ความคิดปรุงแต่ง กับ ความรู้สึกตัว
จะเป็นคู่ปรับกันแบบนี้นะ
ปกติแล้วการที่..
เรายังไม่ได้ฝึกสติปัฏฐานเนี่ย
จิตมันก็จะหลงอยู่กับอารมณ์ต่างๆ
แต่เมื่อใดที่เรามีสติ
มีความรู้สึกตัวขึ้นมา
ก็จะหลุดออกจากอารมณ์ต่างๆ ตรงนี้นะ
เพราะฉะนั้นคำว่า
การปล่อยวาง
การปล่อยวางอารมณ์ต่างๆ
ไม่ได้ง่ายเหมือนการวางของนะ
อย่างเวลาเราคิดไม่ดีเนี่ย
อ่ะ!ไม่เอา..ปล่อยวาง
..ทำได้ไหม?
หยุดความคิดตัวเองไม่ได้นะ
บางทียิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ
การปล่อยวาง
เกิดจากการที่เรามีสติ
มีความรู้สึกตัวขึ้นมา
เพราะในขณะที่มีสติ
มีความรู้สึกตัว
จะหลุดออกจากอารมณ์ต่างๆ
เพราะฉะนั้น
การปล่อยวาง
การปล่อยวางอารมณ์ต่างๆ
เกิดจากการที่เราฝึกกำลังของสติสัมปชัญญะ
เมื่อเราอยู่กับความรู้สึกตัวได้ดี
ความคิด..จะลดกำลังลงไปเอง
เมื่อความรู้สึกตัวมีกำลังขึ้น
ใจก็จะนิ่งตั้งมั่นขึ้นมาได้เองโดยธรรมชาติเลย
เพราะฉะนั้น
สิ่งนี้ เป็นประโยชน์เกื้อกูล
กับชีวิตของพวกเราทุกคนนะ
การฝึกสติ
การอยู่กับความรู้สึกตัวให้เป็น
จะทำให้เราคลายจากความทุกข์ทรมานต่างๆ
แล้วใจเราก็จะนิ่งขึ้นสงบขึ้น
พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
การปฏิบัติเพื่อให้เราเข้าถึงสภาวะได้ง่ายเราจะไม่ใช้ความจำใดๆเลย เราจะไม่ใช้ความคิดใดๆทั้งสิ้น แต่จะเอาตัวรู้รู้ซื่อๆไป #แตะไว้ที่กายเบาๆ แตะเบาๆขณะที่ธาตุ 4 กำลังทำงานก็คือ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง...
สติที่เราเคยใช้เราต้องปรับ #สติที่มากเกินไปมันไม่ใช่ธรรมชาติ เพราะบางครั้งที่เราเอาสติไปกำหนด ปัญหาก็คือสติมันไปกดทับธาตุรู้ไว้ด้วย นั้นก็ทำให้เราไม่สามารถจะรับรู้อะไรได้เพราะเอาสติไปกดทับรู้ไว้...
เพราะฉะนั้นการปฏิบัติที่ถูกต้องเราต้องใช้สติเบาๆ เมื่อมีสติเบาๆรู้ก็สามารถเล็ดลอดออกจากสติได้แล้วสตินั้นก็อยู่ใต้รู้ รู้ก็จะอยู่เหนือสติ...
เมื่อรู้อยู่เหนือสติแล้วรู้ก็จะเป็นธรรมชาติมากขึ้น แล้ววิธีที่จะทำให้มีสติเบาๆก็คือต้อง “#ปฏิบัติแบบไม่ต้องปฏิบัติ” แค่รู้เบาๆมีฐานอยู่ที่กลางอกของเรา เบื้องต้องเอารู้แตะที่กลางอกเบาๆ...
การแตะตัวนี้ถือว่าเป็นเหตุปัจจัยสำคัญถ้าเราแตะเป็นมันไปต่อได้ เราจะแตะแบบไม่ใช้ความคิดแตะแบบไม่ใช้ความจำไม่ใช้การกระทำใดๆเลยแค่เราเอารู้ไปฝากไว้ที่กลางอก...
แล้วกลางอกของเราหน่ะมันมีฐานของการเรียนรู้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ สังเกตมั้ยเวลาเป็นทุกข์กลางอกมันจะร้อน...
เพราะฉะนั้นการที่เราเอารู้ไปแตะไว้ตรงนี้มันได้ทั้ง 2 ทางก็คือได้ทั้งสมถะได้ทั้งวิปัสสนาคู่กันไป บางคนคิดว่าต้องทำสมถะให้ได้ก่อนแล้วค่อยยกขึ้นวิปัสสนา จริงๆเราสามารถทำทีเดียวทั้ง #สมถะ #วิปัสสนา...
เพราะการที่เราแตะเบาๆโดยที่เราไม่ต้องคิดต้องจำธาตุรู้ก็จะเข้าสู่ภวังค์คือความสงบ เพราะความสงบมันมีความเป็นกลางๆอยู่ก็คืออยู่ในภวังค์...
ภวังค์ก็คือคนที่อยู่ระหว่างครึ่งหลับครึ่งตื่นอาการนั้นเรียกว่าความสงบ เพราะฉะนั้นคนที่เข้าสมาธิลึกๆ ลมหายใจจะหาย กายหาย แต่เขารู้อยู่แล้วว่าอยู่ในภวังค์อยู่ในภวังค์ภายในไม่รับรู้ข้างนอกนั้นก็คือความสงบ และอารมณ์ของความสงบมันสามารถพลิกเป็นวิปัสสนาได้...
"พระอาจารย์ชานนท์ ชยนนฺโท"
" สตินี่ ! ทำให้ มัน มีกำลังดีแล้ว
จิต มันจึงจะล่วง เพราะสติคุ้มครองจิต
ตัวสติ...ก็คือ จิตนั่นแหละ แต่ว่าลุ่มลึกกว่า
สตินั่น อบรมจิต ครั้นอบรมจนขั้นจิต
รู้เท่าตามความเป็นจริงแล้ว
มัน จึงหายความหลง พบความสว่าง
ความหลงนั้น ก็คือ...ไม่มี สติ...
ครั้นมีสติคุ้มครอง หัดไปจนแน่วแน่แล้ว
ให้มันแม่นยำ ให้มันสำเหนียกแล้ว
มันจะรู้แจ้งทุกสิ่ง ทุกอย่าง
สติแก่กล้า...จิต ย่อมทนไม่ได้ เมื่อทนไม่ได้ ก็สงบลง
ครั้นสงบลงแล้ว มัน ก็รู้ เดี๋ยวนี้...
มัน ไม่มีปัญญา มันก็ส่ายไปมา เพราะ...มันไปหลงทาง
จิต ไปหลายทาง เพราะ เป็นอาการของมัน
เมื่อผู้วางภาระ คือ ว่าง...
ไม่ยึดถือว่าขันธ์ ๕ นี้ เป็นตัว เป็นตนแล้ว
ไม่ยึดถือแล้ว ปลงเป็นผู้วางภาระ ก็มีความสุข
จะยืน เดิน นั่ง นอน ก็มีความสุข ไม่ยึดถือ
เพราะรู้...ตามความเป็นจริง ของมันแล้ว."
(หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล)
เมื่อผู้ใดมาภาวนา ทวนกระแสจิตเข้ามาภายใน มากำหนดรู้กายรู้จิตนี้อยู่ ก็ย่อมรู้จักทุกข์ เพราะร่างกายนี้มันแปรปรวนอยู่เรื่อยไป ไม่คงที่ แล้วจิตก็อาศัยอยู่ในร่างกายอันนี้ เมื่อร่างกายอันนี้มันแปรปรวนไป มันกระทบกระทั่งกับจิต จิตก็มีความรู้สึกเปลี่ยนแปลง ไม่ปกติ วุ่นวาย ถ้าจิตของท่านผู้รู้ทั้งหลายแล้ว ท่านไม่หวั่นไหว เพราะท่านรู้ว่ากายนี้ไม่ใช่ตัวตนของเรา เมื่อมันแปรปรวนไปก็เป็นเรื่องของมัน เราก็บังคับมันไม่ได้ หน้าที่ของจิตก็มีแต่กำหนดรู้เท่าตามความเป็นจริงอยู่เท่านั้นเอง เราจะไปบังคับให้มันเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ ไม่ได้เลย
หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
สัญญากับสติต่างกันอย่างยิ่ง
สัญญาความจำต้องประกอบด้วยสติ
สัญญา คือ ความจำ เป็นอนัตตา คือไม่เป็นไปตามความปรารถนาต้องการ
ปรารถนาให้จำไว้ก็ไม่จำ
ปรารถนาให้ลืมก็ไม่ลืม
ปรารถนาไม่ให้จำก็จำ
ปรารถนาไม่ให้ลืมก็ลืม
และความจำที่เป็นสัญญา ก็เป็นความจำที่ตรงไปตรงมาทั้งชิ้นทั้งเรื่อง ดังนั้น สัญญาจึงต้องประกอบพร้อมด้วยสติ เพราะสติเป็นความระลึกได้ที่ประกอบด้วยเหตุและผล สติไม่ได้เป็นความจำแบบสัญญา
“สัญญา” กับ “สติ” ต่างกันอย่างยิ่ง
ความจำคือสัญญานั้น แม้จะตั้งใจรักษาไว้ก็อาจรักษาไว้ไม่ได้ ต้องลืม แต่สติความระลึกได้นั้น เมื่อสติตั้งไว้ รู้เรื่องพร้อมกับรู้เหตุรู้ผล เมื่อมีสติระลึกได้ ก็จะระลึกได้พร้อมทั้งเหตุทั้งผลทั้งปวง
สัญญาความจำกับสติความระลึกได้มีความแตกต่างกันที่สำคัญอย่างยิ่ง ในเรื่องเดียวกัน สัญญาอาจเป็นคุณ แต่ก็อาจเป็นโทษ ส่วนสติเป็นแต่คุณไม่เป็นโทษ ความพยายามมีสติระลึกรู้ จึงเป็นความถูกต้อง และเป็นไปได้อย่างยิ่งกว่าพยายามจดจำด้วยสัญญา
ความจำอันเป็นสัญญานั้นมีผิด เพราะมีลืมและมีโทษเพราะไม่ประกอบพร้อมด้วยเหตุผลความรู้ถูกรู้ผิด โทษของสัญญาคือความไม่สงบแห่งจิต แตกต่างกับความไม่ลืมมีสติระลึกได้ ซึ่งประกอบด้วยพร้อมด้วยเหตุผล ความรู้ถูกรู้ผิดอันเป็นปัญญา
และปัญญานั้นไม่มีโทษ มีแต่คุณ มีแต่นำไปสู่ความสงบแห่งทุกข์ ความสงบแห่งจิต และจิตยิ่งสงบเพียงใด ยิ่งตั้งมั่นเพียงใด ปัญญายิ่งสว่างรุ่งโรจน์มีพลังเพียงนั้น
.
: ตนอันเป็นที่รักยิ่งของตน
: สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก