ไตรลักษณ์ เป็นสิ่งที่เนื่องกันหมด
หลวงพ่อปราโมทย์ :>พวกเรามาหัดดูสภาวะไป ในขั้นของการเจริญปัญญาเนี่ย ดูสภาวธรรม รูปธรรมก็ได้นามธรรมก็ได้ เราดูแล้วจะเห็น สภาวะทั้งหลายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เป็นอันเดียวกันนะ มันเนื่องกันหมดแหละ ของไม่เที่ยงก็คือ ของมันมีแล้วมันก็ไม่มี ของที่มันมีอยู่ ก็บีบคั้นให้สลายตัว นี่ล่ะเป็นทุกข์ สิ่งทั้งหลายจะมี จะตั้งอยู่ หรือว่าสลายตัวไป ล้วนแต่บังคับไม่ได้ เป็นอนัตตา มันเนื่องกันหมด
เวลาเราพูดถึงรูปนะ เวลาดูรูป ตัวทุกข์เนี่ยจะเด่น รูปธรรมนั้นตัวทุกข์จะเด่น นามธรรมนะ อนิจจัง อนัตตา จะเด่น คนที่ทำกรรมฐานที่เหมาะแก่การดูรูปเนี่ย พระพุทธเจ้าท่านจะสอนเรื่องอายตนะให้ คนที่ทำกรรมฐานที่เหมาะกับการดูนาม พระพุทธเจ้าท่านจะสอนเรื่องขันธ์ ๕ ให้ มันก็อันเดียวกันนะ เป็นการแยกสิ่งที่เรียกว่า “ตัวเรา” ออกเป็นส่วนๆ
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วิชชา ๘ ความไม่รู้ความมืดบอดของจิต
๑. อดีตขันธ อวิชชา คือไม่รู้ขันธ์ (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ที่เป็นอดีต
๒. อนาคตขันธ อวิชชา คือไม่รู้ขันธ์ ที่เป็นอนาคต
๓. ปัจจุปันนขันธ อวิชชา คือไม่รู้ขันธ์ ที่เป็นปัจจุบัน
๔. ทุกข อวิชชา คือไม่รู้ว่าทุกข์คือสิ่งที่ต้องกำหนดรู้ และไม่ได้กำหนดรู้ทุกข์
๕. สมุทัย อวิชชา คือไม่รู้สิ่งที่ต้องกำหนดละ และไม่ได้ละธรรมที่ต้องละ
๖. นิโรธ อวิชชา คือไม่รู้ความดับทุกข์ เพราะเมื่อทุกข์เกิดขึ้นก็ไม่ตามดูปล่อยให้ดับไปเอง เลยไม่รู้จักนิโรธความดับด้วยปัญญา
๗. มัคค อวิชชา คือไม่รู้จักหนทาง ว่าปฏิบัติเช่นไร ทุกข์ถึงจะไม่สามารถได้ช่องกลับมาเกิดขึ้นได้ เพราะไม่ได้พิจารณาอริยสัจ
๘. ปฏิจสมุปทบาท อวิชชา คือไม่รู้จัก เหตุปัจจัย ความเกี่ยวเนื่อง ของสภาวะธรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับ
>>> สรุป อวิชชา คือ ความไม่รู้แจ้งในขันธ์ที่เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน, ไม่รู้แจ้งอริยสัจ4, ไม่รู้แจ้งปฏิจสมุปทบาท ธรรมที่เป็นเหตุปัจจัยแก่กัน
ทางบรรลุธรรม เมือ ศีล สติ สมาธิ ปัญญา แก่รอบ จิตจะเข้าฌานอัตโนมัติ
หลวงพ่อปราโมทย์ : ทีนี้ถ้าจิต สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา บุญ บารมี แก่รอบแล้ว จิตหยุดความปรุงแต่งแล้ว มันจะรวมเข้าอัปนาสมาธิ รวมเอง ทำไมมันรวมเข้าอัปนาสมาธิได้เอง เพราะว่าจิตไม่ไหลไปตามกาม ฌานจะเกิดเอง
โดยธรรมชาติของจิตนี้ต้องเวียนอยู่ในภพ ภพที่จิตเวียนอยู่ได้ มีอยู่ ๓ ภพ เท่านั้น ๑ กามวจรภพ ภพที่เวียนไปในกาม คือ หาอารมณ์เพลิดเพลินไปทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย เพลินไปเรื่อย พวกเราจิตหมุนอยู่ติ้วๆ ทาง หู ตา จมูก ลิ้น กาย นึกออกมั้ย อันนี้แหละเรียกว่า กามภพ เรียกให้เต็มยศนะ เรียกว่า กามวจรภูมิ ใจก็ไปเวียนอยู่อย่างนี้
ถ้าหลุดออกจากกามภพแล้วนะ ก็จะเข้าไปรูปภพ หรือรูปภูมิ ก็คือ ไปสงบอยู่กับการรู้รูป เช่น รู้ลมหายใจแล้วจิตไม่เอาแล้วโลกข้างนอก อารมณ์ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่เห็นจะมีสาระอะไรเลย จิตมารวมลงที่อารมณ์ภายในอันเดียว อาจจะมารู้ลมหายใจอยู่อันเดียว รู้ร่างกายอยู่อันเดียว มาเพ่งรูปอยู่อันเดียว เพ่งดวงกสิณ ดวงนิมิตอยู่อันเดียว จิตเพ่งรูปอยู่เรียกว่ารูปภูมิ
ถ้าจิตไม่อยู่ในกามภูมิ ไม่อยู่ในรูปภูมิ จิตก็ต้องเข้าอรูปภูมิ ทิ้งรูปไปแล้วไปอยู่กับนามธรรม เช่นไปอยู่กับความว่าง จิตอยู่ในความว่าง อยู่กับความไม่มีอะไรเลย เพราะฉะนั้นบางคนที่เขาสอนให้ภาวนาเพื่อให้ไปอยู่กับความว่าง อันนั้นเพี้ยนนะ ไม่ใช่ทางของพระพุทธเจ้า มันก็เป็นอรูปภูมิ เป็นภูมิอีกภูมิหนึ่ง เป็นภพอีกภพหนึ่งเท่านั้นเอง
ทีนี้ ถ้าสติปัญญาเราพอนะ เรารู้เลย จิตแส่ส่ายออกทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย มีแต่ทุกข์ จิตไม่แส่ส่าย จิตก็หลุดออกกามภูมิ เข้ารูปภูมิ หรืออรปภูมิ เข้าเองเลยนะ
เพราะฉะนั้นอย่างพวกเรา หัดเจริญสติไปเรื่อย พอ ศีล สมาธิ ปัญญา สติ สมาธิ ปัญญา แก่รอบนะ จิตจะหมดความหลงใหล รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ทั้งหลาย มาดึงดูจิตไหลไปไม่ได้แล้ว อย่างน้อยก็ชั่วขณะ ชั่วขณะเท่านั้นแหละ ชั่วขณะ จิตจะตั้งมั่น รู้ว่าไหลออกไปแล้วทุกข์ ก็ตั้ง เด่นดวง จิตก็เข้าฌานอัตโนมัติ
เพราะฉะนั้น ถึงเราจะเจริญสติ เจริญปัญญา โดยเข้าฌานไม่เป็น ถึงนาทีสุดท้าย ที่จะเกิดอริยมรรค อริยผล ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่โสดาปัตติมรรค จนถึงอรหัตตมรรค จิตจะเข้าฌานของเขาเองนะ จิตจะเข้าฌานของเขาเอง
ยกเว้นคนซึ่งเดินปัญญาอยู่ในฌาน เวลาที่จะเกิอริยมรรคเนี่ย ไม่ต้องถอยออกมาอยู่กับโลกก่อนนะ ไม่ต้องกลับมาอยู่ในกามภูมิก่อน จิตก็ไปตัดอยู่ข้างในได้เลยนะ นี่เป็นอีกพวกหนึ่ง
แต่รวมความก็คือ อริยมรรค ไม่เกิดอยู่ในจิตที่อยู่ในกาม อย่างพวกเรา อริยมรรคจะต้องเกิดในรูปภูมิ หรืออรูปภูมินะ จะเกิดกันตรงนั้น จะล้างกันตรงนั้น เพราะฉะนั้นจิตจะเข้าฌานอัตโนมัติ
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
อวิชชา ของผู้ถึงซึ่งอวิชชา
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! ที่เรียกกันว่า 'อวิชชา-อวิชชา' ดังนี้นั้น เป็นอย่างไร? และด้วยเหตุเพียงเท่าไร บุคคลจึงชื่อว่า เป็นผู้ถึงซึ่งอวิชชา? พระเจ้าข้า!"
ภิกษุ! ในกรณี นี้ บุถุชนผู้ไม่มีการสดับ
ไม่รู้ชัดแจ้งตามเป็นจริง
ซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
อันมีความก่อขึ้นเป็นธรรมดา ว่า
"เป็นสิ่งที่มีความก่อขึ้นเป็นธรรมดา" ดังนี้
ไม่รู้ชัดแจ้งตามเป็นจริง
ซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
อันมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ว่า
"เป็นสิ่งที่มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา" ดังนี้
ไม่รู้ชัดแจ้งตามเป็นจริง
ซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
อันมีทั้งความก่อขึ้นและความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
ว่า "เป็นสิ่งที่มีความก่อขึ้นและความเสื่อมไปเป็นธรรมดา" ดังนี้
ภิกษุ! ความไม่รู้นี้ เราเรียกว่า อวิชชา
และบุคคลชื่อว่าเป็นผู้ถึงซึ่งอวิชชา
ย่อมมีได้ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้ แล
- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๐๙/๓๒๐
ที่มา : อริยสัจจากพระโอษฐ์ โดย พุทธทาสภิกขุ
การหลุดพ้น ตามแบบพุทธศาสนา
.
❝ คำว่า “เรา” หรือ ความรู้สึกว่า“ตัวเรา” นั้น เป็นความรู้สึกของกิเลส ที่เป็นเหมือนโคลนที่เข้ามาหุ้มห่อตัวเรา
ที่เราได้ล้างออกเรื่อยๆ จนหมดสิ้นไปแล้ว ความรู้สึกว่า เรา หรือ อุปาทาน นั้น ไม่มีแล้ว เท่ากับซี่กรงหักหมดแล้ว เราจึงออกมานอกกรงได้ เรียกว่า"จิตหลุดออกมาได้ หรือจิตพ้นจากอุปาทาน" เท่านั้นเอง หาใช่ตัวเราไม่
จิตนั้น ก็ไม่ใช่ตัวเรา
เพราะจิตนั้นไม่มีความยึดถือตัวมันเองว่า “ตัวเรา” จึงได้หลุดออกมาได้
ท่าน(พระพุทธเจ้า)จึงตรัสว่า “การหลุดพ้นนั้นมีแล้ว แต่ตัวผู้หลุดพ้นหามีไม่ ”
นี่แหละ คือ การหลุดพ้นตามแบบของพุทธศาสนา
.
การหลุดพ้นตามแบบของพุทธศาสนานั้น เราที่เป็นพุทธบริษัทจะต้องเข้าใจให้ดีๆ
ย่อมเป็นการหลุดพ้นอย่างเด็ดขาด ไม่มีเยื่อใยของอุปาทานเหลืออยู่ แม้แต่เล็กน้อย
.
การหลุดพ้นที่ไม่เด็ดขาด ยังมีอุปาทานเหลืออยู่บ้างโดยไม่รู้สึกตัวนั้น เป็นการหลุดพ้นของพวกอื่นเขา หาใช่ของพุทธศาสนาไม่
การหลุดพ้นชนิดนั้นหลุดพ้นแต่เพียงจากความยึดถือที่หยาบๆ ไม่สามารถหลุดพ้นจากความยึดถือชั้นละเอียด
จะต้องทำการปฏิบัติต่อไปอีกขั้นหนึ่ง จึงจะเป็นการบรรลุถึง"นิพพาน“นิพพาน”
.
การพูดว่า “ตัวเรา” ในขั้นนี้ ถ้ามีพูด ก็สักว่าพูด เพราะไม่มีคำ(อื่น)จะพูดเท่านั้น หาได้มีความยึดถือกอดรัดเอาสิ่งที่บริสุทธิ์นั้นมาเป็น “ตัวเรา” อีกก็หาไม่
.
"จิต" ที่หลุดพ้นจากความยึดถือ ก็หมดทุกข์
เพราะทุกข์มีอยู่ที่จิตซึ่งมีความยึดถือเท่านั้น ❞
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายหัวข้อเรื่อง“หลักหินยาน-มหายาน”
----------------------------------------
.
ไม่มี "คน"
.
"พระพุทธศาสนามุ่งหมายที่จะบอกให้รู้ว่า "ไม่มีคน ที่เป็นตัวเราหรือของเรา"นั้น ไม่มี;
มีแต่ความเข้าใจผิดของจิตที่ไม่รู้ สิ่งที่มีอยู่ก็เพียงแต่ร่างกายกับจิตใจ ซึ่งก็ล้วนแต่เป็นธรรมชาติ หรือเป็นธาตุตามธรรมชาติ;
มันมีอาการเป็นกลไก mechanism ปรุงแต่งเปลี่ยนแปลงอะไรได้อยู่ในตัวมันเอง.
ถ้าผิดวิธีก็เกิดความโง่ความหลงขึ้นมา จนให้รู้สึกว่า"มีตัวเรา มีของเรา"
ถ้าถูกวิธีมันก็ไม่เกิดความรู้สึกอย่างนั้น แต่จะเป็นสติปัญญาอยู่ตามเดิม รู้แจ้งเห็นจริงอยู่ตามเดิมว่า"ว่างจากตัวเรา หรือ ของเรา"
และมูลเหตุให้เกิดทุกข์ ก็คือ "ความหลง ความเข้าใจผิดว่ามีตัวเรา มีของเรา นั่นเอง."
.
พุทธทาสภิกขุ
ธรรมกถาเรื่อง "ใจความทั้งหมดของพระพุทธศาสนา"
เมื่อ วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๐๔
ณ ชุมนุมศึกษาพุทธธรรม ศิริราชพยาบาล
------------------------------------------
.
"คน" ไม่มี
.
"ว่าโดยความจริงแท้ ( สัจจะ ) ในโลกนี้มีแต่นามและรูป ( นามธรรมและรูปธรรม ) ก็แลในนามและรูปนั้น สัตว์หรือคน ก็หามีไม่ นามและรูปนี้ว่างเปล่า ถูก( ปัจจัย )ปรุงแต่งขึ้น เหมือนดังเครื่องยนต์ เป็นกองแห่งทุกข์ ( สิ่งไม่คงตัว ) เช่นกับหญ้าและฟืน"
.
คัมภีร์วิสุทธิมรรค ๓/๒๑๖
-------------------------------------------
.
"ทุกข์ นั่นแหละ มีอยู่ แต่ผู้ทุกข์หามีไม่,
การกระทำมีอยู่ แต่ผู้ทำไม่มี,
นิพพานมีอยู่ แต่คนผู้นิพพานไม่มี,
ทางมีอยู่ แต่ผู้เดินทางไม่มี."
.
คัมภีร์วิสุทธิมรรค ๓/๑๐๑
เราต้องเอาชนะตัวเองนั้นแล ถ้าเรายังชนะตัวเองไม่ได้ในโลกนี้..ไม่ต้องไปถามว่าเราจะเป็นผู้ชนะหรือชนะใครได้ เมื่อเราชนะคนทั้งโลกก็ยังเรียกว่ายังเป็นผู้แพ้อยู่ดี..เพราะเมื่อเรายังไม่ได้ชนะใจตน ก็เหมือนที่สุดแห่งโลก..ถ้าเรายังตามโลกอยู่..ไม่มีที่จะหาที่สุดของปลายจุดหมายของโลกได้ แต่เมื่อใดเราหยุดหา เมื่อเราเห็นโลกแล้ว ก็เรียกว่าเห็นที่สุดของโลก คือเห็นทุกข์เห็นภัย..นั่นเรียกว่าที่สุดของโลก
ถ้าใครยังไม่เห็นภัยในวัฏฏะเรียกว่ายังไม่เห็นที่สุดของโลก ย่อมไม่เห็นฝั่งของทะเลสาบหรือมหาสมุทรได้ แต่ผู้ใดเห็นภัยในวัฏฏะแม้เสี้ยวขณะจิตเดียว และก็ทำให้เห็นอยู่บ่อยๆ เท่ากับผู้นั้นแม้ไม่ได้ไปอีกฝั่งหนึ่งของมหาสมุทรก็เท่ากับว่าผู้นั้นได้เห็นฝั่งของมหาสมุทรเอง..อย่างนี้ถือเป็นที่สุดของโลก ถ้าแบบนั้นแล้วผู้นั้นก็จะไม่ปรารถนาที่อยากจะแสวงหาอะไรอีก หรือเรียกว่าสิ้นสุดสงสัย ก็จะค้นหาอยู่ที่กายตน..เอาใจนั้นเป็นประธาน
ธรรมทั้งหลายมีใจถืงก่อน มีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นประธาน นั้นการกระทำสิ่งใดใจนั้นแลเป็นผู้สำเร็จ เราต้องเพียรเอาชนะใจตนเองให้มากๆ คือฝึกจิตขัดเกลาตน สอนตน เตือนตนอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ใดหรือไปที่ใด..ก็หาว่าจะหนีพ้นจากตัวเอง แต่ถ้าเราหยุดที่จะเผชิญต่อมัน สู้ต่อความป็นจริง ต่อคำสรรเสริญนินทา ต่อสิ่งที่ทนไม่ได้อย่างนี้แล..เมื่อเราทนได้ย่อมเป็นผู้ชนะ..คือชนะใจตน
เมื่อเราชนะเราข้ามมันไปได้อย่างนี้ ถึงแม้เราจะอยู่ที่ไหน ก็เรียกว่าผู้นั้นเป็นผู้ที่มีหลักปลอดภัย เรียกว่าอยู่อย่างสงบ แต่ถ้าเรายังไปอยู่ที่นั่นที่นี่อยู่ แต่ใจเราหาความสงบไม่ได้ ก็ยังไม่ได้ชื่อว่าที่นั่นเป็นที่ปลอดภัย ที่ที่ปลอดภัยคือใจที่เราสงบ เราละ เราวางแล้ว มีสติอยู่กับกาย อยู่กับลมหายใจ อยู่กับอานาปานสติ อยู่กับพุทโธ ธัมโม สังโฆก็ดีอย่างนี้ เรียกว่าการระลึกถึงพระพุทธเจ้า มีเดช มีอำนาจ มีอานิสงส์ทำให้ใจเราสงบอย่างนี้ หากใจเรานั้นขาดหลักเมื่อใด มารมันจึงได้ช่องมันจะเข้ามาแทรก
นั้นมารนี้มันก็มีทั้งมารภายในและภายนอก ถ้าใจโยมมีความอ่อนแออยู่แล้ว ยังปล่อยให้ข้าศึกภายนอกเข้ามาอีก เราจะเจอศึกทั้งสองด้าน เมื่อเจอศึกทั้งสองด้านอย่างนี้จะเอากำลังบารมีที่ไหนไปต่อต้านประหัตประหารมันได้ ดังนั้นเราควรกำจัด"มารภายนอก"ออกไปเสียก่อน คือละวางอารมณ์ทั้งหลายที่เป็นข้าศึกแห่งใจ คือความคิดก็ดี อดีตที่ผ่านมาก็ดี ในอนาคตที่ยังมาไม่ถึงก็ดี นี่เค้าเรียกว่าเราวาง นี้เรียกว่าการวางความคิด วางอุปาทานธาตุขันธ์..อะไรทั้งหลายเหล่านี้เราควรละควรวาง
ถ้าเรายังวางไม่ได้ จิตเรายังฟุ้งซ่านปรุงแต่งอยู่อย่างนี้..ความทุกข์มันก็ดับลงไม่ได้ การอุปาทานปรุงแต่งของขันธ์ ๕ นี้มันก็ยังทำงานอยู่ร่ำไป เค้าจึงให้เรานั้นมีอุบายให้จิตนั้นมีองค์ภาวนากำกับจิต ให้มันกระชับกับลมหายใจก็ดี เมื่อเราเพ่งอยู่กับลมหายใจอยู่กับองค์ภาวนานั่นแล เรียกว่าเป็นการเจริญฌาน เพราะผู้ใดเป็นผู้ที่เจริญฌานอยู่เป็นนิตย์นั้นแล ผู้นั้นจะห่างไกลจากโรคจากภัยได้ ย่อมทำกระแสพระนิพพานให้แจ้งได้
เพราะเมื่อเราทำฌานให้ตั้งมั่นให้แข็งแรง คือเพ่งดูอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งอย่างนี้ ไม่นานฌานมันก็บังเกิด เมื่อฌานมันบังเกิดแล้ว..ญาณมันก็จะบังเกิด สมาธิปัญญามันก็บังเกิด นั้นเมื่อเราเพ่งอยู่แต่อารมณ์อยู่กับกาย อยู่กับลมหายใจ อยู่กับองค์ภาวนาแล้ว..นี่เรียกว่าจิตเราไม่ส่งออกไปภายนอก เมื่อจิตเราไม่ส่งออกไปแล้วนี่แล ย่อมไม่ทำให้ข้าศึกภายนอกนั้นติดตามเข้ามาได้ ทีนี้เราจะเหลืออยู่เพียงแต่"ข้าศึกภายใน"
เมื่อข้าศึกอยู่ภายใน..ก็ลองดูซิว่า เมื่อจิตเราสงบนิ่งแล้ว จิตเราไม่กระเพื่อมแล้วนั่นแล หากว่าภายในมีอะไรกระเพื่อมอยู่นั้นแล..เราจะเห็น"ไส้ศึก"อยู่ภายใน เมื่อเราเห็นไส้ศึกแล้ว..นั่นแหล่ะคือเหตุแห่งทุกข์แห่งภัยในวัฏฏะ แห่งในบุญกุศลและบารมี..ที่มันบั่นทอนเราอยู่ตลอดเวลา ตัวนี้เรียกว่าอวิชชา กิเลส ตัณหา สมควรแล้วที่เรานั้นต้องกำจัดออกไป เพราะเมื่อมันมีมากมีกำลังมากเมื่อไหร่มันก็จะเป็นผลร้าย
ดังนั้นในขณะจิตที่เรายังไม่สงบนี้แล เค้าเรียกว่าจิตยังไม่รวมตัว จิตมันยังฟุ้งอยู่ ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลมยังไม่เสมอเหมือน ยังไม่เป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตา อย่างนี้เค้าจึงบอกให้เรามีวิตกวิจาร เค้าเรียกว่าสมถวิปัสสนา คือกำหนดอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งก็ดี ให้จิตนั้นมันเข้าหาถึงความสงบ ให้จิตมันมีหลัก คือการระลึกถึงองค์ภาวนา นึกถึงกำหนดรู้ลมหายใจอยู่ในกาย ที่เพ่งรู้อยู่ในองค์ภาวนาคือจิต แม้จิตมันจะมีวอกแว่กไปบ้างเราก็ดึงกลับมาอยู่อย่างนี้
แล้วทำไมเล่าไอ้ที่เราประพฤติปฏิบัติธรรมก็รู้ว่าหลักมันเป็นอย่างนี้ แต่พอเราจะเข้าสมาธิมีองค์ภาวนา ทำไมจิตมันจึงฟุ้งซ่านได้ ก็เพราะว่ากระแสจิตนั้นแต่ละวันหนึ่งๆเราไม่สามารถรักษาได้อยู่ตลอดเวลา คือสภาวะความไม่เที่ยง ขันธ์มันเป็นทุกข์เป็นอนัตตา เมื่อเราเข้าไปยึดมั่นถือมั่นมันแล้ว มันก็ทำให้จิตนั้นเป็นทุกข์ขึ้นมา..ใจมันจึงไม่สบาย
เมื่อใจมันไม่สบายแล้วลมมันก็ร้อน เค้าเรียกว่าลมมันเสีย ถ้าลมมันดีเค้าเรียกว่าลมมันเย็น ลมเย็นนั้นเค้าเรียกว่าลมมันถึงจะเข้าถึงความสงบได้ ถ้าลมยังร้อนอยู่เค้าเรียกว่าลมมันเสีย เมื่อลมมันเสียแล้วอย่างนี้มันก็ทำให้จิตเรานั้นมีจิตฟุ้งซ่านรำคาญใจ นั้นเราต้องกำหนดลมเข้าลมออก นี่เค้าเรียกว่ากำหนดรู้ลม หรือเรียกว่ากำหนดอานาปานสติ เรียกว่ารู้ลมอยู่ในกาย
เข้า-ออกก็รู้ ยาว-สั้นก็รู้อย่างนี้ รู้เรียกว่ารู้ลม ถึงลม ทิ้งลม รู้..รู้ลมที่ไหน รู้ลมที่กาย สัมผัสที่ปลายจมูก ถึงลม..ถึงที่ไหน ถึงอยู่ในกาย ถึงลมอยู่ที่เหนือสะดือก็ดี ในศูนย์กลางกายก็ดี ทิ้งลม..ทิ้งไว้ที่ไหน ก็ต้องทิ้งไว้ที่กาย ทิ้งไว้ในกาย อยู่ที่เหนือสะดือก็ดีอย่างนี้
เค้าเรียกว่าลมเกิดขึ้น..ตั้งอยู่..ลมดับไป เมื่อเราดูอยู่อย่างนี้ จึงเรียกว่าวิตกกับลมหายใจ และมีการละอารมณ์ที่ไม่ดี อารมณ์ที่มันเสีย แต่ถ้าเรามีสติอยู่กับลมหายใจอยู่ในกายนี้ อยู่กับองค์ภาวนาก็ดี เอามากำกับเอามากำชับกับลมหายใจ ให้มันแนบสนิทกับลมหายใจ..มันก็จะเป็นหนึ่งกันอันเดียวกัน มันจึงทำให้จิตเรานั้นตื่นรู้มีกำลัง
สภาวะจิตตื่นรู้มีกำลังเป็นอย่างไร ก็หมายถึงว่าจิตที่เรานั้นหดหู่เศร้าหมองหรือไม่มีกำลังอยู่..มันก็จะเริ่มฟื้นฟูมีกำลังขึ้นมา เกิดมีปิติขึ้นมามีความสุขขึ้นมา มีความพอใจที่จะเจริญความเพียรอย่างนี้ อย่างนี้แลเรียกว่าจิตมีกำลัง จิตมีความพอใจในอิทธิบาท ๔ ที่จะเจริญพรหมวิหาร ๔ เราก็จะทรงตัวทรงสมาธิได้นาน ยิ่งเราทรงสมาธิได้นาน..กำลังจิตเราก็จะมี"กำลังจิตที่ตั้งมั่น" เมื่อจิตที่ตั้งมั่นนั้น..จิตจะเข้าถึงความละเอียดมากยิ่งขึ้น เมื่อจิตมีความละเอียดมากขึ้น..การจะไปพิจารณาธรรมอะไรมันย่อมทำให้เห็นชัดได้ง่าย..
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
< การเดินตามมรรค เพื่อให้ถึงการหลุดพ้น >
"จะต้องเอาชีวิตทั้งชีวิตไปเปลี่ยนเป็นเนื้อตัวของอริยมรรคทั้ง 8"
1. ศีลต้องบริบูรณ์่
- สัมมาวาจา ให้วาจาสะอาด บริสุทธิ์
- สัมมากัมมันตะ ให้กายสะอาด บริสุทธิ์
- สัมมาอาชีวะ ให้กายสะอาด บริสุทธิ์
ต้องรักษาศีลให้บริบูรณ์ *เพื่อปรับพื้นจิตให้สะอาด บริสุทธิ์ สงบ อ่อนโยน*
2. สมาธิต้องบริบูรณ์
- สัมมาวายามะ (ใจสะอาด บริสุทธิ์) ต้องมีความเพียรในการนำพาตนไปสร้างกุศล และละการทำสิ่งอกุศล ป้องกันอกุศลไม่ให้เข้ามาในจิต เพื่อให้กระแสจิตสะอาด อ่อนโยนเพื่อ *ง่ายต่อการเข้าสมาธิ*
- สัมมาสมาธิ มีความเพียรในการทำสมาธิ ต้องทำให้ติดต่อ ทำบ่อยๆ ต่อเนื่อง จนได้ "จตุตถฌาน" หรือหรืออย่างน้อยต้องได้ "ทุติยฌาน* เพื่อให้จิตสงบ เรียบ นิ่ง * เป็นการสร้างพลังให้มีกำลังที่เต็มพร้อมเพื่อการทำวิปัสนา*
- สัมมาสติ คือการเจริญวิปัสนาเพื่อสร้างปัญญาเครื่องตรัสรู้ในการผลิต *อริยสัจ 4* ให้มีขึ้นเป็นขึ้น ด้วยการเจริญสติปัฏฐาน 4
3. ปัญญาต้องบริบูรณ์
- สัมมาสังกัปปะ ต้องตั้งดำริในการละกามฉันทะหรือออกจากกามคุณ ดำริละความโกรธ เกียจ พยาบาท มุ่งร้าย เบียดเบียน เพื่อให้ถึงการสิ้นอาสวะ
- สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง คือการรู้แจ้งเห็นแจ้งใน "อริยสัจ 4" ว่า...
▪นี้คือทุกข์
▪นี้คือเหตุแห่งทุกข์
▪นี้คือการดับทุกข์
▪นี้คือทางดำเนินให้ถึงการดับทุกข์
ซึ่งเป็นปัญญาญาน อันเป็นผลผลิตที่ได้จากการเจริญ *สติปัฏฐาน 4 สัมประยุทธกับโพชฌงค์ 7*
พระพุทธเจ้า ท่านก็ตรัสรู้อยู่ในโลก ท่านเอา
อาการของโลกนี้ไปพิจารณา ถ้าท่านไม่ได้
พิจารณาโลก ก็ไม่เห็นโลก ท่านก็จะอยู่เหนือ
โลกไม่ได้.
ฉะนั้น องค์พระบรมครูของเราตรัสรู้ก็ด้วยเอา
เรื่องของโลกนี้แหละ มารู้เท่าโลกนี่เอง โลก
ก็ยังมีอยู่อย่างนั้น สรรเสริญก็มี นินทาก็มี
ลาภก็มี เสื่อมลาภก็มี ยศก็มี เสื่อมยศก็มี สุข
ทุกข์ก็มี ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ ก็ไม่มีอะไรจะตรัส
รู้.
เมื่อท่านตรัสรู้ตามเป็นจริงแล้ว คือรู้โลกนี้
โลกธรรม ธรรมอันครอบงำสัตว์โลกอยู่ สัตว์
โลกย่อมเป็นไปตามธรรม ครอบหัวใจสัตว์
ครอบหัวใจคน มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อม
ยศ สรรเสริญ นินทา สุข ทุกข์ เป็นของโลก
ถ้าหากว่าใจมนุษย์ทั้งหลาย เป็นไปตามอำ
นาจสุข ทุกข์ นินทา เป็นไปตามอำนาจมัน
นั่นแหละคือโลก ท่านจึงเรียกว่า โลกธรรม.
โลกธรรมเป็นธรรมอันหนึ่ง ทำให้มองไม่เห็น
ทางมรรคแปดที่จะเดินไปหาทางพ้นทุกข์
มีแต่โลกท่วมหัวอยู่นี่ ชื่อว่าสัตว์โลกเป็นไป
ตามธรรม ธรรมนั้นมันให้สัตว์เป็นโลก โลก
ก็เดินไปตามธรรมนั้น มันจึงเป็นโลกธรรม
ผู้อยู่ในโลกธรรมคือสัตว์โลกวุ่นวายอยู่ตลอด
กาลตลอดเวลา.
ดังนั้น ในการประพฤติหรือปฏิบัติในทางพุทธ
ศาสนา ท่านจึงสอนว่า ให้เจริญมรรคคือตัว
ปัญญา รวมแล้วคือปฏิบัติศีลให้มันยิ่ง สมาธิ
ให้มันยิ่ง ปัญญาให้มันยิ่ง นี่คือเครื่องทำลาย
โลก นี่..หนทางเดินเข้าไปทำลายโลก.
โลกมันอยู่ที่ไหนล่ะทีนี้ โลกมันอยู่ที่ใจของ
สัตว์ที่ลุ่มหลงนั่นแหละ อาการที่มันติดลาภ
ติดยศ ติดสรรเสริญ ติดสุข ติดทุกข์ นั่นแหละ
เมื่อมีอยู่ในใจเมื่อใด ใจก็เป็นโลก เมื่อใจเป็น
โลก อยู่ที่ไหนโลกก็อยู่ที่นั่นแหละ.
ต้นเหตุที่โลกจะเกิดขึ้นมา ก็เกิดจากความอยาก
ถ้าดับความอยาก ก็คือดับโลก ความอยากเป็น
บ่อเกิดของโลกทั้งหลาย .
ฉะนั้น เมื่อเรามาประพฤติหรือปฏิบัติแล้ว เรา
จึงเดินทางศีล สมาธิ ปัญญา นี่ท่านว่า โลกธรรม
แปดและมรรคแปดเป็นของคู่กัน ทำอย่างไรจึง
เป็นของคู่กัน ถ้าหากว่าเราพูดทางปริยัติของเรา
แล้ว ก็พูดได้ว่า ลาภ เสื่อมลาภ ยศ เสื่อมยศ
สรรเสริญ นินทา สุข ทุกข์ นี่ก็แปดอย่างในทาง
โลก.
ส่วนในทางธรรมก็มีมรรคแปด สัมมาทิฏฐิ สัมมา
สังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชี
โว สัมมาวายาโม สัมมาสติ สัมมาสมาธิ รวมแล้ว
แปดอย่างเหมือนกัน.
ทางสองแปด นี่นะมันอยู่ที่เดียวกัน ไม่ได้อยู่คน
ละที่ พวกยินดีในลาภ ยศ สรรเสริญ ก็อยู่ในใจ
นี้ ใจผู้รู้นี้ แต่ผู้รู้มีเครื่องปกปิดเอาไว้ จึงให้รู้ผิด
ไป มันก็เลยเป็นโลก ผู้รู้นี้ยังไม่มีพุทธภาวะเกิด
ขึ้นมา จึงถอนตัวออกไม่ได้ จิตใจขณะนี้ก็เลย
เป็นโลก..
โอวาทธรรม
หลวงพ่อชา สุภัทโท.
#ธาตุขันธ์
#อาการของขันธ์
พระอรหันต์ในความคิดของปุถุชน
กับพระอรหันต์ของความเป็นสัจจริง
ยอมแตกต่างกัน !!
ฉะนั้นท่านจึงสอนว่า ไม่ควรไปมั่นไปหมาย
ในความคิดของตนว่าถูก ว่าผิด ฟังไว้ ดูไว้ แล้วพิจารณาไปเชื่อก็ไม่แย้ง ไม่เชื่อก็ไม่แย้ง ไม่ติ ไม่ดูหมิ่น อะไร ใด ๆ ฟังแล้ววางไว้พิจารณาไป
สาธุครับ
"ถ้าเราต้องการความสงบ
ก็ให้สงบด้วยฉลาดด้วยปัญญา
เท่านั้นพอ เมื่อใดที่เราเห็นธรรมะ
นั่นก็เป็นสัมมาปฏิปทาแล้ว กิเลสก็
สักว่ากิเลส ใจก็สักแต่ว่าใจ เมื่อใด
ที่เราทิ้งได้ ปล่อยวางได้ แยกได้
เมื่อนั้นมันก็เป็นเพียงสักว่า เป็นเพียง
อย่างนี้อย่างนั้นสำหรับเราเท่านั้นเอง
เมื่อเราเห็นถูกแล้ว ก็จะมีแต่ความ
ปลอดโปร่ง ความเป็นอิสระตลอดเวลา.. "
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านอย่า
ยึดมั่นในธรรม ธรรมะคืออะไร
คือทุกสิ่งทุกอย่าง
ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ธรรมะ.."
#โลกุตตรจิต #โลกุตตรธรรม
#ผู้มีศรัทธาความเชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ
มี วิริยะ ในสิ่งที่ควรเพียร มี สติ ในสิ่งที่ควรระลึกได้
มี สมาธิ ในสิ่งที่ควรตั้งมั่น มี ปัญญา ในสิ่งที่ควรรอบรู้ เป็นกองทัพธรรมสมดุลกันแล้ว ย่อมเป็นช้างสารมหากำลังใหญ่
ความหลง ที่เรียกว่า อวิชชา จะตั้งกองพลเข้ามาทางประตูใด "ความหลง" ย่อมอยู่ใต้อำนาจของ ธรรมแท้ ใจแท้ ศรัทธาแท้ วิริยะแท้ สติแท้ สมาธิแท้ ปัญญาแท้
เพราะธรรมเหล่านี้ขึ้นสู่โลกุตรแล้ว
ไม่มีเทวดา มาร พรหม และมนุษย์ใดๆ
จะปลดเกษียณให้ลงสู่โลกีย์ได้
โลกุตตรจิต-โลกุตตรธรรม มิใช่ธรรมลวงโลก มิใช่ปู่ทวด ย่าทวด ตาทวด ยายทวด ปู่ ย่า ตา ยาย พ่อ แม่ลวงโลก เพราะข้ามปุถุชนโคตรไปแล้วไกล
ไม่อาลัยว่า จะลวงตน จะลวงโลก เหมือนโลกิยวิสัย ที่หนักไปทางอามิสสรณังคัจฉามิ ที่เที่ยวกวาดต้อนผู้อยู่ในระดับเดียวกันเข้าให้เป็นพรรคตามกรรมนิยม กรรมบันดาล เหนี่ยวรั้ง ตั้งเจตนา
และความหวังก็เป็นไปตามโลกีย์ ไกลจากโลกุตตระจนมองไม่เห็น จะเห็นกันได้ง่ายๆ ก็เพียงกายและความประพฤติเป็นบางส่วนเท่านั้น
#เหลือนั้นก็เดาด้นคาดคะเนผิดบ้างถูกบ้าง #แต่ต้องผิดนั่นแหละเป็นส่วนมาก
"ผู้เห็นภัย"อย่างเต็มที่ใน"สงสาร"
ทั้งอดีต ทั้งอนาคต ทั้งปัจจุบันนั้น
กับผู้สนใจในทางปฏิบัติอย่างเต็มที่ก็ดี
กับผู้ไม่ประมาทนอนใจนั้นก็ดี
กับผู้สนใจในธรรมเพื่อหลุดพ้นนั้นก็ดี
กับผู้เชื่อมรรค ผล นิพพานนั้นก็ดี
กับผู้ไม่ตีตนตายก่อนไข้นั้นก็ดี
กับผู้เลือกเฟ้นธรรม เลือกเฟ้นใจในธรรมที่ควรเลือก ในใจที่ควรเลือกนั้นก็มีความหมายอันเดียวกัน
ส่วนท่านผู้เห็นภัยในสงสารอย่างเต็มที่ และผู้ปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรมอย่างเต็มที่นั้นก็ดี กับท่านผู้พ้นจากกิเลสโดยสิ้นเชิงอย่างเต็มที่นั้นก็ดี
กับท่านผู้พ้นจากผู้รู้ในอดีต ผู้รู้ในอนาคต ผู้รู้ในปัจจุบันนั้นก็ดี แล้วไม่ติดข้องอยู่ทั้งผู้รู้ในอดีต ผู้รู้ในอนาคต ผู้รู้ในปัจจุบันนั้นก็ดี
กับผู้ไม่ติดอยู่ในนิมิตฝ่าย"รูปขันธ์"ก็ดี กับผู้ไม่ติดอยู่ในอรูปคือ"นามขันธ์"นั้นก็ดี
กับผู้ไม่ติดอยู่ในสรรพธาตุทั้งปวงก็ดี
กับผู้ไม่ติดอยู่ในสรรพธรรมทั้งปวงก็ดี
กับผู้ไม่ติดอยู่ในสรรพจิตทั้งปวงก็ดี
กับผู้ไม่ติดอยู่ในสรรพอัตตาทั้งปวงก็ดี
กับผู้ไม่ติดอยู่ในสรรพอนัตตาทั้งปวงก็ดี
กับผู้ไม่ติดอยู่ในสูญๆสาญๆทั้งปวงก็ดี
กับผู้ไม่ติดอยู่ในสมมติและวิมุติก็ดี
กับผู้ไม่ติดอยู่ในได้ในเสีย
กับผู้ไม่ติดอยู่ในอุปาทานก็ดี...เป็นต้น
เหล่านี้ ย่อมมีรสชาติและความหมายอันเดียวกัน
เหลือวิสัยที่จะบัญญัติและสมมติไปแล้ว ไม่เป็นธรรมที่ชาวโลกจะเอามาซื้อมาขายมาจ่ายในตลาดโลกได้ เพราะมิใช่ธรรมลิเก ละคร และกีฬา และฉายหนังภาพยนต์โทรทัศน์ใดๆทั้งสิ้น ผู้เขียนก็เขียนไปตามจิตสังขาร ปัญหาก็หากจบไปเอง
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
โลกทั้งปวงมีแต่เกิดขึ้นและแปรดับ และมีทุกข์ไม่ใช่ตัวตนดังที่ว่ามาแล้วนั้น จะได้สิ้นความสงสัยในปัญหาของเจ้าตัวที่เคยสร้างขึ้นจะแก้ไม่ยาก
โลกคืออะไร..วัตถุภายนอกคืออะไร.. ที่สร้างขึ้นด้วย ดิน น้ำ ไฟ ลมก็ดี หรือความนึกคิด แห่งสุข ทุกข์ อุเบกขาก็ดี เกิดขึ้นแล้วก็แปรปรวนและดับไปเสมอกันทั้งนั้น
เมื่อลูกไม้ของโลกมีเพียงเท่านี้แล้วนั้น เราก็ไม่มีหนทางจะไปสงสัยอะไรอีก มีแต่"รู้"ตามเป็นจริง.."ปฎิบัติ"ตามเป็นจริง "..พ้นจากความสงสัย"ตามเป็นจริงเท่านั้น
ความดีใจเสียใจในโลกทั้งปวงก็ห้ามเบรคลง
ปัญญาก็เกิดขึ้นเหนือความหลงของตนไปซะ
เรียกว่า"รู้เท่าทุกข์...รู้เท่าสังขาร"
แล้วจิตก็โอนไป...เอนไป...โน้มไป...ใน"พระนิพพาน"
คืนกลับความหลงของเจ้าตัวแบบเย็นๆ เท่านั้นเอง...
หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต
.ความทุกข์เกิดขึ้นเพราะเราไม่เห็นความคิดนั่นเเหละ
ตัวความคิดจริง ๆ นั้น มันก็ไม่ได้มีความทุกข์
ที่มันมีทุกข์เกิดขึ้น คือ เราคิดขึ้นมา
เราไม่ทันรู้-ไม่ทันเห็น-ไม่ทันเข้าใจความคิดอันนั้น
มันก็เลยเป็นโลภ-เป็นโกรธ-เป็นหลงไป
เมื่อมันเป็นโลภ เป็นโกรธ เป็นหลง
มันก็นำความทุกข์ มาให้เรา..."
"...ทำความรู้สึกตัว ทำความตื่นตัวอยู่เสมอ
รู้ทั้งการเคลื่อนไหวทาง"รูปกาย" ก็ให้รู้
และ"จิตใจ"มันนึกมันคิด ก็ให้รู้
ทำอย่างนี้แหละ ทำบ่อย ๆ ไปไหนมาไหน ก็ทำอย่างนี้บ่อย ๆไม่ต้องคิดวิตกกังวลอะไรทั้งหมดเลย
มันคิดมาแล้ว ก็ปัดทิ้งไปเลย...เราอย่าไปรู้กับมัน
อันนี้เป็นวิธีฝึกหัด
เมื่อเราฝึกหัด ความเคยชินมันมีครับ-ความเคยชินมันมี
พอดีจิตใจมันไหวตัวขึ้นมา เราจะรู้ทันที
เมื่อเรารู้ทันทีแล้ว ความคิดมันก็เลยไม่ได้ปรุง
มันก็เลยไม่มีทุกข์..."
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
ปัญญาที่เกิดพร้อมกับศีลและสมาธิ
เป็นการทำลาย...สิ่งที่เหมือนนอนเนื่องในส่วนลึกของจิตใจคือ
สามารถทำลายกิเลสอย่างละเอียด ให้หมดจดไปจากจิตสันดานทุกๆ ขณะที่เกิดขึ้น...
จิตที่ตั้งมั่นเป็นหนึ่ง
จิตที่รู้ในตัวจิต จิตที่พบจิตย่อมพบทางเดินออกอันมีผลคือการดับสิ้น
โดยเป็นการตอกย้ำความจริงที่ได้พบ
จึงเกิดการละคลาย
เบื่อหน่าย โอนไป เงื้อมไป เทไป บ่ายหน้าไป
ยังที่สิ้นทุกข์ยิ่งขึ้นทุกๆขณะ
ปัญญาที่อบรมบ่มจิตจึงเข้าไปทำลายรากเหง้าต้นตอในเหตุทั้งหลายที่เหมือนนอนเนื่องในกมลสันดานให้หมดสิ้นไป...
การพิจารณาใส่ใจโดยแยบคายในรายละเอียดเป็นขบวนการของเปิดประตูไขความลับของจิตแห่งธรรมชาติของสรรพสิ่งอย่างแท้จริง...
นั่นเพราะ...โยนิโสมนสิการ(ความใส่ใจโดยแยบคายในรายละเอียด)
ที่สังเกตสภาวธรรม ที่จะเกิดขึ้นในขณะก้าวไปข้างหน้า หรือถอยกลับมาข้างหลัง …
ในสัมปชัญญบรรพมหาสติปัฏฐานสูตร นั้น
เมื่อโยนิโสมนสิการแก่กล้ามากขึ้นๆ
ย่อมสามารถทำให้เกิดปฐมชวนะวิปัสสนากุศล(พิสูจน์ความจริงเกี่ยวกับนามรูปได้ )
ประตูที่เปิดความลับแต่ละขณะจะเข้าสู่ขบวนการตามรู้
จนกลายเป็นเท่าทัน และเข้าสู่ความรู้ชัดอย่างต่อเนื่องของความจริง
ที่กำลังแสดงให้เห็นในสิ่งที่ปรากฏเกิดเป็นดับสลายนั้นๆให้ประจักษ์แจ้ง(วิปัสสนามีกำลังมากขึ้น)
ผู้รู้ชัดย่อมสามารถรู้ถึงปัจจัยของนามรูปว่า...
เหตุเกิดมาจากอะไร
มีปัจจัยอะไรทำให้เกิด
ต่อจากนั้นก็จะสามารถรู้ถึงสภาวลักษณะและสามัญญลักษณะเป็นลำดับๆ
ไปจนถึงเห็นลักษณะไม่เที่ยงของนามรูป เป็นต้น…
ซึ่งสามารถทำลายวิปลาสธรรม…มีสุขวิปลาสเป็นต้น ให้หมดไปเป็น ตทังคปหาน …
อนุสัยกิเลสที่นอนเนื่องไปตามอารมณ์มีรูปที่เห็นเป็นต้น
ก็จะถูกตัดขาดทำให้สันตานุสัยที่นอนเนื่องในจิตสันดานน้อยลงๆ
จนท้ายสุดก็คือรู้แจ้งเห็นจริงจนหมดสิ้นสงสัย...
(ถูกตอกย้ำความจริงจนเข้าใจแจ่มแจ้ง ไม่ผิดพลาด มีสภาพไม่หลงอีกเพราะรู้แจ้งเห็นจริง)
เอถ ปสฺสติมํ โลกํ จิตฺตํ ราชรถูปมํ
ยตฺถ พาลา วิสีทนฺติ นตฺถิ สงฺโควิชานตํ
แปลว่า... ชนทั้งหลายจงมาดูโลกนี้อันวิจิตรตระการดุจราชรถ
อันพาลผู้เขลาพากันหมกอยู่ แต่บัณฑิตผู้รู้หาติดข้องอยู่ไม่...
#ผู้ที่เข้าใจธรรมะ
"ผู้ที่เข้าใจธรรมะก็เข้าใจตนเอง
ใครเข้าใจตัวเองก็เข้าใจธรรมะ
ทุกวันนี้ก็เหลือแต่เปลือกของธรรมะ
เท่านั้น ความเป็นจริงแล้วธรรมะมีอยู่
ทุกแห่งหนทุกแห่ง ไม่จำเป็นที่จะต้อง
หนีไปไหน ถ้าจะหนีก็ให้หนีอยู่ด้วย
ความฉลาด ด้วยปัญญา หนีด้วยความ
ชำนิชำนาญ อย่าหนีด้วยความโง่.. "