การเจริญกรรมฐานให้เข้าถึง"หัวใจ"ของวิปัสสนาญานจะทำได้อย่างไร
อันดับแรกโยมต้องมีศีลเสียก่อน อันว่าจะมีศีลได้..โยมต้องสำรวมกาย วาจา ใจให้ตั้งมั่น
เมื่อใจตั้งมั่นสงบแล้ว..สมาธิก็บังเกิดเองโดยธรรมชาติ เมื่อสมาธิบังเกิดนั่นแลโยมก็เจริญภาวนาควบคู่กันไป ไม่นานจิตก็จะตั้งมั่น
เมื่อจิตมันตั้งมั่นนั่นแลสมาธิมันก็บังเกิด..ฌานมันก็บังเกิด ปัญญามันก็บังเกิด เมื่อจิตที่เราสงบนั่นแล
จิตเมื่อสงบแล้วให้กำหนดรู้ภายในกาย ในทุกข์ ในเวทนา ในขันธ์ ๕
อันว่าขันธ์ ๕ มันคืออะไร ขันธ์ ๕ ก็คือกองทุกข์
อันใดเล่าที่ว่าที่ทำให้เกิดทุกข์ ก็คือที่เรามีกายสังขาร คือรูปนี้ที่เราไปพอใจยึดติด แต่มนุษย์ที่ยังข้ามสมมุติบัญญัติไม่ได้..นั่นก็คืออารมณ์
อารมณ์นั้นจะเกิดขึ้นได้อย่างไร อารมณ์มันเกิดจากความคิด แล้วความคิดมันเกิดมาจากไหน ความคิดมันเกิดมาจากสัญญา
สัญญามันเกิดมาจากไหน สัญญามันเกิดมาจากขันธ์ ๕ คือมีรูปที่เราจดจำ มีความพอใจยึดมั่นถือมั่นตัวกูของกู
นี่เรียกว่าเมื่อเราคิด..อุปาทานขันธ์ก็บังเกิด อันว่าอุปาทานขันธ์ที่มันเกิดก็คือที่เราไปยึด ไปพอใจ ไปปรุงแต่ง จึงเรียกเกิดความคิด
เมื่อความคิดเกิดขึ้นจะดีหรือไม่ดี จะสุขหรือทุกข์ก็ตาม ไม่นานมันก็จะแปรสภาวะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลานั่นเรียกว่าความทุกข์..
คือความไม่เที่ยง อะไรคือความไม่เที่ยงนั่นแล..เรียกว่าความทุกข์ อะไรที่เรียกว่าความทุกข์..นั่นเรียกว่าอนิจจัง
อันว่าอนิจจังคือความไม่เที่ยงแท้แห่งกายสังขารนี้ คือมันเสื่อมอยู่ตลอดเวลา
ไม่ว่าอารมณ์จะเกิดขึ้นดีหรือไม่ดีก็ตาม ไม่นานมันก็จะแปรเปลี่ยน..จากสุขก็เป็นทุกข์ เมื่อเป็นทุกข์อีก เมื่อเราพ้นทุกข์ได้อีก..สุขมันก็มา
แล้วว่าอันว่าสุขและทุกข์นี้มันก็คือตัวเดียวกัน ทำไมถึงเรียกว่าตัวเดียวกัน มันคืออารมณ์เดียวกันแต่ต่างสถานะ
เมื่อตอนแรกเราพอใจเป็นสุขมั้ยจ๊ะ..เป็นสุข พอเราเปลี่ยนจากพอใจแล้ว..ทุกข์บังเกิดคือความไม่พอใจ ความคับแค้นใจ เรียกว่าเป็นทุกข์ทั้งนั้น สิ่งเหล่านี้เกิดจากขันธ์ ๕
เมื่อเกิดจากขันธ์ ๕ การจะดับนิโรธได้ เข้านิโรธสมาบัติที่จะไปข่มอารมณ์ให้มันดับได้ เราก็ต้องรู้เสียก่อนว่าอารมณ์มันเกิดมาจากไหน ทำอย่างไรจะทำให้อารมณ์นี้มันดับได้
มันก็เรียกว่าต้องมีวิตกวิจาร คือการเข้าปฐมฌานก่อน เข้าปฐมฌานคือบันไดขั้นแรกที่จะก้าวสู่สมาธิขั้นต้น
เพื่อจะรักษาใจให้มันสงบ ระงับเวรจากภัยภายนอก นั้นเรียกว่าจะทำให้จิตฟุ้งซ่านรำคาญใจ
การวิตกนี้ ถ้าอารมณ์วิตกเกิดขึ้นเราจะภาวนาไม่ได้ เมื่อวิตกอยู่อารมณ์ใดแล้วเราไปภาวนา..ยิ่งจะทำให้จิตนั้นฟุ้งซ่านรำคาญใจยิ่งขึ้นไปอีก
ดังนั้นเมื่อวิตกอารมณ์ใด มีอารมณ์ใดมากระทบ ให้เราพิจารณาอารมณ์นั้นให้ถึงที่สุดเสียก่อน แล้วมันจะวางอารมณ์นั้นได้ เค้าเรียกว่านิโรธมันก็จะดับอารมณ์นั้นลงไปเอง
เมื่ออารมณ์นั้นมันดับแล้ว จิตเริ่มคลายจากความฟุ้งซ่านแล้ว ก็เรียกว่าให้มีองค์ภาวนาขึ้นมากำกับจิตว่าพุทธัง ธัมมัง สังฆังก็ดี พุทธัง สรณัง คัจฉามิก็ดี หรือสัมมา อรหังก็ดี
หรือบทอักขระคาถาบทใดที่เราพอใจ สวดแล้ว ภาวนาแล้วถูกจริต ถูกใจ ทำให้จิตมันตั้งมั่นนั่นแลให้ภาวนาไป
จนจิตนั้นมันอยู่ในอารมณ์ในพระคาถาก็ดี แนบสนิทกับลมหายใจแล้วก็ดี เค้าเรียกว่า..ฌานมันก็บังเกิด
แล้วฌานมันคืออะไร "ฌาน"เค้าเรียกว่าการเพ่งแห่งอารมณ์ ถ้าอารมณ์นั้นที่เราภาวนาอยู่เป็นพระคาถาก็ดี พระคาถานั้นก็เรียกว่ามันทำให้เกิดฌานได้ เป็นองค์บริกรรม
องค์บริกรรมมันคืออะไร ก็ทำให้กำลังนั้นมีสติอยู่กับจิตอยู่กับใจ ไม่พลัดพรากจากกันไปไหน จึงเรียกว่า"บริกรรม"
อันว่าบริกรรมคือการบริหารจิต เหมือนที่โยมได้บริหารร่างกาย ร่างกายโยมก็จะแข็งแรง การบริหารจิตหรือบริกรรมนี้ก็เรียกว่าเป็นการบริหารจิตให้มีกำลัง
เมื่อจิตโยมมีกำลังเสียแล้ว จิตอันนี้มีอานุภาพมาก เมื่อจิตโยมมีกำลังโยมจะเอาจิตไปทำอะไรมันก็จักมีประโยชน์
แต่จิตถ้าโยมอ่อนแอซะแล้วนั้น โยมจะไม่สามารถเหนืออารมณ์ ข่มอารมณ์และรักษาอารมณ์ได้
แต่ว่าอันว่าจิตนี้มันมีการเกิดขึ้นแตกดับเร็วยิ่ง..ไวกว่าแสง แสงยังเดินทางไม่เท่าจิต จิตนี้มีความไวมาก ถ้าใครผู้ฝึกจิตดีแล้ว กำหนดจิตเป็นสิ่งการใด..ก็จะเป็นสิ่งนั้น
เราจะฝึกจิตให้มันเกิดความคุ้นเคยจิตได้อย่างไร ก็เรียกต้องรู้จักฐานแห่งจิตเสียก่อน ฐานแห่งจิตมีอยู่ที่ใดบ้างในกายนี้ รู้จักสติปัฏฐาน ๔ มั้ยจ๊ะ
โยมเอาสติไว้ที่ใด..ก็นั่นเรียกว่าจิตโยมอยู่ที่นั่น อย่าให้จิตส่งไปภายนอก ในกายของโยมนั้นเรียกเป็นฐานของจิตทั้งนั้น
ถ้าจิตออกไปภายนอกเสียแล้ว เรียกว่าจิตนั้นกำลังหลง โยมเอาจิตออกไปภายนอกมากเท่าไหร่ โยมก็เสียกำลังมากเท่านั้น
ถ้าจิตโยมอยู่ภายในกายโยมได้นานแค่ไหนก็ตาม จิตโยมจะมีกำลังมากแค่นั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ
เพราะในกายนี้เป็นที่ให้จิตนี้..พลังงานนี้อยู่และบำเพ็ญจิตบำเพ็ญบารมีได้ ถ้าจิตนี้พลังงานตัวนี้..ถ้าอยู่นอกเหนือจากตรงนี้ไปแล้ว..มันจะทำให้จิตเสื่อม เข้าใจมั้ยจ๊ะ
เพราะมนุษย์ที่เกิดมามีสัญชาติญาณอยู่ว่ามีกระแสพุทธะอยู่ ดังนั้นการเกิดเป็นมนุษย์นั้นจึงสำคัญนัก แม้เทพเทวดาก็ยังบารมียังเท่ามนุษย์ไม่ได้
เพราะไม่ว่าจะเป็นการสร้างบารมีในการเกิดเป็นพระโพธิสัตว์เจ้าก็ดี เป็นอรหันต์ อนาคามี โสดาบันก็ดี
หรือแม้แต่พระพุทธองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าองค์พระสัพพัญญูก็ตาม..ก็ยังต้องมาเกิดอยู่ในกายมนุษย์เหมือนกับโยม เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๑
ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
กำเนิดแห่งพุทโธ
เมื่อโยมเห็นภัยในวัฏฏะแม้เสี้ยวขณะจิตเดียว หมายถึงว่าในขณะที่จิตโยมมีปัญญาขณะจิตเดียวจิตมันเกิดสว่าง เกิดปัญญา เกิดตัวรู้ว่าร่างกายสังขารมีแต่ทุกข์ ทุกข์มันอยู่ที่นี่เอง เราก็ไปหา..ไปหาบอกว่าทุกข์มันอยู่ที่ไหน พระพุทธเจ้าท่านออกตามหาทุกข์นะจ๊ะ พระพุทธเจ้าออกจากพระราชวังท่านไปตามหาทุกข์นะ ไม่ได้ตามหาสุขนะ โยมเข้าใจให้ถูกก่อน แต่มนุษย์ตอนนี้ตามหาสุข สวนทางกันมั้ยจ๊ะ แล้วก็บอกว่าเดินตามมรรค
พระพุทธเจ้าท่านออกจากพระราชวังไป..เพื่อไปตามหาทุกข์ ขนาดพญามารทัดทานแล้ว ท่านก็ยังไม่ฟัง พญามารก็ตามไปทุกที่ นั้นโยมต้องถามตัวเองว่าโยมตามหาอะไร ทุกวันนี้มนุษย์ตามหาสิ่งที่ไม่มี แล้วถามว่าจุดจบมันจะได้มั้ยจ๊ะ พระพุทธเจ้าท่านตามหาทุกข์ แล้วทุกข์มันอยู่ที่ไหน ท่านตามหาแล้วเจอแล้ว แล้วก็ออกมาเป็นลายแทงเป็นคำสอนเอามาบอกโยม ให้มาหาที่ไหน..มาหาที่กายตน ดูตน สอนตน พิจารณาตน พิจารณาได้ก็ละตน พอละตนก็ทิ้งตน..มีเท่านี้เอง
แล้วเรื่องธรรมะนี้อธิบายมากก็ไม่จบสิ้น ถ้าโยมต้องการอยากจะรู้ว่า"ธรรม"คืออะไร หยุดอธิบายปรุงแต่งทุกอย่าง ไม่ว่าโยมจะเรียนรู้จากอาจารย์ที่ไหนมา โยมกำหนดเริ่มต้นจากกายและลมหายใจอย่างเดียว ว่าที่ฉันกล่าวไปทุกอย่างเมื่อธรรมกล่าวไปแล้ว เมื่อถึงโยมจะต้องไปปฏิบัติเอง..โยมก็ต้อง"ทิ้งธรรม"ทุกอย่างก่อนในขณะนั้น วางทุกตำรา เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าโยมไม่วางตำราแล้วโยมจะอ่านตำราได้ยังไง พอวางแล้วโยมถึงจะเปิด
นั้นก่อนที่โยมจะเปิดตำราหรือพระคัมภีร์ หรือพระธรรมก็ดี พระไตรปิฎกก็ดี โยมต้องนอบน้อมกราบนมัสการก่อน น้อมจิต กาย วาจา ใจเพื่อให้เกิดศีลก่อน ถึงโยมจะได้รับพระธรรมคำสอนได้ โยมจะเรียนพระกรรมฐานโยมก็ต้องมีศีลก่อน เข้าใจมั้ยจ๊ะ จะไปธุดงค์กรรมฐานก็ต้องมีอาจารย์มีครูก่อนอีกเหมือนกัน นั้นโยมต้องรู้เสียก่อนว่าโยมไปตามหาอะไร ถ้าโยมตามหาทุกข์..อย่าไปคิดว่าจะได้สุข เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ถ้าสุขเกิดขึ้นก็ให้รู้ว่าสุข สุขนั้นจะเป็นกำลัง..เป็นกำลังใจ ว่านั่งแล้วมันสงบ เห็นแล้วว่านี่คือสมาธิก็จะนั่งต่อไป นี่เรียกว่าเมื่อสุขนั้นเป็นอารมณ์ทำให้เกิดกำลังใจ แต่อย่าไปยึดติดในสุขนั้น ถ้าไปยึดติดอารมณ์เค้าเรียกว่าติดในสมาธิก็ดี ติดองค์ภาวนาก็ดี ติดฌานก็ดี ติดนิมิตก็ดี พวกติดเหล่านี้เค้าเรียกว่าไปต่อไม่ได้ อ้าว..ติดก็ต้องมาแก้ ถ้าติดหลายตัวไม่ต้องแก้แล้ว..เริ่มต้นใหม่ เริ่มต้นใหม่ก็ไปเรียนใหม่ เรียนที่ไหน..เรียนที่"ลม"ใหม่
บางคนมีลมหายใจเข้าออก..ไม่เห็นจะยากตรงไหนก็เข้าออกทุกวัน แต่ตอนที่เข้าและออกโยม..โยมรู้รึเปล่ามันเข้ายังไง มันออกยังไง พอมันเข้าโยมรู้มั้ย พอมันออกโยมรู้มั้ย ทุกวันนี้ลืมลมหายใจกันหมดแล้ว ทั้งๆที่ลมหายใจมันเข้าออก..แต่ไม่เคยไปรู้มันว่ามันเข้าออก
เค้าให้ไปรู้ลมหายใจ แต่ไม่ได้บอกว่ามันจะเข้าออกยังไง เข้าใจมั้ยจ๊ะ คือเอา"สติ"ไประลึกรู้อยู่ที่ลมหายใจ เพราะว่าลมหายใจมันสามารถสัมผัสกายได้ สัมผัสจิตใจเราได้ว่า..สงบหรือไม่สงบอย่างไร เหมือนลมมันขัดลมมันเดินไม่ดี มันก็ทำให้ขัดใจขัดอารมณ์ไป นี่เราต้องไปแก้ไปเริ่มต้นใหม่ถ้ามันติด เริ่มต้นที่ดูอานาปานสติขึ้นมาใหม่
ไม่ว่าโยมจะเรียนกสิณหรือกรรมฐานกองไหนก็ตาม โยมต้องมี"อานาปานสติ"เป็นแม่บทใหญ่ ถ้าโยมไม่มีเมื่อไหร่..สมาธิโยมจะหลงเมื่อนั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ แม้องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเข้าถึงวิมุติแล้วก็ตามที เกิดวิชาแล้วก็ดี ท่านจะต้องเจริญอานาปานสติอยู่เหมือนกัน เค้าเรียกว่าเจริญฌาน หรือเรียกว่าเจริญองค์ภาวนาเหมือนที่เราเอามาเจริญนี้แหล่ะจ้ะ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะอะไรจ๊ะ..มันหลงลืมตลอดเวลาได้ถ้ายังมีกายสังขาร เพราะกายนี้มันเป็นขันธมารอยู่ ยังมีมารแฝงอยู่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นเราต้องฝึกอยู่ตลอดเวลา นี่ขนาดท่านฝึกขนาดนั้น..แล้วเราไม่ฝึกจะเป็นยังไง มันก็ต้องฝึกเอาตามกำลังของโยม
ลูกศิษย์ : หลวงปู่เจ้าคะ การกำหนดอานาปานสติก็คือการรู้ลมหายใจเข้าออกนี่ แล้วมันผนวกกับคำว่าพุทโธไปเนี่ยะ มันจะเป็นสากลว่าจะต้องเป็นอย่างนี้มั้ยคะ หรือว่าถ้าเราภาวนาพุทโธเนี่ยะ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ แบบอย่างเดียว เหมือนกันมั้ยเจ้าคะ
หลวงปู่ : อ้าว..งั้นเรามาดูว่าพุทโธ หรืออานาปานสติเป็นอย่างไร อานาปานสติเค้าเรียกว่ากำหนดลมหายใจเข้าออกไม่เกี่ยวกับพุทโธ แล้วพุทโธเกิดมาตอนไหนศตวรรษใด คือเรียกว่าองค์พุทโธนั้นเป็น"อุบาย"แห่งกรรมฐานอย่างหนึ่ง ครูบาอาจารย์เค้าเรียกว่าจรดไว้ หมายถึงว่าจริงๆอานาปานสตินี้คือลมหายใจเข้าออก..คือกำหนดรู้ลม เพราะลมหายใจนี่เป็นอะไรที่ดูง่ายและกำหนดง่าย เพราะมันมีอยู่แล้วในกายเรา ดิน น้ำ ไฟ ลม ธาตุทั้ง ๔ มันต้องประชุมกันด้วยลมหายใจทั้งนั้น ใช่มั้ยจ๊ะ
ดิน น้ำ ไฟ ลมทั้งหลายมันต้องประชุมด้วยธาตุลมทั้งนั้น คราวนี้เมื่อลมหายใจเราเนี่ยะเข้าออกแล้ว คราวนี้ลมหายใจมันเข้าออก..มันเข้าออก บางทีสติเราเนี่ยไม่เท่าทัน เพราะเราเนี่ยะหลงกายอยู่ พอตัวหลงกาย หลงว่านี่ตัวกูของกู สติตัวระลึกมันจึงไม่เท่าทันในลมที่เข้าออก เห็นมั้ยจ๊ะว่าลมหายใจไม่ใช่ของง่ายที่โยมจะไปรู้ ใช่มั้ยจ๊ะ เค้าจึงเอาองค์พุทโธขึ้นมา หรือกำหนด ๑..๒..๓..๔..๕..๖..๗..๘..๙..๑๐ นับไป..นับไป เห็นมั้ยจ๊ะ หรือสัมมาอะระหังยกขึ้นมา เค้าจึงบอกอุบายว่า คำว่า"พุทโธ"เป็นของมงคลภาวนาแล้วมันดี ว่าพุทโธเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เรียกว่าผู้สัพพัญญู เข้าใจมั้ยจ๊ะ นี่คือที่มา..
เพราะว่าลมหายใจ การจะจับลมหายใจน่ะ เพราะว่าลมหายใจมันไปยึดกายอยู่ กายตัวนี้มันทำให้มนุษย์มันหลง หลงได้ง่าย ขาดเผลอสติได้ง่าย มันจึงไม่มีสติที่จะไปยึดได้จับต้องได้ ถ้าองค์พุทโธระลึกได้เนี่ยะ..มันจะจับต้องได้ทันที นั้นก็บอกว่าเมื่อจิตมันฟุ้งมีอารมณ์เข้ามาปะทะ หรือเกิดการปรุงแต่งอุปาทานของจิต ต้องมีองค์ภาวนาเข้ามากำกับแล้ว หรือต้องมีผู้กำกับการแสดง เล่นเดี่ยวๆเกิดขึ้นมาไม่ได้ หรือเรียกว่าต้องมีเหตุมีผลมารับรองกัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะกายตัวนี้มันหลงได้ง่าย นี่คือที่มาของพุทโธ..
อ้าว..แล้วทำไมพุทโธจึงไม่มีในพระไตรปิฎก อะไรก็ตามที่เราระลึกแล้ว คิดแล้ว พิจารณาแล้วไปในทางการละอารมณ์ ให้เข้าถึงความสงบ นั่นเรียกว่าอุบายแห่งธรรมอยู่ใน ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ทั้งนั้น ชื่อว่าเรียกว่าพระกรรมฐาน พระกรรมฐานก็ไม่มีในพระไตรปิฎก..จริงๆไม่ใช่ พระกรรมฐานมีอยู่ในพระไตรปิฎกแล้ว พระกรรมฐานฌานวิถี..วิถีทางแห่งการทำงานของจิต คือการมาฝึกฝนจิต
เค้าบอกเอาจิตมาฝึกได้ยังไง จิตฝึกได้เหมือนลิง ลิงเอามาฝึกได้มั้ย แต่โยมต้องไวกว่าลิงนะ แล้วลิงมันชอบกินอะไร (ลูกศิษย์ : กินกล้วย) เออ..เอากล้วยให้มันกิน จิตก็ต้องมีตัวล่อคืออุบายแห่งธรรม ล่อหลอกตะล่อมให้จิตมันอยู่กับเรา ใช่มั้ยจ๊ะ ก็เช่นองค์ภาวนาก็ดี กำหนดยุบหนอพองหนอ กำหนดก้าว ยก ย่าง เหยียบหนอ เหล่านี้ชื่อว่าเป็นอุบายแห่งการเจริญสติให้สติมันครองอยู่กับอารมณ์นั้นกับการงานนั้น ในขณะนั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ สิ่งเหล่านี้คือพื้นฐานของการเจริญสมาธิทั้งนั้น
เพราะสมาธิชื่อว่าเรียกว่าใจที่ตั้งมั่นเป็นอารมณ์เดียว คือเราจดจ่อในสิ่งทีเราทำอยู่ ไม่ต้องสนใจใคร ใครจะมอง ใครจะว่า ใครจะนินทาสรรเสริญ..นั้นโลกธรรม ๘ นี้โลกธรรมจริงๆมันอยู่ตรงนี้ อยู่ตรงที่เราวางเฉยไม่สนใจ ไม่เอาจิตไปภายนอก เห็นมั้ยจ๊ะ ถ้าจิตยังไปภายนอกอยู่เรียกว่าสมุทัย ถ้าจิตจดจ่ออยู่ในการงานที่ทำอยู่เรียกว่านิโรธ คือทางดับทุกข์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ถ้าโยมเห็นทุกข์เมื่อไหร่นั่นคือเหตุ คือเหตุอริยสัจ ๔ แต่ก่อนที่โยมจะไปเห็นอริยสัจ ๔ โยมต้องเห็นไตรลักษณ์ก่อน พิจารณาความเกิด ความเสื่อม ความชรา ความเป็นทุกข์ เห็นทุกอย่างเป็นทุกข์ เห็นทุกอย่างไม่เที่ยง เห็นความว่างเป็นอนัตตา สิ่งเหล่านี้มันจะทำให้จิตเรานั้นเกิดสลดสละ เริ่มเกิดอาการปลงขึ้นมา เพื่อเข้าถึงความเบื่อหน่าย โยมปลงมากเท่าไหร่โยมก็เบื่อมากเท่านั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ถ้าโยมไปอยากมากเท่าไหร่ โยมก็มีความกำหนัดมากเท่านั้น ทางเดียวที่โยมจะออกจากทุกข์ โยมต้องปลง ต้องละ ต้องสละ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๑
ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
อารมณ์ของวิปัสสนา
"...เมื่อได้รับอารมณ์มาแล้ว จิตที่หลง ที่ไม่มีความรู้ มันก็ไปอย่างหนึ่ง จิตที่รู้ มันก็ไปอีกอย่างหนึ่ง พอมีความรู้สึกเกิดขึ้น จิตที่รู้มันก็เห็นว่าไม่ควรยึดมั่นในสิ่งเหล่านั้น ถ้าไม่มีปัญญา มันหลงตามไปด้วยความโง่ ไม่เห็นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เห็นแต่พอว่า เราชอบใจ อันนี้มันถูกแล้ว มันดีแล้ว อันไหนเราไม่ชอบ อันนั้นมันไม่ดี อย่างนั้นจึงไม่เข้าถึงธรรมะ
ธรรมทั้งหลายเหล่านี้ ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา พระพุทธเจ้าท่านให้เห็นเป็น “สักแต่ว่า” ให้ยืนอยู่ตรงนี้เสมอ
ดังนั้น เราจะไปเลือกอารมณ์ไม่ได้ ถ้าอารมณ์มันวิ่งมาหาเราทั้งทางดีทางชั่ว ทางผิดทางถูกแล้วเราไม่รู้ เพราะไม่มีปัญญา เราก็จะวิ่งตามมันไป ตามไปด้วยตัณหา ด้วยความอยาก แล้วเดี๋ยวก็ดีใจ เดี๋ยวก็เสียใจ เพราะอะไร เพราะเอาใจของเราเป็นหลัก อะไรที่เราชอบใจ ก็เข้าใจว่าอันนั้นดี อะไรที่เราไม่ชอบใจ ก็เข้าใจว่าอันนั้นไม่ดี อย่างนี้เรียกว่ายังห่างไกลธรรมะ ยังไม่รู้ธรรมะ มันก็เดือดร้อน เพราะความหลงมันเต็มอยู่
ถ้าพูดเรื่องจิตก็ต้องพูดอย่างนี้ ไม่ต้องออกไปห่างตัว ให้เห็นว่าอันนี้มันไม่แน่ อันนี้เป็นทุกข์ อันนี้เป็นอนัตตา ไม่ใช่อัตตา ถ้าเห็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ นี้ก็เป็นอารมณ์ของวิปัสสนา เราควรรู้จักอารมณ์อันนี้ ตามอารมณ์อย่างนี้ มันจะทำให้เกิดปัญญา ท่านจึงเรียกว่า อารมณ์ของวิปัสสนา..."
🍃🍀 ๑๐๐ ปีชาตกาล
หลวงปู่ชา สุภัทโท
🌷ที่มา :: พระธรรมเทศนา
เรื่อง อ่านใจธรรมชาติ
"...ปฏิบัติคืออะไร..."
...ปฏิบัติกาย ปฏิบัติวาจา
และปฏิบัติดวงใจของเจ้าของ
ให้หมดจากความเห็นผิด
สร้างจิตใจของตนให้มันมีความเห็นถูก
เห็นถูกในทางพระพุทธศาสนา
ผลสุดท้ายก็เอาธรรมพินิจ
จิตของพวกเราก็เลยสูงขึ้น
สูงกว่าความโลภ สูงกว่าความโกรธ
สูงกว่าความหลง ผลสุดท้ายจิตก็เป็น
กองกาลกุศล คือ "จิตเป็นบุญ"
ต้นทุนที่เราได้บำเพ็ญ คือ ...
ปฏิบัติชอบทางกาย ทางวาจา จิตใจ
โดยบำเพ็ญศีลวัตร ทานวัตร ภาวนาวัตร
กำจัดอาสวกิเลส ความหลง ออกจากจิตใจ
นั้นหนะ พระพุทธเจ้าถือว่าเป็นผู้ประเสริฐ
มันเป็นอย่างนั้น เป็นมนุษย์ที่ดี เรียกว่า
"มนุสฺสธมฺโม" มีธรรมประจำจิตประจำใจ...
หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม
ขออนุโมทนาบุญท่านผู้มีส่วนเผยแพร่โอวาทธรรมและภาพพ่อแม่ครูบาอาจารย์ขอจงเจริญรุ่งเรืองในธรรม สาธุอนุโมทามิ