อริยสัจสี่ .... รู้เร่งด่วน ... สปีดเร็วกว่านรก ....
อริยสัจสี่(ย่อๆ) ....
1. กาย+ใจ เป็นทุกข์ ... ควรรู้รอบอย่างถ่องแท้ ...
2. ตัณหา 3 ... เป็นเหตุเกิดทุกข์ ... ควรละเสีย ...
3. ความดับตัณหา 3 เป็นความดับทุกข์ ....
4. ศีล สมาธิ ปัญญา คือ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ....
เมื่อทำข้อ 4 .... ก็จะเจอข้อ 3 .... ก็จะละข้อ 2 .... ก็จะไม่มีข้อ 1
อริยสัจ 4 ทุกข้อ มีความเกี่ยวเนื่องกัน
เมื่อรู้ทุกข์ ก็คิดหาทางออก
เมื่อรู้สาเหตุของทุกข์ ก็หาทางดับ
เมื่อรู้ทางดับทุกข์ ก็สามารถปฏิบัติไปถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้
ดังนี้แล...
Cr...@Dokbua สาธุธรรมครับ
ธรรมทั้งหลายรวมลงได้ที่ อริยสัจสี่ และอริยสัจนั้นสามารถรู้ได้ จากการศึกษาดูจิตของตนเอง
เพราะทุกข์ นั้นเกิดมาจากสมุทัย หรือตัณหา ความทะยานอยากของจิต
และความพ้นทุกข์ ก็เกิดจากความสิ้นไปของตัณหา
แม้แต่มรรคมีองค์แปดที่ย่อลงเป็น ศีล สมาธิ ปัญญา นั้นก็เป็นเรื่องที่เกิดจากจิตทั้งสิ้น
กล่าวคือ...
ศีล ก็เป็นความปรกติของจิตที่ไม่ถูกสภาวะอันใดครอบงำ
สมาธิ คือความตั้งมั่นของจิต และ
ปัญญา คือความรอบรู้ของจิต
ดังนั้น ธรรมทั้งปวงนั้น สามารถเรียนรู้ได้ที่จิตของตนเอง
< มรรค สู่ นิพพาน >
อริยสัจ ข้อ 4 คือ มรรค เป็นวิธีการปฏิบัติที่พระองค์บัญญัติขึ้นเพื่อการออกจากทุกข์ ซึ่งมี 8 ประการเรียกเต็มๆว่า "อริยมรรคมีองค์ 8"
1. สัมมา ทิฏฐิ เห็นชอบ
2. สัมมา สังกัปปะ คิดชอบ
3. สัมมา วาจา พูดชอบ
4. สัมมา กัมมันตะ กระทำชอบ
5. สัมมา อาชีวะ อาชีพชอบ
6. สัมมา วายามะ เพียรชอบ
7. สัมมา สติ ระลึกชอบ
8. สัมมา สมาธิ จิตตั้งมั่นชอบ
ซึ่งสรุปลงไปได้อีกเรียกว่าไตรสิกขาคือ
คนที่หลงจึงต้องแสวงหา
ถ้าไม่หลงก็ไม่ต้องหา
จะหาไปให้ลำบากทำไม
อะไรๆ ก็มีอยู่กับตัวเองอย่างสมบูรณ์อยู่แล้ว
จะตื่นเงา ตะครุบเงาไปทำไม
เพราะรู้แล้วว่า เงาไม่ใช่ตัวจริง
ตัวจริง คือ สัจจะทั้งสี่ที่มีอยู่ในกาย ในใจ อย่างสมบูรณ์แล้ว"
โดย หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ก่อนหลวงพ่อจะเจอหลวงปู่ดูลย์
เคยไปอ่านหนังสือของหลวงปู่แหวน
ซึ่งวัดสัมพันธวงศ์จัดพิมพ์
เหลือที่อยู่หน่อยหนึ่งเขาก็เอาธรรมะ
เรื่อง “อริยสัจแห่งจิต” ของหลวงปู่ดูลย์ไปลงไว้
ตอนนั้นท่านใช้ชื่อพระรัตนกรวิสุทธิ์
ไปดูแล้ว โอ้ เห็นแล้วน่าทึ่งนะ ท่านบอกว่า
จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย
ผลอันเกิดจากจิตที่สงออกนอก เป็นทุกข์
จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นมรรค
ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นนิโรธ
มีอีกบทหนึ่งนะ พวกเรามักจำกันได้บทเดียว
ช่วยกันจำอีกบทหนึ่งไว้ด้วยอย่าให้สูญหายไป
ท่านสอนว่า
อนึ่ง ตามสภาพที่แท้จริงของจิต ย่อมส่งออกนอก
เพื่อรับอารมณ์นั้นๆ โดยธรรมชาติของมันเอง
ก็แต่ว่า ถ้าจิตส่งออกนอกได้รับอารมณ์แล้ว
จิตเกิดหวั่นไหวหรือเกิดกระเพื่อมไปตามอารมณ์นั้น เป็นสมุทัย
ผลอันเกิดจากจิตหวั่นไหว
หรือกระเพื่อมไปตามอารมณ์นั้นๆ เป็นทุกข์
ถ้าจิตที่ส่งออกนอกได้รับอารมณ์แล้ว แต่ไม่หวั่นไหว
หรือไม่กระเพื่อมไปตามอารมณ์นั้นๆ
มีสติอยู่อย่างสมบูรณ์ เป็นมรรค
ผลอันเกิดจากจิตไม่หวั่นไหว หรือไม่กระเพื่อม
เพราะมีสติอยู่อย่างสมบูรณ์ เป็นนิโรธ
พระอริยเจ้าทั้งหลายมีจิตไม่ส่งออกนอก จิตไม่หวั่นไหว
จิตไม่กระเพื่อม เป็นวิหารธรรม จบอริยสัจ ๔
คำว่าพระอริยเจ้าทั้งหลายหมายถึงพระอรหันต์นะ
พระอรหันต์ก็ยังมีจิตที่ออกนอก
เพราะธรรมดาจิตย่อมส่งออกนอก
เพื่อรับรู้อารมณ์ทั้งหลาย
ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
แต่จิตของพระอรหันต์นั้น
เมื่อออกนอกแล้วไม่กระเพื่อมหวั่นไหว
เป็นธรรมดาอยู่อย่างนั้นเอง ความต่างมันมีแค่นี้เอง
------------------------
พระธรรมเทศนา ๔ ตอน ๒
"อริยสัจจ" ตอน ๖๙
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
"คนหิว อยู่เป็นปกติสุขไม่ได้
จึงวิ่งหาโน่นหานี่
เจออะไรก็คว้าติดมือมาโดยไม่สำนึกว่าผิดหรือถูก
ครั้นแล้วสิ่งที่คว้ามาก็เผาตัวเองให้ร้อนยิ่งกว่าไฟ
ทุกข์ควรรู้ สมุทัยควรละ นิโรธควรทําให้แจ้ง มรรคควรเจริญ. เจตนาเป็นกรรม หมดเจตนา สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้ยิน. ปล่อยอุปาทานออกจากขันธ์ เห็นรูปนามเห็นไตรลักษณ์ เพียรจนหมดเพียร ...
อริยสัจ หรือจตุราริยสัจ หรืออริยสัจ 4 เป็นหลักคำสอนหนึ่งของพระโคตมพุทธเจ้า แปลว่า ความจริงอันประเสริฐ ความจริงของพระอริยะ หรือความจริงที่ทำให้ผู้เข้าถึงกลายเป็นอริยะ มีอยู่สี่ประการ คือ
1. ทุกข์ คือ สภาพที่ทนได้ยาก ภาวะที่ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ สภาพที่บีบคั้น ได้แก่ ชาติ (การเกิด) ชรา (การแก่ การเก่า) มรณะ (การตาย การสลายไป การสูญสิ้น) การประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก การปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่สมหวังในสิ่งนั้น กล่าวโดยย่อ ทุกข์ก็คืออุปาทานขันธ์ หรือขันธ์ 5
2. สมุทัย คือ สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ได้แก่ ตัณหา 3 คือ กามตัณหา-ความทะยานอยากในกาม ความอยากได้ทางกามารมณ์, ภวตัณหา-ความทะยานอยากในภพ ความอยากเป็นโน่นเป็นนี่ ความอยากที่ประกอบด้วยภวทิฏฐิหรือสัสสตทิฏฐิ และ วิภวตัณหา-ความทะยานอยากในความปราศจากภพ ความอยากไม่เป็นโน่นเป็นนี่ ความอยากที่ประกอบด้วยวิภวทิฏฐิหรืออุจเฉททิฏฐิ
3. นิโรธ คือ ความดับทุกข์ ได้แก่ ดับสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ กล่าวคือ ดับตัณหาทั้ง 3 ได้อย่างสิ้นเชิง
4. มรรค คือ แนวปฏิบัติที่นำไปสู่หรือนำไปถึงความดับทุกข์ มีองค์ประกอบอยู่แปดประการ คือ 1. สัมมาทิฏฐิ-ความเห็นชอบ 2. สัมมาสังกัปปะ-ความดำริชอบ 3. สัมมาวาจา-เจรจาชอบ 4. สัมมากัมมันตะ-ทำการงานชอบ 5. สัมมาอาชีวะ-เลี้ยงชีพชอบ 6. สัมมาวายามะ-พยายามชอบ 7. สัมมาสติ-ระลึกชอบ และ 8. สัมมาสมาธิ-ตั้งใจชอบ ซึ่งรวมเรียกอีกชื่อหนึ่งได้ว่า "มัชฌิมาปฏิปทา" หรือทางสายกลาง
มรรคมีองค์แปดนี้สรุปลงในไตรสิกขา ได้ดังนี้ 1. อธิสีลสิกขา ได้แก่ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ และสัมมาอาชีวะ 2. อธิจิตสิกขา ได้แก่ สัมมาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ และ 3. อธิปัญญาสิกขา ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ และสัมมาสังกัปปะ
อริยสัจ 4 นี้ เรียกสั้น ๆ ว่า ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค
เกิดทุกข์ที่ไหน ต้องดับความทุกข์ที่นั่น
“ ท่านทั้งหลายควรจะเข้าใจความข้อนี้ เพราะเป็นวิธีที่ลัดสั้นที่สุด จริงที่สุด และมีประโยชน์มากที่สุด มีความทุกข์ที่ไหนต้องดับความทุกข์ที่นั่น
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทำได้ เป็นสิ่งที่กระทำได้ เพราะพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ว่า...
“ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ : สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวงก็มีความดับเป็นธรรมดา”
ถ้าวัฏฏสงสารมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา วัฏฏสงสารก็ต้องมีความดับเป็นธรรมดา เราอย่าได้ไปแยกออกจากกันเลย มันเกิดที่ไหนมันต้องดับที่นั่น มันขึ้นทางไหนมันต้องลงทางนั้น
ตัวอย่างเราก็เห็นได้ชัดแล้ว ว่ามันเกิดขึ้นมาจาก“อวิชชา” ฉะนั้น เราต้องดับลงที่“อวิชชา” ขึ้นทางไหนต้องลงทางนั้น หมายความว่า ความทุกข์เกิดขึ้นตรงไหนต้องดับที่ตรงนั้น อย่ามัวไปหาที่ดับที่อื่นเลย
ดังนั้น ต้องหาความดับทุกข์ที่ตัวความทุกข์ เช่นเดียวกับที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสว่า...โลกนี้ก็ดี เหตุให้เกิดโลกก็ดี ความดับสนิทแห่งโลกก็ดี หนทางให้ถึงความดับสนิทแห่งโลก ตถาคตบัญญัติไว้..ในร่างกายอันยาวประมาณวาหนึ่งนี้ พร้อมทั้งสัญญาและใจ
ถ้าเราจะพูดกันให้ง่ายๆ อย่างวัตถุ เราก็จงดู"ความไม่มี" ว่ามันอยู่ที่"ความมี" คือวัตถุอย่างหนึ่งตั้งอยู่ เราพูดว่ามี"ความมี" แล้ว"ความไม่มี"อยู่ที่ตรงไหน ความไม่มีมันก็ซ้อนกันอยู่ที่วัตถุนั้นเอง อยู่ที่ความมีของวัตถุนั่นเอง ลองเอาความมีของวัตถุนั้นออกไปก็จะพบความไม่มีของวัตถุนั้นอยู่ตรงที่เดียวกัน
เพราะฉะนั้น มีความทุกข์ที่ไหน ก็มีความดับทุกข์อยู่ที่นั่น เราต้องหา"ความดับทุกข์"ที่"ความทุกข์"เสมอไป...
เช่นเดียวกับที่จะต้องหาจุดที่เย็นที่สุดที่กลางเตาหลอม หาความเย็นที่สุดจากความร้อนที่สุด เย็นที่สุดนั้นมันอยู่ที่ร้อนที่สุด จงหาความดับที่ความเดือด ถ้าวัฏฏสงสารเป็นความเดือด นิพพานก็ต้องเป็นความดับ และหาได้ที่ความเดือด
แต่ท่านทั้งหลายไม่เคยนึกเสียด้วยซ้ำไป อย่าว่าแต่จะรู้หรือจะกระทำเลย แม้แต่นึกก็ยังไม่เคยนึก ทำให้เป็นคนโง่ เหมือนกับคนโง่ชนิดหนึ่งซึ่งว่าโดยที่แท้แล้วเพชรมีอยู่ที่หน้าผากของตัว แต่ไม่เคยทราบ ไม่เคยคลำหาเพชรแท้ๆ มีอยู่แล้วที่หน้าผากของตัว มีอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่เคยทราบและไม่เคยคลำหา นี่แหละ! คือคนที่โง่ ที่ไปหานิพพานที่อื่นจากวัฏฏสงสาร”
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยาย เรื่อง "ในวัฏฏสงสารมีนิพพาน" เมื่อ ๒ มิถุนายน ๒๕๑๑ จากหนังสือ "มองด้านใน" ชุดที่ ๒
-----------------------------------
หลักอริยสัจ ๔ เรียนรู้ได้จาก"ร่างกาย"นี้
"เราจะเรียนรู้หลักความจริงเหล่านี้ได้จากโรงเรียน คือ"ร่างกายเรา"นี้เท่านั้น ของใครก็ของมัน ต้องอาศัยร่างกายเป็นที่ค้นหาความจริง เป็นครูสอนความจริง เพราะในร่างกายนี้มีลักษณะพร้อมทั้งเหตุและผล พอเพียงที่จะให้เราศึกษาหาความรู้ และทำความมั่นใจให้แก่เราได้ พระองค์จึงตรัสไว้ว่า...
" แน่ะเธอ ! ในร่างกายที่ยาววาหนึ่งนี้นั่นเอง อันมีพร้อมทั้งสัญญาและใจ, ฉันได้บัญญัติโลก (คือความทุกข์), ได้บัญญัติโลกสมุทัย (คือเหตุให้เกิดทุกข์), ได้บัญญัติโลกนิโรธ (คือความดับไม่เหลือแห่งทุกข์), และได้บัญญัตินิโรธคามินีปฏิปทา (คือการทำเพื่อให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์นั้น)ไว้."
ในที่นี้ ตรัสเรียกสภาพธรรมดาอันเต็มไปด้วยทุกข์ว่า "โลก",
เรียกความอยากทะเยอทะยานของสัตว์โลกเพราะความยึดมั่นเข้าใจผิดว่า "เหตุให้เกิดโลก",
เรียกการดับความอยากเสีย แล้วอยู่อย่างสงบเป็นสุขใจเพราะไม่ยึดมั่น และเข้าใจถูกในสิ่งต่างๆว่า "เป็นที่ดับของโลก",
และทรงเรียกมรรคมีองค์ ๘ ประการว่า "เป็นวิธีให้ถึงความดับของโลก"นั้น,
อันเป็นสิ่งที่สัตว์ทุกคนควรกระทำเป็นหน้าที่ประจำชีวิตของตนๆตามนัยนี้เป็นหลักว่า หลักใหญ่ของพุทธศาสนาคือ การสอนให้ด้บทุกข์ภายในใจ ด้วยการศึกษาหาความจริงในกายตน และหยั่งรู้ไปถึงสิ่งและบุคคลที่แวดล้อมตนอยู่ตามเป็นจริง ไม่ติดมั่นจนเกิดทุกข์ เพราะเห็นกฎแห่งอนัตตา แล้วมีใจปลอดโปร่งสบาย. การไม่ยึดมั่นว่าเป็นตัวตนอันจะก่อให้เกิดการเห็นแก่ตนนั้น เป็นประโยชน์ทั้งแก่ตนและผู้อื่น หรือแก่โลกทั้งสิ้น : คือตนเองจะเป็นผู้มีความสุขสงบเยือกเย็นแสนจะเย็น ส่วนผู้อื่นนั้น นอกจากไม่ถูกผู้นั้นมาเบียดเบียนแล้ว ยังอาจประพฤติตามเขา จนได้รับความสุขอย่างเดียวกัน ไฟทุกข์ของโลกจะดับสนิท. หลักธรรมทั้งหลายแม้จะมีชื่อเรียกต่างๆกัน หมดนั้นรวมลงไดัในหลักคือความดับทุกข์ทั้งสิ้น. ความรู้ชนิดนี้ย่อมนำใหัเกิดความเมตตาสงสารเพื่อนที่กำลังตกอยู่ในทะเลแห่งสังสารวัฏด้วยกันอย่างแรงกล้า เพราะฉะนั้น เป็นอันไม่ต้องกล่าวก็ได้ว่า เมตตา เป็นหลักอันสำคัญในพุทธศาสนานี้ด้วย อีกประการหนึ่ง.”
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : จาก "ชุมนุมเรื่องสั้น" ของ พุทธทาสภิกขุ
< อริยสัจ 4 อย่างเข้าใจง่ายๆ >
》มรรค มีองค์ 8 คือข้อปฏิบัติให้ถึงการดับทุกข์ คือไม่มีทุกข์ ในภาพแสดงให้เห็นถึงองค์ 8 ซึ่งสรุปรวมเป็น ศีล สมาธิ และปัญญา ให้เป็นข้อปฏิบัติให้พ้นทุกข์นั่นเอง
》นิโรธ คือการดับทุกข์ เมื่อตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายรับรู้สัมผัส เกิดผัสสะ เป็นขั้นตอนที่ ๑ (ตามภาพ) ถ้าสติปัญญากำหนดรู้เท่าทัน ก็เป็น สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้ยิน สักแต่ว่ากลิ่น สักแต่ว่ารส สักแต่ว่าสัมผัส ไม่เกิดเวทนา แต่ถ้าขณะนั้นเกิดเผลอสติ ก็จะกลายเป็นอธิวจนสัมผัส คือสัมผัสลึกซึ้งจนเกิดเป็นเวทนา ความรู้สึกชอบไม่ชอบ ด้วยอำนาจจิตที่ปรุงแต่งไป เกิดเป็นขั้นตอนที่ ๒ (ตามภาพ) ตรงนี้แหละให้ระวังตัว ถ้าเป็นไฟจราจร ก็เป็นไฟเหลือง เป็นสัญญาณเตือนภัยให้ระวังตัวให้มาก ถ้าสามารถกำหนดรู้เท่าทันเวทนาได้ ก็ยังไม่เป็นทุกข์ แต่ถ้าเวทนาแรงกล้า จิตก็จะปรุงแต่งให้เกิดความทะยานอยาก เป็นตัญหาขึ้น เป็นขั้นตอนที่ ๓ (ตามภาพ)
》สมุทัย เหตุแห่งทุกข์ล่ะ คือเมื่อเกิดตัญหาแล้วท่านเรียกว่าสมุทัย เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ถ้าเป็นไฟจราจรก็เป็นไฟแดงแล้ว ต้องหยุดที่ตรงนี้ ถ้าหยุดได้ก็ยังไม่เกิดทุกข์ แต่ถ้าหยุดไม่ได้ก็จะเกิดเป็นอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น เอาจริงเอาจังในความอยากนั้น เกิดเป็นขั้นตอนที่ ๔ (ตามภาพ) คือทุกข์
》ทุกข์ ในขั้นตอนที่ ๔ ๕ ๖ ตามภาพ ซึ่งลำพังความอยากเฉยๆ ยังไม่เป็นทุกข์ ถ้าจิตเชื่อฟังเหตุผล ยอมปล่อยวางความอยากลงได้ก็แล้วไป แต่ถ้าอุปาทานยึดมั่นถือมั่นแล้ว ก็เกิดอัตตาตัวตน ซึ่งเป็นตัวทุกข์ขึ้นมา หลังจากนั้นก็จะเกิดเป็นภพ คือความมี ความเป็น ในขั้นตอนที่ ๕
ความนึกคิดนี้เป็นภพ เมื่อนึกคิดปรุงแต่งเป็นเรื่องเป็นราว มีเรามีเขา ก็เกิดเป็นชาติ เป็นอารมณ์ในใจ มีความพอใจไม่พอใจ ถ้าอารมณ์ภาพในใจนี้ มีกำลังรุนแรง จนไม่สามารถควบคุมไว้ได้ ก็จะแสดงออกมาทางกาย วาจา เป็นการกระทำที่ออกจากศีล หรือ ผิดศีล
》》》 ฉะนั้นการปฏิบัติธรรม คือการพยายามรักษาจิตตั้งเจตนาให้ถูกต้อง เพื่อทวนกระแสแห่งอารมณ์ พยายามรักษาอารมณ์ให้อยู่แต่อารมณ์ที่ ๑ คือผัสสะ เห็นก็สักแต่ว่าเห็น ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน รู้ก็สักแต่ว่ารู้ แต่ถ้าหลุดไปเป็นอารมณ์ที่ ๒ คือเวทนา ก็อย่ายึดมั่นถือมั่น ชอบไม่ชอบอย่ายึดมั่นถือมั่น เช่นนี้ไปเรื่อยๆ
อริยสัจ ๔ มี ๓ รอบ ๑๒ อาการ >
อริยสัจ ๔ คือ ความจริงอันประเสริฐ ๔ ประการ
๑.ทุกข์(ทุกข์อริยสัจ)-คือ ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ
๒.สมุทัย(ทุกขสมุทัยอริยสัจ)-คือ เหตุให้ทุกข์เกิด
๓.นิโรธ(ทุกขนิโรธอริยสัจ)-คือ ความดับทุกข์
๔.มรรค(ทุกขนิโรธคามมินีปฏิปทา)-คือ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
แต่ละอริยสัจ เป็นไปในรอบ ๓ คือ
๑.สัจจญาณ-กำหนดรู้ความจริง
๒.กิจญาณ-กำหนดรู้กิจที่ควรทำ
๓.กตญาณ-กำหนดรู้ว่า ได้ทำกิจเสร็จแล้ว
ดังนั้น อริยสัจ ๔ X ๓ รอบ = ๑๒ อาการ
๑) ทุกขอริยสัจ โดย ๓ รอบ คือ
▪ สัจจญาณ-ในทุกขอริยสัจ คือ ญาณรู้ว่า "ความเกิดก็เป็นทุกข์ ความแก่ก็เป็นทุกข์" เป็นต้น โดยย่อ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ โดยการอ่านการ(ศึกษาธรรมจากพ่อแม่ครูอาจารย์)
▪ กิจจญาณ-ในทุกขอริยสัจ คือ ญาณรู้ว่า "ความเกิดก็เป็นทุกข์ "เป็นต้น โดยย่ออุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ ทุกขอริยสัจนี้ เป็นธรรมที่ควรกำหนดรู้ (โดยการทำวิปัสสนาพิจารณาให้เห็นจริง)
▪ กตญาณ-ในทุกขอริยสัจ คือ ญาณรู้ว่า "ความเกิดก็เป็นทุกข์"เป็นต้น โดยย่ออุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ ทุกขอริยสัจนี้ เป็นธรรมที่ควรกำหนดรู้ ก็ได้กำหนดรู้แล้ว(โดยทำวิปัสสนาพิจารณา เกิดปัญญาปัจจัตตังผุดขึ้นในตนแล้วไม่มีวันลืม)
๒) สมุทัยอริยสัจ โดย ๓ รอบ คือ
▪ สัจจญาณ-ในสมุทัยอริยสัจ ญาณรู้ว่า "ตัณหาอันทำให้เกิดชาติใหม่อีก ประกอบด้วยความกำหนัด มีปกติเพลิดเพลินในอารมณ์นั้นๆ เป็นเหตุให้เกิดทุกข์"
ตัณหา มี ๓ คือ
๑ กามตัณหา-คือ ตัณหาในกาม ความอยากในกามคุณ ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รสและโผฏฐัพพะ
๒ ภวตัณหา-คือ ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ตัณหาในภพ ประกอบด้วยสัสสตทิฏฐิ ความเห็นผิดว่า"เที่ยง"ตัณหาในฌาน ในรูปภพ อรูปภพ
๓ วิภวตัณหา- คือ ความไม่อยากได้ อยากไม่มี ไม่อยากเป็น ตัณหาประกอบด้วยอุจเฉททิฏฐิ คือ ความเห็นผิดว่า"ขาดสูญ" (เกิดจากการอ่าน การศึกษา)
▪ กิจจญาณ-ในสมุทัยอริยสัจ คือ ญาณรู้ว่า "ตัณหาทั้ง ๓ นี้ เป็นสมุทัยอริยสัจ เป็นธรรมที่ควรละเสีย"(เกิดจากการพิจารณา)
▪กตญาณ-เป็นสมุทัยอริยสัจ คือ ญาณรู้ว่า"ตัณหาทั้ง ๓ นี้เป็นสมุทัยอริยสัจ เป็นธรรมที่ควรละเสีย ก็ได้ละเสียแล้ว"......(เกิดจากจากการพิจารณาเกิดปัญญาปัจจัตตังผุดขึ้นไม่มีวันลืม)
๓) ทุกขนิโรธอริยสัจ
▪ สัจจญาณ - ศึกษาเข้าใจถึงความดับทุกข์ ความเกิดเป็นทุกข์
▪ กิจจญาณ - ได้ปฏิบัติวิปัสสนาดับความเกิดแล้ว
▪ กตญาณ - รู้ด้วยปัญญาเป็นปัจจัตตังว่าดับความเกิดได้แล้ว
๔) ทุกขนิโรธคามมินีปฏิปทา
▪ สัจจญาณ - ได้อบรมศึกษา เรียนรู้รับทราบเกี่ยวกับมรรคมีองค์ ๘ หรือย่อลงมาคือ ศีล สมาธิ และปัญญา
▪ กิจจญาณ - ได้ดำเนินการตามมรรคมีองค์ ๘
▪ กตญาณ - รู้ว่าจบงานที่จะกระทำในมรรคมีองค์ ๘ อีกแล้วด้วยปัญญาปัจจัตตัง
การหมุนธรรมจักร ๓ รอบ แสดงธรรม ๑๒ ออกมาให้เห็น ดังนี้.-
๓ รอบมี (ใช้ปัญญา ๓)
- รอบศึกษา(สุตตมยปัญญ)
- รอบปฏิบัติ(จินตามยปัญญา)
- รอบบรรลุผล(ภาวนามยปัญญ)
๑.ทุกข์อริยสัจ....
▪หมุนรอบแรก -แสดงลักษณ์ นี่คือทุกข์ ลักษณะบังคับ
▪หมุนรอบที่ ๒-เตือนให้บำเพ็ญ นี่คือทุกข์ เธอจงรับรู้ไว้
▪หมุนรอบที่ ๓-ยืนยันว่าบรรลุได้ นี่คือทุกข์ ฉันทราบแล้ว
๒.สมุทัยอริยสัจ
▪หมุนรอบแรก-แสดงลักษณ์ นี่คือสมุทัย ยั่วความรู้สึก
▪หมุนรอบที่ ๒-เตือนให้บำเพ็ญ นี่คือสมุทัย เธอจงตัดขาด
▪หมุนรอบที่ ๓-ยืนยันว่าบรรลุได้ นี่คือสมุทัย ฉันตัดขาดแล้ว
๓.นิโรธอริยสัจ
▪หมุนรอบแรก-แสดงลักษณ์ นี่คือ นิโรธ ลักษณะบรรลุได้
▪หมุนรอบที่ ๒-เตือนให้บำเพ็ญ นี่คือ นิโรธ เธอจงบรรลุให้ได้
▪หมุนรอบที่ ๓-ยืนยันว่าบรรลุได้ นี่คือ นิโรธ ฉันบรรลุแล้ว
๔.มรรคอริยสัจ
▪หมุนรอบแรก-แสดงลักษณ์ นี่คือ มรรค ลักษณะบำเพ็ญได้
▪หมุนรอบที่ ๒-เตือนให้บำเพ็ญ นี่คือ มรรค เธอควรบำเพ็ญ
▪หมุนรอบที่ ๓-ยืนยันว่าบรรลุได้ นี่คือ มรรค ฉันบำเพ็ญแล้ว
เป็นอันจบสิ้นสมบูรณ์ฯ
"เจริญปัญญา ๓ ในอริยสัจ ๔ สู่เส้นทางพ้นทุกข์"
อริยสัจ ๔ คือ ปฏิจจสมุปบาท
ปฏิจจสมุปบาท ก็คือ อริยสัจ ๔ นั่นเอง
.
“ เรื่องปฏิจจสมุปบาทนั้นคือเรื่องอริยสัจโดยพิสดาร ที่ว่าอย่างนี้ไม่ใช่ว่าเอาเอง ก็มีพระพุทธภาษิตตรัสไว้ ที่พระองค์ตรัสว่า เราจะแสดงอริยสัจแก่พวกเธอ คอยฟังให้ดี แล้วก็ตรัสออกมาในรูปของปฏิจจสมุปบาท อย่างนี้ก็มีเหมือนกัน แต่โดยทั่วไปท่านก็ตรัสในรูปของอริยสัจ ๔ อย่างเล็ก อย่างอริยสัจเล็กนี้, ก็มีเหมือนกันที่ตรัสอริยสัจ ๔ อย่างปฏิจจสมุปบาท
.
ฉะนั้น เราจึงเห็นกันว่า เป็นการสะดวกที่จะจัดเรื่องอริยสัจให้เป็น ๒ ขนาด เรียกว่าเรื่อง อริยสัจเล็ก แล้วก็เรื่อง อริยสัจใหญ่ เนื้อตัวมันตรงกันแท้ แต่คำอธิบายหรือคำชี้แจงนี้มันมากกว่ากัน นี่คือข้อที่ว่า ถ้าเราไม่รู้ถึงข้อเท็จจริงปลีกย่อยเหล่านี้ เราก็จะเถียงกันเรื่อย.
.
เรื่องปฏิจจสมุปบาทนี้ก็คืออริยสัจ คุณอย่าลืมว่าเรื่องปฏิจจสมุปบาทนี้คือเรื่องอริยสัจ เป็นเรื่องอริยสัจใหญ่ แล้วมันเข้าใจยากกว่าเรื่องอริยสัจเล็ก ฉะนั้น เรื่องปฏิจจสมุปบาทมันจึงยังคาราคาซังอยู่ในรูปของปรัชญาเสมอไป พอฝรั่งมาแตะต้องเรื่องนี้เข้า ก็รู้สึกเป็นปรัชญาเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็เลยหาว่าพุทธศาสนาเป็นปรัชญาเสีย ไม่ใช่ศาสนา หรือไม่ใช่วิทยาศาสตร์ด้วยซ้ำไป ขอให้เข้าใจข้อนี้ไว้ด้วย เพราะต่อไปจะต้องเผชิญหน้ากับพวกชาวต่างประเทศอะไรเหล่านี้.
.
เรื่องปฏิจจสมุปบาทนี้แล้วยิ่งสำคัญในข้อที่ว่า ถ้ายังไม่รู้ ไม่ถึง ก็เป็นเรื่องปรัชญาอย่างขนาดหนัก แต่ถ้าเขาถึงแล้ว เป็นอรหันต์แล้ว เรื่องปฏิจจสมุปบาทก็กลายเป็นเรื่องเปิดเผยชัดเจน เป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ขึ้นมาทันที เหมือนกับเราเห็นอะไรรู้อะไรอยู่เฉพาะหน้า นี่คือข้อที่ลำบากในการศึกษา.”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายหัวข้อเรื่อง “จตุราริยสัจ คือหลักวิชายอดสุดของธรรมศาสตรา” บรรยายเมื่อ วันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๑๖ จากหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ เล่มชื่อว่า "ธรรมศาสตรา เล่ม ๑" หัวข้อเรื่องที่ ๑๓
---------------------------------
เรื่องปฏิจจสมุปบาท คือ เรื่องอริยสัจ
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ธรรมอันเราแสดงแล้วว่า “เหล่านี้ คืออริยสัจทั้ง ๔” ดังนี้ เป็นธรรมอันสมณพราหมณ์ผู้รู้ทั้งหลายข่มขี่ไม่ได้ ทำให้เราเศร้าหมองไม่ได้ ติเตียนไม่ได้ คัดง้างไม่ได้. ข้อนี้ เป็นธรรมที่เรากล่าวแล้วอย่างนี้ เราอาศัยซึ่งอะไรเล่า จึงกล่าวแล้วอย่างนี้ ? ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เพราะอาศัยซึ่งธาตุทั้งหลาย ๖ ประการ การก้าวลงสู่ครรภ์ ย่อมมี; เมื่อการก้าวลงสู่ครรภ์ มีอยู่, นามรูป ย่อมมี; เพราะ มีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ; เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ; เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! เราย่อมบัญญัติว่า “นี้ เป็นความทุกข์” ดังนี้; ว่า “นี้ เป็นทุกขสมุทัย” ดังนี้; ว่า “นี้ เป็น ทุกขนิโรธ”ดังนี้; ว่า “นี้ เป็นทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา” ดังนี้; แก่สัตว์ผู้สามารถเสวยเวทนาอยู่.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ทุกขอริยสัจ เป็นอย่างไรเล่า ? แม้ความเกิด ก็เป็นทุกข์, แม้ความแก่ก็เป็นทุกข์, แม้ความตายก็เป็นทุกข์, แม้โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย ก็เป็นทุกข์, การประสบกับสิ่งไม่เป็นที่รัก เป็นทุกข์, ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รัก เป็นทุกข์, ปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่ได้สิ่งนั้น นั่นก็ เป็นทุกข์ : กล่าวโดยย่อ ปัญจุปาทานขันธ์ทั้งหลาย เป็นทุกข์, ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรากล่าวว่า ทุกขอริยสัจ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ทุกขสมุทยอริยสัจ เป็นอย่างไรเล่า ? เพราะมี อวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย; เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ; เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป; เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ; เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ; เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา; เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา; เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน; เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ; เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ; เพราะมีชาติ เป็นปัจจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน :ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรากล่าวว่าทุกขสมุทยอริยสัจ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ทุกขนิโรธอริยสัจ เป็นอย่างไรเล่า ? เพราะความจางคลายดับไปโดยไม่เหลือแห่งอวิชชานั้นนั่นเทียว, จึงมีความดับแห่งสังขาร ; เพราะมีความดับแห่งสังขาร จึงมีความดับแห่งวิญญาณ ; เพราะมีความดับแห่งวิญญาณ จึงมีความดับแห่งนามรูป; เพราะมีความดับแห่งนามรูป จึงมีความดับแห่งสฬายตนะ; เพราะมีความดับแห่งสฬายตนะ จึงมีความดับแห่งผัสสะ ; เพราะมีความดับแห่งผัสสะ จึงมีความดับแห่งเวทนา; เพราะมีความดับแห่งเวทนา จึงมีความดับแห่งตัณหา; เพราะมีความดับแห่งตัณหา จึงมีความดับแห่งอุปาทาน ;เพราะมีความดับแห่งอุปาทาน จึงมีความดับแห่งภพ; เพราะมีความดับแห่งภพจึงมีความดับแห่งชาติ; เพราะมีความดับแห่งชาตินั่นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น : ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรากล่าวว่า ทุกขนิโรธอริยสัจ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ เป็นอย่างไรเล่า ? มรรคอันประเสริฐ ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการนี้นั่นเอง, กล่าวคือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรากล่าวว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ธรรมอันเราแสดงแล้วว่า “เหล่านี้ คืออริยสัจทั้ง ๔ ” ดังนี้ เป็นธรรมอันสมณพราหมณ์ผู้รู้ทั้งหลายข่มขี่ไม่ได้ ทำให้เศร้าหมองไม่ได้ติเตียนไม่ได้ คัดง้างไม่ได้ ดังนี้อันใด อันเรากล่าวแล้ว ; ข้อนั้นเรากล่าวหมายถึง ข้อความนี้, ดังนี้ แล.”
.
สูตรที่ ๑ มหาวรรค ติก. อํ. ๒๐/๒๒๗/๕๐๑, ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย
สำนวนแปล พุทธทาสภิกขุ จากหนังสือ “ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์” หน้า ๘๑-๘๓
.
[ หมายเหตุผู้รวบรวม : พุทธทาสภิกขุ ]
ผู้ศึกษาพึงสังเกตว่า คนทั่วไปล้วนแต่เข้าใจว่า อริยสัจ กับ ปฏิจจสมุปบาท เป็นคนละเรื่องกัน โดยเนื้อแท้แล้ว เรื่องปฏิจจสมุปบาทเป็นเรื่องอริยสัจที่สมบูรณ์ ดังที่พระองค์ตรัสไว้ในสูตรนี้ โดยทรงแจกทุกขสมุทัยและทุกขนิโรธ ออกไปอย่างละเอียด หรือสมบูรณ์ที่สุด โดยนัยแห่งปฏิจจสมุปบาท : แทนที่จะกล่าวสั้น ๆ ว่าทุกขสมุทัยคือตัณหาสั้น ๆ ลุ่น ๆ ก็แสดงโดยละเอียดว่า ตัณหาคืออะไร เกิดมาจากอะไร และทำให้เกิดทุกข์ได้อย่างไร ถึง ๑๑ ระยะ คือสายแห่งปฏิจจสมุปบาทฝ่ายสมุทยวาร สาย หนึ่ง; แทนที่จะกล่าวสั้น ๆ ลุ่น ๆ ว่า ทุกขนิโรธ คือการดับตัณหาเสีย ก็ตรัสอย่างละเอียด ถึง ๑๑ ระยะ อย่างเดียวกัน เป็นปฏิจจสมุปบาทฝ่ายนิโรธวาร; ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า การตรัสอย่างนี้ เป็นอริยสัจโดยสมบูรณ์. เราควรเรียกอริยสัจที่แสดงด้วยปฏิจจสุมปบาทว่า “อริยสัจใหญ่”, และเรียกอริยสัจที่รู้กันอยู่ทั่ว ๆ ไปว่า “อริยสัจเล็ก” กันแล้วกระมัง.
-----------------------------------
“ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย..ฯ...
อนึ่ง เรากล่าวไว้แล้วเช่นนี้แลว่า ธรรมที่เราแสดงไว้ว่า “อริยสัจ ๔ ประการนี้” ใครๆข่มไม่ได้ ไม่มัวหมอง ไม่ถูกตำหนิ ไม่ถูกสมณพราหมณ์ผู้รู้แจ้งคัดค้าน
เพราะอาศัยอะไร เราจึงกล่าวไว้เช่นนั้น เพราะถือมั่นธาตุ ๖ ประการ สัตว์จึงก้าวลงสู่ครรภ์ เมื่อมีการก้าวลงสู่ครรภ์ นามรูปจึงมี เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะจึงมี เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี ก็เราบัญญัติไว้ว่า “นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ และ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา” แก่บุคคลผู้เสวยอารมณ์อยู่
“ทุกขอริยสัจ” เป็นอย่างไร
คือ แม้ชาติ(ความเกิด)ก็เป็นทุกข์ แม้ชรา(ความแก่)ก็เป็นทุกข์ แม้มรณะ(ความตาย)ก็เป็นทุกข์ แม้โสกะ(ความโศก) แม้ปริเทวะ(ความคร่ำครวญ) ทุกข์(ความทุกข์กาย) โทมนัส(ความทุกข์ใจ) อุปายาส(ความคับแค้นใจ)ก็เป็นทุกข์ ความประสบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักก็เป็นทุกข์ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์ โดยย่อ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ นี้เรียกว่า “ทุกขอริยสัจ”
“ทุกขสมุทัยอริยสัจ” เป็นอย่างไร
คือ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี
เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะจึงมี
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี
เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี
เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาสจึงมี
กองทุกข์ทั้งมวลนี้มีความเกิดขึ้นด้วยอาการอย่างนี้ นี้เรียกว่า “ทุกขสมุทัยอริยสัจ”
“ทุกขนิโรธอริยสัจ” เป็นอย่างไร
คือ เพราะอวิชชาสำรอกดับไป สังขารจึงดับ
เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ
เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ
เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ
เพราะสฬายตนะดับผัสสะจึงดับ
เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ
เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
เพราะภพดับ ชาติจึงดับ
เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาสจึงดับ
กองทุกข์ทั้งมวลนี้ย่อมมีความดับด้วยอาการอย่างนี้ นี้เรียกว่า “ทุกขนิโรธอริยสัจ”
“ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ” เป็นอย่างไร
คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้ ได้แก่
๑. สัมมาทิฏฐิ (เห็นชอบ)
๒. สัมมาสังกัปปะ (ดำริชอบ)
๓. สัมมาวาจา (เจรจาชอบ)
๔. สัมมากัมมันตะ (กระทำชอบ)
๕. สัมมาอาชีวะ (เลี้ยงชีพชอบ)
๖. สัมมาวายามะ (พยายามชอบ)
๗. สัมมาสติ (ระลึกชอบ)
๘. สัมมาสมาธิ (ตั้งจิตมั่นชอบ)
นี้เรียกว่า “ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ”
เพราะอาศัยคำที่เรากล่าวไว้ว่า ธรรมที่เราแสดงไว้ว่า “อริยสัจ ๔ ประการนี้” ใคร ๆ ข่มไม่ได้ ไม่มัวหมอง ไม่ถูกตำหนิ ไม่ถูกสมณพราหมณ์ผู้รู้แจ้งคัดค้าน เราจึงกล่าวไว้เช่นนั้น
ติตถายตนสูตรที่ ๑
พระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาฯ (ภาษาไทย ๑)
สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต
เล่มที่ ๒๐ ข้อที่ ๖๒ หน้า ๒๓๘
## ท. ส. ปัญญาวุฑโฒ - รวบรวม. ##
๔. มรรค คือแนวปฏิบัติเพื่อให้ถึงความดับทุกข์ มี ๘ ประการ คือ
๔.๑ สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ) เห็นอะไร...? เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่มีการเกิดขึ้นมานั้นไม่เที่ยง เมื่อไม่เที่ยงความไม่เที่ยงนั้นเป็นทุกข์ ดังนั้นทุกข์จึงประจำโลกอยู่ตลอดเวลาเพราะมีสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ความไม่เที่ยงจึงมีตลอดเวลา ความทุกข์ก็ตามมาตลอดเวลา ดังนั้นความทุกข์จึงมีประจำโลกอยู่...!เป็นของธรรม ของโลก...!. เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และมีความรู้ในอริยสัจ ๔
๔.๒ สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ) ดำริอย่างไร คิดอย่างไร...? ก็คิดอยากจะออกหนีให้พ้นกองทุกข์นั่นซิ...! คิดอยากจะปฏิบัติธรรม เพื่อให้พ้นทุกข์ตามทางเดินของพระอริยเจ้า (ออกจากกาม ไม่พยาบาท ไม่เบียดเบียน)
๔.๓ สัมมาวาจา (วาจาชอบ) คือพูดแต่สิ่งดีๆ ไม่พูดเท็จ พูดคำหยาบ พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ่อ
๔.๔ สัมมากัมมันตะ (การงานชอบ) คือไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม
๔.๕ สัมมาอาชีวะ (อาชีพชอบ) ประกอบอาชีพที่สุจริต
▪ไม่ค้าขายสัตว์ให้เขาเอาไปฆ่า
▪ไม่ค้ามนุษย์
▪ไม่ค้าอาวุธ
▪ไม่ขายยาฆ่าแมลงหรือยาพิษต่างๆ
๔.๖ สัมมาวายามะ (ความเพียรชอบ) เพียรอะไร...?
▪เพียรประคองจิตไว้ ตั้งจิตไว้ เพื่อมิให้อกุศลธรรมอันลามกที่ยังไม่เกิด บังเกิดขึ้น
▪เพื่อละอกุศลธรรมอันลามกที่บังเกิดขึ้นแล้ว
▪เพื่อให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิดบังเกิดขึ้น
▪เพื่อความตั้งอยู่ไม่เลือนหาย เจริญยิ่ง ไพบูลย์ มีขึ้น เต็มเปี่ยม แห่งกุศลธรรมที่บังเกิดขึ้นแล้ว
๔.๗ สัมมาสติ (มีสติชอบ) สติอย่างไร...? มีสติในสติปัฏฐาน ๔ คือ
๑. กายานุปัสสนาสติปัจฐาน (การมีสติอยู่กับกาย-รูปธรรม) เป็นผู้มีปรกติพิจารณาเห็นกายในกายอยู่, มีความเพียรเครื่องเผาบาป มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม มีสติ นำความพอใจและไม่พอใจในโลกออกเสียได้ เช่นการดูลมหายใจเข้า หายใจออก, การดูอาการสามสิบสอง,ฯลฯ
๒.เวทนานุปัสสนาสติปัจฐาน (การมีสติอยู่กับเวทนา-นามธรรม) เป็นผู้มีปรกติพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่, มีความเพียรเครื่องเผาบาป มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม มีสติ นำความพอใจและไม่พอใจในโลกออกเสียได้ เช่นการตามดูความเจ็บความปวด,ตามดูอารมณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ฯลฯ
๓. จิตตานุปัสสนาสติปัจฐาน (การมีสติอยู่กับจิต-นามธรรม) เป็นผู้มีปรกติพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่, มีความเพียรเครื่องเผาบาป มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม มีสติ นำความพอใจและไม่พอใจในโลกออกเสียได้ เช่นการตามดูจิตของตน ตามดูความคิดความนึกของตน ฯลฯ
๔. ธรรมมานุปัสสนาสติปัจฐาน (การมีสติอยู่กับธรรม-นามธรรม) เป็นผู้มีปรกติพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่, มีความเพียรเครื่องเผาบาป มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม มีสติ นำความพอใจและไม่พอใจในโลกออกเสียได้ เช่นการตามดูความเกิดและความดับของอาการต่างๆ ฯลฯ
เมื่อเราตามดูสิ่งใดสิ่งหนึ่งทั้ง ๔ ข้อนี้เรียกว่าการทำสมาธิ เมื่อเฝ้าดูไปนานๆจิตก็จะค่อยๆสงบหลง จิตจะรวมลงเป็นสมาธิ จิตจะเบากายเบาใจ จะพบกับความสุขของความสงบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เมื่อจิตสงบ จิตจะตั้งมั่น เรียกว่าความตั้งใจมั่นชอบ
....อ่านต่อ วันพรุ่งนี้...สัมมาสมาธิ อันเป็นมรรคองค์สุดท้าย...
บรรยายธรรมโดย คุณตานิพนธ์ ทอดทอง
อริยสัจสี่ .... รู้เร่งด่วน ... สปีดเร็วกว่านรก ....
อริยสัจสี่(ย่อๆ) ....
1. กาย+ใจ เป็นทุกข์ ... ควรรู้รอบอย่างถ่องแท้ ...
2. ตัณหา 3 ... เป็นเหตุเกิดทุกข์ ... ควรละเสีย ...
3. ความดับตัณหา 3 เป็นความดับทุกข์ ....
4. ศีล สมาธิ ปัญญา คือ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ....
เมื่อทำข้อ 4 .... ก็จะเจอข้อ 3 .... ก็จะละข้อ 2 .... ก็จะไม่มีข้อ 1
อริยสัจ 4 ทุกข้อ มีความเกี่ยวเนื่องกัน
▪เมื่อรู้ทุกข์ ก็คิดหาทางออก
▪เมื่อรู้สาเหตุของทุกข์ ก็หาทางดับ
▪เมื่อรู้ทางดับทุกข์ ก็สามารถปฏิบัติไปถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้
ดังนี้แล...
Cr...@Dokbua สาธุธรรมครับ
< อริยสัจ 4 >
อริยสัจ 4 เป็นหลักคำสอนหนึ่งของพระโคตมพุทธเจ้า แปลว่า ความจริงอันประเสริฐ ความจริงของพระอริยบุคคล หรือความจริงที่ทำให้ผู้เข้าถึงกลายเป็นอริยะ มีอยู่สี่ประการ คือ
๑) ทุกข์ คือ สภาพที่ทนได้ยาก (ควรรู้) ภาวะที่ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ สภาพที่บีบคั้น ได้แก่ ชาติ (การเกิด) ชรา (การแก่ การเก่า) มรณะ (การตาย การสลายไป การสูญสิ้น) การประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก การปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่สมหวังในสิ่งนั้น กล่าวโดยย่อ ทุกข์ก็คืออุปาทานขันธ์ หรือขันธ์ 5
๒) สมุทัย คือ สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ (ควรละ) ได้แก่ ตัณหา 3 คือ
▪กามตัณหา-ความทะยานอยากในกามคุณ5 ความอยากได้ทางกามารมณ์,
▪ภวตัณหา-ความทะยานอยากในภพ(รูปภพ/อรูปภพ) ความอยากเป็นโน่นเป็นนี่ ความอยากที่ประกอบด้วยภวทิฏฐิหรือสัสสตทิฏฐิ เช่น มีความเห็นว่าโลกนี้เที่ยง
▪วิภวตัณหา-ความทะยานอยากในความปราศจากภพ ความอยากไม่เป็นโน่นเป็นนี่ ความอยากที่ประกอบด้วยวิภวทิฏฐิหรืออุจเฉททิฏฐิ เช่น มีความเห็นว่าตายแล้วสูญ
๓) นิโรธ คือ ความดับทุกข์ (ควรทำให้แจ้ง)ได้แก่ ดับสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ กล่าวคือ ดับตัณหาทั้ง 3 ได้อย่างสิ้นเชิง
๔) มรรค คือ แนวปฏิบัติที่นำไปสู่หรือนำไปถึงความดับทุกข์ (ควรทำให้เจริญ) มีองค์ประกอบอยู่แปดประการ คือ
1. สัมมาทิฏฐิ-ความเห็นชอบ
2. สัมมาสังกัปปะ-ความดำริชอบ
3. สัมมาวาจา-เจรจาชอบ
4. สัมมากัมมันตะ-ทำการงานชอบ
5. สัมมาอาชีวะ-เลี้ยงชีพชอบ
6. สัมมาวายามะ-พยายามชอบ
7. สัมมาสติ-ระลึกชอบ และ
8. สัมมาสมาธิ-ตั้งใจชอบ
ซึ่งรวมเรียกอีกชื่อหนึ่งได้ว่า "มัชฌิมาปฏิปทา" หรือทางสายกลาง [ไม่ตึง(ทรมานตน) และไม่หย่อน(หมกมุ่นในกาม)]
มรรคมีองค์แปดนี้สรุปลงในไตรสิกขา ได้ดังนี้
1. อธิสีลสิกขา ได้แก่ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ และสัมมาอาชีวะ
2. อธิจิตสิกขา ได้แก่ สัมมาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ และ
3. อธิปัญญาสิกขา ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ และสัมมาสังกัปปะ
อริยสัจ 4 นี้ เรียกสั้น ๆ ว่า ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค
อริยสัจ 4 ความจริงสี่ประการดังนี้
1. ทุกข์ ->ควรรู้
คือ การมีอยู่ของทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ และตายล้วนเป็นทุกข์ ความเศร้าโศก ความโกรธ ความอิจฉาริษยา ความวิตกกังวล ความกลัว และความผิดหวังล้วนเป็น ทุกข์ การพลัดพรากจากของที่รักก็เป็นทุกข์ ความเกลียดก็เป็นทุกข์ ความอยาก ความยึดมั่นถือมั่น ความยึดติดในขันธ์ทั้ง 5 ล้วนเป็นทุกข์
2. สมุทัย ->ควรละ
คือ เหตุแห่งทุกข์ เพราะอวิชา ผู้คนจึงไม่สามารถเห็นความจริงของชีวิต พวกเขาตกอยู่ในเปลวเพลิงแห่งตัณหา ความโกรธ ความอิจฉาริษยา ความเศร้าโศก ความวิตกกังวล ความกลัว และความผิดหวัง
3. นิโรธ ->ควรทําให้แจ้ง
คือ ความดับทุกข์ การเข้าใจความจริงของชีวิตนำไปสู่การดับความเศร้า โศกทั้งมวล อันยังให้เกิดความสงบ และความเบิกบาน
4. มรรค ->ควรเจริญ
คือ หนทางนำไปสู่ความดับทุกข์ อันได้แก่ อริยมรรคมีองค์ 8 ซึ่งได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยการดำรงชีวิตอย่างมีสติ ความมีสตินำไปสู่สมาธิและปัญญา ซึ่งจะปลดปล่อยให้พ้นจากความทุกข์ และความโศกเศร้าทั้งมวล อันจะนำไปสู่ความสันติ และความเบิกบาน พระพุทธองค์ได้ทรงเมตตานำทางพวกเราไปตามหนทางแห่งความรู้แจ้งนี้
ที่สุดแห่งทุกข์คืออะไร?
เมื่อผู้ปฏิบัติได้พิจารณาเห็นทุกข์ทั้ง 11 อย่างที่เกิดขึ้นข้างต้นด้วยญาณทัสสนะแล้ว จิตใจจะสงบไร้ทุกข์ด้วยตัวคประหาร คือการข่มจิตชั่วคราว
หากเราเฝ้ามองจิตของเราไปเรื่อยๆจะเห็นอาการของจิต(เจตสิก)เกิด-ดับ ดูไปจนเบื่อหน่ายคลายกำหนัด จะได้รู้เหตุแห่งทุกข์ตัวที่ละเอียดที่สุด ต้องเข้าไปรู้ด้วยจิตตนเองนะ มิใช่อนุมานหรือปรุงแต่งเอาเอง
จะค้นพบคำตอบว่า
จิตของตนนั่นแลเป็นมหาเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวง
หากไม่มีจิต(เหตุ)ความทุกข์(ผล)จะมาจากที่ไหนกัน
แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้ว
ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว
มหาสติมหาปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว
วิมุติย่อมจะอุบัติขึ้นทันที
เมื่อละเหตุแห่งทุกข์นั้นเสีย
เพียรให้มาก เจริญมรรคให้มาก ใช้วิบากกรรมของตนไปด้วย เหตุและปัจจัยพร้อมเมื่อไร ที่สุดแห่งทุกข์ย่อมปรากฎในจิตเมื่อนั้นแล
▪ทาน สละ ความตระหนี่
▪ศีล สละ ความผิดปกติของจิต
▪ภาวนา สละ ตัณหาและอวิชชา
คำถาม: การเจริญมรรคให้มาก ในทางปฏิบัติคือ มีสติ ดูลมหายใจเข้าออก ใช่ไหมครับ พอจ.
พอจ. ตอบ: เพิ่มเติมคือใช่สติและปัญญานั้นกำหนดรู้ทุกข์และละมันออกเสียด้วยกาย วาจา ใจ
ตรงนี้คนส่วนใหญ่รู้ไม่ยอมละ เขาจึงไม่เรียกว่ามรรค
ทิ้งในสิ่งที่ยึดมั่นว่ามี ว่าเป็น ว่าได้ ของนั้นก็ยังอยู่มิได้หายไปไหน แต่เรารู้ด้วยปัญญาว่าสมมุตินั้นหมดความสำคัญ
Cr....พอจ.เอโกธิภาวะ
*** ญาณทัสนะ มีวน 3 รอบ ของอริยสัจ 4 ญาณ 12 ********
**** (ที่มา นัย วินย. มหา. ธัมมจักกัปปวัตนสูตร 4 / 16 / 20 ) *****
*** ญาณทัสนะ คือ ปัญญารู้วิเศษอันบังเกิดขึ้นแก่พระพุทธองค์ ซึ่งเป็นไปแล้วต่อการตรัสรู้อริยสัจ 4
ท่านเรียกว่า วนรอบ 3 ของอริยสัจ 4 รวมเป็น 12 ญาณทัศนะ หรือความหยั่งรู้ต่อปัญญาในอริยสัจ 4 ครบ 3 รอบ คือ สัจจญาณ กิจญาณ และ กตญาณ
》*** ญาณรอบที่ 1 เรียกว่า สัจจญาณ เป็นปัญญาที่เกิดจากการศึกษา ให้มีความรู้ความเข้าใจในสัจธรรมทั้ง 4 อันได้แก่ ทุกขสัจ สมุทัยสัจ นิโรธสัจ และ มรรคสัจ
*** 1.ทุกขสัจ คือ ขันธ์ 5 หรือ รูปนามของอันเป็นตัวตนของทุกข์จริงๆ เมื่อมีขันธ์ 5 เกิดขึ้น ทุกข์ทั้งหลายก็ติดตามมา ได้แก่ ชาติ ( ความเกิดขึ้นของขันธ์ 5 ) ชรา ( ความแก่ อันเป็นอาการของขันธ์ 5 ) มรณะ ( ความตาย อันเป็นอาการของขันธ์ 5 )โสกะ ( ความเศร้าใจ) ปริเทวะ ( การบ่นเพ้อรำพัน ) ทุกข์ ( ความไม่แข็งแรงทางกาย ทำให้ใจไม่สบาย ) โทมนัส ( ความเสียใจ ) อุปายาส ( ความคับแค้นใจ ) อัปปิเยหิ วิปโยโค (ความประสบกับสิ่งที่ไม่ชอบใจ) ปิเยหิวิปโยโค ( การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก ) ยัมปิจฉัง นลภติฯ ( ความปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่ได้สมหวัง ) สรุปแล้วทุกข์เกิดมาจากอุปทาน ขันธ์ 5 คือความยึดมั่นในขันธ์ 5 ว่าเป็น เรา เป็นตัวตนของเรา ฯ นั่นเอง
*** 2.สมุทัย คือ เหตุให้เกิดทุกข์ ได้แก่กิเลสตัณหา 3 ประการ คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
*** กามตัณหา คือ ความปรารถนายินดี เพลิดเพลินในอารมณ์ทั้ง 5 ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส
*** ภวตัณหา คือ ความยินดีในอารมณ์ต่างๆประกอบด้วยความเห็นผิดว่าสัตว์นี้เที่ยง ภาพนี้เที่ยง จึงมีความยินดีในอารมณ์ที่ตนได้ และในอารมณ์ที่ยิ่งๆ ขึ้นไป
*** วิภวตัณหา คือ ความยินดีในอารมณ์ต่างๆที่ประกอบด้วยความเห็นผิดว่าสัตว์ทั้งหลายดับแล้วสูญสิ้น ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัยใดที่จะมาทำให้เกิดอีก
*** 3. นิโรธ คือ นิพพาน เป็นธรรมที่ดับทุกข์และดับเหตุแห่งทุกข์ คือ สมุทัย เพราะว่าทุกข์นั้นเป็นผล ส่วนสมุทัยนั้นเป็นเหตุ เมื่อเหตุคือกิเลสดับ ผลคือทุกข์ย่อมดับไปด้วย
*** 4. มรรค คือ มรรคมีองค์ 8 อันเป็นมัชฌิมาปฏิปทา หรือ ทางสายกลาง เป็นข้อปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงความตรัสรู้อริยสัจ 4 อันเป็นความที่ดับกิเลส และ ดับทุกข์
》*** ญาณรอบที่ 2 เรียกว่า กิจญาณ เป็นญาณขั้นปฏิบัติ เมื่อศึกษามีความเข้าใจในเรื่องของอริยสัจทั้ง 4 แล้วก็ปฏิบัติตามกิจทั้ง 4 ดังนี้
1 . ทุกขสัจ เป็น กิจที่ควรกำหนดรู้
เพราะทุกข์เป็นของจริงที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้นจึงลงมือปฏิบัติเพื่อกำหนดรู้ทุกข์ตามกิจนั้น
2 . สมุทัยสัจ เป็นกิจที่ควรละให้หมดไป เพราะ
สมุทัยคือกิเลสตัณหาเป็นต้น เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ต้องทำให้หมดไป ดังนั้นจึงลงมือปฏิบัติเพื่อละกิเลสตัณหาตามกิจนี้
3 . นิโรธสัจ เป็นกิจที่ควรทำให้แจ้ง หรือให้เข้าถึง
เพราะนิโรธคือนิพพานนั้นเป็นธรรมที่ดับกิเลสและดับทุกข์ เป็นกิจที่ต้องทำให้แจ้งให้ถึง เพื่อดับทุกข์ จึงลงมือปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งหรือให้ถึงตามกิจนี้
4 . มรรคสัจ เป็นกิจที่ควรเจริญให้เกิดขึ้น เพราะ
มรรคมีองค์ 8 เป็นธรรมที่จะทำให้ถึงนิโรธ ( ความดับทุกข์ ) จึงลงมือปฏิบัติด้วยการกำหนดทุกข์ คือ เจริญสติปัฏฐานอันเป็นมรรคเบื้องต้นจนวิปัสสนาปัญญาเกิด เจริญขึ้นตามลำดับของโพธิปักขิยธรรม เข้าถึงความตรัสรู้อริยสัจ 4
*** การปฏิบัติตามกิจของอริยสัจทั้ง 4 นั้น ไม่ใช่ทำกันที่ละคราว กิจทั้ง 4 นี้ ต้องปฏิบัติไปในคราวเดียวกันพร้อมกันทั้ง 4 กิจ จึงจะเป็นการปฏิบัติที่ถูกต้อง เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา อันจะทำให้ถึงพระนิพพาน
》*** ญาณรอบที่ 3 เรียกว่า กตญาณ เป็นปัญญาที่หยั่งรู้สัจธรรมทั้ง 4 ขั้นปฏิเวธคือ
1 . ทุกข์สัจ เป็นกิจที่ควรกำหนดรู้ ก็ได้รู้แล้ว
2 . สมุทัยสัจ เป็นกิจที่ควรละให้หมดไป ก็ได้ละเสร็จแล้ว
3 . นิโรธสัจ เป็นกิจที่ควรทำให้แจ้ง หรือทำให้ถึงก็ได้ทำให้แจ้งหรือทำให้ถึงแล้ว
4 . มรรคสัจ เป็นกิจที่ควรเจริญ ก็ได้เจริญแล้ว
*** ปัญญาหยั่งรู้ในญาณรอบที่ 3 นี้ เข้าถึงรู้แจ้งตลอดหมดในอริยสัจธรรมทั้ง 4 โดยกิจอย่างแท้จริง รวมความว่าการรู้อริยสัจ 4 ด้วยปัญญาญาณครบ 3 รอบ รวมเป็นปัญญาหยั่งรู้อริยสัจความทั้ง 12 ประการ
*** ญาณทัสสนะมีวนรอบ 3 ของอริยสัจ 4 อาการ 12 นี้ อุปการะทีเดียวเนื่องกันหมด คือ
ปัญญา คือ อริยมรรค ข้อ 1,2
ศีล คือ อริยมรรค ข้อ 3,4,5
สมาธิ คือ อริยมรรค ข้อ 6,7,8
ปัญญา, ศีล, สมาธิ อาศัยซึ่งกันและกัน พัฒนาไปเรื่อยๆจนปัญญาเต็มรอบ เกิดสัมมาทิฏฐิที่รู้แจ้งอริยสัจ ๔ และเข้าถึงนิพพาน
การพัฒนาการของจิตเมื่อปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ 8 หรือ ไตรสิกขา แล้วท่านสามารถที่จะไปถึงจุดหมายปลายทางหรือจุดสูงสุดของมนุษยชาติคือ "นิพพาน" ได้
"นิพพาน" เป็นจุดหมายปลายทางสูงสุดเป็นความเร้นลับของธรรมชาติที่มนุษย์จะหลุดพ้นจากวงจรแห่งความทุกข์ได้ พระพุทธองค์ทรงค้นพบแนวทางและวิธีปฏิบัติแล้วนำมาสั่งสอนเรา ผู้ที่มีศรัทธามาฝึกฝน ปฏิบัติธรรม รักษาศีลให้บริสุทธิ์ ฝึกสมาธิ เจริญปัญญาสม่ำเสมอ ก็สามารถที่จะพัฒนาจิต ให้สูงขึ้นตามลำดับตั้งแต่ระยะแรก คือ ปิติ ปราโมทย์ไปจนถึงขั้นสุดท้ายคือ นิพพาน ดังนี้คือ
0. รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจในธรรม (ปิติและปราโมทย์) ทุกครั้งที่ปฏิบัติธรรมฝึกสมาธิจะรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจอาจเรียกว่าได้บุญก็ได้เป็นบุญที่เกิดจากการภาวนาทำจิตให้ผ่องใส
0. รู้สึกว่าความฟุ้งซ่านค่อยๆระงับไป (ปัสสัทธิ)
0. รู้สึกว่าจิตสงบ (สมาธิ) เมื่อจิตสงบก็ได้รับความสุขจากความสงบของจิตที่มีสมาธิ และสมาธิระดับนี้สามารถช่วยให้การทำงาน การเรียน มีประสิทธิภาพทำให้มีชีวิตที่ดีและประสบความสำเร็จในโลกปรกติได้
0. เกิดปัญญารู้โลกตามความเป็นจริง (ยถาภูตญาณทัสสนะ) คือรู้แจ้งใน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่มีอะไรที่ต้องไปยึดว่าเป็นตัวเป็นตน จุดนี้ถ้าทำได้ก็ถือว่าเป็นอริยบุคคลขั้นต้นแล้ว เห็นเส้นทางของนิพพานแล้ว
0. ความเบื่อหน่าย (นิพพิทา) เมื่อรู้อะไรๆตามความเป็นจริงก็เริ่มเกิดความเบื่อหน่าย ซึ่งความเบื่อหน่ายนี้มีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับกำลังของปัญญาที่เกิดจากการรู้แจ้งในความเป็นจริงของ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มากน้อยลึกซึ้งแค่ไหน อันนี้ขึ้นอยู่กับสติปัญญาและความพยายามฝึกฝน
0. ความจางหรือคลายออก (วิราคะ) เมื่อเบื่อหน่ายแล้วความรู้สึกที่ยึดติดก็คลายลงไปเรื่อยๆ
0. ความหลุดออก (วิมุตติ) เมื่อความยึดติดคลายลงก็สลัดออกได้โดยง่าย "รู้โลก เบื่อโลก ออกจากโลก"
0. ความบริสุทธิ์ไม่เศร้าหมอง (วิสุทธิ) ในระดับนี้จิตไม่ยึดติดกับอะไรแล้วรู้แจ้งแทงตลอดในขันธ์ห้า มีความบริสุทธิ์อย่างแท้จริง
0. ความสงบร่มเย็น (สันติ) เกิดความสงบระงับดับเย็นของสิ่งทั้งปวง
0. นิพพาน ดับสนิทไม่เหลือ
สัจจญาณ ( ความรู้จากการศึกษา ) เป็นอุปการะแก่ กิจญาณ ( นิพพานในการปฏิบัติ )
ทั้งสัจจญาณ และ กิจจญาณ เป็นอุปการะแก่ กตญาณ ( ปัญญาขั้นปฏิเวธ ) อุปมาเหมือนการทำงานจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับงานที่ต้องทำ คือต้องศึกษางานก่อน เมื่อมีความรู้ความเข้าใจแล้วก็ลงมือปฏิบัติให้ถูกต้อง งานนั้นก็จะบรรลุถึงความสำเร็จตามประสงค์ ข้ออุปมานี้เปรียบได้ด้วยสัจจญาณ กิจจญาณ กตญาณ อันเป็นการงานที่จะให้ถึงความพ้นทุกข์ได้สำเร็จตามกำลัง แห่งมรรคปัญญา
*** ในญาณทัสสนะอันมีวนรอบ 3 อาการ 12 นี้ พระพุทธองค์ได้ตรัสแก่ท่านปัญจวัคคีย์ว่า...
“ ปัญญาอันรู้เห็นตามความเป็นจริงของเรา ในอริยสัจ 4 มีวนรอบ 3 มีอาการ 12 อย่างนั้นหมดจดดีแล้ว เรายืนยันได้ว่า เป็นตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ อันยอดเยี่ยมในโลก ฯ อนึ่ง ปัญญาอันรู้เห็นได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราว่า ความพ้นวิเศษของเราไม่กลับกำเริบ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ชาติใหม่ไม่มีอีกต่อไป ฯ ”