไหลเข้าหา
ส่งผลโดยตรงทันเวลา
คือบุญเเท้จากการ
ปลดปล่อยตนจากพันธนาการ
สัญญา ทิฏฐิ มานะ อวิชชา อัตตา
ลอกคราบโยนทิ้งของหนักทั้งสิ้น
พระจักรพรรดิคือจิตหนึ่ง
เเสงอริยะจิตอยู่ในทุกคน
ปลุกเเสงอริยะจากการหลับไหล
จะเห็นพระจักรรพรรดิอยู่ภายในเรา
โดยไม่ต้องเเสวงหามาจากที่ได
พุทธะอยู่ในท่านเสมอ
เหนื่อยไหมกับการวิ่งตามหาตนเองทั้งชีวิต
สุดท้ายความโหยหานั้นจะหายไป
พร้อมกับท่านรู้เห็นสัจธรรมภายในตัวของท่านเอง
การสวดมนต์คือจุดเรื่มต้นในการสอนจิตให้สงบลง เข้าสู่การเป็นสมาธิ เมื่อเราจดจ่ออยู่กับคำสวด
จิตจะค่อยๆสงบลงอย่างอัตโนมัตินั้นคือ อนิสงค์
การให้ทานที่ส่งผลอย่างยั่งยืน
คือให้โดยไม่หวังผลตอบเเทน
ให้โดยไม่มีประมาณ
ให้ด้วยความรักด้วยปัญญา
ให้อย่างเมตตา
เป็นมหาทานตัดลัดภพภูมิ
ธรรมธาตุเเท้ไหลออกมาเองอัตโนมัติ
เหนือความคิดเหนือสติปัญญา
เหนือจิตวิญญญาณเหนือการปรุงเเต่ง
เหนืออวิชชา เหนือกาลเวลา
คือ ธรรมเหนือธรรม
พระอริยะจิตเดิมเเท้จริง ย่อมไม่ยึดสังคม โซเชียล ลาภยศสรรเสริญ ไม่หลงในศิษย์อาจารย์ เป็นอิสระ พุทธะผู้เป็นนิรันดิ์ไม่มีศิษย์หรืออาจารย์
ภายในทุกคนคือพระธรรมเเห่งพระผู้สร้าง พระพุทธะ พระศรีอริยเมตไตรย์ หรือจิตหนึ่งเดียวเมื่อรู้เเจ้งตน จะรู้เเจ้งพระธรรมธาตุอันเป็นนิรันดร์
เจริญภาวนาเป็นสิ่งสำคัญจำเป็น
ต้องวางไว้เป็นเเก่น
การเข้าถึงความเป็นหนึ่งเดียว ศีล สมาธิ ภาวนาปัญญา เป็นฐานของการเข้าถึงความบริสุทธิ์
ทุกดวงจิตมีความบริสุทธิ์ ความรัก เมตตายุติธรรม คุณธรรม เที่ยงตรง
ปัญญาพร้อม เเค่ถูกบดบังไว้ด้วยฝุ่นละออง
จึงหลงลืมความเป็นตนที่เเท้จริง
พุทธะ พระอริยะ สว่างเเท้
ย่อมเห็นความจริงสูงสุด
จึงชี้ให้เห็นสิ่งถูกต้อง
เสียเวลาไปกับสิ่งปรุงเเต่ง
ชี้ให้เห็นถึงความจริงที่อยู่ภายใน
การถวายข้าวสวยสะอาด ปราณีต
เเค่มื้อเดียว เเด่พระอรหันต์นั้น
มีอานิสงส์สูงยิ่งกว่าสร้างโบสถ์
สร้างวิหาร สร้างเจดีย์ นับหมื่นนับเเสน มากกว่าหล่อรูปปั้นเครื่องลางกว่า
ล้านๆโกฏ ชนิด
ไม่สามารถเปรียบเทียบในการ
สร้างวัตถุใดในโลกนี้ไม่ว่าจะมาก
หรือน้อย ถึงนับไม่ได้
พระอรหันต์ที่เเท้จริงนั้นผ่านการสร้างสมบารมีมานับชาติไม่ถ้วน
คือเเสงพระอริยะจิตเดิมเเท้หรือ"พุทธะ"
ที่ส่องสว่างให้เเก่3โลกธาตุ
ปีกเเห่งพุทธะเเผ่กว้างใหญ่ไพศาล
สว่างไสว
ครอบคลุมครบจบทั้งสามเเดนโลกธาตุ
โปรด เวไนยสัตว์ ได้อย่่างไม่มีประมาณ
มีมหาเมตตา อย่างหาที่สิ้นสุดมิได้
การติฉินนินทา คิดร้าย ดูถูกดูเเคลน
อิจฉาริษยา ปรามาส พระอรหันต์
ทั้งที่ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ดี จะนำพา
ผู้นั้นตกต่ำลง ไปจนถึงอบายภูมิ
ตามธรรมชาติ ธรรมดา
พระธรรมเเท้อยู่ภายในเสมอตามธรรมชาติธรรมดาไม่ต้องถือตำราท่องจำคำบอกเล่า
หรือยึดต่อหลักการใด
เพราะภายในคือวิหารเเห่งพระธรรมรวมทั้งปวง
ตามความเป็นจริงเเล้วเราทั้งหลาย
ไม่ควรยืดสิ่งใดไว้เลยเเม้เเต่ความถูกต้อง
ความบริสุทธิ์ ความดีงามหรือเเม้เเต่ ความจริงอันเป็นนิรันดร์
หากตราบใดที่เธอยังคงหลงกอดรัด
เกาะยึดติด ความเป็นตัวตนไว้
เธอจะไม่มีโอกาสเห็นความสวยงามที่เป็นจริง อันยั่งยืนภายในเธอเอง
🌅พระเเท้ เเละปัญญา
สถิตอยู่เสมอภายใน ไม่มีใคร
สามารถ ขโมย ทำร้าย ทำลาย
หรือฆ่าได้...
พระเเท้เเละปัญญา
ปราชญ์ย่อมชี้ให้เห็นถึงความถูกต้อง
ความจริงเเท้ ด้วยความรัก เมตตา
เมื่อถึงเวลาพระเเทั=พระจิตเเละปัญญา
จะเบ่งบานสดใสสวยงามให้ชื่นชม
เเละยินดี ...อิสระ เสรี ปราศจาก ของ
หนัก ของถ่วง ของยึด ของหลง ฯลฯ
ความจริงไม่น่ากลัวเท่ากับการหลงทาง
ความหลงรู้ หลงตน หลงในสัญญา
หลงอยู่ในความคิด ปรุงเเต่งในรูป นาม
จะนำพาให้เขามีทิฏฐิมานะ หลงรู้ว่าตนรู้
หลงคิดปรุงเเต่ง ไม่ยอมถ่อมตนรับรู้ในสิ่งที่ถูกต้องที่เป็นจริง
ไม่ยอมก้มหัวฟังใคร!!!
ไม่ยอมรับความจริง อันสูงสุด
หลงปรุงเเต่งในอวิชชา อัตตา
เพราะความไม่รู้
ผู้มีสติปัญญา เจริญเติบโต
ในจิตวิญญาณ ย่อมมองเห็น
สิ่งที่เป็นจริง เปิดจิตเปิดใจให้กว้าง
พร้อมที่จะเปลี่ยนเเปลง
ฉีกทิ้งสัญญาที่ผู้มัดที่กอดมันไว้เสียสิ้น
ฆ่าทิฏฐิ มานะ ภายใน
รัก โลภ โกรธ หลง อัตตา
อวิชชาเสียด้วย พลังเเห่งสติปัญญา
ผู้เเข็งเเกร่ง ผู้มีปัญญาเป็นสมบัติ
ของตนเองเป็นโคมประทีป
ส่องสว่างให้เเก่ตนเอง ต่อผู้อื่น ต่อโลก
จะไม่หลงยึดติด ต่อสิ่งใด ต่อรูปนามใด ไม่ว่าจะองค์เทพ เทวดา เครื่องปั้น ดินเผา พระธาตุต่างๆที่มีนามเเละไม่มีนาม
ที่เห็นได้เเละเห็นไม่ได้
สำริด เครื่องบูชา ฤาษีนักบวช
ชีพราหมณ์ ผู้รู้ (ต้นตะเคียน👀)
ก้อนหินเเละธาตุอื่นๆ นอกเหนือจากจิต
พญานาค หรือสัตว์มีรูปนาม ไม่มีรูปนาม
ไม่หลงบวงสรวงในพิธีกรรมใดๆ
ล้วนคือจิตที่อ่อนเเอ ซึ่งมีความกลัว
ความไม่มั่นใจในตนเอง ปกป้องตนเองไม่ได้
ขาดความเข้าใจในความเป็นตนเอง
จึงต้องเเสวงหาสิ่งรอบกายภายนอก
ไปหลงเกาะ ไปหลงยึดติด
ทำการบวงสรวงร่ายรำ ลุยไฟ เสียบเเทง ตนเองบูชาเทพ ฯลฯ
เป็นเพราะความหลง เพราะความไม่รู้
หลงเชื่อหลงปรุงในความคิด
ว่าสิ่งเหล่านั้น
จะช่วยให้ชีวิตตนเองเจริญขึ้น
เป็นมงคลต่อตนเอง เหล่านี้ล้วนอวิชชา เพราะความ ไม่รู้ เเละก่อเกิดการเเพร่
กระจายออกไป เเละเกิดความพอใจ
บ้างก็ทำรายได้ สร้างรายได้ขาย
ของเครื่องเซ่นไหว้...
จนเกิดเป็น ประเพณี วัฒนธรรม
ฝังดิ่งลึก ลงในความคิดความหลง
ความพอใจ หลงไปขอโชคขอลาภฯลฯ..
พากันจูงหลงปรุงเเต่งอย่าง
ไร้จุดหมายปลายทาง ไม่มีที่สิ้นสุดจน
รู่นต่อรุ่น ยากที่จะขุดถอนรากถอนโคนทิ้งได้ เป็นเพราะความกลัว
ความอ่อนเเอ
ความไม่รู้ ขาดปัญญาที่
เป็นสมบัติเดิมเเท้
จึงพากันมัวเมาลากจูงกันไป
ยึดมั่นถือมั่น ในการบวงสรวงศาลเจ้า
ผีเปรต เจ้าที่เจ้าทาง เทวดา ฟ้า ดิน
จะด้วยเลือดเนื้อเหล่าสัตว์หรือพืชผัก
ผลไม้ ล้วนคือความไม่รู้...อวิชชาทั้งสิ้น
เฉกเช่น หลงไปบนบานศาลกล่าว
ในนามสมมุติ เจ้าที่เจ้าทาง นำพาสิ่งของไปเลี้ยงผี เจ้าที่ กราบไหว้ผี ขอนไม้ฯ...
การปล่อยวางทางความ
หลงคิดหลงปรุงเเต่งหลงเชื่อเป็นหนทาง
ของผู้ที่ตื่นเเล้ว เปิดตาใน ตาใจ
เห็นความสวยงาม ที่เป็นจริง
การเข้าถึงพระพุทธะ จึงเป็นมงคล
อย่างยิ่งที่สามารถ "หงายของที่คว่ำ"
ฆ่าอวิชชา
พาจิตตนเองออกจากของหลงมัวเมา
หลงยึดติด หลงวกวนอยู่ในรูปนาม
ที่ต่างคิดว่าเป็นของสำคัญ
อวิชชาคือมารร้ายที่เป็นเงารอกระชาก
ผู้อ่อนเเอตกลงไปในเหวลึกอย่างไม่จบสิ้น..
✨ในยุคปัจจุบันนี้ การตื่นรู้
ในสังคมทุกระดับ ย่อมเป็นไปได้หมด
เพราะฉะนั้น ผู้ตื่น รู้ มีในบุคคลทั่วไป
ได้ทั้งสิ้น ไม่มีเงื่อนไข มาเเบ่งเเยก
ไม่มีเเบ่งระดับ ย่อมเกิดขึ้นได้
ในทุกเพศ ทุกวัย ทุกศาสนา ทุกนิกาย
ทุกวรรณะ ทุกระดับการศึกศึกษา
ทุกอาชีพ... ทุกเชื้อชาติ
"จิตสำคัญสูงสุด"
"จิต"เปรียบดั่ง"ม้าพยศ"ที่สวยงาม
ที่ฝึกยาก มีความฉลาด
ซุกชน ดีดดิ้น อยู่ไม่นิ่ง
มีเล่ห์เหลี่ยม หลอกล่อให้ผู้อ่อนเเอ
หลงไหลในเกมส์กลไปกับมัน...
ชนเหล่าใดสามารถฝึกสัตว์ที่ฝึกยาก
ได้ย่อมเป็นผู้ฝึกที่มีความมานะ
อดทนสูง
การฝึกจิตอันข่มได้ยาก มักตกไป
ในอารมณ์ได้ง่าย จิตเป็นธรรมชาติ
ดิ้นรน กวัดเเกว่ง รักษายาก
ห้ามได้ยาก ผู้ฝึกย่อมมีสติปัญญา
กระทำจิตให้ตรง นิ่ง เชื่อง ควบคุม
ได้ ดั่งเช่นควบคุมม้าพยศผู้สง่างาม
ให้อยู่ใต้บังคับบัญชา
จิตที่ฝึกดีเเล้วเป็นเหตุ นำความสุข
จนเข้าถึง "พระอริยะจิต"
บุคคลผู้มีปัญญา จงพึงรักษาจิต
จิตที่ควบคุมได้เเล้ว ย่อมนำความสุข
สันติสุขเป็นนิรันดร์...(พระอริยะจิต)
"ชนเหล่าใด จักสำรวมจิต
อันท่องเที่ยวไปในที่ไกล เที่ยวไปไกลเเสนไกล
มีเพียงดวงเดียวไร้รูปร่าง
มีสังขารคือกายธาตุเป็นที่อาศัย
ชนเหล่านั้น จักพ้นจากเครื่องหลอกล่อเเห่งมาร
🌻อันนารีฯ,ชน เหล่าใด
สามารถฝึกจิตตน จนคล่องได้ เเละเข้าถึง
ดินเเดนธรรมเเห่งพระเจ้าจักรพรรดิ
หรือวิหารเเก้วเเห่งธรรมรวมธรรมได้
นารีฯ หรือชน เหล่านั้นคือผู้กล้า
นักรบเเห่งจิตวิญญาณ
อันเเท้จริง ของยุคนี้
ความบริสุทธิ์ มั่นคงในศีลบริสุทธิ์
มีความรัก เมตตา มีปัญญา เป็นสมบัติ
เป็นผู้ให้ ปราศจากเงื่อนไข.
ปีกพุทธะเเห่งจักรวาลของเขา
ย่อมเเผ่ออกไป กว้างขวาง
สวยงามสามารถ บินข้ามเวลา ข้ามพ้น
ห้วงมหาสมุทรเเห่งทุกข์ เข้าสู่
สู่ดินเเดนพระนิพพานบริสุทธ์
ได้อย่างไร้เงื่อนไขใดๆ