พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 28 เมษายน 2561
ตอนที่ 325 **พระอรหันต์กับการรักษาศีล**
+ +
ในเช้าของวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2561 ณ สวนธรรมิกราช
ข้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้เข้าเฝ้านอบน้อมต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเฝ้าทูลถามถึงการละสังโยชน์ ข้อที่ 3* ขององค์พระอรหันต์
สังโยชน์ ข้อที่ 3* ที่องค์พระอรหันต์นั้นสามารถละได้ คืออะไรหรือเจ้าคะ ?
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟังด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ “
- - - -
พระยาธรรมเอ๋ย.. สังโยชน์ข้อที่ 3* ที่องค์พระอรหันต์นั้น สามารถที่จะละได้ ก็คือ
// การละจากการทำผิด ทำชั่วทั้งปวง สามารถรักษาความดีของตน อยู่ในกรอบของศีล ตามที่ได้สมาทานเอาไว้ อย่างบริสุทธิ์ - ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ
// องค์พระอรหันต์ สามารถละการกระทำที่ไม่ดี คือ การสักแต่ว่า สมาทานศีลไป - รักษาศีลแบบทีเล่นทีจริง
บางที ก็เอาจริงเอาจัง
บางที ก็ไม่เอาจริงเอาจัง
-- พระอรหันต์สามารถที่จะละสิ่งเหล่านี้ได้ เป็นสังโยชน์ข้อที่ 3* --
พระยาธรรมเอ๋ย.. การเป็นองค์พระอรหันต์นั้น ถือ
* เป็นดวงจิตที่บริสุทธิ์ ปราศจากกิเลสตัณหาทั้งปวง
* เป็นดวงจิตที่รู้แจ้ง และรู้ตื่นในสรรพสิ่งทั้งหลายบนโลกนี้ ในจักรวาล วัฏสงสารนี้ ..
/ ไม่มีสิ่งใดมาบดบัง
/ ไม่มีสิ่งใดทำให้เศร้าหมอง มัวหมอง
/ ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้จิตเหล่านั้น ที่เป็นองค์พระอรหันต์ - กลับคืนสู่การทำผิด ทำชั่วอีก
ซึ่งศีล ก็คือ เกราะแห่งการป้องกันไม่ให้ทำกรรมชั่ว
* เป็นเกราะแห่งการป้องกันตนเอง ให้อยู่ในกรอบของการทำความดี *
พระอรหันต์* เป็นผู้ถึงแล้ว ซึ่งความดีอย่างแท้จริง.. จนจิตของพระอรหันต์นั้น รู้แจ้งในกรรมทั้งหลาย
การทำดี - จึงไม่ยึดติด
การทำชั่ว - จึงไม่ทำอีกต่อไป
สักแต่ว่าทำ / สักแต่ว่าให้เป็นไป ตามเหตุปัจจัยอันสมควร
.. จนกว่าจะดับจากกาย - ที่เป็นกายของโลก วัฏสงสารนี้ไป เท่านั้น..
องค์พระอรหันต์ จึงเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ ตามระดับศีล ที่ตนได้ตั้งใจว่า จะรักษาศีลเหล่านั้น
องค์พระอรหันต์ จึงเป็นผู้ไม่ผิดศีล
-- เมื่อมีศีลบริสุทธิ์ / ไม่ผิดศีล.. จึงเป็นผู้ไม่รักษาศีล แบบทีเล่นทีจริง *
องค์พระอรหันต์ทั้งหลาย.. จึงละสังโยชน์แห่งการทำความดี แบบทีเล่นทีจริง / ถือศีลแบบไม่จริงไม่จัง
ละสังโยชน์ข้อนี้ ออกไปได้อย่างสิ้นเชิง...
พระยาธรรมเอย..
องค์พระอรหันต์นั้น.. เป็นผู้รู้แจ้ง รู้ตื่น เข้าใจ ในสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
องค์พระอรหันต์ คือ ผู้ทรงจิตบริสุทธิ์ผุดผ่อง อยู่ในคุณงามความดี
จึงมีสติ มีปัญญามากพอ ที่จะดูศีล -ที่ตนนั้นได้สมาทานเอาไว้ หรือตั้งใจว่า จะรักษาได้อย่างเป็นกลาง
สามารถรักษาศีล อย่างเป็นทางสายกลาง โดยไม่ตึงเกิดไป ไม่หย่อนเกินไป.. จนทำให้ตนนั้นเกิดความเศร้าหมอง
การกระทำใดก็ตาม ที่ทำโดยไม่ถูกต้อง.. ไม่ว่าจะตึง หรือหย่อนไป
องค์พระอรหันต์.. ย่อมมีดวงปัญญาที่รู้แจ้ง กระจ่างในสิ่งเหล่านั้น
* ย่อมเป็นผู้..
/ สามารถปรับใช้ศีลที่ตนมี - ให้เหมาะสมกับตน
/ สามารถเป็นผู้รู้ ว่า.. สิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร
/ รักษาจิต อย่างบริสุทธิ์
/ รักษาศีล อย่างเป็นกลาง -ไม่เบียดเบียนตนเอง และผู้อื่น
พระอรหันต์* ย่อมรู้เช่นนี้ละลูก.. จึงมีกรอบของศีล สักแต่ว่ามี
- มีเพื่อระลึกรู้ไว้ว่า.. ตนนั้นอยู่ในฐานะใด..
เช่น เป็นฐานะของพระภิกษุสงฆ์ / หรือเป็นฐานะของบุคคลใดในโลกสมมุติ
.. ก็ย่อมสามารถประกอบกิจแห่งสมมุติของตนนั้นได้ดี และเหมาะสม - โดยไม่ตึงไป ไม่หย่อนไป **
เช่นนี้ละ พระยาธรรม.. คือสิ่งที่องค์พระอรหันต์ ประพฤติปฏิบัติ ทรงสภาวธรรมของจิตเอาไว้อยู่ เหนือสิ่งทั้งหลายทั้งปวง
การละสังโยชน์ข้อที่ 3* นี้.. จึงไม่ได้เป็นปัญหาอะไรเลย กับองค์พระอรหันต์ ลูก
- เพราะองค์พระอรหันต์..
/ เป็นผู้ละกิเลสแล้ว.. ย่อมไม่มีการทำผิดศีล เป็นธรรมดา
/ เป็นผู้เข้าถึงความรู้แจ้งแล้ว.. ย่อมสามารถปรับประยุกต์ใช้ระดับศีลที่ตนมี สมมุติที่ตนเป็นได้อย่างดี อย่างเหมาะสม - คู่ควรกับการเป็นผู้รู้ตื่น *
พระยาธรรมเอย.. องค์พระอรหันต์ท่านนั้น ทรงสภาวธรรมไว้เช่นนี้ละลูก
ซึ่งต่างจากปุถุชนธรรมดาทั่วไป - ที่ยังคงต้องยึดถือกรอบของศีลไว้ เพื่อตีกรอบตน ไม่ให้ทำความชั่ว
และยังสามารถหย่อนไป ตึงไป
และยังสามารถ ที่จะผิดพลาดกับการรักษาศีลได้
- คือ การรักษาศีล แบบไม่ถูกต้องบ้าง
- คือ การรักษาศีล แบบทีเล่นทีจริงบ้าง
พระยาธรรมเอย.. องค์พระอรหันต์ เป็น ”ผู้รู้ตื่น” - จึงแตกต่างจากคนธรรมดา ทั่วไป เช่นนั้น อย่างนั้นละลูก
++
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง พระพุทธเจ้าค่ะ
พระพุทธองค์เจ้าขา.. ลูกฟังธรรมแล้ว ก็พอจะเข้าใจแล้วละเจ้าค่ะ ว่า..
องค์พระอรหันต์นั้น..
/ ท่านเป็นผู้รู้ตื่น เป็นผู้ละกิเลสได้แล้ว
/ ท่านจึงรักษาศีล ตามที่ท่านได้สมาทานไว้ได้อย่างบริสุทธิ์
/ ท่านจึงไม่มีการทำผิดศีล หรือรักษาศีล แบบทีเล่นทีจริง ต่อไปอีก
/ ท่านเป็นผู้รู้ตื่น รู้แจ้งในสรรพสิ่งทั้งหลาย.. ท่านจึงไม่เอากรอบของศีล- ที่ตนสมาทานนั้น มาทำให้ตนเป็นทุกข์ หรือผู้อื่นเป็นทุกข์ได้
/ ท่านจึงรักษาศีลเหล่านั้นอย่าง เป็นทางสายกลาง และเหมาะสม ++
.. พอจะเข้าใจเช่นนี้แล้วละ พระพุทธเจ้าค่ะ
พระพุทธองค์เจ้าขา.. ถ้าอย่างนั้น ก็แสดงว่า องค์พระอรหันต์ทั้งหลาย.. ท่านนั้นมีศีลอยู่ในจิต กาย ใจของท่านโดยปรกติอยู่แล้ว.. อย่างนั้นหรือเปล่าเจ้าคะ ?
เพราะท่านเป็นผู้รู้ตื่น และอยู่ในกรอบของความดีอย่างแท้จริง แล้วนี่เจ้าคะ ?
- - -
พระพุทธองค์ :: ถูกต้องแล้วลูก
องค์พระอรหันต์ คือ ผู้สมาทานศีล ผู้รักษาศีล อยู่ในกรอบของศีล จนจิตนั้นกลายเป็นจิตที่ดี อย่างสมบูรณ์ ดีอย่างเที่ยงแท้
- ไม่มีวันที่จะกลับคืนสู่ การทำผิด ทำไม่ดี.. อีกต่อไป -
จนคำว่า *ศีล* นั้น เข้าไปอยู่ในจิต ในใจ ในกาย
จนจิต กาย ใจ นั้น - ไม่สามารถที่จะประพฤติชั่วได้อีก
แม้ว่าศีล จะมีกำแพงไว้ หรือไม่มี
แม้ว่าจะยึด จะถือเอาไว้ หรือไม่ยึดถือเอาไว้
-- จิตดวงนั้น ก็ย่อมอยู่ในกรอบของการทำความดีอยู่แล้ว.. โดยไม่มีอะไรทำให้บกพร่องได้อีกต่อไป ++
++
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
ถ้าอย่างนั้น ก็แปลว่า ถ้าหากว่า เราเป็นปุถุชนคนธรรมดา หรือเป็นผู้ที่ยังบำเพ็ญ ไม่ได้เข้าถึงความเป็นองค์พระอรหันต์
เราก็ยังคงต้องถือศีล รักษาศีลเข้าไว้ ไม่ให้บกพร่อง - เพื่อตีกรอบให้เรานั้นไปถึง เป็น*องค์พระอรหันต์* เสียก่อน - เราจึงสามารถมีศีลอยู่ในจิต กาย ใจโดยธรรมชาติ
.. อย่างนั้นหรือเปล่าเจ้าคะ ?
พระพุทธองค์ :: ดีแล้วละ พระยาธรรม ที่รู้จักซักถาม เพื่อเข้าใจอย่างแท้จริง อย่างแจ่มแจ้ง
*ศีล*นั้น
- เป็นเกราะที่จะทำให้เราอยู่ในกรอบของความดี ลูก
- เป็นสิ่งที่จะปิดกั้น ไม่ให้ความชั่วไหลเข้ามาหาเรา ไม่ให้เราบกพร่อง ทำความดีอย่างไม่เต็ม.. ทำความดีแล้วมันรั่วไหล
ฉะนั้น.. ตราบใดก็ตาม ที่เรายังเป็นปุถุชนคนธรรมดา..
เราต้องรักษาศีล ต้องมีกรอบตีไว้ให้เราทำความดี จะได้ไม่ละเมิด ผิดพลาดไปทำในสิ่งที่ไม่ดี ไม่ถูกต้อง ++
จนกว่าเราจะเป็นองค์พระอริยเจ้าในระดับต่างๆ.. เราก็จะค่อยๆเข้าใจ ในการปรับประยุกต์ศีลที่เราสมาทานเอาไว้ ให้เหมาะกับยุคกับสมัย / เหมาะกับตัวของเรา
- โดยที่ไม่ตึงไป / ไม่หย่อนไป -
และมันก็จะละเอียดขึ้นเรื่อยๆ.. ตามระดับความสำเร็จ บรรลุธรรมของแต่ละดวงจิต โดยเป็นธรรมชาติ
.. จนกว่าจิตนั้นจะสำเร็จ บรรลุเป็น*องค์พระอรหันต์*
ก็จะเป็นผู้ทรงความดี มีศีล มีธรรม อยู่ในจิต กาย ใจ โดยเป็นปรกติ โดย..
- ไม่ต้องตั้งเป็นกำแพงเข้าไว้
- ไม่ต้องยึด ต้องถือ ต้องแบก ให้มันหนัก มันเหนื่อย
จิตนั้น ก็
- ย่อมทรงสภาวธรรมของความดี ความรู้ตื่น อยู่เสมอ
- ย่อมไม่กระทำในสิ่งที่ชั่ว ผิดศีล ผิดธรรม
- ย่อมประพฤติตนได้เหมาะสม ในทุกที่ ทุกสถานการณ์ ที่ตนนั้นจะต้องเป็นไป / จะต้องดำเนินชีวิตไป
- ย่อมอยู่ในฐานะของตนได้ดี และเหมาะสม.. เพราะเป็นผู้รู้ตื่นแล้ว
++
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง นำไปประพฤติปฏิบัติตาม และเผยแผ่
ลูกพอจะเข้าใจ สังโยชน์ ตัวที่ 3 /หรือข้อที่ 3* ขององค์พระอรหันต์ที่สามารถละได้แล้ว ละเจ้าค่ะ
พระอรหันต์ *
คือ ผู้ที่มีจิตบริสุทธิ์แล้ว จึงไม่ทำผิดศีล ผิดธรรมอีก
คือ ผู้รู้ตื่นแล้ว จึงปรับประยุกต์ใช้ศีล ตามยุคตามสมัย / ใช้ตามระดับที่ตนสมาทานเข้าไว้ ได้อย่างเหมาะสม เป็นทางสายกลาง
มีศีล อยู่ในกาย วาจา ใจ
มีความดีอยู่เสมอ อย่างบริสุทธิ์ผุดผ่อง
แต่ถ้าเราเป็นปุถุชนธรรมดา หรือยังไม่เข้าถึงความเป็นองค์พระอรหันต์ เราก็ยังคงดูศีลเหล่านั้นไปเรื่อยๆ.. จนกว่าเราจะเป็นคนที่ดีแล้วอย่างแท้จริง คือ เป็นองค์พระอรหันต์ *
/ เราจึงค่อยผ่อนศีลภายนอกเหล่านั้น..ออกไป
/ เราจึงค่อยมีศีลเหล่านั้น อยู่ในจิตใจของเรา โดยเป็นปรกติ
เป็นผู้รู้แจ้งโลก ทำสรรพสิ่งได้ อย่างมีเหตุและผล
ทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ ตามความเหมาะสม - ตามผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ตามปรกติของท่านทั้งหลายเหล่านั้น.. ที่เป็น *องค์พระอรหันต์*
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง นะเจ้าคะ
วันนี้ ลูกคงต้องกราบลาก่อน เจ้าค่ะ..
สาธุ