"หลักธรรมที่แท้จริงนั้นคือ จิต ให้กำหนดดูจิต ให้เข้าใจจิตตัวเองให้ลึกซึ้ง
เมื่อเข้าใจจิตตัวเองได้ลึกซึ้งแล้ว นั่นแหละได้แล้วซึ่ง หลักธรรม
เวลาภาวนาอย่าส่งจิตออกนอก ความรู้อะไรทั้งหลายทั้งปวงอย่าไปยึด
ความรู้ที่เราเรียนจากตำรับตำรา หรือกับครูบาอาจารย์ อย่าเอามายุ่งเลย ให้ตัดอารมณ์ออกให้หมด
แล้วเวลาภาวนาก็ให้มันรู้ รู้จากจิตของเรานั่นแหละ เมื่อจิตของเราสงบ เราจะรู้เอง
ต้องภาวนา ให้มากๆ เข้า เวลามันจะเป็น จะเป็นของมันเอง แล้วก็ความรู้อะไรๆ ให้มันออกจากจิตของเรา
ความรู้ที่ออกจากจิตที่สงบนั่นแหละ เป็นความรู้ที่ลึกซึ้งถึงที่สุด"
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
ความรู้สึกตัว
"...สำหรับผู้ปฎิบัติแล้ว มันก็มีเท่านี้ มีแต่ความรู้สึกตัว มีแต่หลง
พอทำลงไปมันก็มีเท่านี้ จริงๆเราเจตนาจะสร้างความรู้สึกตัว อ้าว ! ความหลงก็เกิดขึ้น
ความรู้สึกตัวตรงกันข้ามกับความหลง ถ้ารู้สึกตัว ความหลงก็ต้องไม่มีอะไร
ไม่ได้สู้รบตบมือกับความหลง เหมือนเราไล่ยุงด้วยช้ำไป ยุงกัด
เราต้องมีมือมาไล่ ต้องมีผ้ามาห่ม ต้องนอนในมุ้ง ต้องสร้างบ้านติดมุ้งลวด
นับประสาอะไรกับความหลง มันก็ไม่ขี่ช้างขี่ม้ามา ไม่ได้ใหญ่โตอะไร
เพียงแต่เรารู้สึกตัว ความรู้ตัวหาได้ไม่ยาก เอากายนี่เเหละเป็นวัสดุอุปกรณ์
ส่วนไหนก็ได้ที่จะทำให้เกิดความรู้สึกตัวขึ้นมา นี่เป็นการกระทำ ไม่ใช่ไปเอาเหตุเอาผล
ไปเอาความยาก ความง่าย เอาทิ้งเข้าป่าไปเลยความยากความง่าย เรามีการกระทำ เกิดจากการกระทำ...
หลวงพ่อคำเขียน สุวณฺโณ
173. “ธรรมจักร” คือ มหาสติปัฏฐาน ๔..
“จิต” เป็นผู้เข้าไปรับรู้ เสพอารมณ์ เมื่อจิตเข้าไปรับรู้...ก็จะมีการปรุงแต่งการรับรู้..เพื่อให้การรับรู้ชัดเจนขึ้น เครื่องปรุงแต่งจิต เรียกว่า “เจตสิก” ปรุงแต่งเข้าเป็น สังขาร ขึ้นมา ผลสุดท้ายจึงได้ออกมาเป็น “นาม”
..**..อนึ่ง นามนี้ไม่ใช่จิต แต่เป็นผล จากจิต, เจตสิก และรูป ร่วมกันปรุงแต่งขึ้นมา เมื่อ “รูป” รส กลิ่น เสียง รสสัมผัส ผัสสะเข้า ณ อายตนะใดอายตนะหนึ่ง จึงเกิด “นาม” และ “นาม” เกิดการวนรอบนอก และวนรอบใน ที่เข้ามากระทบใจ แล้วกลับมารู้ที่ใจ
กระบวนการหมุนวน เรียกว่า “จักร” เหมือนจักรเฟืองที่หมุนวนรอบ เมื่อจิตหมุนวน ธรรมอยู่ในจิต..ย่อมหมุนตามไปด้วย เรียก “ธรรมจักร” ..หมุนเพื่อสลัดกิเลสที่ปรุงแต่งรอบๆจิตให้กระเด็นหายไป .. จึงเหลือแต่จิตบริสุทธิ์ดังเดิม ดุจคำว่า..”ไกลจากกิเลส” ..นั่นเอง
//....ในสติปัฏฐาน๔ ทั่วไป จะไม่มีการวนรอบ ใช้แต่สติตามดู เป็นอนุสติ..ตามรู้จิตอย่างเดียว อาจเกิดการ “ติดใน” (รู้ในจิต ไม่รู้ ภายนอก) ส่วน ที่ดูแต่ธรรมข้างนอก ก็มัก “ติดนอก” อย่างเดียว รู้ไม่เท่าทันจิตภายใน แต่” ธรรมจักร “มีทั้งนอกและใน ทั้งจิตและธรรม จนเข้าถึงอุเบกขาเวทนา ละการยึดมั่นในกาย แล้วยังละ เวทนา, จิต และธรรม ด้วย รวมเป็น “มหาสติปัฏฐาน๔” .มากกว่าอนุสติ
+… อายตนะ ๖ ตา หู จมูก ลิ้น ผิวกาย และสัมผัสทางใจ ทำให้เกิดความหวั่นไหว และเกิดกิเลส เมื่อ รูปกระทบอายตนะทำให้เกิดผัสสะ .จิตดวงแรกจะเข้ามารับรู้ก่อน เรียกว่า “มโนธาตุ” การรับรู้นี้ไม่ชัด จึงปรุงแต่งด้วย “วิญญาณขันธ์” หรือกระแสจิตที่เพิ่มเข้ามา ให้เกิดความรับรู้ชัดขึ้น หยาบขึ้น เรียกว่า “มโนวิญญาณธาตุ” จากนั้น จะมีการปรุงแต่ง ของ เจตสิก อาการปรุงแต่งนี้ รวมเรียกว่า “อภิสังขารมาร” ทำให้เกิด “สังขาร” ขึ้น จิตที่ผสมเจตสิกและรูปที่มากระทบ จึงกลายเป็น “นาม” เมื่อจิตเสพอารมณ์ ทำให้เกิด “เวทนา” สุข, ทุกข์ หรือเฉยๆ
***.....เมื่อตัดวงจร..อภิสังขารมาร สังขารก็ไม่เกิด นามก็ดับ (เพราะขาดเจตสิกมาปรุงแต่ง) รูปก็ดับไป (ตามธรรมชาติของรูปที่เกิดเองแล้วก็ดับไปเอง) ดังนี้ สุขและทุกข์ก็ไม่เกิด เรียกว่า “อุเบกขา” การตัดกิเลส ณ จุดผัสสะอายตนะหกทันควันคือเอกลักษณ์ของธรรมจักร
"...คนไม่เห็นความคิดตัวเอง ไปเห็นพระพุทธรูป
เห็นสี-เห็นแสง เห็นเทวดา
ล้วนไม่เห็นความคิดทั้งนั้น มันเป็นมายา
ตามที่ผมปฏิบัติมาครับ
เมื่อมาเห็นความคิด-เข้าใจความคิด-สัมผัสความคิดได้ดี
มันคิดอะไรก็รู้ มันเห็น-มันเข้าใจ
เรื่องเล็ก ๆ เท่านั้นเอง แต่คนไม่เข้าใจ
คำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมด ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
พระสูตร-พระวินัย-พระอภิธรรม
รวมความมาแล้ว อยู่ที่กาย-วาจา-ใจ
ถ้าพูดง่าย ๆ นะ
ดูใจ...เรื่องดูใจเป็นเรื่องสำคัญ *คิดปุ๊บ-เห็นปั๊บ*
ผมเลยเปรียบกับนักมวย ขึ้นเวทีไม่ต้องไหว้ครู
คู่ต่อสู้มาปั๊บ ชกใส่ลูกตานั่นเลย-ใส่ลูกตา
แล้วคู่ต่อสู้มันลืมตาไม่ขึ้น มันล้มเลย
อันนี้ก็เหมือนกัน *คิดปุ๊บ-เห็น มันก็หยุดเลย*
ถ้าขึ้นไปบนเวที(แล้ว)ว่าแต่ตัวเองเก่ง ชกไปเท่าไหร่ก็ไม่ถูก
มีแต่โดนเขาชกเอา-น๊อคเอา เรามีแต่ล้มเอา ๆ ทุกครั้ง
ผลที่สุดก็แพ้...แพ้ คือกลัว
ฝึกหัดธรรมะ ต้องฝึกกับคู่ต่อสู้
ไม่ใช่ต่อสู้กับคนภายนอก ต่อสู้กับความคิด
พอมันคิด...ก็เออมันคิดมาแล้ว รู้-เข้าใจ-สัมผัสได้
ความคิดมันถูกหยุดทันที
รู้ความคิด...มันหยุดแล้ว มันก็ไม่ถูกปรุงแล้ว
ถ้าปรุง นั่นเรียกว่า 'สังขารปรุงแต่ง'
สังขาร คือปรุงรูปกายนี่อันหนึ่ง...อันนี้มันเป็นส่วนนอก
สังขารปรุงความคิด นี่ปรุงแต่ง
มันแต่งให้ทุกข์-ให้สุข ให้ดี-ให้ชั่ว มันพูดอยู่คนเดียว
ถ้าเราไม่เห็นมัน มันก็เข้าไปในความคิด
'เข้าไปแล้ว ออกไม่เป็น...ทุกข์อยู่ตลอดเวลา'
เหมือนกับคนเข้าถ้ำ-เข้าถ้ำนี่ นึกว่าตัวเองเห็นถ้ำ
นี่ไม่เห็น เพราะอยู่ในถ้ำ...มันมืดตื๋อ
ออกมานอกถ้ำถึงเห็น เห็นปากถ้ำ-เห็นในถ้ำ
นี่เราออกมานอกความคิด
พอมันคิด เราออกนอกความคิดเลย
ให้เอาสติหรือปัญญาดูความคิด
เห็น-รู้ เข้าใจ...ความคิดถูกหยุดเลยทันที
อันนี้พูดให้ฟัง ให้รู้จำ-รู้จัก...คือ *ให้ดูคิด*
'รู้แจ้ง' คือ 'เรารู้เอง'
'รู้จริง' คือ 'เรารู้เห็น'
ท่านจึงพูดว่า 'สันทิฏฐิโก-อันผู้รู้จะพึงเห็นเอง'
'อะกาลิโก-ไม่ประกอบกาลและเวลา'
จะเป็นยุคใด สมัยใด ก็เป็นอยู่อย่างนั้น
มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ มันก็เป็นอยู่อย่างนั้น
ไม่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ มันก็เป็นอยู่อย่างนั้น
ขอให้มีคน...ถ้าเป็นคนแล้ว มันคิดด้วยกันหมด
พระเณรก็คิดเหมือนกัน ญาติโยมก็คิดเหมือนกัน
คนไทย-คนจีนคิดเหมือนหมดทั้งนั้น เรื่องความคิดไม่ผิดกัน
อันนี้จึงว่า 'ธรรมะมีอยู่ก่อนพระพุทธเจ้า แต่ไม่มีคนมาค้น-มาเห็น'
เมื่อมีคนมีปัญญามาพบ-มาเห็น
ไม่ใช่ปัญญาศึกษาเล่าเรียนพระไตรปิฎกจบ ไม่ใช่ปัญญาอันนั้นแน่ ๆ
มีพระบางองค์เรียนจบปริญญาเอกหลาย ๆ แขนง แต่ทุกข์เกือบตาย
อันนั้นไม่ใช่ปัญญาแก้ทุกข์
ปัญญาแก้ทุกข์ไม่มาก น้อย ๆ
*พอมันคิดมา ก็รู้*
รู้เท่า-รู้ทัน รู้จักกัน-รู้จักแก้ เอาชนะมันได้
เหมือนนักมวยขึ้นเวทีแล้ว ไม่ต้องไหว้ครู
ไม่ต้องไปควานหาพระไตรปิฎก ว่ามันอยู่ในสูตรใดหนอ
หน้าไหนหนอ-ย่อหน้าไหนหนอ ไม่ต้องไปหาจริง ๆ เรื่องนี้
นี่คือยอดของบุญจริง ๆ นี่ยอดของความไม่มีทุกข์จริง ๆ
บุญคืออะไร ? 'บุญคือรู้ตัวเรา'นี่แหละ
*บุญมากที่สุด คือรู้ตัวเรา-รู้จักความคิดของเรา*
บุญมากที่สุด
*บาปมากที่สุดคืออะไร ?
คือคนลืมตัวนี่แหละ คนไม่เห็นความคิดตัวเองนี่แหละ
ทำไมว่าบาปมากที่สุด ? ก็มันทุกข์*
'ทุกข์' กับ 'บาป' มันก็ตัวเดียวกันนั่นแหละ
'บุญ' กับ 'ไม่มีทุกข์' ก็อันเดียวกัน
อย่าไปมัวหาสวรรค์อยู่บนฟ้า อย่าไปหานิพพานอยู่บนฟ้า
อย่าไปหามัน นรกใต้ดินก็อย่าไปหา
ท่านสอนให้แก้ที่ปัจจุบันนี่
พระพุทธเจ้าท่านสอน 'อดีตที่ผ่านไปแล้ว อย่าไปสนใจมัน
อนาคตยังมาไม่ถึง อย่าไปสนใจมัน'
*แก้ปัจจุบันนี่*
เมื่อปัจจุบันเป็นอย่างไร อนาคตก็เป็นอย่างนั้น
เมื่อมันแก้แล้วหายไปได้
ถ้ามันผิดก็อย่านำไปปฏิบัติ
'ถ้ามันถูกก็เอาไปปฏิบัติ เพราะมันแก้ไขตัวเองได้
เมื่อแก้ไขตัวเองได้แล้ว ก็ไปบอกผู้อื่นต่อ'
หากไม่มีทุกข์ ไม่ต้องปฏิบัติธรรมก็ได้
ไม่ว่าศาสนาไหนก็ปฏิบัติได้หมด ไม่ยกเว้น
ไม่ใช่คนถือศาสนาพุทธแล้วถึงปฏิบัติได้
ถือศาสนาคริสต์แล้วปฏิบัติไม่ได้
ถือศาสนาคริสต์แล้วปฏิบัติได้
ถือศาสนาพุทธแล้วปฏิบัติไม่ได้
นรกมีหมด
คนถือศาสนาพุทธก็มีนรก
คนถือศาสนาคริสต์ก็มีนรก
คนถือศาสนาอิสลามก็มีนรก
ศาสนาฮินดูก็มีนรก
ถ้านรกมีแต่ศาสนาพุทธ จะไปนับถือมันทำไมศาสนาพุทธ
ก็ไปถือศาสนาคริสต์ที่ไม่มีนรกนะซิ ไปถือศาสนาอิสลามโน่นสิ
ไปถือศาสนาพราหมณ์ ศาสนาฮินดูโน้นสิ
เขาอยากไปตกนรกหรือเปล่า ?
เขาไม่อยากตกนรก จะไปถือมันทำไมศาสนาพุทธ
แต่ถ้ามีนรกแต่ศาสนาคริสต์
เราก็ทิ้งศาสนาคริสต์ซะ มันก็แล้วกันเท่านั้น
อันนี้แหละ เราไม่เข้าใจเรื่องพุทธศาสนา
'พุทธะ' แปลว่า 'ผู้รู้-ผู้ตื่น-ผู้เบิกบาน'
'ศาสนา' แปลว่า 'คำสอนของคน-คนผู้รู้'
ศาสนา...ไม่ใช่พุทธศาสนานะ ฟังให้เป็น
คนรู้เรื่องไหว้ผี เรียกว่าศาสนาผี
ศาสนาพราหมณ์-ฤกษ์งามยามดี อันนั้นเป็นศาสนาพราหมณ์
คนรู้เรื่องอันใด เขาอันนั้นมาสอน
เรียกว่าศาสนา (คือ)คำสอนของท่านผู้รู้ ..."
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
วิธีดูจิต
"รู้ทันอยู่ที่จิต
อย่างนี้เรียกว่าดูจิต
ดูจิตไม่ใช่นั่งเฝ้าจิตให้จิตนิ่งๆ
แต่ดูจิตก็คือ ดูความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับจิตใจ
ดูความรู้สึก ดูความปรุงแต่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับจิตใจ
บางทีก็ปรุงสุข บางทีก็ปรุงทุกข์
บางทีก็ปรุงดี บางทีก็ปรุงชั่ว
แล้วความปรุงแต่งทุกชนิดนั้น
จะสอนธรรมะเรา
ว่าสิ่งใดเกิด สิ่งนั้นดับ"
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แสดงธรรมที่วัดสวนสันติธรรม 20 เมษายน
ประเด็นที่สําคัญที่สุด ให้รู้จักความรู้สึกตัวแท้ๆ ให้ได้ก่อนว่าเป็นอย่างไร เมื่อ รู้ได้ว่าอะไรเป็นความรู้สึกตัวแท้ๆแล้ว เพียงแค่หมั่นสังเกตุเห็นความรู้สึกตัว จะเห็นในอริยาบทใดก็ได้
" ความรู้สึกตัวแท้ๆ คือ ความรู้สึกที่เกิดแว๊บแรกเวลาเรา โดนสัมผัส เช่น โดนลมพัดผ่านกาย เรารู้สึกถึง ตรงที่รู้สึก นี้หล่ะคือความรู้สึกตัวแท้ๆ
การขยับกาย ช่วยให้เราเห็นความรู้สึกตัวได้ชัด แต่การขยับกายไม่ใช่ความรู้สึกตัว
การหายใจ แล้วเรา รู้สึกถึงลม ตรงที่รู้สึก เป็นการเจริญสติปัฏฐานสี่ หรือ อานาปานสติ แล้ว
" แค่ หมั่น รู้สึกตัว "
ลองหายใจดู แล้ว สังเกตุดูนะ รู้สึกไหม ตรงที่รู้สึกนี้หล่ะ คือความรู้สึกตัว
แค่ รู้สึก อย่าไปปรุงแต่ง ไม่ไปดักรู้ ไม่ไปกําหนดรู้ มันจะเป็นการไปปรุงแต่งความรู้สึกเทียมๆขึ้นมา กลายเป็นคิดรู้สึก
แค่ รู้สึก สบายๆ
อย่าไปให้ความหมายมันด้วย แค่รู้สึก มันจะไม่มีความหมาย ที่มีความหมายเป็นคําพูดขึ้นมา เช่น ร้อนเย็น ยาวสั้น ตรงนั้นไม่ใช่แล้ว
แค่ รู้สึก แว๊ปแรก มันไม่มีความหมาย ไม่มีคําพูด
อย่าไปพยายามจับอะไร
เราหายใจอยู่แล้ว เราแค่รู้สึก ที่เราหายใจ แค่นั้น สั้นๆ เบาๆ สบายๆ
ลมพัดโดนกาย รู้สึกไหม ตรงที่ลมโดนกาย รู้สึกตัว แค่นี้ แว๊บเดียว
ไม่มีความหมายใดๆ ถ้ามีความหมาย มันไปคิดปรุงแล้ว
แค่เริ่มคิด ก็ไม่ใช่ความรู้สึกตัวแล้ว
แค่ รู้สึก สบายๆ ไม่ไปปรุงแต่งอะไร นี้หล่ะ เจริญมรรคที่ใจ เพราะ มันง่ายแค่ไม่ต้องทําอะไร คนเลยมองข้าม เข้าไปทํา เข้าไปปรุง จนเลยจากการเห็นความจริงกันไปหมด มรรคเจริญที่ใจ ไม่ใช่สมอง เมื่อเริ่มปรุงความคิดขึ้น ก็ไม่รู้สึกตัวแล้ว เรามาฝึกรู้สึกตัว ไม่ใช่ฝึกใช้ความคิด เราคิดมาตลอดชีวิตแล้ว มันไม่ได้ช่วยให้หลุดพ้นจากทุกข์เลย เพราะกระบวนการคิดเป็นกระบวนการให้ค่า เริ่มให้ค่า เริ่มให้ความหมาย เกิด สัญญา สังขาร เกิดเป็นตัวตนเราขึ้นมา ตัวตนเราเกิดเมื่อไหร่ ทุกข์เกิดเมื่อนั้น
Trader Hunter พบธรรม
การดูจิตคือ การรู้ว่าจิตขยับ โดยการ"ดู"ผ่านความคิดอารมณ์
วิธีดูนั้นให้ รู้สึกถึงหรือ รับรู้ แค่ อารมณ์ความคิดเกิด รู้แค่ว่ามันเกิดพอ ไม่ต้องเข้าไปรู้ว่าเป็นอารมณ์ความคิดอะไร รัก โลภ โกรธ หลง ชั่งมัน ไม่ต้องไปรู้ แค่รู้ว่าเกิด " รู้สึกตัว " พอ เพราะไม่ว่าอารมณ์หรือความคิดอะไรก็ตาม ล้วนเป็นอย่างเดียวกัน สุดท้ายก็"ดับ" หากเราไม่เข้าไปยึดถือ
ส่วนการตามเข้าไปรู้ว่าเป็นอารมณ์ความคิดอะไร ไปตามรู้ตามดู แบบตามดูไปเรื่อยๆกับความคิดอารมณ์นั้นๆ มันจะเป็นการไหลไปตามอารณ์ความคิด ก่อเป็นภพ แช่อยู่ในสิ่งนั้นไปแล้ว
ดังนั้นการดูจิตที่ดี จึงควรใช้ฐานกายเป็นฐานที่ตั้งของจิต เพื่อไม่ให้ไหลไปตามอารมณ์ความคิด โดยให้จิตตั้งมั่นอยู่กับกาย ใช้ ลมหายใจ เป็นฐานกายได้เหมือนกัน โดยรู้สึกตัวกับลมหายใจ ทําบ่อยจิตจะรวมตั้งมั่นขึ้นมา
“…พอดีเรารู้จักเรื่อง ‘นามรูป’ แล้ว
เราจะรู้จักว่า ‘วัตถุทั้งหลายที่มองเห็นด้วยตา จับถูกด้วยมือ
มันเป็นอาการชนิดหนึ่ง
เช่น บ้านเรือนก็มีการผุพัง เปลี่ยนแปลงได้’
บัดนี้วัตถุอันนี้เป็นวัตถุชนิดหนึ่ง ซึ่งมันมีจริง
'วัตถุ 'แปลว่า 'มีจริง'
มีจริง ๆ เห็นจริง ๆ รู้จริง ๆ เข้าใจจริง ๆ
'วัตถ'ุ หมายถึง 'ของจริงที่มีอยู่ มีอยู่หมดทุกคน
อันนี้ชื่อว่าการเขย่าธาตุรู้ของบุคคล มีอยู่แล้วทุก ๆ คน
แต่เมื่อเราไม่เห็นนั้น ชื่อว่า‘เราไม่มี-เราไม่เข้าใจ’
แต่ความจริงมันมีอยู่แล้ว
เมื่อเราดูอยู่นี้แหละ
เราเห็น ‘อ้อ ! วัตถุหมายถึงตัวจริง จิตใจหรือว่าชีวิตก็ตาม’
'ปรมัตถ์' (หมายถึง)'เรากำลังเห็นความมีอยู่-เป็นอยู่นี้แหละ'
มันคิดขึ้นมา ‘อ้อ ! อาการเปลี่ยนแปลงของมันเป็นอย่างนั้น’
ประเดี๋ยวมันคิดเรื่องนั้นขึ้นมา อันนี้เป็น‘อาการ’ของความคิด
‘เอ้อ ! เป็นวัตถุ-เป็นปรมัตถ์-เป็นอาการชนิดหนึ่ง’
เมื่อเห็นอยู่อย่างนี้แหละ เรียกว่า ‘เราเห็นธรรมชนิดหนึ่ง’
'เห็นธรรมแบบนี้เพื่อไปปราบความโลภ-โกรธ-หลงให้หมดไป'
มรรค
'มรรค เป็นข้อปฏิบัติเพื่อให้ถึงความดับทุกข์'
‘มรรค’ คือ 'เราเอาสติมาคอยดูความคิด'...เป็นข้อปฏิบัติ
คือ เราปฏิบัติอะไรก็ได้(ทำอะไรอยู่ก็ตาม) คอยดูอยู่อย่างนี้
ไม่ใช่เอามือปฏิบัติ มือนี้ต้องทำการงานตามหน้าที่ของเรา
*แต่ใจนั้น เราต้องคอยดูตัวความคิด*
‘มรรคจึงเป็นข้อปฏิบัติเพื่อให้ถึงความดับทุกข์’
เมื่อเราเห็นสมุฏฐานของมัน
เรียกว่า(ต้อง)สมมติอีก
คนที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง ไม่เคยรู้-เห็น และไม่เคยได้ปฏิบัติ
จะไม่รู้เลย
เราต้องมาว่าสมมติ-อุปมา หรือเปรียบเทียบให้ฟังอีก
สมมติคนไม่เคยเห็นวิธีใช้ไฟฟ้า ไปเปิดไฟ
เขาไม่รู้จักวิธีเปิดไฟ เขาก็ไปจับเอาหลอด(ไฟ)
ไปหมุน ๆ อยู่อย่างนั้น
หมุนจนตาย หลอดไฟก็ไม่สว่าง
ตอนนี้ต้องดูให้มันแน่นอนลงไป
(หลอดไฟ)มันไม่ติด
เพราะไม่ใช่สมุฏฐานต้นกำเนิดของไฟอยู่ที่นั่น
คนนั้นเรียกว่า‘ไม่รู้จักสมุฏฐานของความคิด’
จึงคิดว่า โมหะ-โลภะ-โทสะมีอยู่เป็นประจำ
พวกนี้จึงว่าไปอย่างนี้
แต่ความจริง
คนที่จะรู้ว่า โมหะ-โลภะ-โทสะไม่มี เพราะว่าเราเห็น
บัดนี้ถึงเวลาแล้ว จะไปติดความสว่าง
(หลอดไฟจะติด, หลอดไฟจะสว่าง)
เราไม่ต้องจับหลอดไฟ ไปจับ(ที่)สวิทซ์ไฟ
มันก็ทำความสว่างที่หลอด(ไฟ)โน้น
อันนี้ก็เหมือนกัน
ความจริงแล้วเราไม่ต้องไปว่ามัน
'ความโกรธ-ความโลภ-ความหลงมันไม่มี แต่ขอให้เรามีสติ'
เมื่อเรามีสติคอยดูจิตใจอยู่
อันตัวสตินี้มันมีอยู่แล้ว
มันมีความตรงกันข้ามอยู่อย่างนี้
'เมื่อเรามีสติคอยระมัดระวัง ดูจิตดูใจอยู่
ความจริงแล้วความหลงไม่มี'
เมื่อความหลงไม่มี โทสะจะเกิดขึ้นอย่างไร ?
เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะมีสติคุมอยู่แล้ว
(เมื่อความหลงไม่มี) โลภะจะเกิดมาในรูปใด ?
มาไม่ได้ เพราะปัญญารอบรู้อยู่แล้ว
อันนี้เราเห็นสมุฏฐาน
ต้องปฏิบัติอย่างนี้
เมื่อปฏิบัติอย่างนี้ เราต้องคอยดู-ดูมันอย่างนี้แหละ
มันจะเกิดปัญญาแว๊บขึ้นมา
มันจะเกิดความดีใจ ไม่ใช่ใจดีนะ...ดีใจ
แล้วภูมิใจว่าตัวเองรู้ธรรม-เห็นธรรม-เข้าใจธรรมอย่างซาบซึ้ง
ปราบความหลงผิดได้แล้ว
(ตอนนี้จะ)เกิดปิติ
อันปิติอันนี้ มันจะมาชักชวนให้เราลืม
ลืมต้นเหตุสมุฏฐานของความคิด
เมื่อเราไปติดปิติแล้ว เราลืม
อันนี้ชื่อว่า‘ถูกน้อย’ เพราะมันจะไปติดตัวปิติ-ความสุขนั้น
มันจะปราบความหลงไม่ได้
ตัวนี้มันยังเป็นการเอาหินทับหญ้าอยู่…”
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
"จิต มันยังไม่ยอมอยู่กับเจ้าของ จิตไม่มีสมาธิก็ย่อม "ไม่อิ่ม" ไม่พอ จึงมีแนวโน้ม แล่นไป ตามความอยาก ดูแต่ที่ชอบใจ ดูจิตอย่างนี้ แล้วจะยังไงต่อละ มันไม่ได้ดู เพื่อปล่อย เพื่อวาง
.
ให้ทำความสงบเข้ามา ให้ภาวนานะ เรามีดีของเรา อยู่ข้างในนั้นอยู่แล้ว เข้าใจไหม
ต้องมีต้นทุน ต้องทำต้นทุน ขึ้นมาก่อนนะ
.
นักปฏิบัติสมัยนี้ ไม่ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า จะเอาแต่ ปัญญาๆ ท่านอัญญาโกณทัญญะ ท่านฟังธรรม บรรลุธรรม ก็เพราะ ท่านมีทุนเดิม คือ ศีล สมาธิ ที่มากพอแล้ว ไม่ใช่ไม่มี หรือ ไม่ต้องใช้..."
หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร
ลีลาของจิตไหล
"ลีลาของการไหลนี่เยอะแยะมากเลย
แต่มันมี ๒ กลุ่มใหญ่ๆ
อันหนึ่งไหลไปจมแช่
อยู่ในอารมณ์กรรมฐาน อันนี้คือการเพ่ง
อีกอันหนึ่ง ไหลไปอยู่ในโลกของความคิด
อันนี้คือการเผลอ
เพราะฉะนั้นสมาธิที่ถูกต้อง
คือไม่เผลอ ไม่เพ่ง รู้ทันจิตตนเองอยู่
ทุกวันต้องทำให้ชำนิชำนาญ
พอจิตเคลื่อนไปอยู่กับกรรมฐาน รู้
จิตเคลื่อนไปอยู่ในความคิด รู้
ทุกวันต้องฝึกต้องซ้อม .. ไม่ฝึกไม่ซ้อม
ออกมาอยู่กับชีวิตจริงจะมาบอก
ว่าเจริญสติในชีวิตประจำวัน ทำไม่ได้จริง"
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
จิต คือ ผู้รู้
มีผู้ถามว่า การที่จิตวิ่งออกมาไปจับตัวที่ถูกรู้ อาการเช่นนี้ ปฏิบัติได้หรือไม่?
ในการปฏิบัตินั้น หากจิตมีการเคลื่อนออกมา นั้นคือ จิตวิ่งออกมาจากฐานมาเสวยอารมณ์อันเนื่องมาจากเผลอ สติไม่ทัน แบบนี้ละที่สายดูจิตอื่นพลาดไป เพราะไปตามอารมณ์แล้ว คิดว่านั้นคือการดูจิต
แต่ที่ถูกต้องแล้วหลวงพ่อ
ท่านมีปกติสอนเสมอๆว่า จิตที่จะข้ามภพข้ามชาติได้นั้น จะต้องเป็นจิตหนึ่ง กล่าวคือ "มีตัวรู้อยู่เป็นหนึ่งในอารมณ์เดียว ไม่เป็นสอง"
ปกติของปุถุชน มักจิตส่งออกนอก โดยไม่เคยรู้เนื้อรู้ตัวเลย แต่ผู้ที่ปฏิบัติมาบ้าง มักเผลอสติ ส่งจิตออกนอกโดยไม่ตั้งใจ เนื่องมาจากความไม่รู้นั่นเอง
แท้จริงแล้ว สิ่งที่ถูกรู้นั้น เป็นผลสืบเนื่องมาจากการเผลอสติ ทั้งแบบตั้งใจและไม่ตั้งใจ
นักปฏิบัติโดยมากมักขาดสติ จึงนิยมไปตามสิ่งที่ถูกรู้ จนลืมตัวผู้รู้
แต่ในทางการปฏิบัตินั้น หลวงพ่อเยื้อนท่านสอนลงรายละเอียดมากยิ่งกว่านั้น
กล่าวคือ ทั้งตัวรู้ และถูกรู้ ก็ไม่หมายเอาทั้งคู่
เพราะ ทั้งสองสิ่งนี้ ขนสัตว์โลก พาเวียนเกิดเวียนตายมาแล้ว นับภพนับชาติไม่ได้
ธรรมข้อนี้ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล เคยสอนแบบพิสดารว่า...
“ท่านเห็นกระจกไหม (หลวงพ่อ ตอบว่า เห็นครับ)
ท่านเห็นตัวที่อยู่ในกระจกไหม (หลวงพ่อ ตอบว่า เห็นครับ)
หลวงปู้ดูลย์ สรุปความเลยว่า ทั้งตัวที่เห็น และตัวที่ถูกเห็นในกระจกนี่ละตัวเกิด
นิพพาน อยู่ตรงกลาง ระหว่าง ตัว"รู้" กับ ตัว "ถูกรู้" นั่นละ”
ดังนั้น สิ่งที่ผู้สนใจปฏิบัติพึงมี คือ ควรพยายามทำจิตให้เป็นหนึ่ง(เอกัคคตารมณ์) ก่อนอันดับแรก เพื่อไม่หลงไหลไปตามสิ่งที่ถูกรู้
ปฏิบัติให้รู้จน"มีสติเกิดขึ้นกับตัวรู้"จนเด่นชัดด้วยอำนาจของ"สติ"
กล่าวสรุปคือ...“หาก"ผู้รู้"อยู่ไหน ก็ให้"มีสติ"ตามไปที่นั้น”
เมื่อถึงตรงนี้แล้ว ผู้ปฏิบัติจะพบทางว่า การเรียนรู้จากตัวจิต คือการเรียนรู้จากผู้รู้นี่เอง
เป็นการเรียนลงไปในสิ่งที่เป็นสัจจะ คือของจริงที่มีประจำโลก ไม่เคยหายไปไหน
ทั้งพระพุทธเจ้า และหมู่สัตว์ก็มีของจริง คือ จิตดวงนี้เสมอเหมือนกันทุกนาม
การเรียนจากของจริงเช่นว่านั้น ไม่ใช่เรียนจากสิ่งจิตปรุงหลอก หรือที่บางท่านเรียกว่า เงาของจิตนั่นเอง
เมื่อถึงตรงนี้แล้ว ท่านผู้ปฏิบัติจะค้นพบสัจธรรมอันเป็นความจริงได้เองว่า
ผู้รู้ก็คือ จิต นั่นเอง
ผู้รู้อยู่ที่ใด นั่นก็เรียกได้ว่า จิตก็อยู่ที่นั้นละ
หากเมื่อผุ้ปฏิบัติสามารถเข้าถึง"จิตหนึ่ง"ได้แล้ว
ในขั้นนี้ จิตผู้รู้จะเริ่มทวนเข้าหาจิตเอง เนื่องจาก"อารมณ์" สังขาร สัญญา ภายนอกออกแล้ว
จิตจะสามารถ"แตกขันธ์" ออกได้เองว่า สิ่งใดเป็นจิต สิ่งใดเป็นสิ่งที่จิตปรุงขึ้น
แต่ขั้นนี้ เราอาจจะวางไม่ได้โดยเด็ดขาด เพราะจิตยังคงไม่มีกำลังในการพิจารณา และวางสิ่งเหล่านั้นลง
แต่จิตจะเริ่มทวนกระแสเข้าไปรับรู้สิ่งต่างๆ
โดย"สักแต่ว่า"รู้".."เห็น" แล้ว "วาง"
จิตนั้น จะเริ่มเป็นปัจจุบัน เพราะ จะ"วาง" สิ่งที่พะรุงพะรัง ไม่กลับ"หวนนึกถึงอดีต" และไม่มี"ความกังวลกับอนาคต"
แต่จิตจะดิ่งไปสู่ปัจจุบัน เฉพาะหน้าที่เกิดขึ้น
โดย"ไม่ยึดถือ"จิตจะ"วาง"เอง เพราะเห็นสิ่งที่เป็นจริงแล้ว สิ่งใดที่เป็นเงาของจิต เป็นอารมณ์ เป็นสัญญา เป็นสังขาร ที่รกรุงรัง จิตจะไม่ให้ความสนใจอีก
ดังนั้น ที่ว่าดูจิตๆ บางครั้งนักภาวนามักหลงเข้าไปดู
"อาการของจิต" เช่น รู้ว่าโกรธ รู้ว่าฟุ้งซ่าน รู้ว่าดีใจ เสียใจ สิ่งเหล่านี้คือ"ไปรู้สิ่งที่ถูกรู้ทั้งสิ้น ไม่ใช่จิต"
เหตุที่เราไปหลงดูเงาในกระจกแบบนี้ ก็เพราะขาดสตินั้นเอง
หากจะกล่าวโดยธรรมดา ก็อาจจะกล่าวได้ว่า จิตเกิดสามารถเกิดนอกฐานที่ตั้งจิตก็ได้ จะไปตั้งที่ไหนก็ได้
แต่เราไม่พึงปฏิบัติเช่นนั้น
เพราะ"จิตเป็นนามธรรม" จิตที่สามารถจรไป จรมา นั่นคือ จิตที่วุ่นวาย เร่ร่อน ไม่เป็นหลักเเหล่ง
จิตแบบนี้เองที่ไม่มีกำลัง ไม่สามารถสงบเป็นสมาธิได้
เมื่อไม่มีสมาธิเป็นฐาน ปัญญาก็ไม่เคยเกิด
เหตุที่ต้องสมมติฐานที่ตั้งของจิต ขึ้นมา ก็เพื่อให้ทราบตำแหน่งที่แน่นอนของจิตนั่นเอง
แต่เหตุที่เราต้องสร้างฐานให้จิตอยู่ทีเดิม ก็เหมือนกับสร้างบ้านให้จิตอยู่ ก็เป็นเสมือนฐานที่ตั้งให้จิตมั่นคง
เป็นการสร้างฐานกำลังของจิตที่เรียกว่าสมาธิ
เมื่อเรามีบ้านอยู่หลักแหล่งแล้ว เราจึงเรียกให้ยาม คือ "สติสัมปชัญญะ" นั่นครับมาเฝ้ารักษาบ้านเราได้
เมื่อจิตไม่เร่ร่อน จนมีความมั่นใจในความปลอดภัย เมื่อนั่น "จิตจะตั้งใจเอง"โดยไม่ต้องกำหนดใจให้เป็นสมาธิ
นี่คือ "สมาธิที่แท้จริง"
...สมาธิที่ต้องเข้าๆออกๆ ไม่ใช่สัมมาสมาธิ...
สัมมาสมาธิ เป็นสมาธิที่เกิดโดยธรรมชาติ ปราศจากความตั้งใจ แต่เป็นภาวะของจิตที่ตั้งมั่น มั่นคงด้วยสติ สติสัมปชัญญะ เป็นสมาธิโดยธรรมชาติ
เหตุผลง่ายๆของการระลึกฐานที่ตั้งของจิต ก็เพื่อ สมมติให้จิตมีที่อยู่ มีที่ตั้งแน่นอน และเป็นเครื่องหมายของการ
"กำหนดสติ" ของเราเท่านั้นเอง
เมื่อถึงขั้นนี้แล้ว จิตที่ตั้งมั่นอยุ่ในฐานที่ตั้งมั่นของจิต จิตจะมีสติกำหนดจิตอยู่ในฐานที่ตั้งดังกล่าว
หากผู้รับฟังสัมผัสทางหู หูก็จะรับหน้าที่รับเสียงไป แต่จิตอยู่ในฐานไม่ออกมารับ
หากตาเห็นรูป ตาก็มีหน้าที่รับภาพไป แต่จิตไม่ส่งออกมารับ
ผู้ปฏิบัติถึงขั้นนี้แล้ว จะค้นพบว่า "จิตมันเหมือนมีชีวิต"
อีกชีวิตหนึ่งที่ไม่ข้องกับร่างกาย ร่ายกายทำไร ๆ ทำไป
แต่ใจก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่สนใจ
เมื่อถึงตอนนี้เราจะแยกออกได้แล้วว่า"จิตนั้นมีหน้าที่รับรู้"
ส่วน"สังขาร"เค้าก็มีหน้าที่ปรุงแต่ง
"สัญญา"ก็มีหน้าที่จำได้หมายรู้ ทุกอย่างทำงานปกติ
แต่ไม่เกี่ยวข้องกับ"จิต" ต่างแยกหน้าที่กันทำ อยู่ด้วยกันแต่ไม่กระทบกัน
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ หากจะกล่าวการเริ่มต้น ก็คงไม่พ้นการกินน้ำเย็น ตามแบบฉบับของหลวงพ่อเยื้อน ขันติพโล
เพื่อให้นักปฏิบัติสามารถกำหนดฐานที่ตั้งของจิตให้ได้ แน่นหนามั่นคง จนกลายเป็น"จิตหนึ่ง"นั่นเอง
ส่วนที่เป็นรายละเอียดต่างๆ นั่น คือ ผลมาจากการที่ผู้รู้สอนเรานั่นเอง
อัศจรรย์ของจิต ที่พระพุทธเจ้าท่านสั่งท้าทายว่า ท่านจงลองมาดูเถิด นับเป็นเวลากว่า 2556 แล้ว บัดนี้ ยังคงทรงพุทธานุภาพไม่เสื่อมสลายไปตามกาล
ธรรมย่อมประจักษ์แจ้งแก่ผู้ลงมือปฏิบัติตตามมรรคผลเสมอ ไม่เสื่อมคลาย...
พระพิศาลศาสนกิจ (พระอาจารย์เยื้อน ขันติพโล)
เห็นจิต เห็น มันคิด
ตัวคิด เป็นตัวหนึ่ง
ตัวเคลื่อนไหว เป็นตัวหนึ่ง
ตัวสติ เป็นตัวเห็น
ความคิดมันใหญ่กว่ากาย
มันกลบเกลื่อนกาย
มันคิดขึ้นมา เราก็ดู
แล้วกลับมาที่ "กาย"
ซึ่งเป็นนิมิตที่เราสร้างขึ้น
กาย เคลื่อนไหว
แล้วก็กลับมาได้ด้วย
ไม่ใช่ไปนั่งเพ่งจ้อง
ไม่คิดอะไร มันไม่ใช่
แต่เรา ก็มีหลัก กลับมาได้
เป็นกรรมฐาน
หลวงพ่อคำเขียน สุวัณฺโณ
" การปฏิบัติของเรา
ก็คือ ให้มีสติควบคุมเสมอ
ในการ ยืน เดิน นั่ง นอน
ให้รู้ผิด ให้รู้จักถูก
อย่า ไปมองดูข้างนอก
มันจะลืมตัว มันจะไม่เห็นตัว
เราจะรัก อันนั้น เราจะรังเกียจ อันโน้น
เพราะจิตเรา เป็นเหตุ เป็นต้นตอ
ฉะนั้น...เราต้องดูจิต อันเดียวเท่านั้น
ถ้าเรารู้จัก มันเป็นอย่างนั้น."
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
" ให้มีแต่การภาวนา อย่างเดียว
อยู่ที่ไหน ให้ดูแต่จิตของเจ้าของ
มันเคลื่อนย้าย ปรุงแต่งเรื่องอะไร
สติ...ให้ติดตามตลอด
มันก็ไม่ดื้อด้านเอานักหนา ถ้าลงสติดีแล้ว
คิดอะไร ก็ดับ ๆ
ไม่ได้เกิดเรื่อง เกิดราว ไปเหมือนแต่ก่อนที่ไม่มีสติ
ให้พากันจดจำเอา อย่างนี้
การภาวนา เป็นของลำบาก
แต่เวลาถึงขั้นที่ดูดดื่มแล้ว มันไม่ได้คิดนะเวล่ำเวลา
มันดูดดื่มทางอรรถทางธรรม
เพื่อ...ความพ้นทุกข์แล้ว ดูดดื่มไปเรื่อย
เดินจงกรมสักเท่าไร จนจะก้าวขาไม่ออก
มันถึงจะออกจากทางจงกรม
คือ มันเพลินในการพิจารณาธรรมะ
ธรรมะนี้เป็นธรรมะอัตโนมัติ
มันหากหมุนเงื่อนนี้ต่อเงื่อนนั้น...เงื่อนนั้น ต่อเงื่อนนั้น
อยู่...อย่างนั้นละ เพื่อ...แก้กิเลส
หมุนไป หมุนมา แก้ไป แก้มา กิเลสมันจะมีอำนาจ
มาจากไหน มากยิ่งกว่า...สติปัญญา ไม่ลดละ
มัน ก็ค่อยหดตัวเข้ามา ๆ
ครั้นหดเข้ามาจริง ๆ แล้ว ก็มาอยู่ที่ อวิชฺชาปจฺจยา
ตีไปข้างหลังอวิชชา แตกด้วยแล้วนั่นละ
ท่านว่าบรรลุ หรือตรัสรู้ธรรม
บรรลุธรรม ตรัสรู้ที่ตรงนั้นแหละ."
(องค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย (เหตุให้เกิดทุกข์)
ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก เป็นทุกข์ (ผล คือ ทุกข์)
จิตเห็นจิต เป็นมรรค (เหตุ คือ ทางดับทุกข์)
ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิต เป็นนิโรธ (ผล คือ การดับทุกข์)
หลวงปู่ดูลย์ ท่านชี้ให้เห็นว่า เป็นเพราะจิตส่ายแส่ออกนอกกายและจิตไปในความคิดนี้เอง ทำให้เราไปยึดติดอยู่กับความคิด เป็นต้นเหตุให้เกิดทุกข์ หรือ สมุทัย นำไปสู่ผลคือทุกข์ แต่เมื่อจิตเห็นจิตอย่าง แจ่มแจ้ง นั่นคือ มีสติ เห็นจิตว่ากำลังคิดอะไรอยู่หรือกำลังสั่งกายให้พูดหรือทำอะไรอยู่ตลอดเวลา นั่นคือ มรรค หรือทางดับทุกข์ เป็นเหตุให้นำไปสู่ผล คือการดับทุกข์ หรือ นิโรธ เมื่อเข้าใจเช่นนี้จะทำให้ง่ายในการเข้าใจหลักธรรมและอริยสัจ 4 และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้สะดวก โดยการเฝ้าดูจิต ดูความคิด กล่าวคือ เป็นการฝึกสติ และความรู้สึกตัว ให้คอยสอดส่องดูจิตอยู่ตลอดเวลานั่นเอง ไม่ให้จิตไหลไปตามความคิด
หลวงปู่กล่าวสอนอยู่เสมอว่า
“อย่าส่งจิตออกนอก”
“จงหยุดคิดให้ได้”
“คิดเท่าไร ก็ไม่รู้ ต้องหยุดคิดให้ได้จึงรู้ แต่ต้องอาศัยความคิด นั่นแหละจึงรู้”
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
ทำไม? "มันเกิด" อยู่ไม่หยุด ๆ ๆ
"มันเกิด" มาจาก "จิต" อันเดียวนี้ มันเป็นมาตั้งแต่เกิด มันก็ยังเกิดไม่หมดเป็น
"ดู" ลงไปที่ "จิต" เพ่งเข้าไปที่ "จิต" เพ่งเข้าไป ๆๆๆ เพ่งเข้าไปหาจิต เพราะมันเกิดจาก "ที่นี่" ทั้งนั้น "ตัวหลง" ก็ "จิตตัวนี้" หลง
ทำไม "จิตจึงหลง" เพราะ "จิตไม่เห็นตัวจิต" ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันเกิดจาก "จิต" ตัวนี้
ถ้า "จิต" มันเห็น "จิต" ชัดแล้ว ความโลภ ความโกรธ ความหลง จะไม่มีในจิต เพราะ "ธรรมชาติจริงๆ" จะไม่มี ความโลภ ความโกรธ ความหลง
เพราะเรา "ไม่เห็นจิต" ของเรา
หลวงปู่ แบน ธนากโร.
วัดดอยธรรมเจดีย์ ม. 3 ตำบลตองโขบ กิ่งอ.โคกศรีสุพรรณ สกลนคร
ธาตุรู้ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
โวหารท่านอาจารย์ดูลย์ ท่านบอกว่า “จิตคือพุทธะ” ท่านพูดย่อๆ หมายความถึง “จิตคือพุทธะ” ไม่ใช่ “พุทธะคือสัมมาสัมพุทธะ”
“พุทธะ” ในที่นี้ หมายความถึง “จิตคือพุทธะ”
“พุทธะ” แปลว่า “ผู้รู้” แต่ไม่ใช่ “สัมมาสัมพุทธะ” ไม่ใช่สัพพัญญู
“พุทธะ” หมายความถึงจิต เมื่อจิตเป็นผู้คิดผู้นึก ผู้ปรุงผู้แต่งสารพัดทุกอย่างนั่นน่ะ อันนั้นน่ะมันจะรู้ขึ้นได้ เพราะความคิดความนึกความรู้สึกอะไรต่างๆสารพัดทุกอย่าง อันนั้นแหละ “จิตเป็นพุทธะ” ไม่ใช่สัมมาสัมพุทธะ สัมมาสัมพุทธะมีอีกอย่างหนึ่ง
ผมจึงตั้งสูตรใหม่ว่า “จิต” กับ “ใจ” มันคนละอย่างกัน ถ้าหากว่าเข้าถึงใจแล้ว ไม่มีความรู้สึกอื่น มีแต่ความเฉยอยู่ แต่ว่ารู้สึกว่าตัวเฉยอยู่ ไม่คิดไม่นึกไม่ปรุงไม่แต่ง อันนั้นแหละพุทธะ พุทธะตัวนั้น คือ “ความรู้” นั่นเอง หรือเรียกว่าธาตุรู้ สิ่งที่รู้ความรู้ต่างๆ นั้นมันเป็นสมมติบัญญัติไป ถ้าหากธาตุรู้แล้วถึงที่สุด ไม่มีอะไรพูดต่อไปอีก ถึงเรียกว่า ธาตุรู้ แต่ว่าธาตุรู้มันก็ยังเรียกว่าสมมติอยู่นั่นเอง สมมติให้รู้เรื่องกัน พูดให้เข้าใจกัน สิ่งทั้งปวงหมดไม่มีอะไร มีแต่ธาตุรู้เท่านั้น ถึงพระพุทธเจ้าท่านเสด็จปรินิพพาน ก็เรียกว่า นิพพานธาตุ สภาวะมันหากเกิดอยู่เป็นอยู่อย่างนั้น เรียกว่า สภาวะ เรียกว่า ธาตุรู้ พระนิพพานก็เรียกว่านิพพานธาตุ
ผมถึงเรียกสมมติอื่นว่า ธาตุรู้นั้นอันหนึ่ง และสิ่งที่ไปรู้นั้นอีกอันหนึ่ง ถ้าออกจากธาตุรู้นั้นแล้ว ไปรู้สิ่งอันอื่นนอกจากนั้นอีก เรียกว่า ปัญญา ปัญญานี้ เกิดจากความปรุงความแต่งความคิดความนึกสารพัดทุกอย่าง ปัญญา เกิดจากเอาธาตุรู้นั้นไปเกิดปัญญา ไปเป็นจิตแล้วไปเกิดเป็นปัญญาปัญญา นั้นมี ๒ อย่าง ปัญญาโลกิยะอย่างหนึ่ง ปัญญาโลกุตระอย่างหนึ่ง
ปัญญาโลกิยะนั้นคือ ความคิดความนึกปรุงแต่งสารพัด สัญญาอารมณ์ทั้งปวง รู้สิ่งต่างๆหมด แต่หาได้รู้ว่า ตัวพุทธะไปรู้ ไม่ ตามความคิดนึกปรุงแต่งไปไม่มีที่สิ้นที่สุดไม่หยุดไม่ยั้งสักที มนุษย์ชาวโลกจึงพากันปรุงแต่ง พากันคิดพากันนึกอยู่นี่ สารพัดทุกอย่างวุ่นวี่วุ่นวายร้อยแปดพันประการ อันนั้นเป็นโลกิยปัญญา
โลกุตระปัญญานั้น มีเฉพาะท่านผู้ฝึกหัดอบรมจิต ผู้รู้นั่นแหละ ผู้ไปรู้ไปคิดไปนึกนั่นแหละ เอาสติไปควบคุมจิตตรงนั้นแหละ ให้อยู่ในบังคับของสติรู้สิ่งทั้งปวงหมด ให้อยู่ในบังคับคือ บังคับให้รู้ก็ได้ บังคับไม่ให้รู้ก็ได้ ที่มันคิดมันนึกมันปรุงแต่งสารพัดทุกอย่างนั้นรู้เท่ารู้เรื่องของมัน ฝึกฝนอบรมให้มันอยู่ในขอบเขตในบังคับ การฝึกหัดปฏิบัติในธรรมวินัยนี้มีฝึกหัดจิตอันเดียวเท่านั้น อันอื่นนอกนี้ไม่มีอะไรทั้งหมด จะเป็นอย่างไร อบรมอย่างไร ก็ต้องอบรมจิต ครั้นปรารภจิตอบรมจิต จึงจะอบรมจิตให้อยู่ในสติได้ เมื่ออบรมไปโดยมีข้อบังคับจํากัดด้วย ไตรลักษณ์คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันรู้ว่าสิ่งต่างๆทั้งปวงมันมี อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในตัว
ครั้นเมื่อมี อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้ว ไปไม่ถึงไหนต้องหมด ไม่ปรุงไม่แต่ง ลงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตตาแล้ว ก็กลับเข้ามาหา “ใจ” คราวนี้ มันกลับเข้ามาเอง พิจารณาไปหมดเรื่องหมดราวแล้ว กลับมาเองหรอก เข้ามาหา “ใจ” มาหยุดนิ่ง
เวลามันจะออก มันออกไปตามอายตนะต่างๆ มันออกไปอยู่ในขอบเขตของ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พิจารณาไปมามันก็รวมลงไปอีก ของเก่า เข้ามาถึงจุดเดิมคือ ผู้รู้ หรือ ธาตุรู้ กลับไปกลับมาอย่างนี้บ่อยๆ จนกระทั่ง ชํานิชํานาญคล่องแคล่วในการที่พิจารณา คราวนี้ไม่เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา โดยอนุมาน และไม่เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา โดยบังคับ หากเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา โดยอัตโนมัติ
ทีแรก พิจารณาเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา โดยอนุมาน ทีหลังเมื่อพิจารณาชํานิชํานาญแล้ว มันเป็นอัตโนมัติในตัว จึงว่า ศาสนาพุทธถึงที่สุดของการคิดการนึกการปรุงการแต่งการรู้ต่างๆ สารพัดทุกอย่าง มันลงมาถึงของจริง มาถึงผู้รู้
หลวงปู่ดูลย์ท่าน จึงบอกว่า จิต คือ ผู้รู้ ท่านพูดถึงเรื่องจิตอันเดียว แท้ที่จริงจิตกับใจก็อันเดียวกันนั่นแหละ จิตอันใดใจอันนั้น ท่านก็พูดเหมือนกัน ครั้นเข้าถึงใจแล้ว ก็หมดเท่านั้นพุทธศาสนานี้ไม่มีอื่นไกล นอกจากจิตกับใจแล้ว ก็หมดเท่านั้น ผู้รู้ รู้แล้วเข้าถึงใจแล้วละก็หมดเรื่องเท่านั้น
ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนา ชุด โอวาทหลังปาติโมกข์ เรื่องธาตุรู้
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
วันที่ ๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๘
การหัดรู้ทันความคิด
ถ้าไม่เข้าใจว่าต้องรู้อย่างไร
ก็จะทำให้ปฏิบัติผิดไปได้
การรู้ทันความคิด จริง ๆ แล้วคือ
ไม่ว่าจิตจะคิดเรื่องอะไร
ให้แค่รู้ว่า “จิตหลงไปคิด” “จิตเผลอไปคิด”
ไม่ใช่รู้ว่าคิดเรื่องอะไร
ไม่ใช่รู้ว่าคิดดี คิดไม่ดี
ไม่ใช่รู้ว่าคิดแบบไหนแล้วมีความสุข
ไม่ใช่คิดเพื่อให้มีความสุข
บางคนหัดรู้ทันความคิด
แต่แทนที่จะแค่รู้ว่าจิตหลงไปคิด
ก็พลาดไปจงใจคิดขึ้นมาซะเอง
โดยเฉพาะพอรู้ว่าคิดเรื่องไม่ดี
ก็จงใจคิดเรื่องดี ๆ ที่เรียกว่าคิดบวกขึ้นมา
หรือไม่ก็จงใจคิดเรื่องธรรมะต่าง ๆ ขึ้นมา
พอคิดเรื่องธรรมะ คิดเรื่องดี ๆ อะไรก็ตาม
คิดแล้วก็มีความสุขซิ ใช่มั้ย
มีความสุขแล้ว แต่ไม่รู้มีความสุข
ขาดสติ หลงเพลิดเพลินในความสุข
ก็เลยติดการจงใจคิดดี
ติดการจงใจคิดด้านบวกไป
แต่ว่า กิเลสมันฉลาดนะ
พอมันเห็นว่าเราติดความสุขจากการจงใจคิด
มันก็เลยหาทางทำให้เราทุกข์ขึ้นมาจนได้
โดยการปรุงแต่งการคิดเรื่องไม่ดี
ปรุงแต่งการคิดด้านลบขึ้นมา
ลบล้างการคิดเรื่องดี ๆ ซะงั้น
การคิดด้านลบมาหักล้างด้านบวกนี้
มันจะคิดของมันขึ้นมาโดยที่เราไม่ได้จงใจเลย
แล้วด้วยการที่เราใฝ่ดี ติดดี ติดสุข
เราก็เลยเสียท่ามัน ทำให้เกิดการต่อต้าน
เพราะไม่อยากให้มีความคิดด้านลบ
พอเราไม่อยากคิดด้านลบ
เราจะก็ดิ้นรนหาทางเอาชนะมัน
พยายามจะดูจิตก็แล้ว
พยายามจะดูกายก็แล้ว
มันก็ยังไม่ยอมหายซะที
ตรงที่ดิ้นรนเพราะความอยากนี่แหละ
ที่นักภาวนามักเสียท่ากัน
เพราะว่าความอยากมันค่อนข้างละเอียด
เห็นได้ยาก จิตก็เลยถูกมันครอบงำง่าย
การพลาดท่าแบบนี้
ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรหรอก
และถ้าได้ฟังธรรมอยู่เป็นประจำ
ก็จะเฉลียวใจได้ว่า ต้องทำผิดแน่ ๆ
พอเฉลียวใจได้ก็ต้อง ตั้งหลักกันใหม่
ต้องเริ่มนับหนึ่งกันใหม่
โดยพอรู้สึกได้ว่ามีความคิดด้านลบขึ้น
ก็ให้กลับมาใส่ใจอยู่กับงาน
หรือมาใส่ใจทำกิจกรรมที่กำลังทำอยู่
ไม่ต้องพยายามจะดูความคิดนั้น
ไม่ต้องสนใจด้วยว่าคิดเรื่องอะไร
แค่รู้ว่าหลงคิดไปเท่านั้นพอแล้ว
การกลับมาใส่ใจอยู่กับงาน
หรือมาใส่ใจทำกิจกรรมที่กำลังทำอยู่นั้น
ตรงนี้ถ้าเราสามารถดูกายได้ ก็ดูกายไปเลย
(ดูร่างกายเคลื่อนไหว ดูร่างกายหายใจ
หรือดูร่างกายยืน เดิน นั่ง นอน ก็ได้)
แต่ถ้าไม่สามารถดูกายได้ ก็ไม่ต้องดูกาย
ให้จดจ่อกับเนื้องานไปเลย
(ไม่ต้องคิดถึงการดูกายดูจิต)
การจดจ่ออยู่กับเนื้องาน
จะทำให้จิตลืมเรื่องการคิดไม่ดีไปเอง
ซึ่งค่าเท่ากับการทำสมถะอย่างหนึ่งนั่นเอง
เมื่อรู้ว่าหลงคิด แล้วมาดูกาย
หรืออยู่กับงานที่กำลังทำอย่างนี้ไปสักพัก
จิตจะค่อย ๆ มีกำลังมากขึ้น
แล้วความคิดไม่ดีที่มันเกิดขึ้นจะค่อย ๆ หายไปเอง.
ปฏิบัติแนวเคลื่อนไหว วิธีลัดสู่ใจ
"วิธีปฏิบัติแนวหลวงพ่อเทียนนี้ "ง่าย"
เพราะว่า ไม่-ต้อง-หลับตา
การหลับตาเนี่ย ทำให้เกิดภาพนิมิต
คนที่ปฏิบัติแล้วเกิดโรคจิต โรคประสาท
เพราะหลับตา แล้วก็ขาดสติ
พอเกิดนิมิตขึ้นในใจนี่ หลงไปกับนิมิตเลย
การเจริญสติแบบเคลื่อนไหวนี่ ก็มีนิมิตเหมือนกัน
แต่ว่าเป็น นิมิต-ที่-เป็น-ของจริง
คือกายที่เคลื่อนไหวนี้เป็นของจริง
ใจที่มันคิดนึกนี่ก็คือของจริง
เป็นสิ่งที่ไม่ต้องสร้างขึ้นมา
คนที่เจริญสติเคลื่อนไหวแบบหลวงพ่อเทียนเนี่ย
ไม่เคยถูกนิมิตหลอก และที่สำคัญคือ
ไม่-ต้อง-ใช้-คำบริกรรม คือ รู้สึกตัวลงไปตรงๆ
คำบริกรรมก็มีส่วนช่วยทำให้เราเกิดสติ
แต่พอเราฝึกสติแบบนี้ เรา ลัด-ลงไป-ที่ความรู้สึกตัวเลย
โดยที่ไม่ต้องบริกรรม และก็ทำได้ทั้งวัน
เพราะเราเคลื่อนไหวทั้งวันนี่ แม้แต่คิด ก็คิดทั้งวัน
เราจึงเติมสติ ดูจิตได้ทั้งวันเลย
โดยเริ่มจากการ "ดูกาย" ให้ชำนาญเสียก่อน
พอสติมันชำนาญที่กายแล้ว มันจะไปเห็นจิต
เห็นความคิด เห็นกิเลส เห็นอารมณ์ต่างๆไปเอง
..ถ้าเราไป "เริ่ม-ที่-ไปรู้จิต" ก่อนนี่ ...มันจะ "หลง"ได้ง่ายๆ...
คนที่ไปรู้จิตได้นี่ ต้องมี "สติ" ต้องมีความชำนาญ
ต้องรู้จักจิต รู้จักสติ รู้จักอารมณ์ รู้จักแก้อารมณ์
จึงไปดูได้ ถ้าเราเริ่มรู้จากกายแล้วมันจะไปเห็นจิตเอง"
อ.กำพล ทองบุญนุ่ม ชมรมเพื่อนคุณธรรม
< ความวิจิตรของจิต >
"จิต" นอกจากจะมีการรู้อารมณ์เป็นลักษณะแล้ว ยังมีกิจหรือหน้าที่เป็นประธานในธรรมทั้งปวง คือ ให้สำเร็จการงานทั้งหลาย ทางกาย วาจา ใจ ดังธรรมบทว่า...
"ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นหัวหน้า สำเร็จได้ด้วยใจ"
ถ้าบุคคลใด มีใจดีแล้ว พูดอยู่ก็ตาม ทำอยู่ก็ตาม เพราะความดีนั้น สุขย่อมตามบุคคลนั้นไปดุจเงาติดตามตน ดังนั้น การงานต่างๆของสัตว์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นการทำบาป ทำบุญอย่างไรก็ตาม ล้วนสำเร็จได้ด้วยจิตใจทั้งสิ้น จิตจึงมีอำนาจทำให้ธรรมชาติทั้งหลายเป็นไปโดยวิจิตร
ความวิจิตรของจิตมี ๖ ประการ
๑.) วิจิตรโดยการกระทำ หมายถึง วัตถุสิ่งของ และ การกระทำต่างๆ ของมนุษย์ ที่แปลกพิสดาร ก็มาจากจิต
๒.) วิจิตรด้วยตนเอง หมายถึง สภาพของจิตเองก็พิศวง เช่น จิตที่มีอภิญญา มีฤิทธิ์
๓.) วิจิตรในการสั่งสมกรรม และ กิเลส หมายถึง กรรม กิเลส ที่ปรากฎแก่สัตว์ทั้งหลายอยู่เป็นประจำนั้น เพราะมีการสั่งสมไว้ในจิตมาแล้วแต่ในอดีต ครั้นมาได้รับอารมณ์ใหม่ในปัจจุบัน ก็สนับสนุน กรรมและกิเลสให้ปรากฎขึ้นมาใหม่ และจะเก็บสั่งสมไว้ต่อไปอีก
๔.) วิจิตรในการรักษาวิบากที่กรรมและกิเลสได้สั่งสมไว้ หมายถึง กรรมทั้งหลายที่จิตก่อให้เกิดขึ้น ผลของกรรมคือวิบาก ย่อมไม่สูญหายไปไหนแม้ช้านานปานใดก็ตาม วิบากนั้นจะติดตามไปให้ผลเมื่อถึงโอกาส
๕.) วิจิตรในการในการสั่งสมสันดานตนเอง หมายถึง จิตที่ก่อให้เกิดการกระทำอย่างใด และ ได้กระทำอยู่เสมอๆเป็นนิตย์ ย่อมติดเป็นสันดานทำให้เกิดความชำนาญในการกระทำอย่างนั้นเรื่อยๆไป เพราะจิตที่เกิดดับสืบต่อกันจะส่งมอบการงานต่อๆไป ในลักษณะที่เป็น อนันตรปัจจัย และ อาเสวนปัจจัย (เสพบ่อยๆ) เป็นต้น
๖.) วิจิตรด้วยอารมณ์ต่างๆ หมายถึง จิตย่อมรับอารมณ์ต่างๆอยู่เสมอ แม้ในเวลาหลับก็ยังรับอารมณ์ คือ กรรมนิมิต คตินิมิต และ กรรมอารมณ์ ดังนั้น จิต จึงทำงานรับอารมณ์ตลอดชีวิต ไม่มีหยุดพัก เช่นเดียวกับ หทัยวัตถุ
รวมความแล้ว จิต ทำให้วิจิตรทั้งภายในและภายนอกสันดานของตน คือ ทำให้สัตว์ทั้งหลายวิจิตร และ ทำให้วัตถุภายนอกวิจิตร อันจะส่งผลให้เกิดกุศลและอกุศลที่วิจิตรเช่นกัน... จึงควรฝึกจิตไว้ให้ดีเถิด
San Nirvana
เราเพิ่งมาฝึกจิตของเราเดือนหนึ่ง ๑๐ วัน ๕ วัน โดยมากมันก็ยังไม่สงบ ถ้ามันไม่สงบนั้น ไม่ต้องน้อยใจ มันเป็นเรื่องธรรมดาของมัน
.
เรื่องจิตอันนี้ มันจะอยู่นิ่งๆ ในที่ของมันไม่ได้หรอก บางทีมันก็มีอาการคิดอย่างโน้น คิดอย่างนี้ ในขณะอยู่ในที่สงบอันนั้นแหละ บางคนจิตไม่สงบ จิตก็ฟุ้งซ่าน ใจก็ไม่สบาย ใจเขาก็ไม่ดี เพราะว่าจิตไม่สงบ อันนี้เราต้องพิจารณาด้วยปัญญาของเรา เรื่องไม่สงบอันนั้น เพราะเราไม่รู้ตามความเป็นจริงของมันเท่านั้นเอง
.
ถ้าเรารู้ตามความเป็นจริงของมันแล้ว อันนั้นสักแต่ว่าอาการของจิต จริงๆ แล้วจิตมันไม่ฟุ้งไปอย่างนั้น เช่นว่า เรารู้ความคิดแล้วว่า บัดนี้ เราคิดอิจฉาคน นี้เป็นอาการของจิต แต่เป็นของไม่จริง มันไม่เป็นความจริง เรียกอาการของจิต มันมีตลอดเวลา
.
ถ้าหากว่าคนไม่รู้ตามความเป็นจริงของมันแล้ว ก็น้อยใจว่าจิตเราไม่อยู่นิ่ง จิตเราไม่สงบ อันนี้เราต้องใช้การพิจารณาอีกทีหนึ่งให้มันเข้าใจ เรื่องของจิตนั้นนะ มันเป็นเรื่องของอาการของมัน แต่ที่สำคัญคือ มันรู้
.
รู้ดีมันก็รู้ รู้ชั่วมันก็รู้ รู้สงบมันก็รู้ รู้ไม่สงบมันก็รู้ อันนี้คือตัวรู้
พระพุทธเจ้าของเราท่านให้ตามรู้ ตามดูจิตของเรา..
.
หลวงปู่ชา สุภัทโท