พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 20 เมษายน 2561
ตอนที่ 320 **การแบ่งระดับพระอนาคามี**
+ +
ในเช้าของวันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกมีคำถามที่จะถามถึงเรื่องของ พระอนาคามี น่ะเจ้าค่ะ
คือว่า ลูกสงสัยว่า พระอนาคามีนั้น มีการแบ่งเป็นรูปแบบ หรือระดับการปฏิบัติ คือระดับพระอนาคามี แบบหยาบ แบบกลาง หรือละเอียด น่ะเจ้าค่ะ - มีการแบ่งแยกไว้เช่นนี้ ด้วยหรือเปล่าเจ้าคะ ?
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟัง ทำความเข้าใจ และนำไปเผยแผ่ด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ “
- - -
ดีแล้วละ พระยาธรรมเอ๋ย.. ถ้าอย่างนั้น ก็จงตั้งใจฟังไว้ให้ดี
พิจารณาตามธรรมที่ได้ยินได้ฟังนั้น ให้เข้าใจ เข้าถึงอย่างแท้จริง
น้อมนำไปประพฤติ ปฏิบัติ และเผยแผ่ -จะได้ไม่ผิดไปจากความเป็นจริง
ลูกเอ๋ย.. จงตั้งจิตตั้งใจ ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างทิ้งไป
หายใจเข้าลึกๆ
น้อมเอาดวงแก้วดวงธรรม เข้าสู่ศูนย์กลางกายของตน
- ให้สว่างไสว
- ให้จิตของลูกนั้น มีปัญญาแห่งธรรม ที่จะมองเห็น พิจารณาตามธรรมที่ได้ยินนั้น อย่างแตกฉาน และเข้าใจ..
พระยาธรรมเอ๋ย.. พระอนาคามีนั้น เป็นผู้ที่สามารถ ประพฤติ ปฏิบัติตน - จนไม่ต้องกลับมาเกิดอีกต่อไปแล้ว **
- แม้แต่เพียงแค่ชาติเดียว..ก็ไม่ต้องมาเกิด ++
พระอนาคามีนั้น หมายถึง “ผู้ที่ไม่ต้องเกิดอีกต่อไป”
ฉะนั้น.. การที่จะแบ่งแยก ว่ามีรูปแบบอย่างนั้นอย่างนี้
.. จึงเป็นสิ่งที่ทำให้ธรรมนั้นดูยาก ดูแล้วมึนงงสับสน
ยิ่งจะทำให้ผู้คนไม่เข้าใจ ในสิ่งที่ได้แบ่งได้แยกรูปแบบเอาไว้...
เพราะว่า.. พระอนาคามี เป็นผู้ที่อยู่ในช่วง -ในขั้นตอน ที่จะต้อง
ขัดเกลากิเลสตัณหา / กรรมวิบาก.. ให้หมด ให้ขาวสะอาด
ดับอัตตาตัวตน - ดับทั้งเรื่องดี และไม่ดี เพื่อเข้าสู่การเป็นองค์พระอรหันต์
ฉะนั้น.. จึงมีเรื่องละเอียดอ่อน เยอะแยะมากมายเลยทีเดียว ให้พระอนาคามีแต่ละองค์ต้องทำ
ตามเหตุของแต่ละดวงจิต ที่มีกรรมดี / หรือกรรมชั่ว มาในรูปแบบใด !
- เป็นสิ่งที่ละเอียด.. ลูกเอ๋ย
บุคคล ผู้ที่ประพฤติ ปฏิบัติ - จนเข้าถึงการเป็น *พระอนาคามี* แล้วเท่านั้น..
ที่จะเข้าใจเส้นทางแห่งตน ว่า.. ต้องประพฤติ ปฏิบัติ ดับการเกิด ชำระล้างกิเลส แห่งตน ในครั้งนี้อย่างไร ?
.. เพราะถือเป็นครั้งสำคัญแห่งการคัดกรองดวงจิต - เพื่อที่จะถึงซึ่งพระนิพพานอย่างแท้จริง ++
การจำแนกเป็นรูปแบบต่างๆ.. จึงไม่ได้จำเป็นที่จะต้องจำแนกออกมา..
บางคน ก็ชำระได้ไว
บางคน ก็ได้ช้าหน่อย
-- แต่ก็ ถึงนิพพานเหมือนกัน **
พระยาธรรมเอ๋ย.. เรื่องบางเรื่อง มีสิ่งที่เป็นปลีกย่อย หรือละเอียดอ่อน มากเกินไป !
บางครั้งหยิบยกมาพูดมากล่าวโดยทั้งหมด.. ก็สร้างความสับสน
เป็นเหตุขวางทางพระนิพพาน -ให้กับดวงจิตทั้งหลาย.. ผู้เดินตามเท่านั้น
ฉะนั้น.. จึงไม่จำเป็นที่จะต้องมาแบ่งแยกว่า จะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ให้มันยุ่งยากมากเกินไป
เอาไว้ถ้าใครปฏิบัติ จนถึงขั้นเป็นพระอนาคามีแล้ว..
บุคคลผู้นั้น.. ย่อมรู้ได้เฉพาะตน ว่า..
ต้องทำอะไร -ในสิ่งที่ตนต้องทำ ?
กรรมดี - ต้องวางแบบไหน ?
กรรมชั่ว - ต้องล้างยังไง ?
ตนนั้น ต้องประพฤติ ปฏิบัติเช่นไร ?
-- บุคคลผู้นั้น.. จะรู้ได้เฉพาะตน --
ส่วนเรื่องของการแบ่งเป็นระดับ ระดับ *พระอนาคามี* แบบหยาบ แบบกลาง และแบบละเอียด นั้น..
ถ้าจะแบ่ง.. ก็แบ่งได้เป็น3 ระดับ เช่นนี้ละลูก
-- แต่ก็ไม่ได้มีความจำเป็นอะไรเหมือนกัน ที่จะต้องแบ่งเป็น 3 ระดับเช่นนี้..
เพราะ..
ยังไง.. ก็จะเข้าถึงพระนิพพาน เป็นแน่แท้
ยังไง พระอนาคามี ก็เป็นผู้ไม่กลับมาเกิดอยู่แล้ว.. จึงไม่ได้มีความจำเป็นอะไร ที่จะต้องไประบุความละเอียดอ่อนมากมาย ให้สับสน
เพียงแต่ตัวของเรา ผู้ประพฤติ ปฏิบัติ จนถึงความเป็นพระอนาคามีนั้น..
ก็จะรู้ได้ด้วยตนว่า ตนสามารถที่จะขัดเกลากิเลสตัณหาของตน..
- ได้มากแล้วหรือยัง ?
- ยังเหลืออีกมากหรือเปล่า ?
.. แล้วก็มุ่งมั่นทำไป..
ฉะนั้น ลูกเอ๋ย.. เรื่องของพระอนาคามี ที่จะแบ่งเป็นรูปแบบนั้น รูปแบบนี้ หรือจะแบ่งเป็นระดับการปฏิบัติ คือ ต้น กลาง ปลาย / หรือหยาบ กลาง ละเอียด นั้น..
จึงเป็นสิ่งที่ไม่ได้สำคัญอะไรมากนัก
*ที่สำคัญคือ.. ปฏิบัติตนให้ถึงซึ่งความเป็นพระอนาคามี - นั่นละสำคัญ *
เพราะถ้าถึงความเป็นพระอนาคามีแล้ว ยังไง-ก็ไม่เกิดอีก
ฉะนั้น.. ก็เหลือเพียงเวลาที่ชำระ มาก-น้อย.. ตามกิเลสกรรมที่ตนนั้นมี ที่ตนนั้นทำ
จึงเป็นเรื่อง ที่จะรู้ได้เฉพาะตน
พระยาธรรมเอย.. แบ่งกับไม่แบ่ง ก็มีค่าเสมอเหมือนกัน
แบ่งไป ก็ยิ่งสับสนวุ่นวาย
รู้แต่ว่า.. ตัวเรา ต้องชำระอะไรบ้าง ที่เป็นกรรมวิบาก และกิเลส ที่เหลืออยู่
รู้แต่ว่า.. ตนจะทำยังไงให้ละสังโยชน์อีก 5 ประการให้ได้เพิ่มขึ้นเท่านั้น.. ก็พอ
แต่ละคน มีความแตกต่างโดยรายละเอียดมากมาย ในแต่ละดวงจิต
จงประพฤติ ปฏิบัติ ให้เข้าถึงกันเถิด.. พระยาธรรม
แล้วตน ก็จะรู้ด้วยตนเอง
ไม่ต้องกลัวว่า พอไปถึงการเป็นพระอนาคามีแล้ว.. จะไม่รู้ ไม่มีหนทาง ไม่มีแนวทางที่จะไปต่อ
- เพราะตนไม่รู้ระดับการปฏิบัติ ว่าเป็นแบบหยาบ แบบกลาง หรือละเอียดแล้ว
- เพราะตนไม่รู้ว่า ตนเป็นพระอนาคามี ในรูปแบบไหน ?
ไม่ต้องห่วงเรื่องเหล่านี้เลย !
เพราะถ้าตนสามารถประพฤติ ปฏิบัติ จนเข้าถึงความเป็นพระอนาคามีแล้วนั้น.. จะรู้ด้วยตน **
ลูกเอ๋ย.. เหตุที่แบ่งพระอริยเจ้า เป็น 4 ระดับ ก็..
* เพื่อรู้ว่า ตนปฏิบัติ ถึงขึ้นการบรรลุธรรมระดับใดแล้วเท่านั้น
* เพื่อให้ตนจะได้มีจุดมุ่งหมายในแต่ละจุด เพื่อเข้าถึงพระนิพพาน
จึงจำเป็นต้องแบ่งแยก.. เพราะมีความแตกต่าง สำคัญอยู่มาก
เพราะ *พระโสดาบัน* เป็นผู้ที่ต้องมาเกิดอีก ไม่เกิน 7 ชาติ
ยังมีกิเลสมาก / ละสังโยชน์ได้น้อย.. ถ้าเทียบกับองค์พระอรหันต์
*พระสกิทาคามี* เป็นผู้ที่ยังต้องมาเกิดอีก 1 ชาติ
ฉะนั้น.. จึงเป็นผู้ละกิเลส ได้น้อยกว่า*พระอรหันต์* อยู่มาก
ยังคงต้องกลับมาเกิด.. เพื่อชำระกิเลสตัณหาแห่งตน อีก 1 ชาติ
ฉะนั้น.. จึงแบ่งแยกให้เห็นชัดเจน เรื่องของการชำระกิเลส ที่ละเอียดขึ้นเรื่อย ๆ..
มันมีความจำเป็น ที่ต้องแบ่งแยกไว้.. ลูกเอ๋ย
ส่วนต่อไป..
*พระอนาคามี* เป็นผู้ที่ต่างจาก พระอริยบุคคลขั้นที่ 1 และ 2
เพราะเป็นผู้ที่ ถือศีล 8 เป็นผู้ที่ละสังโยชน์ได้ 5 ประการ
ฉะนั้น.. มีความแตกต่าง คือ การไม่กลับมาเกิดอีก
ไม่มีภพชาติ ให้ต้องเกิดอีกต่อไป..
มีเพียงหนทางเดียว ก็คือ ไปให้ถึงการเป็นองค์พระอรหันต์
จะไวหรือช้า.. ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละดวงจิต - ซึ่งเป็นสิ่งที่ก็แตกต่างกัน..
*พระอรหันต์* นั้น
เป็นผู้ที่ละกิเลสได้ โดยสมบูรณ์ / ละสังโยชน์ได้ 10 ประการ
เป็นผู้ถึงพระนิพพาน.. แม้ยามที่มีชีวิตครองกายหยาบอยู่ก็ตาม
-- ซึ่งถือเป็นผู้สิ้นกิเลสแล้ว โดยสิ้นเชิง ++
นั่นละ พระยาธรรม.. จึงมีการแบ่งแยก เพราะมีความแตกต่างกันอยู่มาก
นั่นเป็นสิ่งจำเป็น *
พระโสดาบัน ก็เช่นเดียวกัน..
ที่ต้องแบ่งแยกว่า มี 3 รูปแบบ 3 ระดับของการปฏิบัติ
แบ่งแยกให้เห็นอย่างชัดเจน.. เพราะแต่ละดวงจิต เหลือภพชาติของการที่ต้องกลับมาเกิดอีก มากน้อยต่างกัน
บางคน ต้องกลับมาเกิด ถึง 7 ชาติ
บางคน เกิด 6 ชาติ 5 ชาติ หรือ 1, 2, 3 ชาติ แล้วแต่.. แต่ละดวงจิต
จึงเป็นเหตุที่จะต้องแบ่งแยกเป็นรูปแบบ ให้แตกต่างกันไป
จำแนกออกมาเป็น 3 รูปแบบ.. ให้ทุกคนได้รู้อย่างชัดเจน
- มีความจำเป็น ที่ต้องแบ่งแยกระดับ หรือรูปแบบของการเป็น *พระโสดาบัน*
ส่วน *พระสกิทาคามี* นั้น เป็นผู้กลับมาเกิดอีก 1 ชาติ
ยังไง ชาตินั้น.. ต้องเป็นชาติที่สามารถที่ประพฤติ ปฏิบัติ จนจบกิจแห่งการกลับมาเกิด ในชาติใหม่ เป็นชาติสุดท้าย
กลับมาเกิดอีก 1 ชาติเหมือนกัน
จะถึงความเป็น พระอนาคามี หรือว่า ถึงความเป็นพระอรหันต์เลย..
-- นั่นก็เป็นเรื่องความละเอียดอ่อน อีกอย่างหนึ่ง --
แต่ที่แบ่งแยกไว้ ว่า.. มีระดับการปฏิบัติ ระดับหยาบ กลาง หรือละเอียดนั้น..
เพราะว่า.. ยังคงต้องมุ่งสู่การเป็นพระอนาคามี หรือเข้าถึงพระอรหันต์เลย
จึงแบ่งแยกไว้นิดหน่อย.. เพราะว่า เป็นผู้ที่ยังเหลือกิเลสอยู่มาก !
แต่ก็ไม่ได้จำแนกออกมาชัดเจน ลูกเอ๋ย.. แค่กล่าวถึงการปฏิบัติ เป็น *พระสกิทาคามี*
แบบหยาบ กลาง หรือปลาย
เปรียบเสมือนการเดินทาง.. มุ่งหน้าเข้าสู่ - การจะเป็นพระอนาคามี หรือพระอรหันต์ ในชาติอีก 1 ชาติ ที่ต้องกลับมาเกิด
จึงแบ่งไว้ ให้รู้ว่า.. เหลือกิเลสมาก หรือน้อย
- ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ทุกคน จะได้หยิบยกมาพิจารณาตน +
ส่วนพระอนาคามี - เป็นผู้ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก **
ความละเอียดของจิต ที่จะต้องแบ่งออกมา ว่าเป็นแบบหยาบ แบบกลาง หรือละเอียดนั้น..
- จึงเป็นสิ่งที่แบ่ง เพื่อให้รู้ก็ได้ / หรือไม่แบ่งก็ได้ -
แต่ที่สำคัญ คือ บุคคลผู้ที่เข้าถึงความเป็นพระอนาคามีนั้น.. ย่อมรู้ได้ด้วยตน
จึงไม่ได้สำคัญอะไรมากเท่าไร
... เพราะปฏิบัติมาถึงจุดนี้แล้ว - ยังไงก็ถึงซึ่งพระนิพพาน **
และตัวของเขานั่นเองละ พระยาธรรม.. จะรู้ด้วยตัวของเขา ว่า.. เหลือกิเลสมากหรือน้อย
แบบหยาบ ก็คือ เหลือกิเลสมากอยู่
แบบกลาง ก็คือ เหลือน้อยลง
แบบละเอียด ก็คือ เหลือเพียงแค่น้อยนิดแล้ว
ในเรื่องกิเลส การหลงดี หลงชั่ว หลงยึดตัว ยึดตน ต่างๆว่า.. ตนนั้นดี หรือว่าทำความดีเข้าไว้
ได้มากแล้ว อย่างนี้น่ะลูก
- ก็จะต้องเหลือน้อย และน้อยลงไปเรื่อยๆ.. จนกว่าจะหมด
.. เข้าสู่การเป็นองค์พระอรหันต์ ++
เช่นนี้ละ พระยาธรรม.. จึงไม่มีความจำเป็นต้องแบ่งต้องแยก
ให้มึนงง
ให้มันเกิดสิ่งที่ทำให้สับสน กีดขวางความดีที่ตนจะทำ
- ทำให้มันถึงเถิดลูก.. แล้วก็จะพากันเข้าใจเอง..
พระอริยเจ้าในระดับที่ 3* เป็นระดับของ การคัดกรองกิเลสอย่างละเอียด.. ลูกเอ๋ย
- เพื่อเข้าสู่พระนิพพาน ++
ฉะนั้น.. จะหมดไว หมดช้า - ขึ้นอยู่กับผลของกรรม ที่แต่ละดวงจิตได้สร้าง ได้ทำมา
แต่ไม่สำคัญหรอกลูก ว่า..จะต้องเป็นแบบไหน ยังไง ?
เช่นนี้ละ พระยาธรรม.. พอจะเข้าใจแล้วหรือยังเล่า ในการฟังธรรม เรื่องของการแบ่งแยกเป็นรูปแบบ หรือระดับ ?
++
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ พอจะเข้าใจบ้างแล้วละเจ้าค่ะ
ว่าแท้ที่จริง การแบ่งแยกไปมา.. ก็มีแต่จะก่อให้เกิดความสับสน
เพราะยังไง.. ก็ถึงซึ่งพระนิพพานเหมือนกัน - ไม่ได้มีความแตกต่างอะไรกัน !
จะไว หรือช้า.. ก็ถึงเหมือนกัน +
เพราะว่า *พระอนาคามี* คือ ผู้ไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว..
บุคคล ผู้ที่ปฏิบัติถึงจุดของการสำเร็จ บรรลุเป็นพระอนาคามี
ท่านนั้น ก็จะรู้ได้เฉพาะตน ว่า..จะต้องถอดถอนกิเลสตัวไหนไปบ้าง
ยังเหลือตัวไหนมาก - ตัวไหนน้อย
ตนเป็นแบบหยาบ กลาง หรือละเอียด
- จะรู้ได้เฉพาะตน.. เจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟัง
นำไปประพฤติ ปฏิบัติ เจ้าค่ะ…
สาธุ