1007. ฌาน-สมาธิ
"จิต"..."รู้เพียงจุดๆเดียว"..."อารมณ์อันเดียว" จนจิตสงบนิ่งอยู่ที่จุดๆนั้น เรียกว่า”ฌาน”
สงบนิ่ง มีพลัง เป็นลำดับ เรียก .”.ฌาน”..มีฌาน ๑-๒-๓-๔ ฌาน ๕- ๖ -๗ -๘
ส่วน"สมาธิ" จะมี"สติ"กำกับตลอดเวลา สติ...ติดตามดู...จิต การเคลื่อนไหวของจิต และอารมณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับจิต
จะรู้ตัว ตามอำนาจของสติ เมื่อใด สติเบาบาง จะกลายเป็นฌาน
สมาธิ มีตั้งแต่
- ขณิกสมาธิ สติรู้กระจัดกระจายไม่คม ชัด
- อุปจารสมาธิ จิตที่รับรู้อยู่เพียงตัวเดียว มีสติ ติดตามดู รู้ความเป็นจริงในสัจธรรม จิตก็จะสงบเป็นอัปปนาสมาธิ
- อัปปนาสมาธิ จิตดวงเดียวสงบ ไม่มีการพิจารณาธรรมใดๆ เป็นอุเบกขาจิต สติตามดู อุเบกขาจิต ตลอดเวลา *..รู้สึกตัวทั่วพร้อม
สูงจากอัปปนาสมาธิ เป็น
- สุญญตสมาธิ สงบว่างโปร่ง
- อนิมิตตสมาธิ สงบไม่มีอารมณ์ปรุงแต่ง
-อัปปณิกิตสมาธิ สงบไม่มีที่ตั้งลง คือหาฐานรองรับความสงบเยี่ยงนั้นไม่มี
เมื่อมีสมาธิละเอียด จึง เห็นกิเลสละเอียด และมีสติละเอียด ติดตามกำจัดกิเลสให้ หมดไป
มโนธาตุ โพธิญาณ
ฌานหนึ่งถึงฌานสามเรียกว่าสมถะกรรมฐาน คือ ความสงบในกาย วาจา ใจ ถือเป็นสมถะกรรมฐาน เราต้องใช้วิปัสสนาด้วย วิปัสสนาคือ การทำปัญญาให้เห็นแจ้ง เมื่อจิตสงบอยู่ในฌานสาม ให้รีบพิจารณา พิจารณาอะไร พิจารณาพระไตรลักษณ์ คือ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา
ลักษณะ 3 อย่าง คือถ้าเรานั่งสมาธิไปนานๆ มันจะเกิดความปวดเมื่อย ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ เราเรียกว่า ทุกขัง คือ ภาวะที่ทนได้ยาก อนิจจัง คือ ความไม่เที่ยง เราจะนั่งอยู่อย่างนี้ทั้งวันทั้งคืน ทั้งเดือน คงจะไม่ได้ จะต้องเปลี่ยนแปลงจากนั่งเป็นยืน เดิน นอน การเปลี่ยนแปลงนี้เราเรียกว่า อนิจจัง ความไม่เที่ยง
อนัตตา คือ กายนี้ไม่ใช่ของเรา ถ้าเป็นของเรา เราจะต้องไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่แก่ ไม่เฒ่า เพราะกายนี้ไม่ใช่ของเรา เป็นอนัตตา ตัวไม่ใช่ตนของเรา ความตายไม่มี
สมถะ-วิปัสสนากรรมฐาน, ฌาน, ญาณ, อภิญญา
ญาณ มี 7 อย่างคือ
บุเพนิวาสานุสสติญาณ ปัญญาที่สามารถระลึกชาติในอดีตของคนหรือสัตว์ได้
จุตูปปาตญาณ ปัญญาที่รู้ว่าคนหรือสัตว์ก่อนจะมาเกิดเป็นอะไรมาก่อน เมื่อตายแล้วไปเกิดเป็นอะไร
เจโตปริยญาณ ปัญญาที่รู้ใจคน รู้อารมณ์ความคิดจิตใจของคนและสัตว์
อตีตังสญาณ ปัญญาที่รู้เรื่องในอดีต เหตุการณ์ที่ล่วงมาแล้ว ทั้งในอดีตชาติ ปัจจุบันชาติ ของคนและสัตว์
ปัจจุปปันนังสญาณ ปัญญาที่รู้เรื่องในปัจจุบันว่าขณะนี้ใครทำอะไรอยู่ และมีสภาพอย่างไร
อนาคตตังสญาณ ปัญญาที่รู้เรื่องในการต่อไปว่า คน สัตว์ สรรพวัตถุ เหล่านี้ต่อไปจะเป็นอย่างไร รู้ได้ตามภาพที่ปรากฏ ถ้าภาพที่ปรากฏไม่ชัดเจน ก็อธิษฐานถามก็จะรู้ชัดและไม่ผิด
ยถากัมมุตญาณ ปัญญาที่รู้ผลกรรม คือ รู้ว่าคนเราที่ทุกข์หรือสุขทุกวันนี้ ทำกรรมอะไรมาในอดีตชาติ และปัจจุบันชาติจึงเป็นเช่นนี้ และจะแก้ไขได้หรือไม่ประการใด
อภิญญาหก อภิญญา แปลว่า ความรู้อย่างยิ่งสูงกว่า ญาณมี 6 อย่าง
เมื่อเราฝึกการใช้ฌาณทั้ง 7 จนคล่องแคล่วชำนาญดีแล้ว อภิญญาจะค่อยๆ เกิดตามมา อภิญญาทั้ง 6 ได่แก่
อิทธิฤทธิ์ แสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้ เช่น อยู่ยงคงกระพัน ล่องหนหายตัว ย่นระยะทางได้ เหาะเหินเดินอากาศ ดำดิน เดินบนผิวน้ำ หรือเดินลงไปในน้ำได้
ทิพยโสต มีหูทิพย์ สามารถฟังเสียงในที่ไกลหรือเสียงอมนุษย์ ได้ยินเสียงสัตว์ เสียงเทพ เสียงพรหม รู้เรื่อง
จุตูปปาตญาณ รู้การตายและการเกิดของคนและสัตว์ แต่รู้หมดทุกภพทุกชาติ ถ้าฌาณธรรมดาจะรู้เพียง 4-5 ชาติ แต่อภิญญารู้หมดทุกภพทุกชาติ
เจโตปริยญาณ รู้วาระจิต รู้ความคิดในใจของคนและสัตว์ได้
ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติต่างๆ ของคนหรือสัตว์ได้ทุกภพทุกชาติ
อาสวักขยญาณ ปัญญาที่ขจัดอาสวกิเลสตัณหาให้หมดสิ้นไป อภิญญาข้อนี้เองจะเป็นหนทางให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้
สมถะ แปลว่า ความสงบ กาย วาจา ใจ วิปัสสนา แปลว่า การทำปัญญาให้เห็นแจ้ง กรรมฐาน คือ การกระทำตั้งมั่นอยู่ สมถะวิปัสสนากรรมฐาน คือ การกระทำตั้งมั่นอยู่เพื่อเกิดความสงบทาง กาย วาจา ใจ เป็นการทำปัญญาให้เห็นแจ้ง
ฌาน
ฌาน คือ การหยั่งรู้หรือการเพ่งในองค์กรรมฐาน ฌานนั้นมี 4 รูปฌาน และ 4 อรูปฌาน รวมกันเราเรียกว่า สมาบัติ 8 และอุปสรรคขวางกั้นฌานคือ นิวรณ์ 5
พระพุทธเจ้าสอนให้เราเริ่มจากทาน คือรู้จักการให้ เพื่อลดความตระหนี่ถี่เหนี่ยวหรือละความโลภก่อน แล้วจึงมาถึงศีลคือ การไม่เบียดเบียนกัน สมาธิคือการฝึกจิตตั้งมั่นในการบำเพ็ญเพียรภาวนาจนเกิดฌาน คือ การหยั่งรู้ แล้วจะเกิดฌาน คือ ปัญญานั่นเอง อย่างที่เราเรียกว่า ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา
ฌานนั่นมี 4 รูปฌาน และ 4 อรูปฌาน
ฌานหนึ่งหรือปฐมฌาน มีองค์ประกอบ 5 อย่างคือ วิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัคคตารมณ์
วิตก : คือ ยังภาวนาพุทโธอยู่
วิจาร : คือ การคิดว่าพุทหายใจเข้า โธหายใจออก
ปิติ : มีอาการ 5 อย่างคือ ขนลุก น้ำตาไหล ตัวโยก ตัวลอย ตัวขยายใหญ่ขึ้น (อาจมีเพียงแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง)
สุข : จิตที่อิ่มในอารมณ์
เอกัคคตารมณ์ : จิตที่มีอารมณ์เป็นหนึ่ง ไม่ฟุ้งซ่าน
ฌานสองหรือ ทุติยฌาน จะมีเพียงแค่ ปิติ สุข และเอกัคคตารมณ์
ฌานสามหรือ ตติยฌาน จะมีเหลือเพียง สุข กับ เอกัคคตารมณ์
ฌานสี่หรือ จตุตถฌาน คนเราส่วนมากมักจะติดอยู่ในฌานสาม จะมีแต่สุขกับเอกัคคตารมณ์ หรือจิตที่มีอารมณ์เป็นหนึ่ง เมื่อสุขแล้วก็ไม่อยากคิดอะไร จึงติดอยู่ในสุขไปไหนไม่ได้
การกล่าวถ้อยสอนธรรม โดยอ้างอิงแต่หลักเหตุหลักผล ตามหลักการ ตามตำรับตำรา ก็จะได้แต่พลังธรรมฝ่ายเดียว มิได้พลังทิพย์ ซึ่งปุถุชน,สามัญชนทั้งหลายพึงได้รับทั้ง 2 ประเภทผนวกกัน เชื่อมกระแสบุญเข้าด้วยกันทั้ง "ธรรม" และ ทิพย์" จึงจักเกิดประสิทธิภาพ-ประสิทธิผล สรรพมงคลทุกประการ
ปุถุชน สามัญชน ทั้งหลาย โดยส่วนใหญ่แล้ว ย่อมขาดพลังศรัทธา ย่อมขาดพลังปัญญา ทั้งศรัทธาและปัญญาต้องเกื้อกูลกัน ชีวิตจึงจะมีแรงกายแรงใจ ดำเนินสืบไป ได้ด้วยดี
พลังศรัทธาที่แท้จริง เกิดจากจิตประจักษ์แจ้งในทิพยภาวะ ซึ่งจะประจักษ์ได้ก็เพราะฝึกฝนโดยเชื่อมโยงถึงกระแสบุญญานุภาพศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่ เช่น พลังทิพย์ของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ของพระอรหันต์ผู้ทรงบุญฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์ เป็นต้น
เมื่อเกิดพลังทิพย์พลังศรัทธาแล้ว จะทำให้มีกำลังใจไม่สิ้นสุด ไม่ทรุดทราม ไม่ขาดตกบกพร่อง ในการขับเคลื่อนชีวิตตนให้ก้าวหน้า ฝึกฝนตนให้เกิดสติสัมปชัญญะ เกิดปัญญา นำพาตนให้จำเริญทางโลก ให้รุ่งเรืองทางธรรม สูงส่งยิ่งขึ้นไป
พลังทิพย์ที่จะช่วยเกื้อกูลให้พลังธรรมนี้ มิใช่หมายถึงทิพย์ในระดับที่ทำเกิดอิทธิฤทธิ์สูงส่งประการต่างๆ อาทิ ล่องหนหายตัว เหาะเหินเดินอากาศ เป็นต้น แต่อย่างใด เพราะทิพย์ระดับนั้น ฝึกยาก ต้องมีบารมีสูงมากในการบำเพ็ญเพียรให้บังเกิดมี แม้กระทั่งพระอรหันต์ส่วนใหญ่ก็หาได้มีทิพยภาวะถึงเพียงนั้นไม่ แต่พระอรหันต์ทุกพระองค์ ท่านต้องมีทิพยภาวะขั้นพื้นฐานดังจักได้กล่าวต่อไปนี้ คือ............
พลังทิพย์อันทำให้เกิดความโล่งโปร่งใจ ให้สงบเยือกเย็น ให้เป็นสุข ให้ปีติ ไร้นิวรณ์มากีดกั้นขัดขวาง ช่วยเปิดกว้างนำทางให้เกิดพลังธรรม ช่วยหล่อเลี้ยง หล่อลื่น ในการดำเนินชีวิตไปในเส้นทางธรรมต่อไป ไม่หดหู่ห่อเหี่ยว มีความเกษมเบิกบานตลอดทุกขณะ ทุกทิพาราตรีกาล.. นะลูกหลานเอ๊ย๚
ฉะนั้นแล้ว ถ้อยธรรมของหลวงปู่ใหญ่จึงเจือไว้ด้วยถ้อยทิพย์ ไว้เป็นสภาวะเกื้อกูลกัน ให้ลูกหลานได้อัญเชิญไปประทับไว้ในจิตในวิญญาณ ให้เหมาะให้สม ให้ภิรมย์ปรีดา ไปร่วมด้วยช่วยกัน ไปหลอมรวมกัน ให้เสริมส่งธำรงดีงามไปด้วยกัน
ยุคปัจจุบันนี้ การเผยแผ่สัทธรรม มักมุ่งเน้นแต่หลักธรรมเชิงปัญญา เชิงหลักเหตุหลักผลเท่านั้น ลางครูลางอาจารย์ก็ได้ปฏิเสธเสียสิ้นเชิงในด้านทิพยภาวะไปเลย นั้นย่อมจะได้สัมฤทธิ์ผลแต่ผู้มีบุญด้านปัญญาสั่งสมมาแต่ปางก่อนเท่านั้น แต่จักได้ถึงขั้นบรรลุธรรมก็หาได้น้อย ส่วนใหญ่จักถึงระดับสุตตมยปัญญา จินตมยปัญญา เท่านั้นแล มิได้ถึงภาวนามยปัญญา มิถึงขั้นละกิเลสอาสวะได้เลย
พระพุทธศาสนามีความอุดมสมบูรณ์ครบถ้วนทุกด้านทุกประการ แต่ผู้คนทั้งหลายโดยเฉพาะในยุคนี้กลับมิได้อัญเชิญไปใช้ให้เกิดคุณประโยชน์ทุกประการ ปล่อยปละละเลยให้ขาดตกบกพร่องไป ให้สูญเสียประโยชน์ไป.. นับเป็นเรื่องน่าเสียดายอยู่มิใช่น้อย.. นะลูกหลานเอ๊ย ๚
๏ พุทธะ มะอะอุ นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ จะภะกะสะ นะชาลีติ โลกุตตโร จะ มหาเถโร เมตตาลาโภนะโสมิยะ อะระหังพุทโธ ยะธาพุทโมนะ ขอประสิทธิพรบวรมงคลอุตดมเลิศประเสริฐทุกประการ แด่ลูกหลานทุกคน ให้บังเกิดทิพยมงคล-ทิพยภาวะ แผ่ไป ส่งถึง ทุกดวงจิต ทุกดวงวิญญาณ ตลอดกาลนาน ให้พ้นทุกข์เภทภัย ให้มีกำลังใจไม่สูญสิ้นในการบำเพ็ญ นำพาตนและสรรพสัตว์แวดล้อม ดำเนินสู่โลกุตรธรรม โดยถ้วนทั่วกัน พระนิพพานะปัจจะโย โหตุ เทอญ ๚ะ๛
---------------
" สติ...คือ เชือก
จิต...เหมือนลูกโค
ลม...เป็นหลัก
ต้องเอา...สติ
ผูก...จิตไว้กับ...ลม(หายใจ)
จิตจึงจะไม่หนีไปไหน
ถ้าจิตเรา ตั้งตรงเป็นหลัก...อยู่กับที่
มีสติ...อยู่กับลมหายใจเข้า-ออก
อยู่...
เสมอแล้ว
นิวรณ์ และกิเลสทั้งหลาย
ก็ย่อมจะเกิดขึ้น ไม่ได้."
______________________________________
(ท่านพ่อลี ธมฺมธโร)
ฌาน และ สมาธิ เป็นอันเดียวกันและต่างกัน ฌาน ได้แก่การเพ่งในอารมณ์นั้น ๆ ให้เป็นไป ตามปรารถนาของตน เมื่อสังขารปรุงแต่งอยู่นั้น จิตก็จะรวมลงในอารมณ์ที่ปรุงแต่งนั้น แล้วก็เป็นไป ตามปรารถนาของตน ดังอธิบายมาแล้ว เรียกว่า ฌาน
สมาธิ ได้แก่การพิจารณาให้เห็นเหตุผลของมันตามความเป็นจริงจนจิตหยุดนิ่งอยู่ไม่คิด ไม่นึกต่อไป ยังเหลือแต่ ผู้รู้ เรียกว่า สมาธิ
ฌาน และ สมาธิ นี้จิตรวมเหมือนกัน ถ้าจิตไม่รวมก็ไม่เรียกว่า สมาธิ และ ฌาน มีแปลก ต่างกันที่ ฌาน นั้น เมื่อจิตรวมเข้าแล้วจะลืมสติ เพ่งพิจารณาแต่อารมณ์อันเดียว หรือมีสติอยู่
แต่ไปเพลินหลงอยู่กับภาพนิมิตและความสุขอันนั้นเสีย ไม่พิจารณาพระไตรลักษณญาณต่อไป หรือที่เรียก ว่าความเห็นไปหน้าเดียว นี่เรียกว่า ฌาน ส่วน สมาธิ นั้น เมื่อจิตรวมหรือไม่รวมก็มีสติรักษาจิตอยู่ ตลอดเวลา รู้ตัวอยู่ว่าเราอยู่ในสภาพเช่นไร พิจารณาอะไร หยาบหรือละเอียดแค่ไหน เรียกว่า สมาธิ
บางทีเมื่อจิตถอนออกมาจากฌานแล้ว มาพิจารณาองค์ฌานนั้น หรือพิจารณาอารมณ์อันใด ก็ตาม จนจิตแน่วแน่อยู่เฉพาะอารมณ์อันนั้น หรือเพ่งอารมณ์ของฌานอยู่ แต่กลับไปพิจารณา พระไตรลักษณญาณ เสีย จิตไม่รวมลงเป็น ภวังค์ เรียกว่า ฌานกลับมาเป็นสมาธิ
เมื่อพิจารณาอารมณ์ของสมาธิอยู่ หรือออกจากสมาธิแล้วก็ตาม จิตไปยินดีน้อมเข้าไปสู่ ความสงบสุข เลยไม่พิจารณาอารมณ์ของสมาธินั้น จิตรวมเข้าไปเป็น ภวังค์ เรียกว่า สมาธิกลับมาเป็นฌาน
ฌานและสมาธินี้กลับเปลี่ยนกันไปกันมาอยู่อย่างนี้ เป็นธรรมดาของผู้ปฏิบัติ ไม่เป็นการเสีย หายอะไร ขอแต่ให้รู้เรื่องของมันว่า อันนี้เป็น ฌาน อันนี้เป็น สมาธิ อย่าไปติดในอารมณ์นั้น ๆ ก็แล้วกัน
ทำให้ชำนิชำนาญคล่องแคล่ว แล้วจะอยู่ในอารมณ์อันใดก็ได้ พระบรมศาสดาเมื่อยังทรงพระชนม์อยู่ หรือพระสาวกทั้งหลายเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ก็ต้องเพ่งพิจารณา ฌาน นี้เป็น วิหารธรรม เครื่องอยู่ของท่าน
ธรรมดาจิตจำเป็นจะต้องมีความคิดความนึกอยู่เสมอ ท่านเห็นโทษในอารมณ์นั้น ๆ ว่าเป็นไปเพื่อ วัฏฏะ เพราะฉะนั้นท่านจึงน้อมเอาจิตมาพิจารณาให้เป็น ฌาน เสีย เพื่อเป็นเครื่องอยู่ใน ทิฏฐธรรม ของท่าน
ฌาน และ สมาธิ นี้ต้องอาศัยซึ่งกันและกัน พระองค์จึงตรัสว่า ผู้ไม่มีฌานก็ไม่มีสมาธิ ผู้ไม่มี สมาธิก็ไม่มีฌาน ดังนี้
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี.
< ความแตกต่างระหว่างสมถะ และวิปัสสนา >
๑. โดยสภาวธรรม
สมถะ มีสมาธิเกิดขึ้น คือ เอกัคคตาเจตสิก ที่ให้จิตตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียว
วิปัสสนา ทำให้เกิดปัญญา รู้รูป-นาม ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
๒. โดยอารมณ์
สมถะ มีนิมิตบัญญัติเป็นอารมณ์กรรมฐาน เช่น ปฐวีกสิณ เป็นต้น
วิปัสสนา มีรูป-นาม เป็นอารมณ์ เพราะรูป-นามมีความเกิดดับ ซึ่งเป็นความจริงตามธรรมชาติ
๓. โดยหน้าที่
สมถะ มีหน้าที่ในการกำจัดนิวรณ์ ๕* ทำให้จิตมีความสงบ ไม่ฟุ้งซ่าน เป็นต้น
วิปัสสนา มีหน้าที่ในการกำจัดอวิชชา ทำให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งสภาวธรรม ตามความเป็นจริง
๔. โดยอาการที่ละกิเลส
สมถะ ละกิเลสโดยอาการที่ข่มไว้ เป็นวิขัมภนปหาน
วิปัสสนา ละกิเลสโดยอาการขัดเกลา เป็นขณะๆ
เป็นตทังคปหาน
๕. ชนิดของกิเลสที่ถูกละ
สมถะ ละกิเลสชนิดกลาง คือ ปริยุฏฐานกิเลส
วิปัสสนา ละกิเลสอย่างละเอียด คือ อนุสัยกิเลส
๖. โดยอานิสงส์
สมถะ ทำให้อยู่สุขด้วยการข่มกิเลสไว้ และให้ไปเกิดในพรหมโลก
วิปัสสนา เพื่อละวิปลาสธรรมและทำให้เข้าถึงความพ้นทุกข์ คือ พระนิพพาน และเข้าถึงความไม่เกิดเป็นที่สุด
สมถะ กับ วิปัสสนา เป็นมรรค คือเป็นอุบายหนทางดับทุกข์ เพราะว่า"วิชชากับวิมุตติ" ทั้ง ๒ นี้ จะบังเกิดขึ้นได้ก็อาศัย สมถะกับวิปัสสนา จึงเป็น "ภาเวตัพพธรรม" ว่าเป็นธรรมอันควรที่สัตว์จะต้องให้เกิดขึ้นจงได้ฯ
San Nirvana
ลูกศิษย์ : หลวงปู่คะ มันเกิดปิติมาก แบบเช่นเวลาเห็นรูปองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเราเกิดปิติมากอย่างนี้ค่ะ หรือว่าเห็นคนทำความดีแล้วเราก็เกิดปิติมากอย่างนี้..เราต้องดูให้มันหยุด..
หลวงปู่ : ดูกิเลสให้มากๆจ้ะ ไอ้พวกปิติมากสุขมาก..กิเลสทั้งนั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ กิเลสเข้าข้างตัวเอง นั้นเราจะดูอย่างไร เราต้องละวางปิติและสุขนั้น แม้เค้าจะทำดีเพียงใด..เราก็ต้องละ เอามาเป็นกำลังใจให้เราทำความดีให้มันถึงอีก เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ถ้าเราดีแล้ว..เราจะไม่ยึดดี ปิติก็เหมือนกัน เมื่อปิติเกิด..สุขมันก็บังเกิด ถ้ามันเกิดมากๆเข้ามันก็ไปหลงอีก เราให้รู้..ปิติและสุขนี้ให้มันเป็นกำลังใจเป็นเบื้องบาท เพื่อจะเอาสติปัญญามาพิจารณาธรรม..ให้เราละ ให้เรานั้นไม่ติดในตัวรู้ เมื่อติดในตัวรู้มันยึดรู้..ความถือดีถือตนมันก็จะบังเกิดได้อีกคือความหลง
รู้..เรารู้แล้ว..แต่เรายังไม่ทิ้งรู้..เพราะเรายังไม่ได้ละในสิ่งที่เรารู้ คือยังไม่เอาตัวรู้ไปพิจารณาให้เป็นธรรม..คือให้เป็นปัญญา "ตัวรู้"กับ"ตัวปัญญา"มันต่างกัน ตัวรู้เพราะเราจำมา เราศึกษามา เราฟังมา แต่ไม่ได้เอาตัวรู้ไปพิจารณาเพื่อน้อมเข้ามาในกายสังขาร ในไตรสรณคมณ์ ในกฎแห่งไตรลักษณ์ว่าทุกขัง อนิจจัง อนัตตาในกายตัวเรานี้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
จึงเรียกว่าเราสะสมกิเลสโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นจะเป็นปิติหรือสุขที่เกิดขึ้นมาก็ขอให้รู้ แล้วเมื่อจิตมันปิติเบิกบานแล้วนั่นแล ไม่เศร้าหมองแล้ว..น้อมจิตน้อมกายเข้ามาสู่ดูกายดูจิตเรา ดูซิว่ากายเราเป็นอย่างไร ความชั่วของเราที่เราทำอยู่ จิตนั้นที่เรายังมีความพอใจ..
แม้จิตที่มันสงบนั้น..ที่มันสงบได้เพราะฌานไปข่มอยู่ ดังนั้นเราอยากจะเลือกสิ่งนี้ เราต้องไม่ยึดไม่ติดในอารมณ์ของฌานในปิติสุข เราต้องยกจิตขึ้นมาแล้วน้อมจิตเข้ามาหาในกายเพ่งโทษในกายอีก หาจนที่ไม่มีอะไรจะผุดขึ้นมาอีกแล้วนี่แล..จึงรู้ได้ว่าจิตนั้นพ้นแล้ว เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ดังนั้นอย่าไปติดอยู่ตรงนั้น นั่นเค้าเรียกว่าพวกเสพฌาน หลงสมาธิ ไม่นานจะเป็นมิจฉาทิฏฐิพวกนี้ เพราะหลงดีว่านั่นมันเป็นสุข จริงแล้วมันไม่ใช่สุข..ถ้าสุขจริงต้องไม่ยึดสุข ต้องวางสุข ละสุข ต้องไปพิจารณาในกายเพ่งโทษให้มาก ไม่อย่างนั้นแล้วไอ้ตัวอกุศลมูลนี้แล มันจะหอบหิ้วกลับมาแทะกินเราได้ถ้าเราเผลอ
เพราะเมื่อเราออกจากสมาธิมา..ฌานมันไม่ได้ข่มอยู่ เหมือนหินทับหญ้าเมื่อมันโดนน้ำค้าง โดนเชื้อมากระทบหู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่มีอารมณ์รูปเวทนา หรือรูป เสียง กลิ่น รส ไอ้พวกกามคุณ ๕ มาสัมผัสอีก..มันก็เสวยอีก เห็นมั้ยจ๊ะ นี่อารมณ์เค้าเรียกอารมณ์เบื่อๆอยากๆ ภวตัณหา วิภวตัณหา..สุดท้ายก็ไปตกอยู่ที่"กามตัณหา" คือความอยากความพอใจเหมือนเดิม
สิ่งเหล่านี้เราต้องพิจารณาละ เราจะได้ถึงหัวใจของพระกรรมฐาน ใครได้หัวใจของกรรมฐานแล้วเป็นผู้ที่ปิดอบายภูมิ เป็นผู้ที่เข้าถึงกระแสพระนิพพาน เข้าใจมั้ยจ๊ะ ก็คือการละอารมณ์ในขันธ์ ๕ ละอารมณ์ในขันธ์ ๕ ในขันธ์ ๕ มีอะไร รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ละ"รูป" ในความไม่พอใจ..เพ่งโทษในกายอย่างนี้
เวทนา คืออารมณ์ที่เกิดขึ้นรู้สึกชอบใจไม่ชอบใจเหล่านี้ ชอบใจก็ยังเป็นเวทนา แสดงว่าสุขก็ยังเป็นเวทนา ยังไม่ใช่สุขที่แท้จริงเพราะชื่อว่าเวทนา เข้าใจมั้ยจ๊ะ
สัญญา มันยังเป็นความจำอยู่..ยังไม่ใช่ความรู้ ความรู้..มันก็ยังไม่ใช่ปัญญา อะไรที่เราคิดมันนั่นแหล่ะ..มันคือตัวรู้ แต่ไม่ใช่ปัญญา
ถ้าตัวปัญญา..จะเกิดโดยไม่ต้องคิดและไม่ต้องนึก เพราะไอ้ตัวนึกมันเรียกว่าวิปัสสนึก..มันไม่ใช่วิปัสสนา ถ้าตัวรู้มันเกิดจากวิปัสสนามันจะไม่นึกและไม่คิด มันจะไม่เกิดจากสัญญา วิปัสสนามันต้องไม่เกิดจากสัญญา เพราะวิปัสสนามันเหนือกว่าสัญญาแล้ว เพราะมันเป็นปัญญาล้วนๆแล้ว เห็นตามความเป็นจริงที่ฝึกแล้วในจิตนั้น
ดังนั้นโยมไปพิจารณา เข้าใจมั้ยจ๊ะ ไม่งั้นก็หลงอยู่อย่างนี้ หลงดีหลงว่าข้านั้นรู้ หลงว่าข้านั่งได้นาน โอ้..นั่งทับมันอยู่อย่างนั้นกิเลส กลัวกิเลสมันจะตาย นี่ไอ้พวกหลง หลงสมาธิ..ข้านี้นั่งได้นาน เค้าถึงบอกว่านั่งนานไม่นานไม่เกี่ยว ขอให้นั่งแป๊บเดียวแล้วเห็นธรรม..ใช้ได้
"เห็นธรรม"คืออะไร เห็นการเกิดดับของจิตของอารมณ์ของความไม่เที่ยง นี่สภาวะความไม่เที่ยงนี้แลโยมจะเห็นกฎแห่งไตรลักษณ์ ถ้าโยมยังไม่เห็นกฎแห่งไตรลักษณ์ก่อน เห็นทุกขัง อนิจจัง อนัตตาแล้ว โยมจะไปพิจารณาอริยสัจธรรม ๔ ประการไม่ได้ เพราะโยมจะไม่เห็นจริง..
มันต้องน้อมจิตเข้าก่อน ถ้าน้อมจิตยังไม่ถึงแล้วโยมจะพิจารณาอะไรถึงได้ ดังนั้นโยมจะพิจาณาธรรมอะไร จะเจริญธรรมอะไร จะพิจารณาความดีอะไรไม่ต้องรีบร้อน ค่อยๆกินไปค่อยๆเคี้ยวไป เดี๋ยวมันอิ่มเอง ถ้าโยมรีบกินมันจะสำลัก ธาตุมันจะวิปริตหมด ไม่นานจิตก็เกิดนิวรณ์ สัญญาความผูกพันก็คิดมาแล้ว..ทีนี้ปรุงแต่งหมดทีนี้ ทุกอย่างต้องมีความพอดีของมัน
เค้าบอกไม่ต้องนั่งนานแต่ทำบ่อยๆ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ทำบ่อยๆ บางคนสมาธิไม่ต้องนั่งหลับตาเลย เดินอยู่สงบจิตอยู่ก็เป็นสมาธิ เมื่อสมาธิบังเกิด..ปัญญามันก็บังเกิด..ฌานมันก็บังเกิด..ญาณบังเกิดหมด มันไม่จำเป็นต้องมานั่งหลับตาอย่างเดียว
"การเจริญสมาธิ" เมื่อคนได้สมาธิ..คือจิตเค้าตั้งมั่น จิตไม่ส่งออกไปภายนอก เค้ากำหนดจิตด้วยความสงบที่เค้าเคยฝึกมา สำรวมจิตภายในกาย ในวาจา ใจแล้ว สมาธิมันก็บังเกิดก่อตัวขึ้นโดยธรรมชาติของมัน จะเดิน นั่ง ยืน นอนที่ใดแล้วมันก็เกิดหมด
เค้าเรียกว่ากำหนดจิตเป็นสมาธิ..ก็เป็นสมาธิ กำหนดฌาน..ก็เป็นฌาน แม้เพ่งอารมณ์เดียวอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง..จิตมันก็รวมเป็นหนึ่ง ความฟุ้งซ่านรำคาญใจจะถูกตัดออกไปหมด เพราะอะไรเล่า เพราะเค้ารู้จักฝึกการข่มจิตข่มใจอยู่บ่อยๆนั่นเอง มันจึงเกิดความละอาย เกิดโอตัปปะคือความยับยั้งชั่งใจได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
สมถะและวิปัสสนาอยู่ด้วยกัน
"ตัวจิต" เป็นตัว "วิปัสสนา" และ เป็นตัว "สมถะ"เมื่อ "จิตสงบแล้ว" ความสงบเบื้องแรก สงบด้วย "สมถะ" คือ "สมาธิธรรม" ทำให้ "จิตเป็นสมาธิ" มันก็สงบ
ถ้า "ความสงบหายไป" ก็ "เกิดทุกข์" ทำไม "อาการ" นี้จึงให้เกิดทุกข์
“ตัวสมุทัย” แน่นอนมันจึงเป็น "เหตุให้เกิดทุกข์" เมื่อมีความสงบแล้วยังไม่จบ พระศาสดามองเห็นแล้วว่าไม่จบ "ภพยังไม่สิ้น" "ชาติยังมีอยู่" "พรหมจรรย์ไม่จบ"
"ความสงบ" ก็เป็น "สังขาร" อันหนึ่ง ก็เป็นสมมติ เป็นบัญญัติอีก ติดอยู่นี่ก็ติดสมมติ ติดบัญญัติ เมื่อติดสมมติติดบัญญัติก็ติดภพ ติดชาติ ภพชาติก็คือ ความดีใจ ในความสงบ นี่แหละ เมื่อหายความฟุ้งซ่าน ก็ติดความสงบ ก็เป็นภพอีก เกิดอยู่อย่างนี้
ภพชาติเกิดขึ้นมาทำไมพระพุทธเจ้าจะไม่รู้ เพราะมันยังมีทุกข์อยู่ ท่านจึงเอาตัว "สมถะตัวสงบ" นี่พิจารณาต่อไปอีก ค้นหาเหตุผลจนกระทั่งท่าน "ไม่ติดในความสงบ" (ติดสุข)
หลวงพ่อชา สุภัทโท
ฌาน และ ญาณ ต่างกันอย่างไร
คำว่า “ฌาน” และ “ญาณ” คำที่นักปฏิบัติธรรมและผู้เรียนรู้พุทธศาสนาจำเป็นต้องรู้และทำความเข้าใจ เพราะเกี่ยวเนื่องไปถึง“ความหลุดพ้น”
“ฌาน” คือ สภาพจิตที่มีสมาธิเป็นแกน ประกอบด้วยคุณสมบัติอื่นๆที่ดีงามอีก ๒-๓-๔-๕ อย่าง แล้วแต่ฌานขั้นไหน “ฌาน”เป็นผลที่ประสงค์สำคัญของ “สมถะ” หรือ จิตตภาวนา
ฝ่าย“วิปัสสนา” ที่ว่ามีหลักการคือ รู้ เห็นตามความเป็นจริงนั้น ผลที่เกิดขึ้นของมันคือ “ญาณ” ชื่อใกล้กันมาก ระวังสับสน ผลที่มุ่งหมายของวิปัสสนา คือ “ญาณ”
ผลที่ประสงค์ของสมถะ คือ “ฌาน”
พอถึงผลสำเร็จของวิปัสสนา เป็น “ญาณ”
“ฌาน” ของสมถะนั้น แปลว่า การเพ่งพินิจ แน่วแน่อยู่ จิตอยู่กับสิ่งที่ต้องการได้
แต่..วิปัสสนา ทำให้เกิด “ญาณ” คือ ตัวความรู้ หรือ ความหยั่งรู้ “ญาณ”จึงเป็นผลที่มุ่งหมายของวิปัสสนา ที่พูดมาแล้วนี้ เป็นผลสำเร็จทั่วไป ต่อไปเป็นผลสำเร็จขั้นสุดท้าย
ผลสำเร็จขั้นสุดท้ายของ “สมถะ”
เมื่อทำให้จิตแน่วแน่เป็นอารมณ์เดียว เกิด“ฌาน” พอได้ฌานแล้ว จะเกิดความสำเร็จขั้นสุดท้ายขึ้น คือ จิตจะปลอดพ้นหลุดไป หมายถึง หลุดพ้นไปจากสิ่งที่ไม่ดีที่ไม่ต้องการทั้งหมด
จิตใจของคนเรานี้มีความขุ่นมัว มีความเศร้าหมอง มีกิเลส มีเรื่องทุกข์ร้อนต่างๆมากมาย พอเราทำสมาธิได้“ฌาน”แล้ว จิตอยู่กับสิ่งที่ต้องการได้ สงบ มันก็พ้นไปจากสิ่งที่ไม่ต้องการ สิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่เป็นทุกข์ สิ่งที่เป็นความขุ่นมัวเดือดร้อนวุ่นวาย สิ่งที่เป็นกิเลสทั้งหมด ก็เรียกว่าเป็น ความหลุดพ้น
แต่ความหลุดพ้นนั้นเป็นไปได้ชั่วคราว ตลอดเวลาที่เราอยู่ในสภาพจิตนั้น เมื่อไรเราออกจากสิ่งที่กำหนด ออกจากสมาธิ จิตของเราก็เข้าสภาพเดิม เราก็มีปัญหาได้อีก เราก็มีความทุกข์ได้อีก จิตใจของเราก็มีความขุ่นมัวเศร้าหมองได้อีก อันนี้ จึงถือว่าเป็นความหลุดพ้นชั่วคราว ตอนนี้จะมีความยุ่งเรื่องศัพท์นิดหน่อย ศัพท์ไม่จำเป็นต้องจำ แต่ถือว่าฟังไว้ประดับความรู้ เรียกว่า “วิกขัมภนวิมุตติ”
วิกขัมภนวิมุตติ บางทีท่านเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สมยวิมุตติ แปลว่า หลุดพ้นชั่วสมัย สมย หรือ สมัย แปลว่า เวลา, วิมุตติ แปลว่า ความหลุดพ้น พ้นจากกิเลสและความทุกข์ สมย ชั่วสมัย คือชั่วเวลา ได้แก่ ชั่วเวลาที่เราอยู่ในสมาธิ แต่สมัยหลังมักเรียกกันว่า วิกขัมภนวิมุตติ แปลว่า หลุดพ้นด้วยกดทับไว้ เหมือนอย่างเอาหินไปทับหญ้า ทำให้หยุดงอกงามไป พอเอาหินออกแล้วหญ้าก็กลับเจริญงอกงามต่อไปอีก เหมือนกับกิเลสและความทุกข์ พอได้สมาธิ กิเลสและความทุกข์ก็สงบเงียบ เหมือนกับหายไปหมดไป แต่พอออกจากสมาธิ กิเลสและความทุกข์นั้นก็เฟื่องฟูขยายตัวขึ้นมาได้อีก นี่คือ ผลสำเร็จสุดท้ายของสมาธิหรือของสมถะ คือ สมยวิมุตติ หลุดพ้นชั่วคราว หรือ วิกขัมภนวิมุตติ หลุดพ้นด้วยกดทับหรือข่มไว้
ส่วน“วิปัสสนา” ทำให้เกิด“ญาณ” มีความรู้แจ่มแจ้ง รู้ตามที่เป็นจริง
เมื่อรู้เห็นตามที่เป็นจริงแล้ว จิตจะเป็นอิสระหลุดพ้นจากสิ่งนั้นๆ เด็ดขาดไปเลย
เมื่อเรารู้เข้าใจสิ่งใดตามความเป็นจริงแล้ว จิตของเราก็จะหลุดพ้นจากความยึดติดในสิ่งนั้น แล้วเราก็ไม่ขุ่นมัวไม่ขัดข้องเพราะสิ่งนั้น เมื่อยังไม่รู้ว่าอะไรเราก็ขัดข้องอยู่กับสิ่งนั้น เมื่อเรารู้ เราก็หลุด เราก็พ้นได้ รู้เมื่อไรก็หลุดเมื่อนั้น
ทีนี้ ความรู้เห็นตามเป็นจริงก็นำไปสู่ความหลุดพ้น เป็นอิสระอย่างชนิดเด็ดขาดสิ้นเชิง เรียกว่า อสมยวิมุตติ คือ หลุดพ้นไม่จำกัดสมัย เรียกอีกอย่างว่า สมุจเฉทวิมุตติ คือ หลุดพ้นโดยเด็ดขาด”
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต)
ที่มา : หนังสือ “ปฏิบัติธรรมให้ถูกทาง”
ฌาน และ ญาณ ต่างกันอย่างไร
คำว่า “ฌาน” และ “ญาณ” คำที่นักปฏิบัติธรรมและผู้เรียนรู้พุทธศาสนาจำเป็นต้องรู้และทำความเข้าใจ เพราะเกี่ยวเนื่องไปถึง“ความหลุดพ้น”
“ฌาน” คือ สภาพจิตที่มีสมาธิเป็นแกน ประกอบด้วยคุณสมบัติอื่นๆที่ดีงามอีก ๒-๓-๔-๕ อย่าง แล้วแต่ฌานขั้นไหน “ฌาน”เป็นผลที่ประสงค์สำคัญของ “สมถะ” หรือ จิตตภาวนา
ฝ่าย“วิปัสสนา” ที่ว่ามีหลักการคือ รู้ เห็นตามความเป็นจริงนั้น ผลที่เกิดขึ้นของมันคือ “ญาณ” ชื่อใกล้กันมาก ระวังสับสน ผลที่มุ่งหมายของวิปัสสนา คือ “ญาณ”
ผลที่ประสงค์ของสมถะ คือ “ฌาน”
พอถึงผลสำเร็จของวิปัสสนา เป็น “ญาณ”
“ฌาน” ของสมถะนั้น แปลว่า การเพ่งพินิจ แน่วแน่อยู่ จิตอยู่กับสิ่งที่ต้องการได้
แต่..วิปัสสนา ทำให้เกิด “ญาณ” คือ ตัวความรู้ หรือ ความหยั่งรู้ “ญาณ”จึงเป็นผลที่มุ่งหมายของวิปัสสนา ที่พูดมาแล้วนี้ เป็นผลสำเร็จทั่วไป ต่อไปเป็นผลสำเร็จขั้นสุดท้าย
ผลสำเร็จขั้นสุดท้ายของ “สมถะ”
เมื่อทำให้จิตแน่วแน่เป็นอารมณ์เดียว เกิด“ฌาน” พอได้ฌานแล้ว จะเกิดความสำเร็จขั้นสุดท้ายขึ้น คือ จิตจะปลอดพ้นหลุดไป หมายถึง หลุดพ้นไปจากสิ่งที่ไม่ดีที่ไม่ต้องการทั้งหมด
จิตใจของคนเรานี้มีความขุ่นมัว มีความเศร้าหมอง มีกิเลส มีเรื่องทุกข์ร้อนต่างๆมากมาย พอเราทำสมาธิได้“ฌาน”แล้ว จิตอยู่กับสิ่งที่ต้องการได้ สงบ มันก็พ้นไปจากสิ่งที่ไม่ต้องการ สิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่เป็นทุกข์ สิ่งที่เป็นความขุ่นมัวเดือดร้อนวุ่นวาย สิ่งที่เป็นกิเลสทั้งหมด ก็เรียกว่าเป็น ความหลุดพ้น
แต่ความหลุดพ้นนั้นเป็นไปได้ชั่วคราว ตลอดเวลาที่เราอยู่ในสภาพจิตนั้น เมื่อไรเราออกจากสิ่งที่กำหนด ออกจากสมาธิ จิตของเราก็เข้าสภาพเดิม เราก็มีปัญหาได้อีก เราก็มีความทุกข์ได้อีก จิตใจของเราก็มีความขุ่นมัวเศร้าหมองได้อีก อันนี้ จึงถือว่าเป็นความหลุดพ้นชั่วคราว ตอนนี้จะมีความยุ่งเรื่องศัพท์นิดหน่อย ศัพท์ไม่จำเป็นต้องจำ แต่ถือว่าฟังไว้ประดับความรู้ เรียกว่า “วิกขัมภนวิมุตติ”
วิกขัมภนวิมุตติ บางทีท่านเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สมยวิมุตติ แปลว่า หลุดพ้นชั่วสมัย สมย หรือ สมัย แปลว่า เวลา, วิมุตติ แปลว่า ความหลุดพ้น พ้นจากกิเลสและความทุกข์ สมย ชั่วสมัย คือชั่วเวลา ได้แก่ ชั่วเวลาที่เราอยู่ในสมาธิ แต่สมัยหลังมักเรียกกันว่า วิกขัมภนวิมุตติ แปลว่า หลุดพ้นด้วยกดทับไว้ เหมือนอย่างเอาหินไปทับหญ้า ทำให้หยุดงอกงามไป พอเอาหินออกแล้วหญ้าก็กลับเจริญงอกงามต่อไปอีก เหมือนกับกิเลสและความทุกข์ พอได้สมาธิ กิเลสและความทุกข์ก็สงบเงียบ เหมือนกับหายไปหมดไป แต่พอออกจากสมาธิ กิเลสและความทุกข์นั้นก็เฟื่องฟูขยายตัวขึ้นมาได้อีก นี่คือ ผลสำเร็จสุดท้ายของสมาธิหรือของสมถะ คือ สมยวิมุตติ หลุดพ้นชั่วคราว หรือ วิกขัมภนวิมุตติ หลุดพ้นด้วยกดทับหรือข่มไว้
ส่วน“วิปัสสนา” ทำให้เกิด“ญาณ” มีความรู้แจ่มแจ้ง รู้ตามที่เป็นจริง
เมื่อรู้เห็นตามที่เป็นจริงแล้ว จิตจะเป็นอิสระหลุดพ้นจากสิ่งนั้นๆ เด็ดขาดไปเลย
เมื่อเรารู้เข้าใจสิ่งใดตามความเป็นจริงแล้ว จิตของเราก็จะหลุดพ้นจากความยึดติดในสิ่งนั้น แล้วเราก็ไม่ขุ่นมัวไม่ขัดข้องเพราะสิ่งนั้น เมื่อยังไม่รู้ว่าอะไรเราก็ขัดข้องอยู่กับสิ่งนั้น เมื่อเรารู้ เราก็หลุด เราก็พ้นได้ รู้เมื่อไรก็หลุดเมื่อนั้น
ทีนี้ ความรู้เห็นตามเป็นจริง ก็นำไปสู่ความหลุดพ้น เป็นอิสระอย่างชนิดเด็ดขาดสิ้นเชิง เรียกว่า อสมยวิมุตติ คือ หลุดพ้นไม่จำกัดสมัย เรียกอีกอย่างว่า สมุจเฉทวิมุตติ คือ หลุดพ้นโดยเด็ดขาด”
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต)
ที่มา : หนังสือ “ปฏิบัติธรรมให้ถูกทาง”
สติ มีกำลังเป็นมหาสติ
ศีล สมาธิ ปัญญา
เจริญฌานสี่จนบริบูรณ์
แท้แล้วคืออันเดียวกัน
ต่างกันที่ภาษาพูดหรือโวหารเท่านั้น
บุคคลผู้เข้าถึงสามประการนี้
ย่อมเป็นเหมือนกันถึงธรรมอันเดียวกัน
คือเป็น สมาธิที่เป็นเองแล้ว
หรือเรียกว่าหมดกิจหรือสิ้นสงสัย
ท่านไม่ต้องทำสมาธิหรือทำความเพียรอะไรอีกเลย
สมาธิขั้นนี้พระพุทธเจ้าทรงตรัสสรรเสริญว่าเป็นสมาธิที่สมบูรณ์
หรือเรียกว่าอนันตริกสมาธิ
เป็นสมาธิของพระอนาคามีขึ้นไป...
#พระสิ้นคิด...
" ภาวนาอบรมใจ ให้ฉลาดเที่ยงตรง
หักล้างความไม่มีเหตุผล ของตนได้ดี
ภาวนาคือ...การอบรมใจ ให้ฉลาดเที่ยงตรง
ต่อเหตุผลอรรถธรรม
รู้จักวิธีปฏิบัติต่อตนเอง และสิ่งทั้งหลาย
ยึดการภาวนาเป็นรั้วกั้นความคิดฟุ้ง ของใจ
ให้อยู่ในเหตุผล
อันจะเป็นทาง...แห่งความสงบสุข
ใจที่ยังมิได้รับการอบรมจาก...ภาวนา
จึงเปรียบเหมือนสัตว์ ที่ยังมิได้รับการฝึกหัด
ยังมิได้รับประโยชน์จากมัน เท่าที่ควร
จำเป็นต้องฝึกหัดให้ทำประโยชน์ ถึงจะได้รับ
ประโยชน์ ตามควร
ใจจึงควร ได้รับการอบรมให้รู้เรื่อง ของตัว
จะเป็นผู้ควรแก่การงานทั้งหลาย ทั้งส่วนเล็ก
ส่วนใหญ่ ภายนอก ภายใน
ผู้มีภาวนาเป็นหลักใจ
จะทำอะไรชอบใช้ความคิดอ่านเสมอ ไม่เสี่ยง
และ ไม่เกิดความเสียหายแก่ตน และ ผู้เกี่ยว-
ข้อง
การภาวนา...
จึงเป็นงานเพื่อผลในปัจจุบัน และ อนาคต
การงานทุกชนิดที่ทำด้วยใจ ของผู้มีภาวนา
จะสำเร็จลง ด้วยความเรียบร้อย
ทำด้วยความใคร่ครวญ เล็งถึงประโยชน์ที่จะ
ได้รับ เป็นผู้มีหลัก มีเหตุผล
ถือหลักความถูกต้อง เป็นเข็มทิศทางเดิน
ของกาย วาจา ใจ
ไม่เปิดช่องให้ความอยาก อันไม่มีขอบเขต
เข้ามาเกี่ยวข้อง
เพราะ...ความอยากดั้งเดิมเป็นไปตามอำนาจ
ของกิเลสตัณหา
ซึ่งไม่เคยสนใจต่อความผิด ถูก ดี ชั่ว พาเรา
เสียไปจนนับไม่ถ้วน ประมาณไม่ถูก จะเอา
โทษมันก็ ไม่ได้
ยอมให้เสียไปอย่างน่าเสียดาย ถ้าไม่มีสติ
ระลึกบ้างเลยแล้ว ของเก่าก็เสียไป ของใหม่
ก็พลอยจมไปด้วย ไม่มีวันฟื้นคืนตัวได้
ฉะนั้น การภาวนาจึงเป็นเครื่องหักล้างความ
ไม่มีเหตุผล ของตนได้ดี
วิธีภาวนา...
คือ การสังเกตุจิตที่อยู่ไม่เป็นสุขด้วยสติ...
ตามรู้การเคลื่อนไหวของจิตโดย...บริกรรม
ธรรมบทที่ให้ผลดี
วิธีภาวนานั้น ลำบากอยู่บ้างเพราะ...เป็นวิธี
บังคับใจ
วิธีภาวนาก็คือ วิธีสังเกตุตัวเอง สังเกตุจิต ที่มี
นิสัยหลุกหลิก ไม่อยู่เป็นปรกติสุข
ด้วยสติ...
ตามระลึกรู้ความเคลื่อนไหว ของจิต
โดยมีธรรมบทใด ธรรมบทหนึ่ง เป็นคำบริ-
กรรม เพื่อเป็นยารักษาจิต ให้ทรงตัวอยู่ได้
ด้วยความสงบสุข ในขณะภาวนา
ที่ให้ผลดีก็มี...
อานาปานสติ...คือกำหนดจิต ตามลมหายใจ
เข้า-ออก ด้วยคำภาวนา...พุทโธ
พยายามบังคับใจให้อยู่ กับอารมณ์แห่ง
ธรรมบท ที่นำมาบริกรรมขณะภาวนา
พยายามทำอย่างนี้เสมอ ด้วยความไม่ลดละ
ความเพียร
จิตที่เคยทำบาป หาบทุกข์อยู่เสมอ จะค่อย
รู้สึกตัว และ ปล่อยวางไปเป็นลำดับ
มีความสนใจหนักแน่น ในหน้าที่ของตน เป็น
ประจำ
จิต...ที่สงบตัวลงเป็นสมาธิ
เป็นจิต ที่มีความสุข เย็นใจมาก และจำไม่ลืม
ปลุกใจ ให้ตื่นตัว และ ตื่นใจได้อย่างน่าประหลาด
การภาวนา...แก้ไขปัญหาใจ ทุกประการ
ผู้เป็นหัวหน้างาน หรือมีภารกิจมากควรหันมา
ฝึกใจอย่างยิ่ง."
________________________________________
(ที่มา : ภูริทตฺตธมฺโมวาท จากหนังสือ ภูริทตฺต-
มหาเถรานุสรณ์ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต.)
ลูกศิษย์ : หลวงปู่ครับ กราบขอให้หลวงปู่แจงเรื่องการเดินจงกรมว่ามีจุดประสงค์แล้วก็วิธีการยังไงครับ เพราะว่ามีญาติธรรมใหม่อยากจะเรียนรู้น่ะครับ
หลวงปู่ : เดินจงกรมมันเหมือนการเจริญสมาธิอย่างหนึ่ง เพียงแค่ว่าเราเดินเราไม่ได้นั่ง นั้นการที่เราจะเดินจงกรมเราต้องมีจุดหมายปลายจงกรม คือการกำหนดเดิน เดินไปแค่ไหนจะกลับมา อยู่ที่ระยะหรือที่เรากำหนดรู้ ก็คือจุดหมายปลายจงกรม คือกำหนดเดิน ไม่ใช่อยู่ๆก็เดิน อยากจะเดินไปไหนๆก็เดิน นั้นเดินจงกรมต้องมีจุดหมาย
ตอนแรก ก็เดินทอดอารมณ์ไปก่อน แต่มีสติอยู่กับกาย อยู่กับรู้ลมหายใจ อยู่กับที่การเดินของเราว่าเดินอยู่ พอสติมันเริ่มตั้งมั่นก็กำหนดเดิน จิตมันก็จะมีความละเอียดมากขึ้น จนจิตมันตื่นนั่นเอง เค้าเรียกเป็นการผ่อนคลายอิริยาบถ นั้นหมายถึงว่าการเดินจงกรมคือการกำหนดรู้ในอิริยาบถเดินนั่นเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ
เราจะเดินเท้ายก ย่าง เหยียบ ให้รู้สัมผัส ถ้าเราไม่รู้สัมผัสยก ย่าง เหยียบดังนี้แล้ว เพราะการเดินมันต้องมีการทรงตัว ทรงกาย บวกกับสติที่เรากำหนดรู้ ให้มันมาประสานมาผสมเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นอารมณ์เดียวกัน คือจิตไม่ส่งออกไปภายนอก บางคนจะกำหนดรู้เดินก้าวไปว่าพุทโธก็ได้ เป็นการเอาพุทโธมากำหนดกำกับให้มีสติตั้งมั่นเข้าไปอีก
บางคนบอกว่าพุทโธ..เรากำหนดเดิน อย่างนี้ไม่เท่ากับว่าเราไปเหยียบหัวพุทโธหรือยังไง เราต้องรู้ว่าพุทโธนี่เรากำหนดมาจากไหน..เรากำหนดมาจากจิต เราไม่ได้กำหนดมาจากที่เท้าของเรา แต่ฝ่าเท้าที่เราเดินเรากำหนดรู้ว่าเราเดิน แต่เอาพุทโธเป็นตัวกำกับ คนกำกับผู้กำกับนี่เค้าอยู่สูงหรือต่ำจ๊ะ (ลูกศิษย์ : สูงค่ะ) นั้นต้องเข้าใจอย่างนี้ ไม่ใช่ว่ารู้ส่งเดชคิดว่าไปเหยียบหัวพุทโธ..ไม่เอา ไม่เดิน เดินไม่ได้ กูนั่งอย่างเดียวให้รากงอก
การเดินจงกรมคือการกำหนดรู้ มีการกำหนดจุดหมายปลายจงกรม ว่าเราจะเดินไปไหน เดินเท่าไหร่ ทีนี้ถ้าเรายังไม่กำหนดจุดหมายปลายจงกรม เราก็กำหนดอิริยาบถเดินเราไปก่อน เข้าใจมั้ยจ๊ะ เมื่อเราเดินจนจิตสงบตั้งมั่นแล้ว มีกำลังแล้วนั่นแล เพราะในขณะที่เราเดินอยู่นี่ปัญญาที่เราจะไปพิจารณาธรรมมันก็บังเกิดได้เช่นเดียวกันเมื่อจิตมันสงบ
จิตสงบไม่ได้สงบแต่ในท่าเดิน นั่งก็ดี นอนก็ดี ในอิริยาบถใดก็ดี ถ้าจิตมันมีความตั้งมั่น จิตมันเป็นหนึ่งในสมาธิแล้ว มันเป็นธรรมดาหรือเป็นธรรมชาติของจิต..ปัญญามันก็บังเกิด โยมก็สามารถพิจารณาธรรม เมื่อพิจารณาธรรมแล้วเข้าใจมันก็บรรลุธรรมได้ตอนนั้นเช่นเดียวกัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ
นั้นเค้าถึงบอกว่าถ้าเรานั่งไม่ไหวให้เราไปเดิน เราเดินแล้วมันพอคลายจากความง่วง ความหดหู่เศร้าหมองแล้ว เราก็กลับมานั่งอีก..อยู่อย่างนี้ อย่างนี้เค้าเรียกว่าการทำความเพียร ทำความเพียรให้มันถึง จนเรียกว่ากิเลสมันอ่อนล้าลงไป เราต้องปฏิบัติให้กิเลสอ่อนล้า ไม่ใช่เราปฏิบัติให้ตัวเราอ่อนล้า เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ปฏิบัติต้องให้จิตเราตื่น เข้มแข็ง กายก็ต้องมีกำลัง ถ้ากายมันอ่อนล้าต้องทำยังไง เราก็พักกาย ทรงฌานอย่างเดียว ไม่ต้องพิจารณาอะไร ทรงฌานอยู่อย่างนั้น..เพ่งรู้อยู่แต่ลมหายในอยู่ในกาย แม้โยมจะมีร่างกายสังขารอ่อนล้าอย่างไรมันก็ยังไม่หลับไป เพราะว่าโยมกำหนดอยู่ในฌาน พอฌานมันมีกำลังมากๆแล้ว จิตมันมีกำลังมาก..มันจะตื่นของมันเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ดังนั้นว่ากายที่มันมีกำลังที่โยมเอามาประพฤติปฏิบัตินี่ กายมันอ่อนล้าได้ นั้นอ่อนล้าเราต้องเพิ่มกำลังเข้าไปใหม่ ชาร์จไฟเข้าไปใหม่..คือการทรงฌาน การทรงฌานคือการทรงจิตทรงอารมณ์ให้มันนิ่ง นี้จะทำยังไงให้มันนิ่ง..นิ่งอย่างไร ถ้าลมหายใจโยมไม่สงบ..ไม่มีทางนิ่ง เดี๋ยวจะมีอารมณ์ มีผัสสะ มีธรรมารมณ์เข้ามากระทบจิต นอกจากกายสังขารโยมหลับไป อันนั้นก็จะคิดปรุงแต่งอะไรไม่ได้
ดังนั้น แล้วถ้าร่างกายมันอ่อนล้าเราต้องพักกาย ผ่อนกายลงมา ตั้งสติให้ดำรงอยู่ที่กายและในลมหายใจ..คืออานาปานสติ เค้าเรียกว่าหลบภัย ถ้ากายโยมอ่อนล้าแต่โยมไม่ตั้งมั่นในองค์ภาวนา ในสมาธิ ในอานาปานสติ กายโยมก็จะมีภัยได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นแล้วเมื่อกายเราอ่อนล้าเราก็สามารถประพฤติปฏิบัติธรรมได้ คือการภาวนาจิตไว้ อยู่กับลมหายใจ เข้าใจมั้ยจ๊ะ นี่คือการฝึกจิตได้ตลอดเวลา
โยมไม่ต้องไปถามว่า..เราประพฤติปฏิบัติธรรมแล้วไม่เห็นได้อะไร ที่ไม่เห็นเพราะโยมนั้นยังไม่ถึงในตัวปัญญา พอโยมถึงแล้วในกำลังของสมาธิ ในความเพียร ในความศรัทธา..โยมจะเห็นของมันเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ อย่าถามว่าเรานั่งปฏิบัติธรรมแล้วจะได้มั้ยสมาธิ นั่งมาตั้งนานไม่เห็นมันสงบ โยมไม่รู้หรอกจ้ะ ที่โยมไม่สงบมันก็เป็นสมาธิ อ้าว..บางทีโยมก็พิจารณาธรรมขึ้นมาได้ นั่งสมาธิไม่ได้บอกให้โยมสงบอย่างเดียว เพราะไอ้ความสงบของโยม..บางทีพอไม่สงบมันเป็นทุกข์มั้ยจ๊ะ กังวลมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ครับ) ดังนั้นไม่ควรยึดอะไรเลย
คือ กำหนดฝึกสติให้เกิดตัวรู้อยู่อย่างนั้น รู้มากๆแล้วกำหนดรู้นั่นแลถึงจะเป็นปัญญา เพราะถ้าตัวรู้อยู่มันยังเป็นความจำ แต่เอาความรู้ที่โยมมีตัวรู้นั่นแลเอาไปพิจารณา คือไปกำหนดรู้ ถ้าว่าเวทนามันเกิดขึ้นในกาย..ก็ให้กำหนดรู้ในเวทนามันเกิดขึ้นที่ใด แล้วโยมก็กำหนดรู้ในเวทนานั้น ในกายนั้น แล้วพิจารณาละมันลงไป..นั่นเรียกว่าปัญญาเกิดขึ้น
ถ้ารู้แล้ว แต่ยังไม่ใช้ในตัวรู้นั้นมันเป็นความจำ ยังเป็นสัญญา เป็นสังขาร ยังเป็นทุกข์เป็นภัยในวัฏฏะอยู่ ยังตกอยู่ในทาสสมมุติบัญญัติอยู่ ยังไม่ได้ข้ามสมมุติบัญญัติไป..นอกจากปัญญา ถึงได้บอกเป็นปัญญาวิมุติได้ คือข้ามพ้นจากห้วงอารมณ์ตรงนั้น แล้ว ไม่มีอารมณ์ให้ปรุงแต่งแล้วในกายในจิตวิญญาณนั้น ในธาตุขันธ์นั้นก็ดับลงไป..นิโรธมันก็บังเกิด โยมก็จะเห็นทางออกได้ คือสลัดจากอารมณ์ได้ คือความง่วงเหล่าใด หดหู่ใด นิวรณ์ใดมันก็เข้ามาสิงโยมอยู่ไม่ได้แล้ว แสดงว่ามันได้ไปผุดไปเกิดกันหมดแล้ว เข้าใจมั้ยจ๊ะ
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
"ความสัมพันธ์ของอารัมณูปนิชฌาน และลักขณูปนิชฌาน"
"เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสเอาไว้ว่า
#ฌานคือความเพ่งย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีปัญญา
#ปัญญาย่อมไม่มีแก่ผู้ที่ไม่มีฌานคือความเพ่ง
ฌานความเพ่งและปัญญามีอยู่ในผู้ใด ผู้นั้นชื่อว่าปฏิบัติใกล้นิพพาน ดั่งนี้"
.............
วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา
ดั่งนี้จึงต้องอาศัยวิตกวิจาร เพราะว่าการนับก็ดี หรือวิธีอื่นก็ดี ก็รวมอยู่ในวิตกคือตรึกทั้งนั้น ตรองทั้งนั้น คือตั้งจิตประคองจิตทั้งนั้น
และแบบที่ใช้ #พุทโธก็เช่นเดียวกัน
หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ ก็เป็นขั้นวิตกวิจาร อันเป็นเครื่องช่วยให้จิตตั้ง และเมื่อจิตเริ่มตั้งได้ ก็จะเริ่มได้ปีติคือความอิ่มใจ สุขใจ ความซาบซ่านในใจ เกิดสุขคือความสบายกายสบายใจ
และเมื่อได้ปีติได้สุขดั่งนี้จิตก็จะอยู่ตัว เพราะว่าจิตได้สุข ได้ปีติได้สุขจากสมาธิแล้ว ก็ไม่ต้องดิ้นรนพล่านไปหากามคุณารมณ์ ในตอนที่ยังดิ้นรนพล่านออกไปนั้นก็เพราะยังไม่ได้ปีติได้สุขจากสมาธิ
เมื่อได้ปีติได้สุขจากสมาธิแล้วจิตก็จะตั้งมั่นได้สงบได้อยู่ในอารมณ์ของสมาธิ
#จิตก็เป็นเอกัคคตาคือความที่จิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว
ซึ่งเป็นตัวสมาธิ คือความที่จิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว
ลักขณูปนิชฌาน
อันนี้ต้องอาศัยฌานคือความเพ่ง เพ่งจิตลงไปที่อารมณ์ของสมาธิ หรือที่อารมณ์กรรมฐานดั่งที่กล่าวนั้น นี่คือฌานความเพ่ง เพ่งเพื่อให้จิตเป็นสมาธิคือตั้งมั่น อันเป็นตัวฌานคือตัวความเพ่ง และเมื่อได้ฌานคือความเพ่งดั่งนี้ ต้องการจะเลื่อนชั้นของการปฏิบัติเป็นวิปัสสนา #ก็นำเอาความเพ่งที่เป็นสมาธินี้มาเพ่งลักษณะ
#อันหมายถึงไตรลักษณ์ คือลักษณะที่เป็นเครื่องกำหนดหมายว่าไม่เที่ยง มีเกิดดับ เรียกว่าอนิจจลักขณะ หรืออนิจจลักษณะ เพ่งที่ทุกข์ลักษณะหรือทุกขลักขณะ กำหนดหมายว่าเป็นทุกข์ ตั้งอยู่คงที่ไม่ได้ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป เพ่งที่อนัตตลักขณะหรืออนัตตลักษณะ เครื่องกำหนดหมายว่าอนัตตามิใช่อัตตาตัวตน ก็คือเพ่งที่องค์ฌาน หรือองค์ของสมาธิดังกล่าวแล้วนั้นเอง เพ่งดู วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา
เมื่อรวมเข้าแล้วก็เป็นนามรูป สิ่งที่รู้เป็นรูป รู้เป็นนาม เพราะว่าทั้งหมดนั้นก็รวมอยู่ในความรู้ของจิต ตัวความเพ่งเอง หรือตัวสมาธิเอง ก็อยู่ในความรู้ของจิต และความรู้ของจิตนั้นก็แยกได้เป็น ๒ คือเป็นสิ่งที่รู้อัน ๑ ตัวความรู้อัน ๑ สิ่งที่รู้นั้นก็เป็นรูป ตัวความรู้ก็เป็นนาม หรือว่าแยกออกไปเป็นขันธ์ ๕ คือสิ่งที่รู้นั้นก็เป็นรูปขันธ์กองรูป
อันหมายถึงรูปที่ประกอบด้วยธาตุ ๔ หรือว่ารูปที่เป็นสิ่ง คือสิ่งที่รู้ แม้จะไม่ใช่เป็นรูปจริงๆ แต่เป็นสิ่งที่รู้ อะไรก็ตามที่เป็นสิ่งที่รู้ ก็เป็นรูปทั้งนั้น และนามนั้นก็แยกออกไปเป็นเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ เป็นขันธ์ ๕ รวมเข้าก็เป็นสิ่งที่รู้คือรูป ความรู้คือนาม
ก็เพ่งดูลักษณะของรูปนามดังกล่าวมานี้ว่าเป็นสิ่งที่เกิดดับ อันเรียกว่าไม่เที่ยง เป็นสิ่งที่ไม่ตั้งอยู่ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป เป็นทุกข์ และเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะยึดถือว่าเป็นตัวเราของเรา เพราะเหตุว่าเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นสิ่งที่เป็นทุกข์ จึงไม่ควรจะยึดถือเป็นตัวเราของเรา และก็พิจารณารวมเข้ามาว่า สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา เป็นอันว่าอนิจจะทุกขะอนัตตารวมอยู่เป็นจุดเดียวกัน รวมอยู่เป็นเกิดดับ รวมอยู่เป็นความแปรปรวนเปลี่ยนแปลง ไม่ตั้งอยู่คงที่ รวมอยู่เป็นอนัตตามิใช่อัตตาตัวตน
ดั่งนี้ก็เรียกว่าเพ่งลักษณะ ลักขณูปนิชฌานทำให้ได้ปัญญาคือความรู้ทั่วถึงในลักษณะ อันเป็นเครื่องกำจัดความยึดถือ ทำให้เกิดความปล่อยวาง (ตทังค) วิมุติหลุดพ้นจากกิเลสและกองทุกข์ เพราะว่าเมื่อรู้ในลักษณะที่เรียกว่าตามเป็นจริงคือธรรมตามที่เป็นแล้ว ก็ย่อมจะเกิดความหน่ายไม่เพลิดเพลินติดอยู่ในสิ่งที่รู้นั้น เมื่อหน่ายก็สิ้นความติดใจยินดี เมื่อสิ้นความติดใจยินดีก็หลุดพ้นเป็นวิมุติ นี่เป็นการปฏิบัติในทางลักขณูปนิชฌานอันเป็นทางปัญญา
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสเอาไว้ว่า ฌานคือความเพ่งย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีปัญญา ปัญญาย่อมไม่มีแก่ผู้ที่ไม่มีฌานคือความเพ่ง ฌานความเพ่งและปัญญามีอยู่ในผู้ใด ผู้นั้นชื่อว่าปฏิบัติใกล้นิพพาน ดั่งนี้
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร