รู้อะไร ไม่สู้รู้สึกตัว ดูความรู้สึก ตอน เห็นกายจะเห็นจิต เห็นจิตจะเห็นกาย
.
การรู้กายมันจะสื่อถึงจิต คือเห็นกายต้องเห็นจิตด้วยอันนี้ต้องดูให้ถูก ถ้าดูได้ถูกต้อง เห็นกายจะเห็นจิต เห็นจิตจะเห็นกาย เราต้องเห็นความรู้สึกของเรา ไม่คิดปรุงไหลไปจนกายก็ไม่รู้ จิตก็ไม่รู้ อันนี้แหละหลง
.
ถ้าเห็นความรู้สึกของเราแล้ววางเสีย เราก็สงบลง ทีนี้จะนึกจะคิดอะไรก็ได้ ไม่ใช่นึกคิดไม่ได้ แต่เรารู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ คือจะคิดอะไรมันจะเห็นความคิด แม้จะนึกถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้ เราก็รู้ตัวของเราอยู่ ไม่มีทางหลงได้เลย
.
เราต้องฝึกอันนี้ อย่าไปทำอย่างอื่นเลย เราต้องอยู่เหนือมัน ไม่ให้มันลากเราไป ถ้าเราเห็นอยู่อย่างนี้ ก็คือเรารู้ตัวเราเห็นตัวเรา เห็นจิตเห็นใจ พอจิตมีการเขยื้อนก็รู้ พอรู้ก็วาง พอว่างก็สงบ อาการสงบเราก็เห็นอยู่ มันมีอะไรผิดปกติเราก็รู้ทันที เช่น โอ้ เผลออีกแล้ว อันนี้หมายถึงการฝึกสติ
.
เน้นคำว่ารู้ตัวไม่ใช่ไปทำความสงบ ฟังให้ดี ๆ ใจเฉย ๆ ก็ให้เห็นว่าไม่มีอะไร เราจะพูด คิด ทำอะไร หรือใครมายั่วยุยังไง เราก็ยังเห็นจิตของเรา นี่ เรารู้ตัวอยู่ รู้จักจริง ๆ เราจะควบคุมจิตของเราได้ ไม่ใช่การบังคับจิตนะ เพียงแต่รู้ อะไรเป็นอะไร จะรู้จักวางเฉย
.
หลวงพ่อ สมบูรณ์ ฉัตตสุวัณโณ
รู้อะไร ไม่สู้รู้สึกตัว
“วิญญาณ” มีสองอย่าง คือ “วิญญาณในขันธ์ห้า” และ “ปฏิสนธิวิญญาณ”
“ปฏิสนธิวิญญาณ” คือ “วิญญาณตัวมาเกิด” เป็นคนทีแรก
ส่วน “วิญญาณในขันธ์ห้า” หมายถึง “ความรู้ที่เกิดขึ้นเบื้องต้น” ของ “ผัสสะ” แล้วก็หายไป เช่น ตาเห็นรูป ตัว “ผู้รู้” นั้นเรียกว่า “วิญญาณ”
ต่อจากนั้น ตัว “สัญญา” ก็เข้ามาแทน มา “จำ” ได้ว่าเป็น รูปนั่นรูปนี่แล้ว “สัญญา” ก็ “ดับไป”
“สังขาร” ก็เข้ามา “ปรุงแต่งคิดนึก” ต่อไป
อัน “ความรู้” ว่าเป็น "รูปทีแรกนั่น" เรียกว่า “วิญญาณขันธ์ ในขันธ์ห้า”
“ธรรมทั้งสี่” อย่างนี้ มันหากทำหน้าที่ ของสัตว์ผู้จะเกิดต่างหาก ผู้จะมาเกิดต้องมี "ธรรมสี่อย่าง" นี้สมบูรณ์จึง "จะเกิดได้"
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
" แค่เรารู้ตัวบ่อยๆ ความไม่รู้ตัวจะหายไปเอง "
รู้ตัวหรือรู้สึกตัว มีสติแล้ว สติ ทําให้เกิด สมาธิ แม้เป็นสมาธิชั่วขณะ แต่ชั่วขณะ ถ้ามาต่อกันเรื่อยๆ มันก็ได้สมาธิที่ยาวนานขึ้น
และแม้เพียงชั่วขณะ แต่เห็นบ่อยรู้บ่อย ก็สามารถเจริญวิปัสสนาได้แล้ว เกิดวิชชาไปล้างอวิชชา สามารถเข้าไปเห็นความจริงแห่งธรรม " เกิดแค่แว็บเดียว ขณะจิตเดียว "
คนเราเคยชินที่จะอยู่กับความคิดเพราะอยู่มาตลอด เลยทําให้อยู่กับสัมมาสติยาก(ไม่ใช่สติแบบความคิด) แต่พอเราหมั่นเจริญสติรู้ตัวบ่อยๆ จะทําให้เรามีสัมมาสติ จะทําให้เราอยู่กับสติมากขึ้นง่ายขึ้นและนานขึ้น พอถึงตรงนี้เราจะอยู่กับความคิดยากขึ้นเราจะไม่ไหลไปกับความคิด แล้วเวลาคิด จะต้องพยายามคิดด้วย เหมือนคิดเป็นครั้งๆรอบๆไป คิดเสร็จมันก็จะไหลมาอยู่กับสัมมาสติอยู่กับความว่างอยู่กับการรู้สึกตัว เป็นอย่างนี้ได้เมื่อไหร่จะเป็นสัมมาสติแบบอัตโนมัติครับ
" ให้เจริญกุศลและละอกุศล "
เมื่อเราตามรู้อารมณ์แล้วเราไปเจออารมณ์โกรธ ไม่ใช่ให้ไปพิจารณาโกรธ เท่ากับไปเจริญอกุศล สุดท้ายก็จะไปมีราคะอยากให้มันดับจนเกิดภพชาติ ดังนั้นเวลามีผัสสะมากระทบ ให้แค่รู้แล้วละทันทีอย่าไปพิจารณาเจริญอกุศล ตรงนี้เข้าใจผิดกันเยอะ มัวไปนั่งพิจารณาโกรธไปเจริญอกุศลกัน
ความว่างเป็นมหากุศล ว่างนี้ไม่ใช่อารมณ์ว่าง แต่มีสติมากเอาปัญญามาละจึงว่าง ไม่ใช่ว่างแบบไม่มีสติ หลักการสติยิ่งมากกุศลยิ่งมาก
ที่คุณยังมีสติได้เพราะมันเป็นโกรธเล็กๆ หากเจอโกรธใหญ่ๆ จะทําให้จิตไปจับอยู่กับอกุศล วงจรภพชาติจึงเกิด "ให้แค่รู้ แล้วทิ้งไปเลยดีกว่าครับ" อย่าไปพิจารณาโกรธ เพราะ ในจิตที่ละเอียด คุณจะเกิดราคะโมหะ เกิดความอยากให้โกรธดับ เป็นความคิด ไม่ใช่รู้ ที่เกิดจากใจที่รู้แล้วครับ คุณกําลังคิดไม่ให้โกรธต่อให้โกรธดับ ความคิดก่อเกิดเป็นภพเป็นชาติไม่จบไม่สิ้น พระพุทธองค์ไม่สรรเสริญการปล่อยให้เกิดภพชาติแม้เพียงชั่วลัดนิ้วมือ สรุปเจอผัสสะต่างๆ(ไม่เพียงแค่โกรธ) ให้แค่รู้ แล้วละทิ้งไปเลย แค่รู้ เป็นวิปัสสนาแล้วครับ แต่หลังจากรู้มันเป็นคิด(แถมคิดในอกุศล) เมื่อคิดปุ๊บวิปัสสนาก็หายไปทันที ให้เห็นเพียงสักแต่ว่า ก็คือตรงนี้หล่ะครับ เช่นตากระทบรูป เห็นแล้วก็จบ ไม่ให้ค่าไปต่อเห็นเป็นเพียงสักแต่ว่า ไร้การปรุงแต่ง การคิดละโกรธเราไปปรุงต่อไปแล้วครับ มันไม่เห็นเพียงสักแต่ว่าแล้ว
"บุญใหญ่...ในพระพุทธศาสนา"
คำสอนหลวงพ่อเทียน จิตตฺสุโภ
"ความหลงผิด "คื อ
มั น นึ ก มั น คิ ด ขึ้ น ม า แ ล้ ว ก็ ป รุ ง ไ ป เ อ ง"
...
คนเราไปหาเงินหาทองแล้วก็มาทำบุญ
แล้วมันก็ยังละความหลงผิดไม่ได้
คือยังไม่เลิกละจาก ความโลภ ความโกรธ ความหลง คือยังเลิกไม่ได้
อันนั้นยังไม่เรียกว่าเป็น "บุญแท้"
คือเป็นบุญตามวัตถุเท่านั้น
จะมีเงินร้อยล้านพันล้าน
ไปจ้างคนอื่นมาทำให้เรา มันก็ไม่ได้
ตรงกันข้าม ไม่มีเงินแม้สตางค์แดงเดียว
ทำเอาก็ได้ รู้ได้เหมือนกัน
อันนี้เป็นวิธีปฏิบัติง่ายๆ ไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไร
คือไปไหนมาไหน ...
"ต้ อ ง มี ส ติ ติ ด ต า ม ดู ค ว า ม คิ ด ใ ห้ เ ห็ น ใ ห้ รู้ ใ ห้ เ ข้ า ใ จ"
...
ความเห็น ความรู้ ความเข้าใจอันน้อยๆนี้แหละ มันจะสะสมเอาไว้
เมื่อมันสะสมเอาไว้เต็มสมบูรณ์มันแล้ว
มันจะโพลงตัวขึ้นเรียกว่า "เป็นอัศจรรย์"
เมื่อมันอัศจรรย์ขึ้นแล้ว สิ่งที่ไม่เคยรู้ "ต้องรู้"
สิ่งที่ไม่เคยเห็นก็ "ต้องเห็น"
สิ่งที่ไม่เคยเข้าใจ ต้อง "เข้าใจ"
เรียกว่าอัศจรรย์เหมือนแผ่นดินไหวนั่นแหละ
...
อันบุญนั้น ไม่ต้องทำกับพระก็ได้
เราเอาของให้ใครนั้น เรียกว่า "การทำบุญ"
การทำบุญนั้น เรียกว่า "การทำดี"
การทำดี เรียกว่า "การทำบุญ"
ทำแล้วยังมีความโกรธ ความโลภ ความหลงอยู่
นั่นมันยังดีไม่มาก
...
ให้เอาสติมาดูความคิดนั่น
การที่จะไม่ให้ความโกรธเกิดขึ้นนั้น
เราต้องมาดูความคิด มาดูจิตดูใจเราสิ
ว่ามันคิดขึ้นมาปุ๊บเห็นปั๊บ
หัดบ่อยๆ ฝึกบ่อยๆ เหมือนกับนักมวย
นักมวยนี่พอขึ้นเวทีต้องชก ไม่มัวแต่มาไหว้ครู
ถ้ามัวมาไหว้ครู มันจะไม่ทันเหตุการณ์
การฝึกอันนี้ก็เหมือนกัน ไม่ใช่ให้มันโกรธแล้วค่อยมาฝึกหัด
อันนี้มันไม่ทัน ต้องฝึกหัดเตรียมไว้ก่อน
...
เมื่อมีคู่ต่อสู้มายุให้เราโกรธ อันนี้เราไม่โกรธ
เพราะเรามีสมมุติฐานเข้าไปถึงความคิด
เรามีสัมมาทิฏฐิ คือมีความเห็นที่ถูกต้อง
มันเลยมาตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้าคือ "ไม่เห็นแก่ตัว"
เมื่อมันทำลายความหลงผิดได้แล้ว นั่นคือ บุญอย่างแท้จริง
ดังนั้น เ ร า ต้ อ ง ม า ทำ ค ว า ม เ ห็ น แ จ้ ง ค ว า ม รู้ จ ริ ง ใ น
"ต้ น ต อ ค ว า ม คิ ด ข อ ง เ ร า นี้"
อันนี้คือ "บุ ญ ใ ห ญ่ ใ น พ ร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า"
...
คำสอนหลวงพ่อเทียน จิตตฺสุโภ
บางส่วนจากกวีธรรมท่านเขมานันทะ
ชุด "สติภาวนา"
หลักคือ ให้เอาฐานกาย เป็นที่ตั้งอยู่ของใจ เพื่อให้ใจไม่วอกแวก อยู่กับฐานกาย แล้วก็ดูกายไปในตัวด้วย เช่น รู้สึกตัวไปกับการขยับกาย หรือ รู้สึกตัวกับลมหายใจ
พอใจเราเริ่มอยู่กับกายมั่นคงขึ้น เห็นกายชัดขึ้น ส่วนที่เหลือก็คือจิตใจ เมื่อเห็นกายชัด ใจมันจะยกระดับมองไปเห็นอีกฝั่งเอง ก็คือไปเห็นจิตใจนั้นเอง ทําอย่างนี้จะทําให้เราไม่เผลอใจวอกแวกไหลไปตามจิตใจหรืออารมณ์ความคิดต่างๆน้อยลงไปเรื่อยๆ
การดูจิตใจก็แค่ให้รู้ว่าความคิดหรืออารมณ์ใดเกิดขึ้นมา แค่รู้ แต่ไม่ไหลไปตามจิตใจหรือไม่ไหลไปตามอารมณ์ความคิดนั้นๆ รักษาใจไว้กับฐานกายตามเดิม ใช้กายเป็นที่ตั้งของใจ เพื่อเรียนรู้ความจริงของกายและของจิตใจ
ละชั่วให้หมดทําความดีให้ถึงพร้อม ก็ยังอยู่แค่กรรมเท่านั้น ยังไม่พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด
สังขารมีแต่ความเสื่อมเป็นธรรมดา ทําปัญญาให้ถึงพร้อมเถิด ใช้ปัญญาประหารกิเลส
เห็นเป็นไตรลักษณ์ ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล
เจริญสติเป็นมรรค
ทําจิตให้บริสุทธิ์ ทําความดีให้ถึงพร้อม เรายังเป็นผู้เดินทาง
ดูอาการปรากฏทางกาย ที่ชัดที่สุดในบัจจุบันๆเป็นสติเป็นพุทธะ ให้ปัญญาทํางาน
ศีล สมาธิ ปัญญา
วิปัสนาตัดทอนภพชาติได้ เอากิเลส ตัณหา มาตอน
ศีลเป็นสะพาน ทานเป็นเสบียง ภาวนาไม่ให้หลงทาง
เพื่อประหารกิเลสตัณหา กิเลสตัณหาทําให้เกิดภพชาติ
กิเลสตัณหามี 3 ระดับคือ หยาบ กลาง ละเอียด
รบด้วย ศีล รบกิเลสตัณหาอย่าง หยาบ
สมาธิ รบกิเลสตัณหาอย่าง กลาง
ปัญญา รบกิเลสตัณหาอย่าง ละเอียด
เอาสติไปปลูกให้ตื่น เป็นพุทธะ
มีสติระลึกรู้ตน
การปฏิบัติธรรมเราจะไม่เลือกว่าชอบอะไร แต่มีสภาวะอะไรให้รู้ให้เห็นก็เพียงแค่ รู้เห็น เราเองไม่เป็นผู้เลือก "เราเป็นเพียงผู้รู้ ผู้เห็น แต่ไม่ตามยึดรู้ ยึดเห็น
แค่รู้ แต่ไม่ต้องรู้ว่าเรื่องอะไร"
หากไปคิดญาณหายหมด กลายเป็นความคิดไปหมด
วิปัสนาญาณจะเกิดในช่วงที่ไร้ความคิด ความคิดเป็นการปรุงแต่งของจิต จิตนั้นย่อมไม่ว่าง วิปัสสนาย่อมไม่เกิด ปัญญาย่อมไม่มี
การปฏิบัติธรรม แท้จริงแล้วอยู่กับการสัมผัสรู้ ไปกับการใช้ชีวิตประจําวัน ไม่ได้มีเพียงแต่สถานที่สงบ การไปวิ่งสวนลุมผู้คนมากมาย หรือ แม้แต่การไปเดินห้างหาอะไรทาน ก็ล้วนเป็นการปฏิบัติธรรมได้ทั้งนั้น
มีเพียงการทําสมาธิเพื่อให้ได้ฌานเท่านั้น ที่ต้องการความสงบอย่างมาก ต้องมีช่วงปลีกวิเวก ที่สามารถนั่งสมาธิได้วันละหลายชั่วโมง ซึ่งเมื่อผ่านมาแล้วก็รู้ว่า คนปัจจุบันทําได้ยาก เพราะต้องอดทนสูงมาก เมื่อพอได้แล้วก็จะรู้ว่าจริงแล้ว ถ้านั่งสมาธิจนได้ฌานไม่ได้ ก็ไม่เป็นไรเลย เพราะสามารถ ทําความรู้สึกตัว ไปเรื่อยๆ สุดท้ายจะทําให้ได้สมาธิขณะสั้นๆเอง และเมื่อเราถึงพร้อม จะได้ฌานเป็นอัตโนมัติไปเอง
สังเกตุให้ดี จะเห็นว่าพระอาจารย์หลายท่าน เน้นเรื่อง ความรู้สึกตัวกันทุกท่าน เพราะ การรู้สึกตัวนี้หล่ะ คือ สติปัฏฐาน4
ความรู้สึกตัวหรือสติ ทําให้เกิดสมาธิโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว เมื่อเกิดสมาธิที่มีฐานของสติกํากับอยู่ จะทําให้ได้ สัมมาสมาธิ ไม่หลุดไปเป็นมิจฉาสมาธิที่เกิดจากการเผลอไปนั่งเพ่ง โดยไม่รู้ตัวอีกด้วย
ดังนั้นสิ่งที่สําคัญที่สุดคือการหมั่น " รู้สึกตัวบ่อยๆ " เท่านั้นเอง
จุดที่ยืนอยู่เริ่มต้น หากแค่ปรับวาระใจให้ถูก การเป็นผู้รู้ เกิดกับใจเมื่อไหร่ ก็เหมือนกับยืนอยู่ จุดหมายปลายทาง แค่ใจที่อิสระ ไม่ยึดถืออารมณ์ความคิด
การปฏิบัติแท้จริงแล้วมันง่าย ง่ายจนผู้คนมองข้ามไปหมด เพราะการไม่ทําอะไร ไม่ปรุงแต่งอะไร แค่รู้สึก แค่รู้ นี้หล่ะปฏิบัติแล้ว
แต่เพราะผู้คนคิดว่าการปฏิบัตินั้นต้องมีการทําอะไร แต่เพราะการยิ่งไปทําอะไร ที่เข้าไปปรุงแต่งใจมาก กับกลายเป็นมาขวางให้ ญาณปัญญารู้ธรรม ไม่บังเกิดขึ้นเสียที
คำสอนหลวงพ่อสมบูรณ์
เห็นแล้วไม่มีอะไรอย่าลืมอันนี้
เดี๋ยวนี้ไม่มีอะไรก็รู้ว่าไม่มีอะไร มีอะไรก็รู้ว่ามีอะไร แม้แต่มีอะไร ก็เห็นว่านั่นเป็นเพียง ปรากฏการณ์
รู้อยู่เห็นอยู่จะปรุงอะไรไม่ได้
รู้ตัวเห็นกายเห็นใจ
เห็นใจเฉยๆไม่มีอะไร แต่รู้อะไรเป็นอะไร สงบอยู่ หยุดอยู่ พักอยู่
เห็นความรู้สึกอะไรก็อย่างงั้นๆ
ถ้าเผลอมีอะไรก็เรื่องของมันเดี๋ยวมันก็ดับ
สัมผัสเดี๋ยวนี้พอรู้ตัวไม่มีทุกข์
คือเห็นความเป็นไปไม่ใช่จบหรือไม่จบ
ตื่นโพล่งรู้ตัวอะไรจะเข้าไม่ได้
รู้ได้นี่แหละคือพุทธะ
รู้ได้ไม่ใช่เราต้องรู้
คนเราเวลาปฏิบัติธรรมมักจะมุ่งให้มันได้อะไรๆ แต่ไม่เห็นธรรมดา
มันก็ไม่มีอะไรเกิดมีเพียงแต่รู้ รู้แล้วก็เห็นความเป็นไป
ตัวความรู้สึกเวลากระทบสัมผัสต่างๆ มันเพียง "รู้" เท่านั้นเอง รู้แล้วก็จะไม่มี
มันเป็นธรรมชาติเป็นความรู้สึกไม่ใช่ตัวเรา
ถ้าไม่มีตัวเราเข้าไปร่วมมันก็ไม่มีความคิดความเห็น มันได้แต่ "รู้" รู้อะไรก็รู้เฉยๆ รู้อะไรเป็นอะไร
ถ้า "เห็น" "ความรู้สึก" จะ "เฉยๆ" ไม่มีอะไร
นั่นแหละ "ภาวะเดิม"
ดู "ความรู้สึก" จะเห็นหมดเลย รู้ตัวหรือรู้ความรู้สึก อันเดียวกัน รู้ตัวหรือตัวอันนี้หรือกายใจนี้แหละ
ถ้าเห็น "ความรู้สึก" มันจะไม่ยินดียินร้าย คือเห็นธรรมชาติล้วนๆ จิตล้วนๆ จิตหรือธรรมชาติอันเดียวกัน มันไม่ใช่ตัวเรา เป็นธรรมชาติเท่านั้น
ตัวรู้สึกเนี่ย พอมาเห็นมัน มันหมดรสชาติเลย
พอเห็นความรู้สึกมันหยุดหมด มันไม่มีเลย มันไม่มีอะไร มันไม่ต้องไปละอะไรเลย
ตัว "รู้" เขามีอยู่แล้ว เขาปล่อยเอง วางเอง จิตพักอยู่ หยุดอยู่
หลวงพ่อสมบูรณ์ ฉัตตสุวัณโณ
- ในขั้นแรกนี้ ต้องมีความพยายามมากหน่อย เพราะเป็นความพยายามที่สวนทางกับความคิดความเคยชินเก่าๆ ที่ชอบใช้ชีวิตไปตามอารมณ์ ท่านจึงแนะนำให้เราหัดตั้งสติกันก่อน
เมื่อได้สติก็ให้ทำความรู้ตัวที่กาย ที่อิริยาบถการเคลื่อนไหวต่างๆของเรา ให้มีหลักมีแนวอยู่อย่างนี้ ไม่ปล่อยตนเองไปตามความคิดตามอารมณ์ที่แทรกซ้อนขึ้นมา
จะเบื่อหน่ายลังเล คิดไปคิดมาอย่างไร
ก็ให้รู้จักวางอารมณ์นั้นๆ กลับมาทำหน้าที่หลักคือ การเป็นผู้อยู่ด้วยสติรู้ตัว หัดเป็นผู้รู้จักวางความคิด วางอารมณ์นั้นๆ กลับมาทำหน้าที่หลัก คือ การเป็นอยู่ด้วยสติรู้ตัว
- ขณะที่เรารู้จักปลุกสติสัมปชัญญะตื่นตัวตั้งมั่นขึ้นมาได้แล้ว เราจะเริ่มเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น จากเดิมที่เป็นคนครุกกรุ่นอยู่ ในอารมณ์หนึ่ง อ่อนไหวเกินไปแข็งกร้าวเกินไป อะไรต่างๆเราจะเริ่มสุขุมขึ้น
จิตเราจะเริ่มละเอียดอ่อน เห็นภาวะ เห็นความเป็นจริงต่างๆตามที่เป็นอยู่ เห็นกาย เห็นจิต เห็นอารมณ์ความคิดของตนเอง อย่างรู้เท่าทันจริงๆ
- การเห็นภาวะอาการต่างๆในจิต เห็นจิตในจิต เห็นกระแสความคิด ความเชื่อความทะยานอยากตามความเคยชินของตนเองอย่างตรงไปตรงมา
จะทำให้เราเกิดปัญญาญาณ รู้จักตนเอง รู้จักปลด รู้จักวางทิฏฐิมานะ ที่เราคิด ติด ยึด ต่างๆนานา อย่างที่เราไม่เคยนึก ไม่เคยเห็นมันมาก่อน วางไปละไป อาศัยปัญญาญาณจากการเห็นภาวะเห็นจิตในจิตของตนเอง
จะทำให้เรารู้จักปลดเปลื้องตนเองจากอารมณ์จากนิสัยเดิมๆมากขึ้น ชีวิตเราจะเป็นอิสระ ตื่นตัวขึ้น เป็นชีวิตประจำวันที่มีความรู้สึกตัวพร้อมโต้ตอบ อยู่กับงานกับการต่างๆมากขึ้นเป็นลำดับ
หลวงพ่อคำเขียน สุวณฺโณ
หนังสือ ตถตา หน้า ๑๗๙
หลวงปู่เทพโลกอุดรสอนว่า "จงดูจิตเคลื่อนไหวเหมือนเราดูละคร"
การปฎิบัติธรรมทางด้านจิต
จงเป็นผู้มีสติปัญญารู้เท่าทันความเคลื่อนไหวของจิตทุกลมหายใจเข้าออกและทุกอิริยบท เว้นเสียแต่หลับ เมื่อรู้ทันจิตแล้ว ต้องรู้จักรักษาจิต คุ้มครองจิต
จงดูจิตเคลื่อนไหวเหมือนเราดูลิเกหรือละคร เราอย่าเข้าไปเล่นลิเกหรือละคร
ด้วย เราเป็นเพียงผู้นั่งดู อย่าหวั่นไหวไปตามจิต
จงดูจิตพฤติการณ์ของจิตเฉย ๆ ด้วยอุเบกขา จิตไม่มีตัวตนแต่สามารถกลิ้งกลอกล้อหรือยั่วเย้าให้เราหวั่นไหวดีใจและเสียใจได้ ฉะนั้นต้องนึกเสมอว่าจิตไม่มีตัวตน อย่ากลัวตจิต อย่ากลัวอารมณ์ เราหรือสติสัมปชัญญะต้องเก่งกว่าจิต
ความนึกคิดอารมณ์ต่าง ๆ เป็นอาการของจิต ไม่ใช่ตัวจิต แต่เราเข้าใจว่าเป็นตัวจิตธรรมชาติคือผู้รู้อารมณ์ คิดปรุงแต่งแยกแยะไปตามเรื่องของมัน แต่แล้วมันต้องดับไปเข้าหลักเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป คือไม่เที่ยง ไม่จีรังยั่งยืนทนได้ยากเป็นทุกข์ และสลายไปไม่ใช่ตัวตน มันจะเกิดดับ ๆ อยู่ตามธรรมชาติ
เมื่อเรารู้ความจริงของจิตเช่นนี้ เราก็จะสงบไม่วุ่นวาย เราในที่นี้หมายถึงสติปัญญา สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรม (สิ่งทั้งปวง) เป็นอนัตตาคือไม่ใช่ตัวตน
นิมิตที่เกิดขึ้นขณะนั่งสมาธิมีอยู่ ๒ ประการ คือ
๑. เกิดขึ้นเพราะเทพบันดาล คือเทวดาหรือพรหมแสดงภาพนิมิตและเสียงให้รู้เห็น
๒. นิมิตเกิดขึ้นเพราะอำนาจสมาธิเอง
นิมิตจะเป็นประเภทใดก็ตาม ขอให้ผู้เจริญกรรมฐานจงเป็นผู้ใช้สติปัญญาให้รู้เท่าทันนิมิตที่เกิดขึ้นนั้นด้วยปัญญา อย่าเพิ่งหลงเเชื่อทันทีจะเป็นความงมงาย
ให้ปล่อยวางนิมิตนั้นไปเสียอย่าไปสนใจให้เอาจิตทำความจดจ่ออยู่เฉพาะจิต
เมื่อจิตสงบรวมตัว จิตถอนตัวออกมารับรู้นิมิตนั้นอีก หากปรากฎนิมิตอย่างนี้ซ้ำ ๆ ซาก ๆ หลายครั้งแสดงว่านิมิตนั้นเป็นของจริงเชื่อถือได้ แต่อย่างไรก็ตามนิมิตที่มาปรากฏนี้อยู่ในขั้นโลกียสมาธิ นิมิตต่าง ๆ จึงเป็นความจริงน้อย แต่ไม่จริงเสียมาก จงมุ่งหน้าทำจิตให้สงบเป็นอัปนาสมาธิ อย่าสนใจนิมิต หากทำได้อย่างนี้ จิตจะสงบตั้งมั่น เข้าถึงระดับฌานจะเกิดผลคือสมาบัติสูงขึ้นตามลำดับ
จิตจะมีพลังอำนาจอันมหาศาล ฤทธิ์เดชจะตามมาเองด้วยอำนาจของฌาน
*พระคาถาบูชาบรมครูเทพโลกอุดร (ฉบับย่อ)*
" โลกุตตะโร จะมหาเถโร
อะหัง วันทามิ ตังสะทา
เมตตาลาโภ นะโสมิยะ อะหะพุทโธ "
สติปัฏฐาน 4 คือ การเจริญสติระลึกรู้
1. กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ การหมั่นใคร่ครวญโดยเน้นที่เรื่องรูปธรรม
2. เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ การหมั่นใคร่ครวญโดยเน้นที่เรื่องนามธรรมในส่วนความรู้สึกจากสัมผัส
3. จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ การหมั่นใคร่ครวญโดยเน้นที่เรื่องนามธรรมในส่วนของการรับรู้
4. ธรรมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ การหมั่นใคร่ครวญโดยเน้นทุกเรื่องทั้งรูปธรรมและนามธรรม
รู้ วิชชา คือ ไม่ใช่รู้ธรรมดา
คือ มันล้าง วิชาเก่า สัญญาที่เคยรู้มาในทางโลกและทางธรรม จำได้มากน้อยเพียงใด ล้างเกลี้ยง
ปล่อยให้มันดับไปหมด ยังเหลือแต่ ดวงจิตตั้งเที่ยง ไม่เอียงไปข้างหน้า ไม่เอียงไปข้างหลัง
ไม่เอียงไปข้างซ้าย คือ อัตตกิลมัคคานุโยโค คือ ความไม่พอใจ
ไม่เอียงไปข้างขวา คือ กามสุขัลลิกานุโยโค คือ ความพอใจ
จิตนิ่งสบายเป็นกลาง วางเฉย ตั้งตระง่าน เป็นสัมมาสมาธิ
เมื่อสัมมาสมาธิ เกิดขึ้นในจิต มันก็มีเงามองเห็น เงาปรากฎ เกิดวิปัสสนากรรมฐาน คือ ตัววิชชา
ท่านพ่อลี วัดอโศการาม
สังเกตดูให้ดีเถิด .. ที่วุ่นๆอยู่นี้ เพราะมัวแต่ไปวิ่งไล่ตามของนอกตัวทั้งนั้น
เข้ามาดูข้างในดีกว่า เห็นการปรุงจนหยุดปรุงได้ .. นั่นแหละ ของข้างนอกก็สิ้นปัญหาไปเอง ปัญหามันก็ไม่ใช่ปัญหาไปเอง
ปัญหามันเกิดจากข้างใน ไม่ใช่มันเกิดจากข้างนอก ..
ของข้างนอกมันก็เป็นของมันแบบนี้มาตั้งนานแล้ว วนไปวนมา ซ้ำไปซ้ำมา ..
มีแต่ข้างในเราเองแหละที่ไปหาเรื่องหาราว ไปมีปัญหากับมัน อยากนั่นต้องการนี่(เงื่อนไขเยอะ) ไขว่คว้า บังคับ เรียกร้องไปเรื่อย .. พอไม่ได้สมใจก็ทุกข์ .. ทุกข์เพราะไม่รู้จักหยุดจักพอ
สิ้นปัญหาได้เพราะหยุดจากข้างใน ..ข้างในพ้นไปแล้ว ของข้างนอกใดไม่อาจสร้างทุกข์ให้ใจได้อีก
#รู้จักกายทิพย์7ระดับและระดับที่เข้าสู่การสะกดจิต
#กายทิพย์จะอยู่ในรูปพลังงานมองไม่เห็นแต่อาศัยอยู่กับเราชั่วชีวิต
ระดับพลังงานกายทิพย์มี7ระดับ คือ
1.กายสัมผัส(Etheric Body)
2.กายอารมณ์(Emotional Body)
3.กายความคิด(Mental Body)
4.กายความคิดระดับลึก(Higher Mental Body)
5.กายวิญญาน(Spiritual Body)
6.สัมโภคกาย(Causal Body)
7.ธรรมกาย(Ketheric Body )
สหัสภุชสหัสเนตรอวโลกิเตศวร มหาสัตว์มหาโพธิสัตว์
“ฐีติภูตัง ของหลวงปู่มั่นนี้หมายความว่าอย่างไร”
“ธมฺมฏฺฐิตตา ธมฺมนิยามตา ธมฺมฏฺฐิตตา เพราะความที่จิตสงบ นิ่ง เด่น สว่างไสวอยู่ ธมฺมนิยามตา หมายถึงอารมณ์จิตที่ละเอียดอันเป็นสภาวะอยู่หนึ่ง มาปรากฏให้จิตรู้อยู่ตลอดเวลา มันมีลักษณะเหมือนว่าสิ่งรู้ก็อยู่ประเภทหนึ่ง
.
ตัว ฐีติ นี้มันก็นิ่งเด่นของมันอยู่ หมายถึงในขณะที่จิตกับอารมณ์มันแยกออกจากกันได้แล้ว ทีนี้เพราะความรู้ทั้งนี้เกิดขึ้น จิตไม่มีอุปาทานยึดมั่นในความรู้นั้น
.
มันจึงปรากฏว่าสิ่งรู้ทั้งหลายนี้เป็นอันหนึ่ง จิตก็เป็นอีกอันหนึ่ง ความรู้ที่เกิดขึ้นแล้ว มันแยกออกจากจิตได้ มันเป็นตัว วิสังขาร แต่ถ้ารู้แล้วจิตยังสำคัญมั่นหมายว่าอะไรเป็นอะไรอยู่ มันเป็นตัว สังขาร มันเป็น สังขารา อนิจจา ฐีติภูตัง ของหลวงปู่มั่นนี้เป็นวิสังขาร จิตรู้แล้วไม่ยึดสิ่งรู้ มีแต่ปล่อยวางลูกเดียว”
.
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
แก่นคำสอนหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
รู้สึกตัว...เห็นความคิด
@ รูปกายนี้ มันเคลื่อนมันไหวอยู่เรื่อยๆ ไม่เคยหยุดนิ่ง ตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่ มันจะเคลื่อนไหวโดยวิธีใดก็ให้รู้ ผมเลยเอามาทำเป็นจังหวะ ทำจังหวะ : ยกมือเข้า เอามือออก ยกมือไป เอามือมา ฯลฯ เพื่อเป็นการเรียกร้องให้มีสติมั่นคงอยู่กับรูปกาย อย่างนี้ ตลอดไปถึงจิตใจคิดนึก สองอันนี้เป็นเชือกผูกสติเอาไว้ เมื่อความคิดเข้ามา เราเห็น-รู้ กำมือ เหยียดมือ ยกไป ยกมา นี้ก็รู้ แต่ไม่ต้องเอาสติมาจ้องตัวนี้ อย่าเอาสติมาคุมตัวนี้ ให้เอาสติไปคุมตัวความคิด คำว่า "ไปคุม" คือ ให้คอยดูมัน ดูไกลๆ ดูสบายๆ อย่าไปดูใกล้ๆ มันจะเป็นการเพ่ง ไม่เป็นมัชฌิมา จึงว่า - ทำใจไว้เป็นกลางๆ พอมันคิดปุ๊บ - ทิ้งไปเลย
@การเฝ้าดูความคิดโดยไม่พยายามไปทำหรือจัดการอะไรกับมัน เพียงแต่ดูมันเฉยๆ แล้วปล่อยมันไป นี้คือหนทางของอิสรภาพจากทุกข์
@เพียงดูความคิดนี่แหละ เพียงความเคลื่อนไหวนี่แหละ มันเป็นเอง ความเป็นเองมันมีอยู่แล้ว พร้อมแล้วที่จะปรากฏในคนทุกคนได้
@เพียงเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของจิตใจ อย่าไปบังคับจิตไม่ให้คิด อย่าไปพยายามป้องกันหรือกำจัดความคิด คนส่วนใหญ่ต้องการทำจิตใจให้สงบ เขาเหล่านั้นไม่ต้องการให้จิตใจคิด นั่นเป็นความเข้าใจของคนอื่น แต่ในทัศนะของข้าพเจ้าแล้ว เราควรปล่อยให้จิตใจนึกคิด ยิ่งมันคิดมากเราก็ยิ่งรู้
รู้ธรรม...คือรู้ตัวเอง
@ พุทธะ จึงแปลว่า ผู้รู้ รู้ธรรม เห็นธรรม เข้าใจธรรม รู้ธรรมก็คือรู้ตัวเรา กำลังทำ กำลังพูด กำลังคิด เข้าใจธรรม เมื่อรู้อันนี้แล้วก็เลยรู้บาป รู้บุญ บาปก็คือโง่นั่นเอง คือไม่รู้ คืออยู่ในถ้ำ มืดอยู่นั่นแหละ ถ้าเราออกจากถ้ำได้ เรามาอยู่ปากถ้ำ อยู่ข้างนอกถ้ำ เราก็สามารถมองเห็นอะไรได้ทุกอย่าง
@ พุทธศาสนาจริงๆ นั้นคือ ตัวสติ-ตัวสมาธิ-ตัวปัญญาที่ฝึกฝนทำดีแล้วนั่นแหละ ตัวพุทธศาสนามีในตัวคนทุกคน แล้วแต่บุคคลนั้นจะประพฤติปฏิบัติให้มันปรากฏขึ้นหรือเปล่า เป็นเรื่องของบุคคลนั้น
@ การรู้เฉยๆ นี้ยังไม่เห็นความคิด รู้เรื่องรูปนามนี่ยังไม่เห็นความคิด มันคิดจากไหนไม่รู้ มันคิดแล้วมันก็เข้าไปในความคิด รู้ไปเรื่อยๆ รู้แต่ดี ชั่วไม่รู้ อันนี้เป็นปัญหาที่ทุกคนควรจำเอาไว้
ความรู้สึกตัว
@ ความรู้สึกตัวเป็นรากเหง้าของบุญ ความไม่รู้เป็นรากเหง้าของบาป
@ การรู้สึกตัวนั้น เป็นไม้ขีดไฟ เทียนไขนั้นก็คือ มันคิดเรารู้ เราพยายามจุดสองอย่างนี้ จุดแล้วก็สว่างขึ้นมา ก็เดินหนีออกจากถ้ำ ไม่เข้าไปอยู่ในถ้ำ ถึงจะต้องเข้าไปอยู่ในถ้ำ ก็ต้องไม่ให้มันมืดต่อไป ต้องรู้สึกตัวทันที นี่แหละคือการปฏิบัติธรรม
@ การรู้สึกตัวนี้ ให้รู้สึกลงไป เมื่อมันไหวขึ้นมาให้รู้สึกตามความเป็นจริงที่มันเคลื่อนไหวนั้น เมื่อมันหยุดก็ให้รู้สึกทันทีว่ามันหยุด อันนี้เรียกว่า สงบ สงบแบบรู้สึกตัว
@การรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวของร่างกาย คือ การเจริญสติ สมาธิ คือ การตั้งใจ
ความสงบ
@ ที่เราต้องการความสงบ หรือพุทธะ เราไม่ต้องไปทำอะไรให้มาก เพียงให้ดูต้นตอของชีวิต เมื่อมันคิดมาอย่าเข้าไปในความคิด ให้ตัดความคิดออกให้ทัน
@ ความสงบที่แท้จริงจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ เราหยุดการแสวงหา ต่อเมื่อเราไม่ต้องวิ่งหาบุคคลอื่นนั้นเรียกว่า ความสงบ
@ ความสงบมีอยู่แล้วโดยไม่ต้องทำขึ้น เป็นความสงบจาก โทสะ โมหะ โลภะ เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นแก่เรา สติจะมาทันที เนื่องจาก สติ สมาธิ ปัญญา อยู่ที่นั่นแล้ว โทสะ โมหะ โลภะ จึงไม่มี ถ้าบุคคลใดไม่ได้เจริญสติ ไม่ได้ทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น บุคคลนั้นจะไม่มีมัน ทั้งๆ ที่มันมีอยู่ที่นั่นแล้ว
ธรรมะ...อยู่ที่กายใจ...ไม่ต้องไปแสวงหา
@ การแสวงหาพระพุทธเจ้าก็ตาม แสวงหาพระอรหันต์ก็ตาม แสวงหามรรคผลนิพพานก็ตาม อย่าไปแสวงหาที่ๆ มันไม่มี แสวงหาตัวเรานี่ ให้เราทำความรู้สึกตื่นตัวอยู่เสมอ นี่แหละ จะรู้จะเห็น
@ ให้ลืมตาทำ เคลื่อนไหวโดยวิธีใดก็ให้รู้ มันเป็นการไหลไปตามธรรมชาติของมัน ตาก็ไม่ต้องบังคับให้มันหลับ ให้มันกะพริบขึ้นลงได้ตามธรรมชาติ เหลือบซ้ายแลขวาก็ได้ มันจึงเป็นการปฏิบัติธรรมกับธรรมชาติ และมันก็รู้กับธรรมชาติจริงๆ
@ หนทางไปสู่ความสิ้นสุดของทุกข์นี้ เป็นหนทางที่ง่าย เหตุที่ยาก เพราะเราไม่รู้มันอย่างแท้จริง เราจึงมีแต่ความลังเล และสงสัย
วิปัสสนาญาณ ...สู่ปัญญา
@ การที่เราเคลื่อนไหว แปลว่าปลุกตัวเราให้ตื่น เมื่อมันคิดให้มันรู้ ความรู้มันจะไปดับโทสะ โมหะ โลภะ จะดับความยึดมั่นถือมั่น แล้วจิตใจเราก็เป็นปกติ เมื่อเป็นปกติแล้วสิ่งใดมาถูกเรา เราจะรู้สึกทั้งหมด เมื่อรู้สึกแล้วเหมือนสิ่งหนึ่งสิ่งใดขาดออกจากกัน-คนไม่มี นี่แหละที่ว่าพระพุทธเจ้าฆ่าคนให้ตาย มีแต่ชีวิตของพระล้วนๆ ชีวิตของพระไม่มีเกิด ไม่มีตาย
@ วิธีการยกมือขึ้น คว่ำมือลง เป็นวิธีเจริญสติ เป็นวิธีเจริญปัญญา เมื่อได้สัดได้ส่วนสมบูรณ์แล้ว มันจะเป็นเองไม่ยกเว้นใครๆ อยู่ที่ไหนก็ทำได้ เด็กๆ ก็ทำได้ ผู้ใหญ่ก็ทำได้ นุ่งผ้าสีอะไรก็ทำได้ ถือศาสนาลัทธิอะไรก็ทำได้ เรียกว่า ของจริง
@ วิปัสสนา คือ การเห็นแจ้งรู้จริง เห็นอะไร? ก็เห็นตัวเองนี่เอง กำลังนั่งอยู่ พูดอยู่ในขณะนี้ เห็นจิตใจมันนึกคิดอยู่เดี๋ยวนี้ อันนี้แหละเป็น "วิปัสสนา" จริงๆ
@ คำว่า "วิปัสสนา" นั้นเป็นเพียงชื่อเท่านั้นเอง แต่ตัวจริงของวิปัสสนานั้น ตามตัวหนังสือแปลว่า รู้แจ้ง-รู้จริง รู้แล้วต่างเก่าล่วงภาวะเดิม ว่าอย่างนั้น ถ้าหากรู้แจ้ง-รู้จริง เราจะไปเสียเวลาดูฤกษ์งามยามดีกันทำไม จะไปไหว้ผีไหว้เทวดากันทำไม ถ้าหากรู้แจ้งรู้จริงแล้วก็ไม่ต้องกลัวใครทั้งหมด
ต้นทางพระนิพพาน...ดับทุกข์
@ การที่เราเห็นความคิดนี่เอง เป็นต้นทางพระนิพพานแล้ว เมื่อมันคิดวูบขึ้นมา เราก็เห็นปั๊บ อันกระแสความคิดนี้มันไว ไวกว่าแสง ไวกว่าเสียง ไวกว่าไฟฟ้า ไวกว่าอะไรทั้งหมด เมื่อได้เห็นสมุฏฐานความเร็ว ความไวของความคิดแล้ว เรียกว่า อรรถบัญญัติ
@ การเห็นการรู้ความคิด เป็นสองสิ่งที่แตกต่างกัน การรู้คือการเข้าไปในการคิดและความคิดก็คงดำเนินต่อไป เมื่อเราเห็นความคิด เราสามารถหลุดออกมาจากความคิดนั้นได้
@ เมื่อเราเห็นความคิดในทุกขณะ ไม่ว่ามันจะคิดเรื่องใดก็ตาม เราเอาชนะมันได้ทุกครั้งไป แล้วเราจะมาถึงจุดหนึ่ง ที่บางสิ่งในภายในจะเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน
@ การทำความรู้สึกตัวนั้น จึงมีอานิสงส์มาก ถ้าหากไม่รู้สึกตัวในขณะไหนเวลาใดแล้ว เรียกว่าคนหลงตน ลืมตัว หลงกายลืมใจ คล้ายๆ คือเราไม่มีชีวิตนี่เอง
@ ให้ดูใจ เมื่อคิดขึ้นมา เห็น รู้เข้ามา ทำความเคลื่อนไหว มันจะวาง วางใจ มันจะมาอยู่กับความรู้สึก เมื่อมาอยู่กับความรู้สึกแล้วปัญญามันจะเกิด คนจะล่วงทุกข์ไปได้เพราะปัญญา
@ ตัวนึกคิดนี่แหละคือสมุทัย มรรคคือการเอาสติมาดูความคิด นี่คือข้อปฏิบัติ
@ ให้เห็นความคิด อย่าไปห้ามความคิด และอย่าไปยึดไปถือ ให้ปล่อยมันไป นี่คือการเห็นความคิด คิดแล้วให้ตัดปุ๊บเลย เหมือนการวิดน้ำออกไปจากก้นบ่อ ทำอย่างนี้นานๆ เข้า สติจะเต็มและสมบูรณ์ คิดปุ๊บเห็นปั๊บ อันนี้แหละคือระดับความคิด ที่เรียกว่า ปัญญา ซึ่งเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างละเอียด
@ แท้จริงแล้วนั้น กิเลสมิได้มีอยู่จริง แล้วเราจะไปชนะมันได้อย่างไร สิ่งที่เราต้องทำเพียงอย่างเดียวคือ เราเพียงแต่ดูจิตใจโดยชัดเจน เผชิญหน้ากับความคิดโดยแจ่มชัด เมื่อเราเห็นใจอย่างชัดเจน โมหะก็จะไม่มีอยู่
@ หลักพุทธศาสนาจริงๆ สอนให้ละกิเลส คือความอยากนี้เอง แต่ตัวที่มันอยาก เรากลับไม่เห็น ไม่รู้ เราต้องดูจิตดูใจ ให้เข้าใจทันทีว่า เออ…กิเลสเกิดขึ้นแล้ว ต้องเห็นที่ตรงนี้
@ คำสอนของพระพุทธเจ้าจริงๆ นั้น สอนให้เราประพฤติปฏิบัติ เพื่อทำลายความหลงผิด ความหลงผิดเกิดขึ้นนั้น ท่านว่าเป็นทุกข์ ทุกข์เพราะเรามีความโกรธ ทุกข์เพราะเรามีความโลภ ทุกข์เพราะเรามีความหลง ถ้าเราไม่มีความโกรธ ความโลภ ความหลงแล้ว เราก็ไม่ต้องมีทุกข์ ทำการทำงานอะไรก็ต้องไม่มีทุกข์
ใช้ชีวิตไปกับความรู้สึกตัว เมื่อไหร่ที่ความคิดมาเยี่ยมเยี่ยน ก็เฝ้ารู้เฝ้าดูอย่างมีสติ เห็นก้อนของความคิด เกิดขึ้น ดํารงอยู่ และดับไป
การที่จะสลัดความรู้ตัวการมีสติออกไป ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเมื่อมันมีอยู่กับตัวแล้ว ปกติความรู้สึกตัวจะไม่อยู่กับเราตลอด แต่จะอยู่กับเรามากขึ้นไปเรื่อยๆ จากการพัฒนา ผู้รู้ผู้ดู
...ละความเพลินไปเรื่อย สุดท้ายจะเหลือแต่ความรู้สึกตัวเป็นสติ ผู้รู้จะเด่นขึ้นมา...
ถ้าหลุดมากๆหลงเตลิดไปกับคิดมากๆ มีความทุกข์มากๆเพราะไปยึดคิดถึงทุกข์จึงทุกข์ ก็ไปอาบนํ้าเลยครับเปิดนํ้าฝักบัวรดทั่วตัว รับสัมผัสความรู้สึกตัวไป แผ่เมตตาไปด้วยเหมือนเรากรวดนํ้าผ่านกายเรา ให้แก่สรรพสิ่งทั้งหลาย กายใจที่ผ่อนคลาย นั้นหล่ะครับ รู้สึกตัวได้สุขสดชื่นเลย เจริญในธรรมครับ
“คุณสมบัติของผู้ที่จะบรรลุธรรม”
ธรรมะรุ่งอรุณ
๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๒
ถ้ามีปัญญาที่สามารถตัดกิเลสได้ก็บรรลุได้ ถ้าขจัดความอยากต่างๆ ให้หมดไปจากใจได้ก็บรรลุธรรมได้ แต่ส่วนใหญ่มันจะตัดไม่ได้ถ้าไม่มีสมาธิ เพราะถ้าไม่มีสมาธิ ใจจะไม่มีกำลังที่จะไปตัดกิเลส ถึงแม้จะมีมีด แต่ไม่มีกำลังไม่มีเรี่ยวไม่มีแรงก็ตัดไม่ได้ แต่ถ้ามีเรี่ยวมีแรงแล้วมีมีดก็จะสามารถฟันกิเลสฆ่ากิเลสให้ตายได้
ตอนนี้เรามีปญญาที่เกิดจากการฟังธรรม แต่ใจของเรานี้อ่อนปวกเปียกเหมือนเด็กทารก ไม่มีกำลังที่จะเอาปัญญาเอามีดของพระพุทธเจ้านี้ไปฆ่ากิเลสได้ เราจึงต้องมาฝึกสมาธิกัน เพื่อทำให้จิตนี้แข็งแรงเหมือนเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ไม่ใช่เป็นเด็กทารก คนที่ไม่มีสมาธินี้ก็เป็นเหมือนเด็กทารก ใจจะอ่อนปวกเปียก จะโลเล จะไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์ แต่ถ้ามีสมาธิแล้วจะเป็นคนหนักแน่น มีหลัก มีเกณฑ์ มีพลังที่จะทำอะไรต่างๆ ได้
ดังนั้น การฟังเทศน์ฟังธรรมอย่างเดียวถ้าไม่มีสมาธินี้ ยากที่จะบรรลุได้ ผู้ที่บรรลุจากการฟังเทศน์ฟังธรรมนั้น ส่วนใหญ่เขามีสมาธิกันแล้ว เช่นในครั้งพุทธกาล ครั้งที่ พระพทุธเจ้าทรงแสดงธรรมให้กับบรรดานักบวชทั้งหลาย พวกนี้เขามีฌานมีสมาธิกันแล้ว แต่เขาไม่มีปัญญา พอเขาได้ปัญญาจากพระพุทธเจ้า เขาก็เอาปัญญานั้นมาฆ่ากิเลสได้ทันทีเลย บรรลุธรรม ได้ในขณะที่ฟังเพราะเขามีสมาธิแล้ว เขามีกำลังที่จะเอามีดที่พระพุทธเจ้าหยิบยื่นให้ไปฆ่ากิเลสของเขา แต่พวกเรานี้ตรงกันข้ามกัน พวกเรามีมีด เราฟังเทศน์ฟังธรรมของพระพุทธเจ้า เรารู้ว่ากิเลสคืออะไร แต่เราไม่มีกำลังที่จะไปฆ่ามัน
ดังน้ัน เราต้องมาฝึกสมาธิกันก่อน คือถ้าเรา ฟังเทศน์แล้วไม่บรรลุ เรายังตัดกิเลสไม่ได้ ก็แสดงว่าเราไม่มีกำลังไม่มีมาธิ เราก็ต้องมาฝึกสมาธิกัน ถ้าเรามีสมาธิแล้วเราเอาธรรมะท่ีพระพุทธเจ้าสอนให้เราเอามาใช้ เราก็จะสามารถเอามาฆ่ากิเลส ฆ่าตัณหาต่างๆให้หมดไปจากใจได้ เราก็จะสามารถบรรลุธรรมขั้นต่างๆ ได้
หนังสือ: สติธรรม
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
รู้แต่ไม่รู้อะไรเลย
การเจริญสตินั้น แม้เราจะเดินจงกรม แต่ไม่ควรเอาจิตไปปักไว้ที่ฝ่าเท้า หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่ผมแนะนำให้เอาการเคลื่อนไหว อาการเคลื่อนไหว ซึ่งไม่ใช่แข้ง ไม่ใช่ขา แต่การเคลื่อนไหวของแข้งและขา แยกให้ออก มือกับการเคลื่อนไหวแห่งมือ การเคลื่อนไหวแห่งมือนี้ อย่าไปใส่ใจที่มือ แต่ให้ใส่ใจที่การเคลื่อนไหว ...
กายเคลื่อนไหว ใจรู้ คือเรียกว่ารู้ตัวก็ได้ ส่วนการเคลื่อนไหวนั้นเป็นฐาน เป็นสิ่งที่ยากสำหรับผู้ติดคิด แต่ไม่เหลือวิสัย บางคนบอกว่าไม่สามารถจับอารมณ์ได้ เพราะเมื่อจิตไปดูสัมปชัญญะ ไปดูการเคลื่อนไหว มันจับไม่อยู่ มันหลวม ๆ ก็ถูกต้องแล้ว เพราะว่าเราเคยชินกับการจ้องจับอะไรที่ชัด ๆ ถ้าให้เรากำหนดจิตที่หนึ่งที่ใดเราทำได้ง่าย แต่พอเราพรากจากฐานอันนั้นมาสู่การเคลื่อนไหว ซึ่งเป็นธรรมดาที่มันจะไม่ชัด แต่ในความไม่ชัดนั้นเองมันจะสลายการรวมศูนย์ กลายเป็นการรู้ตัวทั่วพร้อมกว้าง ๆ
เพราะว่าการเคลื่อนไหวนั้นเป็นกึ่งรูปกึ่งนาม ก่อนหน้านี้เราชินกับการกำหนดรูป จะให้นั่งดู เพ่งดู สิ่งใด เราก็ดูได้ เกิดภาวะดวลกันระหว่างผู้ดูและสิ่งที่ถูกดู นี่คือโลกของจิตสำนึกธรรมดา ซึ่งขึ้นกับวัตถุ ขึ้นกับวัตถุเป็นที่ตั้ง ให้เราดูผู้หญิง เราก็ดูได้ง่าย เราก็เห็นได้ชัด ดูผู้ชาย ดูวัว ดูควาย ดูต้นไม้ เราเห็นได้ชัด แต่หันมาดูความคิดใด ๆ นี่มันไม่ได้แล้ว
เพราะฉะนั้นเป็นธรรมดา ถ้ามาดูการเคลื่อนไหว ดูยาก ดูไม่ชัด แต่ในความไม่ชัดนั่นแหละคือความชัด ถ้าไปชัดเป็นรูปธรรมขึ้นมาเป็นความยึดติด ดังนั้นเองให้เคลื่อนไหวไว้ให้ต่อเนื่องด้วยสัมปชัญญะ ไม่ใช่ดูด้วยตาเนื้อ ตาเนื้อก็เบิกไว้ ลืมตาเข้าไว้ แต่ไม่ดูอะไรโดยจำเพาะ เห็นทุกอย่าง แต่ไม่เห็นอะไรเลย รู้ตัวโดยไม่รู้อะไร ถ้าเข้าใจศิลปะแห่งการเห็นเช่นนี้ก็จะรื่นรมณ์ มีสุนทรียภาพอยู่ในการเห็น
โดย เขมานันทะ
"จิตที่ถูกปรุงแต่งนั้น ไม่ใช่จิตแท้"
มันเป็นมายา เท่ากับสิ่งทั้งปวง
ความคิดปรุงแต่ง ก็เป็นอย่างเดียวกัน
ถ้าจิตปรุงแต่ง หรือความคิดปรุงแต่งกำลังมีอยู่หรือทำหน้าที่อยู่
จิตแท้หรือจิตหนึ่งนั้นจะไม่ปรากฎเลย
เมื่อใดไม่มีความคิดปรุงแต่ง จิตหนึ่งก็ปรากฎทันที
เรียกอีกอย่างหนึ่ง ก็เรียกว่าจิตเข้าถึงความว่าง
ตัวเองหาย กลายเป็นความว่าง หรือจิตหนึ่งไป
ความคิดปรุงเเต่งนั้น เจือด้วยอุปาทาน
หรือความยึดถือในของคู่ๆ...
ถ้าไม่หลงในของคู่ อุปาทานก็ไม่เกิด
คือกิเลสตัณหาไม่เกิดนั่นเอง
สภาพจิตเดิมแท้จะปรากฎออกมาเป็นความว่างจากกิเลสตัณหา
หรืออุปาทานโดยประการทั้งปวง....
ท่านพุทธทาส...แปลจากฮวงโป
ในการปฏิบัติที่มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยต่างกันเนื่องจากพระอาจารย์แต่ละท่านปฏิบัติจนพบเจอธรรมแก่ใจตนในวิธีที่ต่างกันไป
ท่านจึงสอนในวิธีที่ท่านถนัดแล้วเข้าถึงธรรม ให้แก่ศิษย์ทั้งหลาย ดุจดังภูเขาลูกหนึ่งทางที่ขึ้นสู่ยอดเขาได้ย่อมมีหลายทาง ถ้าเราเดินทางถูกย่อมขึ้นสู่ยอดเขาเพื่อได้มรรคผลเหมือนกัน
เมื่อเราปฏิบัติจนแจ้งแก่ใจเราแล้วจะเห็นว่าไม่มีสิ่งใดผิดเลยในวิธีปฏิบัติหล่าวนี้ จุดที่จะเดินปัญญาได้นั้นต้องปฏิบัติมาจน แยกกายแยกใจ ได้ชัดเจน จึงจะเกิดปัญญาที่เรียกกันหลายชื่อ เช่น วิปัสสนาญาณ ปัญญาญาณ ปัญญารู้ธรรม
เวลาปฏิบัติไปจนแยกกายใจได้แล้วนั้น มันไม่ได้แยกปุ๊บแล้วปัญญาชัดปั๊บ มันจะค่อยๆแยกชัดขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งนานพอสมควรเลย แต่ละคนใช้ระยะเวลาไม่เท่ากัน ซึ่งปัญญาที่เกิดจะค่อยๆเกิดสะสมทีละเล็กละน้อย ไปเรื่อยๆ
แสงสว่างของปัญญาจะค่อยๆสว่างขึ้น จนเห็นกายไม่ใช่เรา ปัญญานั้นจะสว่างต่อไปเรื่อยๆ จนเห็นจิตไม่ใช่เรา ถึงได้ตรงนี้เส้นทางเดินแห่งมรรคผลก็ชัดแจ้งแก่ใจตนเอง โดยไม่ต้องไปฟังธรรมอะไรที่ไหนแล้ว มันเป็นการรู้จากกายจากใจตนเอง
แต่คนที่เพึ่งแยกกายใจได้แรกๆ จะยังไม่รู้ตัวว่าแยกได้ ผมเองตอนที่แยกได้ก็ไม่รู้ ยังมองไม่ออกว่าเกิดปัญญาขึ้นบ้างแล้ว เพราะเพึ่งแยกกายใจได้ยังแยกไม่ชัด และปัญญาที่เกิดแรกก็ยังน้อย และยังเอามา ปนกับความคิดจากสมองอยู่เยอะ(จุดนี้หล่ะที่บอกว่าปฏิบัติแล้วอย่าสงสัยมาก พอมันไปคิดแล้ว ปัญญารู้มันไม่เกิด)
ดังนั้นผู้ปฏิบัติจึงยังแยกไม่ออก ระหว่างรู้ที่เกิดจากปัญญารู้กับรู้ที่เกิดจากสมองคิด เพราะมันปนกันอยู่ จนเมื่อแยกชัดขึ้นไปถึงจุดหนึ่ง ก็จะรู้ได้ด้วยตนเอง หรือไม่ก็มีผู้ปฏิบัติที่ได้สภาวะเหนือกว่าบอก
ลืมตัวแบบรู้ตัว รู้ตัวแบบลืมตัว
ชีวิตนั้นมีศูนย์กลางตรงรู้สึกตัวได้ ในความรู้สึกตัวได้ ถ้ามันถูกเคี่ยวกรำเข้า มันก็กลายเป็นความรู้ตัว จากความรู้ตัว มันเป็นรู้ล้วน ๆ รู้ล้วน ๆ นั้นคือพุทธะ
อุปมาเหมือนน้ำแข็งก้อนหนึ่ง เย็นแข็งทื่อ แต่เมื่อเรามาต้มอังไฟเข้า ก็ค่อย ๆ ละลายไปกลายเป็นน้ำ พอน้ำเดือดกลายเป็นไอ พอกลายเป็นไอ เรามองไม่เห็นแล้ว ฉันใดก็ฉันนั้น ความรู้สึกตัวทึบ ๆ หนัก ๆ รู้สึกตัวได้ดีแล้วแต่มันยังหนักอยู่ แต่ถ้าปฏิบัติต่อไป มันค่อย ๆ กลายเป็นรู้ตัวล้วน ๆ รู้ล้วน ๆ ไปทีน้อย ๆ เบากายเบาใจไปเรื่อย
ที่เราจับการเคลื่อนไหวนั้นเพื่อจะรู้สึกตัว หรือเรารู้สึกตัวในการเคลื่อนไหว เป็นกระบวนการอันเดียวกัน เสริมกัน แต่ถ้ารู้ตัวมากเกินก็กลายเป็นจ้องตัวเอง แล้วมันจะเครียดขึ้น ดังนั้นภาวะที่เราปรารถนาจริง ๆ คือสมดุลระหว่างรู้ตัวและลืมตัว ลืมตัวแบบรู้ตัว รู้ตัวแบบลืมตัวนี่สำคัญ ถ้าเรารู้ตัวตลอด ยึดติดกับปัจจุบันขณะจะอึดอัด ชาวพุทธมักเข้าใจว่า นิพพานเป็นปัจจุบัน แล้วพยายามปฏิบัติเพื่ออยู่ในปัจจุบันขณะ นั่นเป็นความยึดติด
พระพุทธเจ้าปฏิเสธว่านิพพานไม่ได้เป็นปัจจุบัน นิพพานไม่เป็นอดีต ไม่เป็นอนาคต ไม่เป็นแม้แต่ปัจจุบัน แต่ปัจจุบันเป็นฐานของการภาวนา
เราต้องตั้งฐานที่ปัจจุบันขณะก่อน ต้องละแม้แต่ปัจจุบัน เพราะฉะนั้นความรู้สึกตัวของเราต้องเป็นความรู้สึกเบา ๆ
ท่านคงปฏิเสธไม่ได้ว่า วันที่เราสบายที่สุด คือเราเดินแล้วลืมตัว แต่เราไม่ได้บ้า ไม่ได้เสียจริต ไม่ได้ตกท่อตกคูที่ไหน ไม่ได้ไปฆ่าใครที่ไหน รู้ตัวแบบลืมตัว ลืม ๆ เรื่องราวส่วนตัวไป ภาวะเช่นนั้นเป็นเป้าประสงค์หลักของเรา เพราะที่ตรงนี้ กฎธรรมชาติจะทำกิจของการปลดปล่อยเป็นเอง สัญชาตญาณไม่ประสงค์ทุกข์จะทำงาน
โดย เขมานันทะ
หลักของพระพุทธศาสนา – วิธีดับทุกข์แบบของพระพุทธเจ้า (๔/๑๐)
“…เมื่อเรารู้จักเรื่องนามรูปแล้ว
เราจะรู้จักวัตถุ-ปรมัตถ์-อาการ
‘วัตถุ’ นี้ หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่าง
‘ปรมัตถ์’ ก็คือ กำลังเป็นอยู่-มีอยู่-เข้าใจอยู่
สัมผัสได้อยู่ในขณะนั้น
‘อาการ’ ก็หมายถึง ความเปลี่ยนแปลง
วัตถุทั้งหลายที่มองเห็นได้ด้วยตา จับถูกด้วยมือนั้น
มันก็เป็นอาการชนิดหนึ่ง
เช่น บ้านเรือนก็มีการผุพัง-เปลี่ยนแปลงได้
บัดนี้ วัตถุอีกชนิดหนึ่งซึ่งมันมีจริง ๆ เห็นจริง ๆ เข้าใจจริง ๆ
'วัตถุ' แปลว่า 'มีจริง'
วัตถุ หมายถึง ของจริงที่มีอยู่-มันมีอยู่ มีอยู่หมดทุกคน
อันนี้ชื่อว่า ‘การเขย่าธาตุรู้’ของบุคคล มีอยู่แล้วทุก ๆ คน
*แต่เมื่อเรายังไม่เห็น นั้นแสดงว่าเรายังไม่เข้าใจ
แต่ตามความจริงมันมีอยู่แล้ว*
เมื่อเราดูอยู่นี้แหละ เราเห็น
อ้อ! 'วัตถุ' หมายถึง ตัวจริงของจิตใจหรือว่าชีวิต
'ปรมัตถ์' ก็เรากำลังเห็นความเป็นอยู่-มีอยู่นี้แหละ
มันคิดขึ้นมา อ้อ-อาการเปลี่ยนแปลงของมันเป็นอย่างนั้น
ประเดี๋ยวมันคิดเรื่องนั้นขึ้นมา ประเดี๋ยวมันคิดเรื่องนี้ขึ้นมา
อันนี้เป็นอาการของความคิด
เป็นวัตถุ-เป็นปรมัตถ์-เป็นอาการชนิดหนึ่ง
เมื่อเห็นอยู่อย่างนี้แหละ
เรียกว่า 'เราเห็นธรรมอีกชนิดหนึ่ง'
*การเห็นธรรมชนิดนี้
เพื่อไปปราบ ความโลภ-ความโกรธ-ความหลง ให้หมดไป
(เรียกว่า) เรารู้จักสมุฏฐานของความคิด*
เมื่อเราไม่เห็นอันนี้แหละ ซึ่งก็คือ 'ความหลง'
'หลง'แปลว่า'ไม่เห็น' เมื่อไม่เห็น-ก็ไม่เข้าใจ
แล้วมันก็จะเป็นสมุฏฐาน
ทำให้เกิดความโกรธ ทำให้เกิดความโลภขึ้นมา
‘มรรค' ท่านว่า ‘เป็นข้อปฏิบัติเพื่อให้ถึงความดับทุกข์’
ดังนั้น *'มรรค' ก็คือ 'เราเอาสติมาคอยดูความคิด'*
**นี้เองคือข้อปฏิบัติ**
และในขณะเดียวกันก็จะทำการทำงานอะไรก็ได้
ปฏิบัติที่ว่า (คือ) คอยดูอยู่นี้
ไม่ใช่เอามือปฏิบัติมรรคนะ
*มือนี้ก็ต้องทำการทำงานไปตามหน้าที่ของเรา
ส่วนใจนั้น เราต้องคอยดูตัวความคิด*
จึงว่า 'มรรค เป็นข้อปฏิบัติเพื่อถึงความดับทุกข์'
เมื่อเราเห็นสมุฏฐานของมันแล้ว ก็เรียกว่า...
ซึ่งก็ต้องสมมติอีก
เพราะ*คนที่ยังไม่เคยได้ยิน-ได้ฟัง
ไม่เคยรู้-ไม่เคยเห็น-ไม่เคยปฏิบัติ จะไม่รู้เลย*
จึงจำเป็นต้องมาว่าเรื่องสมมติ
หรืออุปมา หรือเปรียบเทียบให้ฟังอีก
สมมติคนที่ไม่เคยเห็นวิธีใช้ไฟฟ้า ไปเปิดไฟฟ้า
เขาก็ไปจับเอาที่ตัวหลอดไฟ แล้วหมุนอยู่อย่างนั้น
หมุนจนตาย หลอดไฟก็ไม่สว่าง
เพราะที่นั่นไม่ใช่สมุฏฐานที่ไฟฟ้าจะสว่างได้
เปรียบก็ว่า
คนลักษณะนั้นเป็นผู้ที่ยังไม่รู้สมุฏฐานต้นเหตุของความคิด
เขาจึงคิดว่า โทสะ-โมหะ-โลภะมีอยู่เป็นประจำ
เขาจึงพูดกันไปอย่างนี้
ส่วน*คนที่รู้จักสมุฏฐานของความคิดแล้ว
เขาก็จะรู้ตามความเป็นจริงว่า โทสะ-โมหะ-โลภะ ไม่มีเลย*
ดังนี้ ๒ คนนี้(มี)ความเห็นไม่ตรงกันแล้ว
ดังนั้น การสอนธรรมะนั้นจึงไม่เหมือนกัน
ผมจึงพูดว่า
*'ตัวสมุฏฐานของโทสะ-โมหะ-โลภะ
ไม่มีปรากฏเกิดขึ้นมาได้ เพราะว่าเราเห็น'*
ถึงเวลาแล้ว
ที่เราจะไปทำความสว่างให้ตัวชีวิตจิตใจของเราให้ถูกวิธี
เหมือนกับการที่จะไปเปิดไฟฟ้า
ไปทำความสว่างให้กับหลอดไฟฟ้าอย่างนั้น
เราไม่ต้องจับหลอดไฟ
ไปกดที่สวิตซ์ไฟ แล้วมันก็ทำความสว่างที่หลอดโน้นเอง
อันนี้ก็เหมือนกัน
ความจริงแล้ว เราไม่ต้องไปว่ามัน
'เจ้าตัวความโกรธ-ความโลภ-ความหลง'
เพราะว่ามันไม่มี
**เพียงแต่ขอให้เรามีสติเท่านั้น**
อันตัวสตินี้ มันมีอยู่แล้ว
มันมีตรงกันข้ามอยู่กับความหลง
ซึ่งความจริงแล้ว ความหลงไม่มี
*เมื่อเรามีสติคอยระมัดระวัง-ดูจิตดูใจอยู่ ความหลงก็ไม่มี*
เมื่อความหลงไม่มี โทสะจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ?
เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะมีสติคุมอยู่แล้ว
โลภะจะเกิดมาในรูปใด ?
มาไม่ได้ เพราะปัญญารอบรู้อยู่แล้ว
อันนี้แสดงว่า ‘เราเห็นสมุฏฐาน'
*เราต้องปฏิบัติอย่างนี้*
เมื่อปฏิบัติอยู่อย่างนี้
เราต้องคอยดู ดูมันอยู่อย่างนี้แหละ
แล้วมันจะเกิดปัญญาแว้บขึ้นมา
มันจะเกิดความดีใจติดมาด้วย ยังไม่ใช่ใจดีนะตอนนี้
ดีใจ แล้วภูมิใจว่าตัวเองรู้ธรรม-เห็นธรรม-เข้าใจธรรม
อย่างซาบซึ้ง-ปราบความหลงผิดได้แล้ว เป็นอย่างนั้น
เกิดปีติ ปีติอันนี้มันจะมาชักชวน
ให้เราลืมต้นเหตุสมุฏฐานของความคิด
เมื่อไปติดปีติแล้ว-เราลืม อันนี้ชื่อว่าถูกน้อย
เพราะเมื่อมันไปติดปีติ ตัวความสุขนั้นแล้ว
มันจะปราบความหลงไม่ได้
ตัวนี้จึงถือว่า มันยังเป็นการเอาหินทับหญ้าอยู่…”
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ