ธรรมะไตรปิฎก ในเช้าของวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2562 ณ สวนธรรมิกราช
ท่านพระยาธรรมิกราช ได้ขึ้นเข้าเฝ้านอบน้อมต่อองค์พระพุทธบิดา
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่าน เพื่อสดับฟังธรรมจากพระองค์
เมื่อท่านพระยาธรรมิกราช ได้ขึ้นเข้าเฝ้านอบน้อมต่อพระองค์ท่านแล้ว
จึงได้นอบน้อม กล่าวดังนี้ว่า
ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา
วันนี้ ลูกจะขอเฝ้าฟังธรรมในเรื่องของ การถอดรหัสธรรม ข้อที่ 7 หน่ะเจ้าค่ะ
ลูกได้เดินทางไปจนถึง*วัดที่หลวงปู่มั่น*ท่านเคยจำวัดอยู่ อยู่ที่ จ.สกลนคร
*บ้านหนองผือ*
ลูกได้ถอดรหัสธรรม ประการที่ 7 ดังนี้ พระพุทธเจ้าข้าฯ
บุคคลผู้ทรงธรรม 7 ชั้น ธรรม 7 ชั้นนั้น เกิดขึ้นในใจบุคคลผู้ใดแล้ว
บุคคลผู้นั้น ถือว่า เป็นบุคคลผู้พ้นจากภัยในวัฏสงสารแล้ว อย่างแท้จริง
ลูกจะต้องประพฤติปฏิบัติ จนเป็นผู้ทรงธรรม 7 ชั้น
ทีนี้ ลูกก็เลยถอดรหัสว่า แล้วการทรงธรรม 7 ชั้นนั้น คืออะไร เป็นแบบไหน
จนลูกได้ถอดรหัสธรรมว่า ผู้ทรงธรรม 7 ชั้น มีดังนี้
*3 ชั้น ภายใน*
*3 ชั้น ภายนอก*
แล้วก็มี 1 ชั้น คือ *อยู่ควบระหว่างภายใน กับภายนอก อย่างรู้ตื่น*
บุคคลผู้ที่จะทรงพระธรรมในจิตใจ ในดวงจิตนั้น ได้ถึง 7 ชั้น จะต้องเป็นผู้ทรงธรรม ดังนี้
เมื่อได้ยินธรรม เข้าไปในหู 1 ชั้น
ได้ยินธรรม เข้าไปในใจ 1 ชั้น
ได้ยินธรรม เข้าไปถึงในจิต อีก 1 ชั้น
เมื่อได้ยินธรรมะ เมื่อได้ฟังพระธรรม เมื่อได้ศึกษาธรรมแล้ว
พระธรรมเหล่านั้น *เข้าไปถึงหู ถึงใจ และถึงจิต*...* เรียกว่า 3 ชั้น ภายใน*
บุคคลผู้ที่ฟังธรรมแล้ว
กล่าวออกมาเป็นธรรม ที่วาจา *เรียกว่า ภายนอก 1 ชั้น*
กระทำ ตามที่ตนนั้นได้กล่าวถึงธรรมเหล่านั้น ด้วยการประพฤติปฏิบัติตาม
*เรียกว่า ภายนอก 2 ชั้น*
กระทำ จนผลนั้นปรากฏขึ้นแล้ว เป็นรูปธรรม หรือเป็นผลที่สำเร็จปรากฏขึ้นแล้ว
เป็นธรรมภายนอก ชั้นที่ 3 คือ* ผู้ทรงธรรมภายนอก 3 ชั้น*
แล้วก็ถอยออกมา *ดูธรรมภายใน 3 ชั้น ดูธรรมภายนอก 3 ชั้น อย่างรู้ตื่น
ไม่มีความลุ่มหลง*
*เห็น สักแต่ว่า* เข้าใจตามสภาวธรรมความเป็นจริงของธรรม 3 ชั้นภายใน
3 ชั้นภายนอก และมองดูอย่างรู้ตื่น
บุคคลผู้ทรงธรรมเช่นนี้ ถือว่า เป็นผู้ที่ทรงธรรม 7 ประการ
ธรรม 7 ประการ ควรทำให้ก่อเกิดแก่เรา เพราะบุคคลผู้ทรงธรรม 7 ประการ คือ
บุคคลผู้อยู่เหนือทุกข์ได้แล้วอย่างแท้จริง เช่นนี้ พระพุทธเจ้าข้าฯ
ลุกจึงจะขอถึงพระองค์ โปรดทรงเมตตาอธิบายธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง
แบบธรรม 3 ชั้น ด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้าฯ
พระพุทธองค์ : ก็ดีแล้วหละ พระยาธรรม... ถ้าอย่างนั้น ก็จงตั้งใจฟังคำอธิบายให้ดีก่อน
เมื่อฟังคำอธิบายให้ดี เข้าใจชัดเจนแล้ว จึงค่อยฟังธรรม 3 ชั้น ไล่ระดับขึ้นไปนะ
พระยาธรรมเอย... บุคคลผู้ทรงธรรม 7 ประการ จะต้องทรงธรรมทั้งหมด 7 อย่าง
ดังที่ลูกได้กล่าวไปนั้น
คือ เมื่อฟังธรรมผ่านหู เข้าไปในหูแล้ว เข้าไปในใจแล้ว เข้าไปถึงจิตด้วย
นั่นคือ ผู้ทรงธรรม 3 ประการ ภายใน
เมื่อพูดออกไปแล้ว ทำออกไปแล้ว และผลปรากฏขึ้นแล้ว
นั่นคือ ผู้ทรงธรรมภายนอก 3 ประการ
และภายใน 3 ประการ ภายนอก 3 ประการ บวกกับตรงกลาง อีก 1 ประการ
คือ มองทั้งภายนอก และภายใน อย่างรู้ตื่น ไม่มีความลุ่มหลงใดๆ
เข้าใจทุกอย่างตามเหตุ อีก 1 ประการ
รวมทั้งหมด เป็น 7 ประการ
บุคคลผู้ที่จะถึงซึ่งความหลุดพ้นได้ จะต้องเป็นผู้ทรงธรรม 7 ประการ ดังนี้
พระยาธรรมเอย... นั่นก็เพราะว่า บุคคลผู้ไม่ทรงธรรม 7 ประการ ถือว่า
เป็นผู้ไม่สมบูรณ์ในการกระทำ ในการศึกษา ในการเข้าใจ และแตกฉานในธรรม
จนสามารถนำพาให้จิตของตนพ้นทุกข์
ฉะนั้น ใครก็ตามที่จะเข้าถึงพระนิพพาน จะต้องทรงธรรม 7 ประการนี้
ลูกเอ๋ย... เช่น บางคนฟังธรรม ได้ยินแต่หู ใจไม่ได้ยิน
บางคนฟังธรรม ได้ยินถึงหูและใจแล้ว แต่ไม่ถึงดวงจิต ดวงจิตไม่ได้ยิน
บางคนฟังธรรมแล้ว *ถึงจิตถึงใจทีเดียว* แต่ว่าสามารถออกมาพูดได้
แต่ทำตามไม่ได้
ได้ยิน รู้ เข้าใจ ถึงจิตอย่างลึกซึ้ง แต่ประพฤติปฏิบัติไม่ได้ ได้แต่พูด
ได้แต่อธิบายออกมา ได้แต่สอนคนอื่น แต่ตนทำไม่ได้
บุคคลบางผู้ บางกลุ่ม ก็ไม่สามารถที่จะทำ ประพฤติปฏิบัติ ให้เกิดผลได้อย่างแท้จริง
ได้เพียงแต่ปฏิบัติ ปฏิบัติไป ในรูปแบบที่ยังไม่ถือว่าจะเกิดผลอย่างแท้จริงได้
สักแต่ว่าทำกันไป อย่างนั้น ผลยังไม่บังเกิดแก่ตน จึงถือว่า ยังไม่สมบูรณ์
บุคคลบางกลุ่ม ประพฤติปฏิบัติจนเห็นผลแล้ว แต่ยังยึดในผลนั้น ยังไม่วาง
ยังไม่ปล่อยใจให้เป็นกลาง
ยังไม่เห็นสิ่งภายใน 3 ประการ และสิ่งภายนอก 3 ประการนั้น *เป็นธรรมดา*
ยังถือว่า ยังเป็นผู้ยึดอยู่
บุคคลผู้ทรงธรรมถึง 7 ประการ คือ
ผู้ได้ยินแล้ว ผู้ถึงใจแล้ว ผู้ถึงจิตแล้ว ในธรรมนั้น
คือ ผู้กล่าวธรรมนั้นแล้ว ผู้ปฏิบัติตามธรรมนั้นแล้ว ผู้เห็นผลแล้ว และเป็นผู้ที่
เห็นทุกอย่างเป็นธรรมดา
จึงถือว่า เป็นผู้คลาย คลายทุกสรรพสิ่ง อยู่เหนือวัฏสงสาร เป็นผู้ถึงพระนิพพาน
เช่นนี้หละลูก เรียกว่า *ธรรม 7 ประการ*
และบัดนี้ ลูกนั้น ก็คือ ผู้ทรงธรรม 7 ประการ
ลูกเข้าใจธรรม ผ่านหู ไปชั้นที่ 1
เข้าใจธรรม ผ่านใจ ไปครั้งที่ 2
เข้าใจธรรม ถึงชั้นที่ 3
กล่าวธรรม ชั้นที่ 1
ประพฤติปฏิบัติ ชั้นที่ 2
เห็นผลแล้ว เป็นชั้นที่ 3
และ*ปล่อยใจเป็นกลาง* สักแต่ว่า เห็นธรรมเหล่านั้น อย่างรู้ตื่นแล้ว เป็นชั้นที่ 7
ข้างใน 3 ข้างนอก 3 ตรงกลาง 1 รวมเป็น 7 ชั้น
ลูกจึงเป็นผู้ที่ทรงธรรม 7 ประการ
เช่นนี้หละ พระยาธรรม... ก็คงจะพอจะเข้าใจกันแล้วนะ ว่าทรงธรรม 7 ประการ
เป็นแบบไหน
ทีนี้ เราจะไปพิจารณาถึงธรรมกัน แต่ละระดับ
ลูกเอ๋ย... การฟังธรรมนั้น มีอยู่ 7 ประการ ดังที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น
แต่บุคคลผู้เริ่มประพฤติปฏิบัติ เขาก็จะเข้าใจธรรม ในระดับที่บุคคลผู้เริ่มศึกษาเท่านั้น
คือ ยังไม่เข้าใจถึงธรรมอันลึกซึ้ง ละเอียดมาก
เข้าใจธรรมในชั้นที่ 1 คือ เป็นธรรม ในระดับที่ไม่ละเอียดอ่อนมากนัก
ฟังง่าย เข้าใจง่าย พูดง่ายๆ ปฏิบัติง่ายๆ เช่น การสอนให้
รู้จักทำความดี ละการทำชั่ว รู้จักฝึกฝนการรักษาศีล
รู้จักเริ่มทำสมาธิ และฟังธรรม ในระดับที่เป็นพื้นฐานของการฝึกฝนปฏิบัติ และฟังธรรม
แต่เขาก็สามารถที่จะเข้าใจในธรรมเหล่านั้นได้ อย่างแท้จริง
และสามารถที่จะน้อมไปประพฤติปฏิบัติได้อย่างแท้จริง
และก็สามารถที่วางเฉย กับธรรมที่ตนได้รู้แล้ว เข้าใจแล้ว เหล่านั้น
โดยไม่ยึดเอาไว้ แล้วก็ศึกษาปฏิบัติต่อไป
คือ ภูมิจิตภูมิธรรม ยังคงศึกษาธรรมอยู่ในระดับขั้นต้น แต่ว่า จิตของเขา
ก็เข้าใจธรรมนั้น
ใจของเขา หูของเขา เมื่อได้ยินธรรมนั้น ก็เข้าไปถึง 3 ชั้น
เมื่อเขาพูดได้ ทำได้ และผลปรากฏขึ้นแล้ว ก็ถือว่า ธรรม 3 ชั้นภายนอก
หรือว่า ธรรม 3 ประการภายนอก ก็สมบูรณ์ในระดับของเขา
และเขาก็จะเห็นธรรมที่ได้แล้ว ภายใน 3 ประการ ภายนอก 3 ประการ
ในระดับพื้นฐาน แบบของเขา ว่าเป็นธรรมดา และปฏิบัติต่อไป
เช่นนี้ ถือว่าเป็น ระดับธรรมที่ 1
ฉะนั้น ลูกเอ๋ย ภูมิจิตภูมิธรรมของแต่ละคน ละเอียดอ่อน ลึกซึ้ง ไม่เสมอกัน
ขึ้นอยู่กับว่า แต่ละคนจะได้ในรายละเอียดระดับใด แต่ทุกคน เมื่อเข้าใจ
และเข้าถึงธรรม ในระดับที่ 1 แล้ว ก็จะต้องเข้าไปถึงภายใน 3 ชั้น ภายนอก 3 ชั้น
และอยู่ตรงกลาง สักแต่ว่าเห็นอีกชั้นหนึ่ง จึงถือว่า เป็นผู้ที่ทรงธรรมถึง 7 ประการ
แม้จะเป็นขั้นที่ 1 พื้นฐานของการทำความดี ก็ตาม
พระยาธรรมเอย... ส่วนบุคคลผู้ที่เข้าไปถึง การทรงธรรมในชั้นที่ 2
คือ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ รู้จักละกิเลส รู้จักถือศีล 8 บ้าง คือ จิตนั้นเริ่มไปทาง
เป็นนักบวชอย่างแท้จริง
เริ่มไต่เต้าขึ้นสู่การเป็นพระอริยะเจ้า ในระดับพระโสดาบันขึ้นไป
จิตของเขา ก็จะเข้าใจในธรรม ในระดับที่ละเอียดมากขึ้นกว่า ธรรมพื้นฐาน
เขาจะเข้าใจสมาธิ ที่ละเอียดมากขึ้น เขาก็จะเข้าใจ การปฏิบัติที่ละเอียดมากขึ้น
และการประพฤติปฏิบัติเหล่านั้น ก็จะเข้าไปถึงในใจของเขา
เข้าไปถึงในจิตของเขา เมื่อได้ยินผ่านหู
คือ เข้าใจในธรรมที่ละเอียดมากขึ้น ในระดับปานกลาง ถึง 3 ชั้น ภายใน
และสามารถที่จะพูดได้ ทำได้ และเกิดผล ภายนอกอีก 3 ประการ
แล้วก็สามารถฝึกฝนตน จนทรงพลังของธรรมเหล่านี้ เป็นธรรมดา
เห็นภายใน 3 ชั้น ภายนอก 3 ชั้น
และวางจิตให้เป็นกลาง โดยไม่ยึดติด ยึดมั่นถือมั่น ในสิ่งต่างๆเหล่านั้น..
เห็นทุกอย่าง สักแต่ว่า
จิตดวงนี้ ย่อมถือว่า เป็นผู้ทรงธรรม 7 ประการ ในชั้นที่ 2 ในระดับที่ 2
พระยาธรรมเอย.. และบุคคลผู้ที่ฝึกฝนเช่นนี้บ่อยๆ
ก็จะกลายเป็นผู้ที่มีจิตละเอียดมากขึ้น สูงขึ้นอีก
กลายเป็นผู้ที่ทรงธรรมถึง 7 ประการ ในระดับของความละเอียด
ก็คือ เมื่อฟังธรรมที่ละเอียดประณีตมาก ก็สามารถผ่านหูเข้าไป ผ่านใจเข้าไป
ถึงดวงจิต และก็สามารถที่จะกล่าวธรรมเหล่านั้นได้อย่างเข้าใจ ประพฤติปฏิบัติได้
อย่างแท้จริง และเกิดผลอย่างแท้จริง แล้วยังคงมองเห็นธรรมที่ได้เหล่านั้น
เป็นธรรมดา อย่างรู้ตื่น อย่างละเอียดอ่อน เข้าใจธรรมตั้งแต่ชั้นที่หยาบ กลาง
จนถึงละเอียด เข้าใจอย่างถ่องแท้ แจ่มแจ้ง
และวางความรู้เหล่านั้น สักแต่ว่า ไม่ยึดเป็นตัวเป็นตนของตน
ถือว่า เป็นผู้ที่ทรงธรรม 7 ชั้น อย่างละเอียด ถือว่า เป็นผู้ถึงซึ่งนิพพานดีแล้ว
ฉะนั้น พระยาธรรมเอย... บุคคลผู้ทรงธรรม 7 ชั้น สามารถทรงธรรมในระดับที่เป็น
ระดับพื้นฐานของธรรม เป็นระดับกลางๆ ของธรรม ที่ละเอียดลึกเข้าไป
เป็นระดับที่ละเอียดมาก
ถ้าเกิดว่า เราจะวัดดูความละเอียดของธรรม เราก็สามารถวัดได้ง่ายๆ จากธรรม 3 ชั้น
เช่น ถ้าเกิดว่าเราฟังธรรม เรื่อง*สัจบารมี บวกกับปัญญาบารมี*
จึงเป็น*สัจจะอย่างพุทธะ*
เราฟังชั้นที่ 1 เราเข้าใจ เข้าไปในหู เข้าไปในใจ เข้าไปในจิต
*พูดได้ ทำได้ และปรากฏผล*
แต่เราฟังในรูปแบบที่ 2 ยังไม่รู้เรื่อง ไม่ค่อยเข้าใจ แสดงว่าเรา
อยู่ในธรรมระดับพื้นฐาน ชั้นที่ 1
เมื่อเราฟังแล้ว ในระดับที่ 2 ที่ละเอียดมากขึ้น เราเข้าใจ เข้าไปถึงจิต
ออกมาสู่คำพูด การกระทำ
และเห็นผล เรานั้น เห็นว่าเป็นธรรมดา แสดงว่า เราเข้าไปถึงธรรม ความละเอียด
ถึงระดับชั้นที่ 2
ถ้าเราฟังแล้ว เรา*เข้าหู เข้าใจ เข้าจิต*...* กล่าวได้ ทำได้ เห็นผล* และ
*ปล่อยวาง* ธรรมในระดับที่ 3 ที่ละเอียดมาก เราสามารถเข้าใจถึงตรงนั้นได้
แสดงว่า เราเป็นผู้ทรงธรรม 7 ประการ ในระดับที่ 3 วัดกันง่ายๆ เช่นนี้หละลูก
ธรรมนั้น เป็นสิ่งที่ละเอียด บางทีดูว่าเป็นธรรมพื้นๆ แต่กลับมีเรื่องที่ละเอียดมาก
ซ้อนอยู่ภายใน บางทีดูว่า เป็นธรรมที่ละเอียด แต่อาจเป็นธรรม แค่พื้นๆ
บุคคลผู้ที่สามารถทรงธรรมในระดับที่ละเอียดเพียงใด ก็จะฟังธรรมละเอียดเพียงนั้น
ได้รู้เรื่องแต่การฟังรู้เรื่องอย่างเดียว ยังไม่ถือว่า เป็นผู้ทรงธรรม...ลูกเอ๋ย
การฟังแล้ว ไม่ว่าละเอียด หรือหยาบ ขั้นต้น หรือขั้นปลายหรือขั้นกลาง ก็ตาม
ต้องฟังเข้าไปผ่านหู ผ่านใจ ผ่านจิต เจาะลึกเข้าไปถึงจิต และก็ดันออกมาได้
ด้วยคำพูด การกระทำ และผลที่ทำสำเร็จ รวมถึง ต้องรู้วางเฉยในสิ่งเหล่านั้น
จึงถือว่า เป็นผู้ทรงธรรม 7 ประการ
ฉะนั้น พระยาธรรมเอย... ลูกก็จงตั้งใจ ประกาศธรรมนี้ไป เพื่อเกิดประโยชน์แก่มวลชน
ให้ทุกคน ได้เรียนรู้ถึงความสมบูรณ์ในการเข้าใจธรรม
บางคน เขาแค่ได้ยินธรรมนั้น ได้ฟังธรรมนั้น เขาก็บอกว่า เขาก็รู้ธรรมนั้นแล้ว
แต่ยังไม่เข้าใจเลยด้วยซ้ำไป *รู้ แค่ได้ยินผ่านหู*
บางคน เข้าไปถึงใจ ก็คิดว่า รู้แล้ว เข้าใจแล้ว เก่งแล้ว ดีแล้ว
แต่จริงๆแล้ว ธรรมนั้น ยังไม่ได้เข้าไปถึงดวงจิตของเขาเลย
บางคนฟังธรรม* รู้และเข้าใจ* รู้ดีไปหมด เข้าใจไปหมด
พูดได้ แต่ทำไม่ได้ ..อย่างนี้หละ... พระยาธรรม
ฉะนั้น บุคคลผู้ไม่สมบูรณ์ในการทรงธรรม 7 ประการ
จึงยังไม่ถือว่า เป็นผู้ที่ดีอย่างสมบูรณ์
ก็จงนำไปเผยแผ่ และประพฤติปฏิบัติ ฝึกฝนตนตามกันนะ จะได้เป็นผู้ทรงธรรม 7
ประการ อย่างแท้จริง เอาไปตรวจดู ไตร่ตรองดู ถ้าเราเป็นผู้ที่อยู่ในระดับของการ
เข้าใจ ในระดับที่ฟังรู้เรื่อง เข้าไปในใจ เข้าไปในจิต แต่ยังไม่สามารถที่จะพูดได้
ทำได้ เกิดผลได้ เราก็ค่อยๆ ปรับระดับของเรา ให้เป็นผู้ทรงธรรม ประการที่ 4 ประการ
ที่ 5 ประการที่ 6 และที่ 7 ขึ้นมาเรื่อยๆ ไล่ระดับตามเช่นนั้น
ฟังไปแล้ว เราเป็นผู้เข้าใจธรรม ในระดับขั้นต้น
เราก็ค่อยๆฝึกฝนไป จนได้เป็นผู้เข้าใจในระดับที่เลื่อนชั้นไปอีก เป็นขั้นกลาง
เมื่อเราฟังแล้ว อยู่ขั้นกลาง ก็จะได้ค่อยๆปรับ ค่อยๆเรียนรู้ศึกษา เข้าสู่ขั้นละเอียด
ขั้นที่ 3
เมื่อจิตเราละเอียดแล้ว เราเป็นผู้ทรงธรรม 7 ประการ ในชั้นที่ละเอียดแล้ว
เราจึงจะเป็นผู้พ้นทุกข์ได้ เช่นนี้หละ พระยาธรรมเอย... พอจะเข้าใจบ้างแล้วหรือยังเล่า
พระยาธรรม : สาธุเจ้าค่ะ ลูกพอจะเข้าใจแล้วพระพุทธเจ้าข้าฯ
วันที่ลูกเดินทางไปวัดหลวงปู่มั่น ลูกได้ยินแต่ว่า ธรรม 7 ประการๆ
ลูกก็ไม่ค่อยเข้าใจว่า ธรรม 7 ประการ คืออะไร
*หลวงปู่มั่นฯ* ท่านจึงทรงเมตตา สอนลูกว่า ธรรม 7 ประการ ก็คือ
*3 ประการ ภายใน*...ได้แก่ การฟังธรรม
เข้าไปใน หู...เข้าไปในใจ...เข้าไปในจิต และได้แก่
การพูดธรรม...การกระทำตาม...การทำจนเห็นผล...* 3 ประการ ภายนอก*
ได้แก่ *การวางเฉย เห็นเป็นธรรมดา *ทั้ง 3 ประการภายใน และ 3 ประการ
ภายนอก* เข้าใจเช่นนี้ ทรงธรรมเช่นนี้ เรียกว่า ทรงธรรม 7 ประการ
ลูกจึงได้เข้าใจ และไขรหัสธรรมนี้ออกมาได้
ลูกก็ดีใจ ที่ลูกได้รู้ถึงเรื่องราวเหล่านี้ เพราะจริงๆ เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก
และถ้าหากว่า เป็นคนมีไม่ได้มีพื้นฐานธรรมที่ละเอียด ก็อาจจะไม่เข้าใจด้วย
แต่ก็ไม่เป็นไร
ลูกคิดว่า พอฟังไปฟังมา ทุกคนก็คงจะเข้าใจเอง และจะเป็นประโยชน์ แก่ทุกคนมาก
ลูกจะตั้งใจน้อมธรรมนี้ไปเผยแผ่ พระพุทธเจ้าข้าฯ
เพื่อให้ทุกคนได้เป็นผู้ทรงธรรม 7 ประการ เป็นผู้เหนือทุกข์ได้อย่างแท้จริง
พระพุทธเจ้าข้าฯ
พระพุทธองค์ : ก็ดีแล้วหละ พระยาธรรม ต่อไปนี้ ก็จะได้ไม่หลงติดดีกัน..
รู้ธรรม เพียงแค่*ได้ยิน* ก็จะได้ไม่ถือดี
รู้ธรรม เพียงแค่*เข้าใจ* จะได้ไม่ถือดี
รู้ธรรม เพียงแค่*เข้าไปในจิต* จะได้ไม่ถือดี
รู้ธรรม เพียงแค่*พูดได้* จะได้ไม่ถือดี
รู้ธรรม เพียงแค่*ปฏิบัติตามได้เล็กน้อย* จะได้ไม่ถือดี
รู้ธรรม *ปฏิบัติจนเกิดผลแล้วก็ตาม* ก็จะได้ไม่ถือดี
รู้ธรรม จนครบ 7 ประการ ก็คือ*การวางเฉย อย่างรู้ตื่น* นั่นหละ ก็จะ*ไม่ถือดี*
เพราะสูงสุดเหนือการถือดีทั้งปวงแล้ว จะได้ไม่พากันมาติดอยู่ตรงจุดใดจุดหนึ่ง
จะได้เข้าใจ และการฟังธรรมนั้น ก็จะต้องจับความละเอียด ไล่ระดับความละเอียด
ของธรรมที่เราเข้าใจด้วย
เมื่อเข้าใจธรรมในระดับพื้นฐาน อย่าเพิ่งตีไปก่อนว่า ตนเป็นผู้ทรงธรรม 7 ประการแล้ว
ถึงซึ่งความหลุดพ้นแล้ว แสดงว่า ตนสอบผ่าน การฟังธรรมในระดับที่ 1 เท่านั้น
คือ หมายถึงระดับพื้นฐานของธรรม หน่ะลูก
แล้วเมื่อลูก เข้าไปถึงการฟังธรรมละเอียด ในระดับที่ 2 และทรงธรรมเหล่านั้น
ด้วย 7 ประการครบ
ก็อย่าเพิ่งคิดว่า ลูกสำเร็จ เป็นผู้บรรลุแล้ว เข้าใจว่าอย่างนั้น อย่าเพิ่งคิดเช่นนั้นด้วย
เพราะยังมีธรรมในระดับที่ละเอียดขึ้นอีกชั้นหนึ่ง
ลูกฟังธรรม ในระดับที่ 3 ที่ละเอียดมาก เข้าใจ แล้วก็ทำตามได้
ทรงธรรม 7 ประการ ในระดับของธรรมละเอียด
นั่นหละ จึงจะถือว่าลูกพ้นเขต ปลอดภัยแล้ว
ฉะนั้น ลูกเอ๋ย... ต้องทรงธรรม ถึง 3 ชั้น ในความละเอียด และทรงธรรม 7 ประการ
จึงถือว่า ใช้ได้ ถือว่า เป็นผู้ถึงแล้ว อย่างแท้จริง
คอยระมัดระวังตนให้ดีเถิดนะ ระวังจะไปหลงทางอยู่ตรงจุดใดจุดหนึ่ง และไปไม่ถึงฝั่ง
เช่นนี้หละ...พระยาธรรม คือ ความซับซ้อนของธรรม คือ สิ่งที่ทุกคนต้องระมัดระวัง
กลัวจะหลงทางอยู่จุดใดจุดหนึ่ง และคิดว่า ตนถึงแล้ว
แต่ถ้าเกิดว่าฟังธรรมนี้เข้าใจ สามารถนำไปปรับประยุกต์ใช้แก่ตน
สามารถประพฤติปฏิบัติตามเป็นขั้นๆ เช่นนี้ ก็สามารถที่จะเป็นผู้ทรงธรรม อย่างแท้จริง
หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง เช่นนี้หละลูก
และด้วยเหตุที่ลูกนั้น ได้ถอดรหัสธรรม ถึง 7 ประการ และลูกเข้าใจธรรม 7 ประการแล้ว
และเข้าใจธรรมที่ละเอียด ถึงชั้นที่ 3 แล้ว... ลูกจึงเป็นผู้ทรงธรรม
เมื่อลูกเป็นผู้ทรงธรรมดังนี้แล้ว ลูกจึงเป็นผู้ประกาศธรรม 3 ชั้น ออกไปได้
จึงเปลี่ยนรหัส เป็นธรรมะไตรปิฎก แสดงธรรม ถึง 3 ชั้น
สำเร็จได้ ในรหัสธรรม ทั้ง 7 ประการ ที่ลูกถอดมา
ต่อจากนี้ไป ก็เหลือเพียงแต่การตั้งใจประกาศธรรม เมื่อได้เห็นธรรมนั้น
และเมื่อธรรมนั้น ได้ปรากฏขึ้นแก่ลูกอย่างชัดเจน ครบ 7 ประการ
ลูกก็จงประกาศธรรมนั้นออกไป ให้ทุกคนได้เข้าใจเถิด... พระยาธรรม
พระยาธรรม : สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง
ลูกพอจะเข้าใจแล้ว พระพุทธเจ้าข้าฯ
แท้ที่จริง ผู้ทรงธรรม 7 ประการ กับผู้ทรงธรรม 3 ชั้น บวกกัน
จึงจะเป็น ผู้ที่สำเร็จ บรรลุธรรมได้ อย่างแท้จริง
แต่ถ้าเกิดว่า เราทรงธรรม 7 ประการ แต่ยังทรงอยู่ในธรรมแค่ชั้นแรก หรือชั้นที่ 2
ถือว่า ยังไม่สมบูรณ์. .. ลูกพอจะเข้าใจเช่นนี้แล้ว พระพุทธเจ้าข้าฯ
วันนี้ลูกต้องกราบขอลาก่อน นะเจ้าค่ะ เอาไว้ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่
พระพุทธเจ้าข้า...สาธุ
เรื่อง โอวาทพิเศษ เทศน์หลวงปู่ชา (ภาษาอิสาน)
๐๐ ฉะนั้น การรักษาศีล รักษากาย รักษาวาจานั้น เป็นของไม่ยาก เรามาทำความรู้ขึ้น
ทุกอริยบถ เช่นการยืน การเดิน การนั่ง การนอน ทุกวาระของเรา มันก็เห็น
ก่อนที่จะทำอะไรมันก็รู้ก่อนเลย อย่างนี้ ก่อนจะทำอะไรมันก็รู้จักก่อนเลย
ก่อนจะพูดจะจา มันก็รู้ก่อนเลย ไม่ให้มันพูดก่อน ไม่ให้มันทำก่อน
มารู้เสียก่อนก่อนที่จะให้มันพูด ก่อนที่จะให้มันทำ
สติคือความระลึกได้ ก่อนจะทำ จะพูดต่าง ๆ มันระลึกรู้เสียก่อน
มาหัดตัวนี้ให้มันคล่องแคล่ว หัดตัวนี้ให้มันเท่าทันคล่องแคล่ว ระลึกได้ แล้วค่อยทำ
ระลึกได้แล้วจึงพูดจึงจา มาตั้งสติไว้ในใจอันนี้แหละ ในผู้รู้อันนี้เอง เอามันรักษามันเอง
เพราะมันเป็นผู้ทำเอง มันเป็นผู้ทำ จะให้ผู้อื่นมารักษามันไม่ได้ ต้องให้มันรักษามันเอง
ถ้ามันไม่รักษามันเองก็ไม่ได้
นี่ท่านบอกว่าการรักษาศีลนั้น รักษาไม่ยาก คือมารักษาตัวเจ้าของนี่แหละ
รักษาตัวเจ้าของ ทีนี้ เมื่อหากว่าไอ้โทษทั้งหลายทั้งปวง มันจะเกิดขึ้นทางกาย
ทางวาจา ของเรานั้น ถ้าเรามีสติอยู่น่ะ อะไรมันจะเกิดขึ้นเราก็รู้จัก
มันรู้จักผิด รู้จักถูกขึ้นทั้งนั้น นี่คือการรักษาศีล
การรักษาศีลนั้นอยู่กับเรา กาย วาจา อันนี้มันเป็นเบื้องแรก
ถ้าเรารักษากาย รักษาวาจาได้ มันก็งาม สวยงาม สบาย
จรรยามารยาท อะไรต่าง ๆ นานา
การไป การมา การพูดการจา งามขึ้นเลย มันงาม คือลักษณะของมันงาม
คือมีผู้ดัด ผู้แปลง มีผู้รักษา มีผู้พิจารณาอยู่อย่างนั้น เปรียบประหนึ่งว่า
เหมือนกันกับบ้านหรือศาลาหรือกุฏิของเรา มันมีผู้กวาดทำความสะอาด มีผู้รักษาอยู่นั่น
ตัวกุฏิมันก็สวย ลานกุฏิมันก็งาม ไม่เศร้า ไม่หมอง ก็เพราะมีคนรักษามันอยู่
เอ้อ มีคนรักษามันอยู่ มันจึงสวยได้ งามได้
กาย วาจา เราก็เหมือนกันนั้นแหละ ถ้ามีคนรักษามันอยู่มันก็งาม ความชั่วช้าลามกสกปรก เกิดขึ้นมาได้ มันงาม งามในเบื้องต้น
อาทิกัลยาณัง มัชเฌกัลยาณัง ปะริโยสานะกัลยาณัง
งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในเบื้องปลาย
หรือไพเราะในเบื้องต้น ไพเราะในท่ามกลาง ไพเราะในเบื้องปลาย
นี่ คืออะไร คือศีลหนึ่ง คือสมาธิหนึ่ง คือปัญญาหนึ่ง มันงาม เบื้องต้นมันก็งาม
ถ้างามเบื้องต้น ท่ามกลางมันก็งาม
เมื่อหากว่าเราสำรวม สังวรตามสบาย ระวังอยู่เสมอ ๆ จนใจของเรานั้น
จนใจของเรานั้นมันมั่น มั่นอยู่ในการรักษา ในการสังวร ในการสำรวม มันใฝ่ใจอยู่เสมอ
มันมั่น มันเที่ยง อยู่อย่างนั้นแหละ อาการที่มันมั่นในข้อวัตร มั่นในการสังวร
อาการที่มันมั่น ในการสำรวม สังวรทั้งหลาย เหล่านี้
อาการอย่างนี้ มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าสมาธิน่ะ ท่านเรียกว่าสมาธิ อาการที่มันสำรวม
มันสำรวม รักษากายไว้ รักษาวาจาไว้ รักษาอะไรต่าง ๆ ทั้งหลายเหล่านี้ไว้ มันจะเกิดขึ้น
มันรักษาไว้
อาการที่มันรักษาไว้อยู่เสมอ สำรวมอย่างนี้ ท่านเรียกว่า #ศีล
อาการที่มันมั่นในการสังวร สำรวม อยู่นั้น ใช้ชื่ออีกชื่อหนึ่ง เรียกว่า #สมาธิ
คือความตั้งใจมั่น มั่นคงอยู่ในอารมณ์อันนั้น มั่นอยู่ในอารมณ์อันสำรวมสังวรณ์นั้น
เสมอเลยทีเดียว อาการนี้เรียกว่าสมาธิ สมาธิอันนี้เป็นสมาธิชั้นนอก ๆ นะ
แต่ว่ามันก็จะมีอยู่ข้างในมันอีก แต่ก็ให้มันมีไว้ก่อน มันต้องมีอย่างนี้เสียก่อน
เมื่อหากว่า มันมั่นในสิ่งเหล่านี้แล้วน่ะ มีศีลแล้ว มีสมาธิแล้ว น่ะ อาการพินิจพิจารณา
สิ่งที่มันจะผิด สิ่งที่มันจะถูก ถูกไหมหนอ ผิดไหมหนอ ใช่ไหมหนอทั้งหลายเหล่านี้
แหละ ในอารมณ์ทั้งหลายที่มันมาผ่าน รูปมากระทบ เสียงมากระทบ กลิ่นมากระทบ
โผฏฐัพพะกระทบ อารมณ์มากระทบทั้งหลายเหล่านี้หละ
ผู้รู้ทั้งหลายมันจะเกิดขึ้นมา เป็นสุขบ้าง เป็นทุกบ้าง ชอบใจบ้าง
รู้จักอารมณ์ดีบ้าง อารมณ์ไม่ดีบ้าง ทั้งหลายเหล่านี้แหละ มันจะเห็นหลายอย่าง
ถ้าเราสำรวมอยู่นี้ เห็นหลายอย่าง เห็นหลายสิ่ง มันมาผ่าน มันแสดงปฏิกิริยาขึ้นมา
ทางจิต ทางผู้รู้ มันจะได้รับพิจารณา อาการที่มันสำรวมอยู่แล้ว
และมันมั่นอยู่ในการสำรวมของมัน น่ะ อันใดมาผ่าน เป็นต้น
มันจะแสดงปฏิกิริยาขึ้นทางกาย ทางวาจา ทางใจ
อันใดมันผิด หรือมันถูก ดีชั่วประการใด อาการเหล่านี้เกิดขึ้นมา
ความเลือกหรือเฟ้น ความรู้ทั้งหลายอารมณ์ทั้งหลายเหล่านี้แหละ เรียกว่ามัน
เป็น #ปัญญา บาง ๆ
ปัญญาอันนี้ก็มี มีอยู่ในใจของเราทั้งหมด อาการที่ท่านว่า ศีล เรียกว่าสมาธิ เรียกว่า
ปัญญา
ทีนี้ เมื่อเราจะเอาจริง ๆ จัง ๆ แล้ว เรามาลอกอีก จดหมายฉบับใหม่ ลอกจากอันเก่านี่
แหละ ให้มันละเอียดกว่านั้นอีก (หลวงปู่เน้นเสียงหนัก) ให้มันดีกว่านั้นอีก
ให้มันแยบคายยิ่งกว่านั้นอีก (หลวงปู่เน้นเสียงหนัก) แต่เอาในเรื่องเก่านั่นแหละ
ฉันใด ฉะนั้นการปฏิบัตินั้นท่านเรียกว่าชั้นหนึ่ง ศีลชั้นหนึ่ง ศีลขั้นบัญญัติ สมาธิขั้น
บัญญัติ ปัญญาขั้นบัญญัติ สมมุติกันขึ้นมา เป็นสมมุติ เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา
เหล่านี้ให้มันมีให้มันแน่น ลักษณะอันนี้อยู่ในอัตตาธรรม ยึดแท้ๆ ยึดอย่างมาก
ยึดมั่น หมายมั่น หวงกาย หวงวาจา หวงอย่างมาก หวงศีล หวงธรรม
เกิดยึดเกิดมั่นเสียก่อน ความยึดมั่นหมายมั่นทั้งหลายเหล่านี้ ยึดความดีทีนี้
กลัวศีลของเราจะตก กลัวศีลของเราจะขาด กลัวสมาธิของเราจะทำลาย อย่างนี้แหละ
รักมาก หวงมาก ขยันหมั่นเพียรมาก ทั้งหลายเหล่านี้แหละ แม้นถูกอารมณ์มา..ผวา
กลัว เห็นคนผู้นั้นทำผิด ทำไม่ดี ก็รู้ไปหมด มันหวง ไปเสียหมด
นี่เรียกว่า ศีลขั้นหนึ่ง สมาธิขั้นหนึ่ง ปัญญาขั้นหนึ่ง ชั้นนอก
เพราะมันเห็นตามอัฐญาของพระพุทธเจ้า อันนี้เป็นเบื้องแรกของเรา ต้องตั้งอยู่ในใจ
ต้องมีอยู่ในใจ อาการเหล่านี้มันเกิดขึ้นในจิต มันเป็นอยู่อย่างนั้น หวงมาก จนกว่า
ไปทางไหน มันจะรู้สึกผิดหูผิดตา ใครทำอะไรไม่ถูกก็ผิดหูผิดตาเรา ยึดมาก หวงมาก
เกิดทุกข์ขึ้นมาก็ได้เหล่านี้ มันจะเกิดทุกข์ขึ้นมาได้ สงสัย ลังเล ต่าง ๆ นา ๆ การทำผิด
การทำถูก คือมันเพ่งมากเกินไป นั่น
แต่ก็ช่างมัน ให้ทำให้มาก ๆ เสียก่อนสิ่งเหล่านี้ ให้มันมาก ๆ ให้มันรักษากาย รักษาวาจา
รักษาใจไว้มาก ๆ เสียก่อน ไม่เป็นไร นี่เรียกว่าศีล ชั้นหนึ่ง
สมาธิก็ดี ปัญญาก็ดี มีหมด ศีลขั้นนี้ ถ้าเรียกว่าบารมี ทานบารมีอย่างนี้ หรือศีลบารมีอย่างนี้ นี่มันเป็นชั้นหนึ่ง มันเป็นแล้วสิ่งทั้งมวลนี้
ทานนอุปปารมี หรือศีลลอุปปารมี มันอยู่อีกต่างหาก ก็เอาออกจากอันเดียวนี้เอง คือมันละเอียดยิ่งไปกว่านั้น กลั่นความละเอียดออกจากของหยาบนี่หละ ไม่ใช่อื่นไกลอะไร
ทีนี้ เมื่อได้หลักอย่างนี้ปฏิบัติ ไว้ในใจของเราแล้ว เป็นเบื้องแรก จะรู้สึกว่าอาย กลัว
อยู่ที่ลับก็ดี ที่แจ้งก็ดี ใจมันกลัวจริง ๆ สยดสยองอยู่เสมอเลยทีเดียว นั่น จิตใจนั้นเอามา
เป็นอารมณ์อยู่เสมอเลย ในสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เอาความผิด ความถูก
สำรวมกาย วาจา เป็นอารมณ์เลย มั่นจริง ๆ ยึดมั่นถือมั่นจริง ๆ นั่น มันเลยเป็นศีล เป็น
สมาธิ เป็นปัญญา อันนี้ในข้อบัญญัติ น่ะ
ทีนี้เมื่อเราทำไป รักษาไป ประพฤติไป ปฏิบัติไปเรื่อย ๆ อาการเหล่านี้เต็ม เต็มอยู่ในใจของเรา แต่ว่าศีลขั้นนี้ สมาธิขั้นนี้ ปัญญาขั้นนี้ มันไม่ได้เป็นองค์ของฌาณหรอก.หยาบ ๆ
แต่ว่ามันเป็นของละเอียด ละเอียดของหยาบ ละเอียดของปุถุชนของเรา ซึ่งไม่เคยทำ
ไม่เคยรักษา ไม่เคยภาวนา ไม่เคยปฏิบัติ เท่านี้มันก็เป็นของละเอียดแล้ว
หมายความว่าเหมือนกันกับเงิน 10 บาท หรือ 5 บาท มันมีความหมายแก่คนจน
ถ้าคนมีเงินล้านเงินแสนแล้วเงิน 5 บาท 10 บาท ไม่มีความหมาย มันเป็นเรื่องอย่างนี้
ถ้าเป็นคนจนแล้วเงินบาทสองบาทก็ต้องมีความหมายแก่คนจน แก่คนไม่มี น่ะ
ถึงโทษที่เราละได้หยาบ ๆ เป็นต้น มันก็มีความหมายแก่คนจน ที่ไม่เคยได้ละมา
ไม่เคยได้ทำมานะ ก็ยังมีความภูมิใจในขั้นนี้ บริบูรณ์ขั้นนี้ อันนี้จะเห็น
ผู้เดินปฏิบัติจะมีอยู่ในใจน่ะ มีอยู่ในใจ ถ้ามันเป็นอย่างนี้เรียกว่าเราเดินศีล เดินสมาธิ เดินปัญญา
ทั้งศีลด้วย ทั้งสมาธิด้วย ทั้งปัญญาด้วย ขาดจากกันไม่ได้ เมื่อศีลดี ความมั่นก็มั่นขึ้นมา
เมื่อศีลหรือความมั่นขึ้นมา ปัญญาก็ยิ่งกล้าขึ้นมา ทั้งหลายเหล่านี้แหละกลับเป็นไวพจน์
ซึ่งกันและกันเรียกว่าการประพฤติหรือการปฏิบัติอยู่เรื่อย ๆ ทำไปเรื่อย ๆ ไป เป็นสัมมา
ปฏิปทา
ฉะนั้น เมื่อหากเราทำไปอย่างนี้ เรียกว่าเข้าหนทางแล้ว เข้าหนทาง เข้าหนทางเบื้องแรก
เลยทีเดียว ดำเนินเข้าเบื้องแรก อันนี้เป็นขั้นที่หนึ่งหยาบ ๆ หยาบ ๆ เป็นของรักษาได้
ยากหน่อย มันหยาบ
ทีนี้เมื่อหากว่ามันละเอียดเข้าไปน่ะ ศีลเนี่ย สมาธิเนี่ย ปัญญาอันนี่ ก็เอาออกจากอัน
เดียวกัน คือมันกลั่น ออกจากอันเดียวกัน เหมือนกันกับต้นมะพร้าวเราอย่างนี้ เอาง่าย ๆ
ต้นมะพร้าวของเรานี่ มันดูดเอาน้ำธรรมชาติไปนะ น้ำธรรมชาตินี้ ก็เป็นน้ำกินไปตาม
ลำต้น แต่พอไปถึงลูกมะพร้าว เกิดหวานขึ้นมา เป็นน้ำสะอาด แต่ก็เอาน้ำเหล่านี้หล่ะ น้ำ
เหล่านี้ อาศัยน้ำเหล่านี้ อาศัยลำต้นเหล่านี้ อาศัยน้ำ อาศัยดินหยาบ ๆ เหล่านี้แหละ ดูด
ขึ้นไปกลั่น ก็น้ำอันนี้เอง แต่พอไปถึงลูกมะพร้าวเป็นน้ำสะอาดยิ่งกว่านี้อีก หวาน น่ะ
ฉันใด ศีล หรือศีล สมาธิ ปัญญา คือมรรคของเรานี้ก็เหมือนกัน หยาบ ๆ เหมือนกัน
แต่หากว่า จิตของเรา มาพิจารณาทั้งหลาย สิ่งเหล่านี้ให้มันละเอียดขึ้นไป ๆ แล้ว
สิ่งเหล่านี้มันก็หายจากหยาบไป ละเอียดไป ละเอียดไป ทีนี้การรักษาก็แคบเข้ามา
การรักษาก็แคบเข้ามา ง่าย ใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามาหาตัวเรา น่ะ ใกล้เข้ามาหาตัวเรา
ไม่คิดไปมาก ไม่คิดไปมาย พอแต่ว่า เรื่องอันใดที่มากระทบ ขึ้นในใจของเรา มันสงสัย
อย่างนี้เลิกมัน การทำอย่างนี้ผิดหรือ ถูกหรือ ผิดไหม ถูกไหมหนอ
ถ้าสงสัยแล้วเลิก ใกล้เข้ามา ๆ เรื่อย ๆ เข้ามา และเรื่องสมาธิมันก็ยิ่งมั่นเข้ามา เรื่องปัญญาก็ยิ่งมองเห็นได้ง่าย
ผลที่สุดแล้วก็เห็นจิตกับอารมณ์ ไม่ได้แยกถึงกาย ไม่ได้แยกถึงวาจา ไม่ได้แยกถึงอะไร
แล้วทีนี้ พูดถึงเรื่องกายและจิต พูดถึงอารมณ์กับจิต พูดถึงเรื่องกายกับเรื่องจิต มันอาศัย
ซึ่งกันและกัน เห็นผู้บังคับกายคือจิต กายจะเป็นไปได้ก็เพราะจิต
ทีนี้จิตนั้น ก่อนจะบังคับกายก็อาศัยอารมณ์ มากระทบ ติดอารมณ์แล้วก็บังคับ
ทีนี้เมื่อเราเข้ามาพิจารณาเข้าไปเรื่อย ๆ น่ะ ความแยบคาย มันจะเข้าไป ๆ ผลที่สุดแล้ว
มันจะมีจิตกับอารมณ์ ถึงกายนี้มันจะเป็นรูป มันก็เป็นอรูปไป มันไม่มาลูบคลำ ลูบอะไร
แล้ว มันเอาการของรูปนี้เข้าไป เป็นอรูป เป็นอารมณ์มากระทบกันเข้า
ผลที่สุดแล้วก็ดูจิตกับอารมณ์ จิตกับอารมณ์ อารมณ์ที่มันเกิดขึ้นมา กับจิตของเรา น่ะ
ทีนี้เราจะหยั่งดูธรรมชาติจิตของเรา จิตของเราไม่มีเรื่องราวอะไร เหมือนกันกับเศษผ้า
หรือธง ที่เขาปักอยู่ปลายไม้ ไม่มีอะไร หรือใบไม้อย่างนี้แหละ อยู่ธรรมชาติมันก็นิ่งเฉย ๆ
อยู่ ไม่มีอะไร ก่อนที่ใบไม้มันจะไหว กวัดแกว่งนั้น เพราะลมมาพัดมัน ต่างหาก ถ้าธรรมชาติใบไม้แล้วมันนิ่งอยู่เฉย ๆอย่างนั้น ไม่มีอะไร ไม่เป็นอะไรกับใคร
ก่อนที่พัดกวัดแกว่งก็เพราะมีอะไรมากระทบต่างหาก คือลมมากระทบเป็นต้น มันก็กวัดแกว่งไปมานั่น ธรรมชาติจิตของเราก็เหมือนกัน ไม่มีรัก ไม่มีชัง ไม่มีให้โทษผู้ใด มันเป็นของอยู่อย่างนั้น เป็นสภาวะอันบริสุทธิ์ใสสะอาดอยู่ยิ่ง ๆ อยู่ด้วยความสงบ ไม่ได้มีความสุข ไม่ได้มีความทุกข์ ไม่ได้มีเวทนาอันใด ๆ นี่สภาพจิตจริง ๆ เป็นอย่างนั้น
ค้นเข้าไป ค้นเข้าไป พิจารณาเข้าไป ค้นไปถึงจิตอันเดิม
จิตเดิม ที่เรียกว่า #จิตบริสุทธิ์ จิตบริสุทธิ์นั้น เรื่องจิตบริสุทธิ์ คือจิตไม่มีอะไร
ไม่มีอารมณ์อันใดจะมาผ่านมัน คือไม่ได้วิ่งไปตามอารมณ์ทั้งหลาย เหล่านั้น
คือไม่ได้ติอันนั้น ไม่ได้ติอันนี้ ไม่ได้สุขกับอันนั้น ไม่ได้สุขกับอันนี้ ไม่ได้ดีใจกับอันนั้น
ไม่ได้เสียใจกับอันนี้ นั่น แต่จิตนั้นเป็นผู้รู้ตัวอยู่เสมอ จิตนั้นเป็นผู้รู้เรื่องทั้งหลาย นั่น
เมื่อจิตเป็นอย่างนี้แล้ว อารมณ์ทั้งหลายมันเข้ามาพัด อารมณ์ดีก็ดี อารมณ์ไม่ดี อารมณ์
ชั่วทั้งหลายมาพัดมา มาไตร่ตรองเข้าไป จิตถึงความบริสุทธิ์อันนั้น จิตอันนั้น ไม่เป็น
อะไร คือไม่ได้หวั่น ไม่ได้ไหว เพราะอะไร เพราะจิตอันนั้น รู้ตัว จิตอันนั้นรู้ตัว จิตอันนั้น
สร้างความอิสระไว้ในตัวของมัน มันถึงสภาพของมัน ถึงสภาพอันเดินของมัน ทำไมมันถึง
สร้างสภาพอันเก่าของมันได้ คือ ผู้รู้พิจารณาอย่างแยบคายแล้วว่า
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้น มันเป็น #อากาศธาตุ ทั้งหมด ไม่มีใครทำอะไรให้ผู้ใด
เหมือนกันกับสุขอย่างนี้ มันเกิดขึ้นมา อย่างนี้หละ ทุกข์อย่างนี้มันเกิดขึ้นมา
มันก็สักว่าแต่สุข มันก็สักว่าแต่ทุกข์ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ
จิตมันก็ไม่ได้เป็นเจ้าของสุข ทุกข์ จิตก็ไม่ได้เป็นเจ้าของ
มันไม่เอา อืม นั่น มันไม่ใช่เรื่องของจิตที่จะต้องเอา มันคนละเรื่อง มันคนละอย่าง
สุขก็สักว่าแต่สุขเฉย ๆ ทุกข์ก็สักว่าแต่ทุกข์เฉย ๆ นี่ ท่านเป็นผู้รู้เฉย ๆ แต่ก่อนนั้น
เมื่อโลภะ โทสะ โมหะ มันไปรวมกันแล้วนะ เมื่อเห็นก็จับเลยน่ะ
สุขก็เอาทุกข์ก็เอาเอาทั้งนั้น เราก็ไปเสวยไปเป็นทุกข์ไปเป็นสุข ไม่ได้หยุดสักที
นั่นคือจิตไม่ได้รู้ตัว ไม่ทันสว่างไสว ไม่ได้เป็นอิสระ จิตไปตามอารมณ์
จิตไปตามอารมณ์คือจิตเป็นอนาถา ได้อารมณ์ดีก็ดีไปด้วย มันลืมเจ้าของ อันเจ้าของมัน
เป็นของไม่ดีไม่ชั่วนี่ ถ้าติดดีก็ดีไปด้วย มันหลง ถ้าติดไม่ดีก็ไม่ดีไปด้วย ติดทุกข์ก็ทุกข์
ไปด้วย เลยเป็นโรค อารมณ์มันเป็นโรค ติดไปกับโรค ให้เกิดสุข ให้เกิดทุกข์ ให้เกิดดี
ให้เกิดชั่ว ทุกอย่างทุกสิ่งที่มันเป็นไป ของไม่แน่นอน ถ้าออกจากจิตอันเดิมแล้วไม่
แน่นอนเลย มีแต่เกิด มีแต่ตาย มีแต่หวั่น มีแต่ไหว มีแต่ทุกข์ มีแต่ยาก มีแต่ลำบาก
ตลอดสิ้นกาลนาน ไม่มีทางสิ้นสุด จบลงสักที มันเป็นตัววัฏฏะทั้งนั้น
มันเป็นว่าสักแต่เรายึด
คล้าย ๆ กับว่า คำนินทา หรือคำสรรญเสริญของมนุษย์ทั้งหลาย มันว่าความชั่วแบบนี้
มันว่าลงไปอย่างนี้หละ มันทำไมมันถึงเป็นทุกข์ มันเป็นทุกข์เพราะมันเข้าใจว่า เขาว่าให้มัน มันเลยไปหยิบเข้ามาใส่ใจมัน การที่ไปยึด ไปหยิบไปรู้ ไปรับรู้อย่างนั้น รู้ไม่เท่าแล้วไปจับมา ความรู้สึกอันนั้นแหละท่านเรียกว่าเอามาแทงตัวเจ้าของ
#อุปาทาน เมื่อมาแทงมันก็เกิดเป็นภพ มันเป็นภพที่จะให้เกิดชาติเอาไว้น่ะ ถ้าหากว่า คำบางสิ่งบางอย่างนั้น ถ้าเราไม่รับรู้มันซะ ว่าสักแต่ว่ามีแต่เสียงอย่างนั้น มันก็ไม่มีอะไร คล้าย ๆ กับว่า คนเขมรเข้ามาด่าเราอย่างนี้ เขมรมาด่าเรา เราก็ได้ยินอยู่ ได้ยินสักว่าแต่เสียง เพราะเราไม่เข้าใจความหมาย ได้ยินแค่เสียงเขมรเฉย ๆ สักว่าแต่เป็นเสียงเขมรเฉย ๆ ไม่รู้จักว่าเขาด่าเรา แน่ะ มันสบายอย่างนั้นนะ หรือพวกญวนพวกภาษาต่าง ๆ เขามาด่าเราอย่างนี้แหละ เราก็ได้ยินแต่เสียงเฉย ๆ ก็สบาย เราเหมือนกันนั่นเอง
จิต นั้น พูดถึงเกิดและดับ พูดถึงจิต รู้เรื่องกันง่าย มั่นจริง ๆ ว่าจิตนี้ มันไม่เป็นไปกับใคร จิตจริง ๆ เชื่อแน่จริง ๆ ว่ามันไม่เป็นไปกับใคร มันไม่เป็นไปกับอารมณ์
#อารมณ์มันเป็นอารมณ์ #จิตมันเป็นจิต
ก่อนที่มันจะเป็นทุกข์เป็นสุข เพราจิตหลงอารมณ์ นี่ ถ้าไม่หลงอารมณ์แล้วก็ไม่เป็นอะไร
จิตนี้ ไม่ได้หวั่นไหว สภาวะอันนี้ท่านเรียกว่า เป็นสภาพรู้อันหนึ่ง สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้น
มันเป็นอากาศธาตุ ทั้งหมด เกิดแล้วมันก็ดับไปเฉย ๆ เกิดแล้วก็ดับไปเฉย ๆ อย่างนี้
ถ้าเรามีความรู้สึกอย่างนี้ น่ะ มีความรู้สึกได้อย่างนี้ก็ยังละไม่ได้ก็มี การละไม่ได้ การละ
ได้หรือละไม่ได้ ก็ช่างมันเถอะ ให้มันมีความรู้ ให้มันมีความหมายไว้อย่างนี้ ซะก่อนเบื้อง
แรกของมัน น่ะ เราคอยพยายามเข่นฆ่าเข้าไปเรื่อย ๆ เมื่อไปเห็นอย่างนี้แล้วถอยออกมา
สมกับพระบรมศาสดาหรือคัมภีร์ท่านกล่าวว่า #โคตรภูจิต
โคตรภูจิตน่ะ คือจิตมันจะข้ามโคตรมนุษย์ จิตของปุถุชน ย่างเข้าไปหาอริยชน
ซึ่งเป็นมนุษย์ปุถุชนเรานี่เอง มีโคตรภูบุคคล พอก้าวเข้าไปถึงจิตพระนิพพาน
แต่ไปไม่ได้ น่ะ แต่ไปไม่ได้ ถอยออกมา ปฏิบัติ ถ้าเป็นคนเราก็คือเดินข้ามห้วย
ขาหนึ่งอยู่ข้างห้วยฝั่งนี้ อีกขาหนึ่งอยู่ข้างห้วยฝั่งหนึ่ง เข้าใจแล้วว่าลำห้วยนั้น
ฝั่งทางนั้นมี ฝั่งทางนี้ก็มี แต่ไปไม่ได้ ถอนมา แต่บุรุษคนนั้นเข้าใจว่า ฝั่งห้วยทางนั้นก็มี
นี่คือโคตรภูบุคคลโคตรภูจิต นี่แปลว่ารู้เข้าไป ไปไม่ได้ถอนออกมา แต่ว่ารู้แล้วแหละว่า
สิ่งเหล่านี้ก็มีอยู่ น่ะ มาดำเนินไป มาสร้างบารมีไป มาบำเพ็ญเข้าไป เห็นว่ามันแน่นอน
เป็นอย่างนั้น จะต้องไปตรงนั้น
พูดง่าย ๆ สภาพที่เรา พากันมาประพฤติปฏิบัติ อยู่นี่ สภาพอันนี้ จิตของเรานี้
ถ้าเราพิจารณาตามเรื่องราวจริง ๆ มันมีหนทางที่จะต้องไป คือเรารู้หนทาง
เบื้องแรกหนึ่ง ความดีใจ หรือความเสียใจ มันไม่ใช่หนทางที่เราจะเดิน เราก็รู้จักอย่างนี้
นะ ก็ใช่จริง ๆ
ทีนี้ ถ้าไปดีใจมันก็ไม่ใช่ เกิดทุกข์ได้ ถ้าไปเสียใจมันก็ไม่ใช่ มันก็เกิดทุกข์ได้
เราเห็นอย่างนี้ แต่ว่าเรายังละไม่ได้ ตรงไหนล่ะมันจะถูกทีนี้ อันวางความดีใจและเสียใจ
ไว้สองข้างนั่นแหละ พยายามเดินทางกลาง เราก็กำหนดรู้อยู่ แต่ว่ามันทำยังไม่ได้น่ะทีนี้
เมื่อหากว่าเราทำไม่ได้ ถ้าหากว่ามันติดสุขหรือทุกข์ เราก็รู้จักว่ามันติดอยู่เสมอ
เมื่อเรารู้อยู่ว่ามันติดเสมอเมื่อนั้นล่ะเราจะถูกได้ เมื่อจิตติดสุขเป็นต้น ไม่ได้สรรเสริญมัน
นะ เมื่อจิตติดทุกข์ก็ไม่ได้ดูถูกมันนะ จะได้ดูมันนะทีนี้ สุขก็ผิด ทุกข์ก็ผิด เข้าใจอยู่มัน
ไม่ใช่หนทางมัน ตัวรู้ผู้นี้รู้อยู่อย่างนี้แต่ยังละไม่ได้ แต่รู้อยู่ ถ้ารู้แล้วเป็นต้นไม่ได้สรรเสริญ
ทุกข์ ไม่ได้สรรเสริญทางทั้งสองอย่างนั้น ว่ามันเป็นอย่างไร ไม่ได้สงสัยมัน ว่ามันไม่ใช่
หนทางอยู่อย่างนั้น ทางนี้ก็ไม่ใช่ ทางนั้นก็ไม่ใช่ เอาทางกลางนี้เป็นอารมณ์อยู่เสมอเลย
ทีเดียว
ถ้าหากว่าจิตมันพ้นจากทุกข์สุขเมื่อใด อันนี้เป็นหนทาง นี่เหมือนกันฉันใด ใจเราเข้าไป
ย่องรู้ซะแล้ว แต่ว่าไปไม่ได้ ถอนออกมาปฏิบัติ เมื่อสุขเกิดขึ้นมา เอาสุขมาพิจารณา
เมื่อทุกข์เกิดขึ้นมาเป็นต้นมันติด เอาทุกข์มาพิจารณา จนมันรู้เท่าความสุขเมื่อใด
จนมันรู้เท่าความทุกข์เมื่อใด นั่นเอง มันจึงจะวางสุขนี้ วางทุกข์นี้ วางดีใจนี้ วางเสียใจนี้
วางโลกทั้งหลายเหล่านี้ เป็นโลกวิทูได้ เมื่อมันวางได้ เมื่อตัวผู้รู้มันวางได้ มันก็ลงที่นั้นเลย นั่น ทำไมมันถึงลงที่นั่น เพราเดินเข้าไปมันรู้แล้วแต่เดินเข้าไปไม่ได้ น่ะ เมื่อจิตติดทุกข์ ติดสุข ท่านก็ไม่หลงมัน จะพยายามคุ้ยออก จะพยายามเขี่ยออกอยู่เสมอ อันนี้อยู่ในระดับพระโยคาวจร ผู้เดินหนทาง ....
=========================================
หลวงปู่ชา เทศน์อิสาน
เรื่อง โอวาทพิเศษ
“ความรู้แจ้ง” หรือ “ความเห็นแจ้ง” ในธรรม หมายถึงอย่างไร?
.
❝ สิ่งที่เรียกว่า "ความรู้" "ความเข้าใจ" และ "ความเห็นแจ้ง" ทั้ง ๓ อย่างนี้ ไม่ใช่เป็นของอย่างเดียวกัน
อย่างแรก อาศัยการได้ยินได้ฟังก็พอแล้ว อาศัยความจำได้เป็นส่วนใหญ่
ส่วนอย่างที่ ๒ ต้องอาศัยการทบทวนด้วยเหตุผล หรือการใช้เหตุผลขจัดปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นให้หมดเสียก่อน
ส่วนอย่างหลังนั้น หมายถึงความรู้สึกอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดมาจากการที่ได้ผ่านสิ่งเหล่านั้นมาแล้วจริงๆ มีความรู้แจ้งในสิ่งเหล่านี้ด้วยใจของตนเอง ซึ่งยิ่งไปกว่าลำพังความรู้ หรือเพียงแต่ความเข้าใจไปตามเหตุผล อย่างที่กล่าวแล้วนั้น.
เมื่อผู้ศึกษาได้ทราบถึงความตื้นลึกของการจำแนกธรรม ว่ามีอยู่เป็นชั้นๆ ดังนี้แล้ว ก็ควรพยายามอย่างยิ่งที่จะให้การศึกษาของตนดำเนินไปจนถึงขั้นสุดท้าย โดยการ"เพ่งพิจารณาอรรถะแห่งธรรมะ"นั้นๆให้ลึกเข้าไป จนเกินระดับแห่ง"ความรู้"และ"ความเข้าใจ" คือให้ถึงระดับแห่ง "ความเห็นแจ้ง" ให้จนได้.
ความสำเร็จประโยชน์อันแท้จริงของธรรมะนั้น ย่อมขึ้นอยู่ในขั้นที่มีการเห็นแจ้งเท่านั้น ส่วนที่เราจะได้รับๆกันอยู่นั้น เป็นเพียงความรู้ ความเข้าใจ เท่านั้น จึงสำเร็จประโยชน์แต่เพียงในแง่ของ"ปริยัติ" คือ ได้แต่ พูดๆ สอนๆ ฟังๆ ทุ่มเถียง วิพากษ์วิจารณ์ กันไปตามเรื่อง อย่างไม่มีที่สิ้นสุดเท่านั้น"
พุทธทาสภิกขุ
ธรรมบรรยายเรื่อง"ว่าด้วยการจำแนกธรรม สำหรับศึกษาและปฏิบัติ"
เมื่อ วันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๐๐
----------------------------------------
.
“นักปฏิบัติควรจะสังเกตให้ดีๆ ว่า “ความรู้” มีอยู่ต่างกันเป็น ๓ ชั้น(ระดับ) คือ...
.
๑. รู้ตามที่ได้ยินได้ฟัง (เรียกว่ารู้อย่าง..ปริยัติ)
.
๒. รู้อย่างเจนจัดด้วยใจ จากการปฏิบัติ
.
๓. ครั้นต่อมา เห็นผลเกิดขึ้นจากการที่ละกิเลสได้สำเร็จ จึงรู้จักความมีขึ้นแห่งกิเลสและความสิ้นไปแห่งกิเลสจากใจตนเองล้วนๆ (รู้อย่าง..ปฏิเวธ) เป็นความรู้แจ้งแทงตลอด “วิชชา” หรือ การรู้ “อริยสัจ”มุ่งหมายอย่างนี้”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : จากหนังสือ “วิธีปฏิบัติธรรมทางลัด” บทที่ ๖ หัวข้อ “วิธีลดอัตตา”