พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 3 ตุลาคม 2560
ตอนที่ 191 **อานาปานสติ แบบที่ ๓**
+ +
ในเช้าของวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2560 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า ได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านเพื่อเฝ้าฟังธรรม เมื่อข้าพระพุทธเจ้าได้กราบนอบน้อมพระพุทธองค์ท่านแล้ว จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเข้าเฝ้าทูลถาม ถึงกรรมฐานกองที่ 29 แบบที่ 3* การดูลมหายใจเข้า-ออก เป็นอารมณ์ในแบบที่ 3* น่ะเจ้าค่ะ เราจะทำแบบไหน ยังไงหรือเจ้าคะ ?
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงแสดงธรรมนี้ ด้วยเถิดเจ้าค่ะ ”
- - - -
พระยาธรรมเอ๋ย.. ถ้าอย่างนั้น ก็ลองนั่งสมาธิอยู่ตรงนี้ ให้นิ่งๆก่อน
ไหนลองนั่งให้ดูซิ นั่งแบบไหน ยังไง - ที่ทำให้ลูกนั้นรู้สึกสบายตัว
หลับตาลง นะลูกนะ
เมื่อนั่งขัดสมาธิแล้ว ให้วางมือทั้ง 2 ข้าง แบไว้ที่หัวเข่า
หลับตาลง
หายใจเข้าลึกๆ หายใจออก
หายใจเข้าลึกๆ หายใจออก
ผ่อนคลาย.. คลายความหนัก ความเหนื่อย
คลายความเจ็บความปวด - ที่มันอยู่ในร่างกายทิ้งไปเสีย ลูก
หายใจเข้า หายใจออก
หายใจเข้า หายใจออก
.. ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไป.. ให้มันว่าง ให้มันโล่ง
หายใจเข้า หายใจออก
หายใจเข้า หายใจออก
.. จนเรารู้สึกถึง ความโล่ง ว่าง.. ที่มันเกิดขึ้น
แล้วเราค่อยๆผ่อนลมหายใจ.. จากที่เราหายใจแรง หายใจยาว
ค่อยๆผ่อนไป .. ตามอารมณ์ของมัน ลูก
บางคน อาจจะหายใจเสียงดัง
บางคน อาจจะหายใจเบา
หายใจยาว - หายใจสั้น
.. เราปล่อยมัน นะลูกนะ
เริ่มแรก เราอาจจะจำกัดให้มันหายใจลึก - ผ่อนออกมายาว แบบนั้น..
แต่พอเราทำจนตัวของเรานั้น เบาสบายแล้ว.. เราก็ค่อยๆผ่อน ค่อยปล่อยให้มันเป็นไปตามเหตุของมันนะลูก
ดูลมเบาๆ.. ที่เราหายใจออก
แล้วก็ดูลม ที่เราสูดหายใจเข้า.. เข้าไปสู่ในตัวของเรา
ทีนี้ เมื่อเราหายใจออก.. เราก็ดูลมที่เราหายใจออกมา แผ่วเบา ที่มันออกมา
เมื่อเราหายใจเข้า.. เราก็น้อมดูพลังของลม ที่เป็นอากาศ - ที่เป็นลมที่บริสุทธิ์ อยู่ภายนอก
เข้าสู่ศูนย์กลางกายของเรา
เราก็น้อม หายใจเข้า..
- ด้วยพลังลม ที่เย็นจากภายนอก
- ด้วยอากาศที่บริสุทธิ์ และสดชื่น
... หายใจเข้าไป
พอเราปล่อยลมหายใจออกมา เราก็สังเกตว่า.. ลมหายใจของเราที่ออกมานั้น.. ก็เริ่มเบาสบาย
ไม่ร้อน ไม่อึดอัด เหมือนตั้งแต่ทีแรก..
- เพราะข้างในกายของเรา.. ก็เริ่มมีลมอันบริสุทธิ์ เข้าไปสงบอยู่
กายที่อึดอัด ที่แน่น เริ่ม..เบาตัวลงๆ
ค่อยๆคลาย จากแขนขาที่มันตึงอยู่.. ค่อยๆคลาย ผ่อนเบาลงๆ - ไม่ตึง
เราก็ยังคงดูลมหายใจ ต่อไปเรื่อยๆ
หายใจเข้า - น้อมพลังที่เย็น เข้าไปสู่กาย
หายใจออกมา - ดูลมที่มันออกมา จากกายของเรา
ดูมันไป.. ให้มันเห็นความละเอียดอ่อนในมัน
หายใจเข้า หายใจออก
พอเราหายใจเข้า ดูจนกว่าเรานั้น.. จะเห็นคลื่นพลังระยิบระยับ เล็กๆ
ที่มาจากแสงของลม
มาจากพลังของลม คือความละเอียดของลม -ของอากาศ.. ที่เราสูดเข้าไป
น้อมลมหายใจเข้าไป - เห็นแสงระยิบระยับเล็กน้อย
รู้สึกถึงความว่าง ความโล่ง ความเบา ความสบาย
รู้สึกถึง คลื่นลมที่เราสูดลมหายใจขึ้นจมูก - ลงคอ
- วิ่งผ่านไปที่ท้องของเรา ..
เราสัมผัสถึงอากาศที่เย็นภายนอก ลมที่สว่างไสว.. ระยิบระยับ
แล้วเรา ก็เข้าไปสัมผัสถึงคลื่นของลม ที่วิ่งขึ้นสู่จมูก และลงไปที่คอ.. ลงสู่ท้อง
เราก็สัมผัสถึงคลื่นลม ที่ขาว คล้ายกับก้อนเมฆ
ที่เป็นอากาศ /
ที่เป็นพลังงานทางทิพย์ /
ที่อยู่ในท้องของเรา /
เราก็น้อมพลัง น้อมลมที่เย็น
เส้นพลังงานจากลมนั้น - ขาวขึ้นจมูก ลงสู่ท้อง
คลื่นพลังงานในท้องก็สว่าง.. เต็มไปด้วยลม / เต็มไปด้วยอากาศที่บริสุทธิ์
คลายลมหายใจออกมา..
ลมที่อยู่ในท้องของเรา ที่คลายออกมา.. ก็เป็นคลื่นพลังงานสีขาว
มีแสงระยิบระยับเล็กน้อย.. ซึ่งคือความละเอียดอ่อนของลม นะลูกนะ
ถ้าเกิดว่า จิตของเรา สามารถที่จะรวมพลังของจิต - จนเข้าไปสู่อารมณ์ของฌานได้
เราก็จะเห็น ความละเอียดของลม เช่นนี้ละลูก
เห็นความละเอียดของลม ที่มันเกิดขึ้น…
หายใจเข้า .. แสงพลังระยิบระยับ พร้อมด้วยลมที่เย็นเข้าไปสู่ศูนย์กลางกาย
หายใจออกมา.. เห็นควันสีขาว สว่างไสว ระยิบระยับ.. คลุมขึ้นมาที่ใบหน้าของเรา
หายใจเข้า.. เห็นคลื่นพลังงานอากาศ / เห็นคลื่นพลังงานของลม.. ลงมาคลุมที่รอบๆตัวของเรา
เราก็สูดอากาศอันบริสุทธิ์นั้น เข้าไปในกายของเรา
เราก็หายใจออก เห็นแสงสว่าง- ที่เกิดจากพลังงานแห่งลม
หายใจเข้า.. เห็นแสงระยิบระยับ ที่คลุมลงมาที่ตัวของเรา
ทำอยู่อย่างนี้ ฝึกฝนอยู่อย่างนี้ ไปเรื่อยๆ..
ดูลมหายใจเข้า - ดูลมหายใจออก
ลมหายใจเข้า.. ก็มีแสงสว่างระยิบระยับ
มีพลังที่เย็น- คลุมลงมาที่กาย
สัมผัสที่ผิวหนังของเรา สูดเข้าไปในลมหายใจของเรา
ลมที่เย็น ที่เบา ที่สบาย - เข้าไปอยู่ในตัวของเรา จนเรานั้นเกิดสภาวธรรม
ของกายที่สว่าง ระยิบระยับ
ตัวที่เบาลอย.. คล้ายกับว่า เรานั้นอยู่ท่ามกลางอากาศที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง
ที่ไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเลย - ที่หนักที่เหนื่อย ที่เจ็บที่ปวด
เราสามารถรวมพลังของจิต เข้าไปสู่ความละเอียดอ่อนของลม
และสามารถที่จะรวมพลังของลม ความละเอียดอ่อนเหล่านั้น.. เข้ามาสู่ในกายของเรา..
จนกายหยาบ และคลื่นพลังงานแห่งลมนั้น.. รวมตัวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน *
คล้ายกับว่า.. เราก็คือ อากาศ เราก็คือ ลม
ลม และอากาศภายนอก ก็คือ เรา
.. ว่าง โล่ง เบา..
เหลือแต่เพียงความรู้สึก- ที่
รู้สึกสุข
รู้สึกปิติยินดี
รู้สึกว่า ที่ตรงนั้น.. สบายมาก
รู้สึกได้ว่า ที่ตรงนั้น..บริสุทธิ์เหลือเกิน ที่ตรงนั้น.. ช่างเย็น และสงบ
รู้สึกดี
รู้สึกเป็นสุข
รู้สึกว่า เรามีความปรารถนาที่จะอยู่ในที่ตรงนั้น- ไม่ไปไหนอีก..
เป็นเช่นนี้ละลูก.. ทรงพลังเอาไว้เช่นนี้..
อยู่กับความว่าง โล่ง
อยู่กับสายลม
อยู่กับสิ่งที่มัน ไม่มี
อยู่กับความว่างเปล่า
...ทรงอารมณ์ไว้ เช่นนี้แหละลูก..
ปราศจากความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ
ปราศจากความยึดติดใดๆ ทั้งหมดทั้งสิ้น
จิตของเราบริสุทธิ์ ปราศจากอัตตา และตัวตน
เหลือเพียงความรู้สึก อยู่กับลมกับฟ้า
อยู่ในที่ที่
- ไม่ต้องมีภาระหน้าที่
- ไม่ต้องมีตัวเรา มีของเรา
- ไม่ต้องมีปัญหาอะไร เกี่ยวข้องกับเรา
... ทรงอารมณ์ฌานไว้ เช่นนี้แหละลูก
ทำเช่นนี้ ก็ถือว่า.. เป็นการดูลมหายใจเข้าออก - เพื่อเข้าสู่ฌาน
เราอาจจะเริ่มตั้งแต่ กำหนดลมหายใจเข้าออก ยาว- สั้น ตามที่เราสะดวก
แล้วค่อยๆปล่อยให้มันผ่อน มันคลายไป
ค่อยจับลมภายนอก.. สู่ภายใน
จับความละเอียดของลมภายใน.. สู่ภายนอก
-- แล้วก็จับความละเอียดของลมภายนอก รวมกับกายในของเรา - ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียว --
คลื่นพลังแห่งลม ความละเอียดอ่อนของลม จะช่วยสลายตัวตน - กายหยาบของเรา
...ให้รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียว
เมื่อรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวแล้ว เราก็จะพบกับความสงบ
.. ที่ที่ไม่มีอะไร อีกต่อไป…
หากเราฝึกฝนทำเช่นนี้บ่อยๆ.. เราก็ย่อมได้เข้าถึง - สัมผัสอารมณ์แห่งนิพพาน
อารมณ์ของนิพพาน ก็คือ ปราศจากรัก โลภ โกรธ หลง
จิตนั้นเป็นสุข อิสระ
จิตนั้น ว่างเว้นจากภาระหน้าที่ หรือว่ากติกาใดๆทั้งหมดทั้งสิ้น
โล่ง ว่าง บริสุทธิ์ เป็นสุข.. เช่นนี้แหละลูก
เมื่ออารมณ์ของลูกนั้น เข้าไปสู่อารมณ์ฌานที่บริสุทธิ์ เช่นนี้อยู่บ่อยๆ
จิตของลูกก็จะรวมพลังงานอันดีนี้ - สั่งสมเอาไว้ในกาย /ในจิตในใจของลูก
และยิ่งสั่งสมมาก ลูกก็จะยิ่งรู้ยิ่งเห็น เข้าใจตามความเป็นจริงได้มาก !
เช่นนั้น อย่างนั้นละ.. พระยาธรรมเอย
ลองพากันฝึกฝนดู นะลูก.. อย่ายึดในตัวในตน
ปล่อยให้มันจริงมันจัง ลูก
ปล่อยให้จิตใจของเรา ไปกับลม.. ปล่อยให้ลมพาเราไป
อย่ายึดถือ อย่ากลัวสิ่งใด ลูก
ทำเช่นนี้เถิด.. พระยาธรรมเอย
และลูกจะเห็นตามความเป็นจริงว่า.. แท้ที่จริงแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มี
โลกแห่งความจริง คือ ไม่มี
โลกที่มันมีอยู่ คือ ไม่จริง
ไม่จริง.. เพราะว่า มันเกิดขึ้น- ตั้งอยู่- แล้วก็ดับไป
... เป็นธรรมดาของมัน อยู่อย่างนั้น ++
ฉะนั้น.. เราจะเข้าไปอยู่ในความเป็นจริง คือ ไม่มี
เหมือนของสิ่งหนึ่ง.. ที่มันไม่มีเมื่อก่อน -
พอ ณ วันหนึ่ง สร้างมันขึ้นมา.. มันก็มีขึ้นมา..
และแล้ววันหนึ่ง ของสิ่งนั้นเสื่อมสลาย หายไปจากเรา
ของสิ่งนั้น - ก็ไม่มี
ฉะนั้น มันแปลได้ว่า.. ของทุกสิ่งทุกอย่าง รวมถึงตัวเราด้วย..
-- ก็แค่สมมุติขึ้นมาว่า “มี” และก็จะดับไป - ตามการสมมุติของมัน *
เราเอาจิตเอาใจของเรา.. ไปอยู่ในที่ที่ไม่มี
/ ไปอยู่กับโลกแห่งความเป็นจริง คือ ความว่างเปล่า.. คงจะดีกว่า
จะได้..
ไม่ต้องหลง
ไม่ต้องยึดติด
ไม่ต้องโลภ ต้องโกรธ ต้องรัก
ไม่ต้องอยาก และไม่อยาก
ไม่ต้องเบียดเบียนใคร
ไม่ต้องให้ใครมาเบียดเบียน
-- จะได้ไม่ต้องเกิด แก่ เจ็บ และตาย อีกต่อไป
... เพราะสิ่งทั้งหลายที่กล่าวมาเหล่านี้ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งสมมุติ --
ยาวนานเหลือเกิน ที่จิตของเราเข้ามาอยู่ในโลกสมมุติใบนี้.. แล้วก็เวียนวน
ลุ่มหลง อยู่กับสิ่งสมมุติเหล่านี้ ..ไม่จบไม่สิ้น
บัดนี้ เราโชคดียิ่งนักแล้ว ที่เกิดมาเป็นดวงจิตที่รู้จักองค์พระพุทธเจ้า
โชคดียิ่งนักแล้ว ที่เกิดมา ในยุคที่ยังมีธรรมคำสอนอยู่
แล้วก็โชคดียิ่งนัก ที่ฟังธรรมเข้าใจ
โชคดียิ่งนัก ที่สามารถประพฤติ ปฏิบัติตามได้
โอกาสที่ดีเช่นนี้.. ไม่มีอีกแล้ว
รีบขวนขวายสั่งสมสิ่งที่ดี ให้กับดีให้กับดวงจิตของตน
โดยการฝึกฝนสมาธิ เช่นนี้.. บ่อยๆเถิด
-- จะได้ไม่เสียโอกาส จะไม่พลัดพรากไปจากโอกาสที่ดี สุดแสนจะดี ..
เราจะได้หลุดพ้นเสียที !
เราจะได้ ไม่ต้องเวียนวน เวียนว่ายตายเกิดเช่นนี้.. อีกต่อไป..
ทำเช่นนี้ละ พระยาธรรม..
-- ก็สามารถที่จะเข้าสู่ *ทางแห่งความพ้นทุกข์* ได้แล้วลูก --
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้เข้าใจ
นำไปปฏิบัติตาม
ลูกจะตั้งใจฝึกฝน ตามคำสอนสั่งขององค์พระพุทธเจ้า.. พระพุทธเจ้าค่ะ
สาธุ