การพิจารณาร่างกาย ให้เห็นสภาวธรรมความเป็นจริง ได้หลายรูปแบบ
จะพิจารณาแบ่งตามขันธ์ทั้งห้า ที่มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
หรือ จะแบ่งตามอาการสามสิบสอง หรือจะแบ่งตามธาตุทั้งสี่ ก็ทำได้ทั้งนั้น
เพื่อจะคลายความยึดติด ลุ่มหลงในกาย ของตนและบุคคลผู้อื่น
พุทธธรรมสำหรับนักบวช ในเช้าของวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2561
ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้าเมื่อได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้า ต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น
จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไปดังนี้ว่า
ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเจ้าขา วันนี้ลูก จะขอเฝ้าฟังธรรม ถึงเรื่องของการพิจารณากายเป็นอารมณ์
หรือว่ามีสติตั้งมั่นอยู่กับกาย การดูกาย ดูกายในกายหนะเจ้าค่ะ เราจะมีการพิจารณาในเรื่องของกาย แบบไหนบ้างหละเจ้าค่ะ
เพื่อที่จะให้เรารู้แจ้ง รู้สิ่งที่อยู่ในกาย รู้อย่างแท้จริงในเรื่องของกาย หนะเจ้าค่ะ
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟัง ด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า ฯ
พระยาธรรมเอย ดีแล้วหละนะถ้าอย่างนั้น ก็จงตั้งใจฟังให้ดี นั่งหลับตาทำจิตทำใจให้เบาสบาย ปล่อยจิตปล่อยใจให้ว่างๆ
แล้วค่อยๆ พิจารณาตามนี้แหละลูก กายของเราที่เราถือครองอยู่ มันมีสิ่งที่รวบรวมกันมาเป็นกายนั้นหลายอย่าง
ถ้าเกิดจะพิจารณารวมกันไปทั้งหมด มันก็จะดูสับสนวุ่นวาย ฉะนั้นควรที่จะแบ่งออกมา เป็น 3 รูปแบบ ในการพิจารณา ดังนี้
ข้อที่1 หรือสิ่งที่ 1 ที่เราแบ่งออกมา ไว้สำหรับการพิจารณากาย คือการพิจารณาดูรูป ดูเวทนา ดูสัญญา ดูสังขาร ดูวิญญาณ
พิจารณาสิ่งที่เรียกว่า ขันธ์5 นั้น ก็สิ่งใดเล่า ที่รวมกันมาเป็นร่างกาย ก็ต้องมีรูปก่อน อย่างนั้นใช่ไหมลูก
เมื่อมีรูปก็เลยมีเวทนาในรูป มีสัญญาในรูป มีสังขารในรูป มีวิญญาณในรูป ก็เลยรวมกันมาเป็นขันธ์5 ก่อน รวมกันมาเรียกว่ากาย อย่างงี้
เราสามารถที่จะพิจารณาธรรม โดยพิจารณาตามสิ่งที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น
เช่นเราจะตั้งจิตว่ารูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง เราจะพิจารณาอยู่อย่างนี้ วนกันไปมา
นึกถึงรูป นึกถึงเวทนา นึกถึงวิญญาณ นึกถึงสัญญา สังขาร 5 กองนี้ หยิบเอามาทบทวนพิจารณาไปมา
นั่นก็คือการพิจารณากายที่อยู่ในกายของเรา นั่นก็คือสิ่งที่เราพิจารณา สิ่งที่ซ่อนอยู่ในกายของเรา คือขันธ์ 5
ห้ากองที่แบ่งออกไปจากร่างกาย ห้ากองที่รวมกันไป ก็เป็นร่างกาย
อย่างงี้หละพระยาธรรม คือการแบ่ง การพิจารณา สิ่งที่ซ่อนอยู่ในร่างกายแบบที่ 1 ต่อไป
แบบที่ 2 เราก็ควรที่จะพิจารณาให้รู้สิ่งที่รวมกันอยู่ในร่างกายนี้ เช่นการพิจารณาอาการทั้งหมด คือ 32 อาการ
หรืออวัยวะ ทั้ง 32 ประการที่อยู่ในร่างกายของเรา พิจารณา ดูเนื้อ ดูหนัง ดูน้ำเลือด ดูน้ำเหลือง ดูกระดูก ดูสิ่งต่างๆ ทั้งหลาย
ที่ซ่อน ที่ซ้อน ที่มีอยู่ในร่างกายของเรา ซึ่งแบ่งออกมา เป็นอวัยวะน้อยใหญ่ ที่มีอยู่ในกายของเรา จะดูเส้นผม เส้นขน จะดูสิ่งใดก็ได้
ที่มันอยู่ในอาการ 32 หรือพิจารณาอาการ 32 ในร่างกาย
พิจารณาไปเรื่อย ๆ ให้จิตให้ใจของเรา เห็นความเป็นจริงของสิ่งที่รวบรวมกันไว้ แล้วเรียกว่ากาย
พระยาธรรมเอย ส่วนข้อที่ 3 หรือแบบที่ 3 ที่เราจะพิจารณาในเรื่องของกาย ก็คือการดูธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่มีอยู่ในกาย
เราสามารถที่จะพิจารณาดู ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ที่มันมีอยู่ในร่างกายของเรานี้
เราย่อมสามารถที่จะพิจารณาถึงธาตุทั้ง 4 แล้วมองให้เห็นด้วยจิตด้วยใจ มองให้ทะลุให้เห็นตามความเป็นจริง
ว่าสิ่งเหล่านี้หละที่รวมกันมาแล้วเป็นกายของเรา เป็นสิ่งที่เรียกว่ากาย เราสามารถในการพิจารณากายนี้
มีสิ่งที่จะหยิบยกขึ้นมาพิจารณาได้หลายรูปแบบ แต่เราแบ่งออกมาเป็น 3 รูปแบบดังที่กล่าวไปแล้วนั้น เพื่อง่ายต่อการพิจารณา
พระยาธรรมเอย นี่แหละลูก คือสิ่งที่เรียกว่าพิจารณากาย พิจารณากายในกาย ลูกเอ๋ย
สิ่งทั้งหลายทั้งปวง มันก็มีสภาพเหมือนกันทั้งนั้น เรามองเห็นปุ๊บ ก็จะเห็นเป็นรูปนั้น รูปนี้ เช่นบ้าน ต้นไม้ หรือว่ารถซักคันหนึ่ง
เรามองไปก็เห็นว่าเป็นรูป เป็นสิ่งนั้น แต่ลูกเอ๋ย สิ่งที่ซ้อนอยู่ในสิ่งที่เรามองเห็นว่าเป็นรูปนั้น มันมีอะไรบ้าง ที่ละเอียด ที่ลึกกว่า
การที่เรามองเห็นแค่ว่าเป็นรูปนั้น เราต้องพิจารณา ค้นหาให้เจอ เหตุที่รวบรวมกันมาเป็นรูปๆนั้น มันมีอะไรบ้าง
เราต้องค้นหา ให้เจอสิ่งที่มันประกอบกันมาเป็นรูปนั้น เราค่อย ๆ ถอดอะไหล่ชิ้นส่วนต่าง ๆ ของสิ่งๆ นั้น ให้มองให้เห็นตามความเป็นจริง
ให้เรารู้แจ้งว่า แท้ที่จริงแล้วเราอยู่ที่ไหน แท้ที่จริงแล้วมีเราหรือเปล่า แท้ที่จริงแล้ว กายนี้ก็มีสภาพเหมือนกันกับสิ่งของข้าวของ
ไม่แตกต่าง มันก็มีเพียงแค่สิ่งต่างๆ ทั้งหลายที่ประกอบกันมา แล้วเรียกว่ากายทั้งนั้น
ในความเป็นจริงแล้ว เขาก็มีสภาพเกิดขึ้นตามธรรมชาติ เป็นอยู่ตามเหตุ ตามธรรมชาติ แล้วก็ดับไปตามเหตุ ของธรรมชาตินั้น
เขาเกิดขึ้นมาตามรูปแบบของธรรมชาติ คือมี บิดามารดาเป็นผู้ให้กำเนิด ก็เหมือนกับต้นไผ่ซินะ
เมื่อถึงหน้าของมัน มันก็ต้องออกดอก ออกผล มันก็ต้องมีหน่อไม้อ่อนๆ เกิดขึ้นมา ไม่ต่างจากพืชทั่วไปก็เหมือนกัน
หรือว่าสัตว์เดรัจฉานก็เช่นเดียวกัน ธรรมชาติสร้างให้มันเกิดขึ้นมาเช่นนั้น มันก็เกิดขึ้นมาเช่นนั้นตามธรรมชาติเหล่านั้น
กายของเรานี้ ถูกธรรมชาติสร้างขึ้นมาโดยอาศัย บิดา มารดา เราก็เลยเกิดขึ้นมา อย่างนี้เอง จิตของเรา มาถือเอา ครองเอา
เพราะว่าเรามีเหตุให้ต้องมาถือ มาครองเอากายนี้ แต่แท้ที่จริงแล้ว เรายึดมั่นถือมั่นเป็นเราเป็นตัว เป็นตนของเราไม่ได้
เพราะกายนี้เขามีสภาพดังที่เราได้พิจารณาจนชัดเจน เราพิจารณาจนเห็นแจ้งในสิ่งต่างๆ ที่รวมกันมาเรียกว่ากาย กายนี้มีอวัยวะ 32 ประการ
รวมกันมาก็เลยมาเป็นร่างกาย มีธาตุ ดิน น้ำ ลมไฟ วนหล่อเลี้ยง เป็นรูป เป็นเวทนา เป็นสัญญา เป็นสังขาร เป็นวิญญาณ
ประกอบกันมาเป็นอีก 3 ชั้น ก็เลยกลายมาเป็นร่างกายอย่างนี้ อย่างสมบูรณ์
แท้ที่จริงแล้ว รูปนี้ก็ไม่เที่ยง ความรับรู้ สุขทุกข์ เจ็บปวดต่างๆ ในกายนี้ มันก็ไม่เที่ยง
สัญญาคือความจำมั่นหมาย จำสิ่งนั้น สิ่งนี้ มันก็ไม่เที่ยง
สังขารคือการปรุงแต่งของสมอง ความคิดต่าง ๆ มันก็ไม่เที่ยง
วิญญาณคือการรับรู้กระทบ ทางหู ทางตา ทางผิวหนัง กระทบต่างๆ มันก็ไม่เที่ยง ไม่ว่าจะเป็นธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ในกายนี้ มันก็ไม่เที่ยง
หรือจะเป็นอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย หรือว่าเป็นอาการ 32 ที่ ซ่อนอยู่ในร่างกาย มันก็ไม่มีอะไรเที่ยงแท้
มันก็แค่เกิดขึ้นแล้วตามเหตุ อยู่ตามเหตุ และดับไปตามเหตุ
มันไม่ใช่ตัว ใช่ตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา
ทำแบบนี้หละพระยาธรรม คือการพิจารณากายในกาย คือการมีสติระลึกรู้อยู่กับกาย อย่างชัดเจนเห็นแจ้งในกาย คืออย่างงี้หละพระยาธรรม
คือสิ่งที่เราควรกำหนด ให้มีสติอยู่กับกายของเราเสมอ กายนี้ไม่เที่ยง กายนี้เกิดขึ้นตั้งอยู่ และดับไป
กายนี้ประกอบไปด้วยธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ประกอบไปด้วยขันธ์5 ประกอบไปด้วยอาการ 32 สามสิ่งนี้รวมกันมาเรียกว่ากาย
แท้ที่จริงแล้วเราไม่มี แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่เรา พิจารณาอยู่อย่างนี้ พระยาธรรมเอย
การพิจารณากายนี้ เราสามารถที่จะหยิบเอาความเป็นกายนี้ สิ่งที่รวบรวมกันมาแล้วเรียกว่ากาย ทั้งหลายเหล่านั้น
หยิบยกขึ้นมาพิจารณาได้ทั้งหมด โดยที่ไม่จำเป็นที่จะต้องมีผิดหรือมีถูก ไม่จำเป็นที่จะต้องระบุว่า จะต้องเป็นเส้นผมเท่านั้น
จะต้องเป็นเนื้อหนังเท่านั้น จะต้องเป็นอาการ 32 เท่านั้น เราย่อมสามารถพิจารณาได้ ในทุกสิ่งที่รวมกันมาแล้วเป็นร่างกาย
อะไรบ้างเล่าที่รวมกันมาแล้วเป็นกาย มันก็จะต้องมีถึง 3 ชั้น ดังที่ได้กล่าวไป มันมีทั้ง รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ คือขันธ์ 5
มีทั้งอาการ 32 ที่ซ่อนอยู่ในร่างกาย อวัยวะน้อยใหญ่ต่างๆ ที่รวมกันมาเป็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ในรูปอื่น ๆ หรือที่รวมกันมาแล้วเรียกว่ารูป
มีสิ่งที่ดูแลเป็นตัวทำงาน เป็นตัวเชื่อมต่อให้รูป ให้อาการ 32 นั้น ทำงานได้อยู่ ก็คือธาตุแห่งดิน น้ำ ลม ไฟ
ฉะนั้น มันเลยมีความเกี่ยวข้องกับกายทั้งนั้น เมื่อเราปรารถนาที่จะเห็นให้ชัดเจนในกาย
เราจึงควรที่จะพิจารณา 3 ประการ ดังที่ได้กล่าวไปนั้น
เราจะเลือกที่จะหยิบยกสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นมาพิจารณา ตามความถนัดแห่งเราก็ได้ หรือเราจะพิจารณาให้เห็นทั้ง 3 แบบ 3 สิ่งอย่างชัดเจน
แล้วเอามารวมกัน ถอดถอนความยึดมั่นถือมั่นในกาย อย่างนั้นก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเรา จะสะดวกที่จะปฏิบัติแบบไหน
แต่ที่สำคัญก็คือ ควรที่จะปฏิบัติ ให้ตนนั้นรู้แจ้ง เห็นจริง มีสติอยู่กับสิ่งเหล่านี้อยู่เสมอ
ควรที่จะปฏิบัติให้จิตของเรา รู้ตื่นกับสิ่งเหล่านี้เสมอ อย่างนี้หละพระยาธรรมเอย ลูกนั้นพอจะเข้าใจบ้างแล้วหรือเปล่า
สาธุเจ้าข้า กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาพระพุทธเจ้าข้า ลูกก็พอจะเข้าใจบ้างแล้วหละเจ้าข้า
ว่าการพิจารณากายนั้น มันสามารถพิจารณา 3 รูปแบบ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะพิจารณาแบบไหน หรือจะพิจารณาทั้ง 3 แบบ
แล้วที่เราต้องพิจารณาถึง 3 แบบนี้ ก็เพราะว่า 3 สิ่งนี้คือหมวดใหญ่ๆ แต่ละหมวดที่อยู่ในร่างกายเรา
ซี่งรวมกันมาเป็นกายหรือว่าเป็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ในกายของเรา ที่เราควรที่จะทำความรู้จัก รู้แจ้งกับมัน เพื่อถอดถอนความเป็นกาย หน่ะเจ้าค่ะ
แต่วันนี้ลูกก็ยังไม่ค่อยจะรู้วิธีของการพิจารณา เดี๋ยววันนี้ลูกคงต้องขอลาก่อน ไว้โอกาสหน้าลูกจะมาเฝ้าขอฟังธรรม
ถึงวิธีในการพิจารณาอย่างละเอียด ในแต่ละหัวข้อ แต่ละรูปแบบ อีกทีหนึ่งนะเจ้าค่ะ สาธุ