อาจารย์กำพลถามหลวงพ่อคำเขียนว่า เทคนิคในการดู เราควรทำอย่างไร
หลวงพ่อตอบว่า ทำตัวดูให้เด่น ให้เห็นกายเห็นจิต แล้วหัวเราะเยาะมันได้ ตัวดูเด่น นั่นแหละ มันจะเป็นวิมุตติ
การทำตัวดูให้มันเด่นนี่ มันคิดไม่ได้หรอก ต้องเจริญสติให้มาก จิตที่เป็นผู้ดู มันก็จะเด่นขึ้นเอง
“การเป็นผู้ดู” อย่าเข้าไปเป็น ท่านบอกว่า นี่แหละสำคัญมาก
ท่านว่าเป็นเพชรแห่งธรรม สุดท้ายแล้วถึงขั้นที่ว่า “การไม่เป็นอะไร กับอะไร” นี่คือมงกุฎธรรม
ท่านบอกว่า “ เอาไปบอกเขาด้วยนะอาจารย์กำพล ช่วยเอาไปบอกต่อๆกัน”
อาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม
1. ธรรมเรียนรู้ได้ที่จิต
2. ให้บริกรรมเพื่อรวมอารมณ์ให้เป็นหนึ่ง สังเกตุดูว่าใครเป็นผู้บริกรรมนั้น
3. ทำความเข้าใจในอารมณ์ความคิดนึก สังเกตุกิเลสที่กำลังปรากฏให้ออก
4. อย่าส่งจิตออกนอก อย่าให้จิตคิดส่งไปภายนอกหรือเผลอ ให้สังเกตุ ความ หวั่นไหวหรือปฏิกิริยาของจิตต่ออารมณ์ที่รับเข้ามาทางอายตนะทั้งหก
5. จงทำญาณให้เห็นจิต เหมือนดังตาเห็นรูป คือรู้ทันพฤติกรรมของจิต
6. รู้เพราะคิด คิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ เมื่อหยุดคิดถึงจะรู้ แต่ก็ต้องอาศัยคิด คืออย่าไป ห้ามความคิด
7. แยกรูป ถอดความปรุงแต่ง ก็ถึงความว่าง แยกความว่างก็ถึงมหาสุญญตา
8. สรุปอริยสัจแห่งจิต
▪จิตส่งออกนอกไปรู้อารมณ์เป็นสมุทัย
▪ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกไปรู้อารมณ์เป็นทุกข์
▪จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งเป็นมรรค
▪ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งเป็นนิโรธ
พุทธธรรมกฏแห่งกรรม ตอนที่ ๙๓
“ บวชจิต “ คนไม่รู้ แต่ผีรู้ เทวดารู้
“การบวชจิต” หรือ “การบวชใน” นั้น เป็นสูตรของ “หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ”
หลวงปู่ดู่กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า…
“การบวชทั้งในและนอกมันลำบากในยุคนี้
เราบวชใน คนไม่รู้ … แต่ผีรู้ เทวดารู้
การบวชในเป็นกรรมฐานอย่างหนึ่ง เวลาทำบุญให้นึกว่าตัวเองเป็นพระ…จะได้ชิน ถ้าทำบ่อย ๆ จะเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ
เวลาทำความดีอะไรก็ตาม…ให้นึกว่าตัวเองเป็นพระ มันจะปรับออกมาข้างนอกเอง
เป็นการบวชจากข้างในไปหาข้างนอก คือ ด้วยรูปลักษณ์ในการบวชที่เป็นพระนั้น
พอเราบวชแล้ว เราจะไม่กล้าทำอะไรที่ไม่ดี เวลาเราแผ่บุญออกไป พลังงานก็ผ่านเราออกไปได้มากกว่า
พลังงานนี้จะผ่านพระได้มากกว่าฆราวาสนะ ลองคิดดูสิ เราเป็นพระนะ (บวชใน)
แค่เรานึกนี่ก็เป็นแล้ว ทำไม่เกินสามปีจะรู้สึกว่าเราเป็นพระ
เรื่องอะไรที่ไม่ดี เราจะไม่พูด ไม่ทำ แม้แต่ในฝันยังเป็นพระเลย
บวชจิตแล้วต้องสึกไหม…ไม่ต้อง มันไม่เกี่ยวกัน เรื่องโลกกับเรื่องธรรมเป็นคนละเรื่อง
เวลาอยู่ทางโลกก็อยู่ไป เมื่อไรอยู่ทางธรรมเราก็บวชใน
ตื่นขึ้นมาก็ให้ทำ แล้วกราบพระ ๖ ครั้ง แล้วทำวัตรสั้น ๆ
อาราธนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งแต่องค์ปฐมถึงองค์ปัจจุบัน
เวลากินข้าว อาบน้ำ เวลาว่าง เวลานอน ให้สวด ให้ภาวนา จนกว่าจะหลับ …
สามปีจะรู้สึกว่า ข้างนอกจะเปลี่ยน
ทรงอารมณ์แบบนี้มีอานิสงส์มหาศาล…
เป็นบุญทุกลมหายใจเข้าออก”
หลวงปู่ดู่ได้แนะเคล็ดในการบวชจิตไว้ว่า
“ในขณะที่เรานั่งสมาธิเจริญภาวนานั้น คำกล่าวว่า
พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ให้นึกถึงว่าเรามี
พระพุทธเจ้าเป็นพระอุปัชฌาย์ของเรา
ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ ให้นึกว่าเรามี
พระธรรมเป็นพระกรรมวาจาจารย์
สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ให้นึกว่าเรามี
พระอริยสงฆ์เป็นพระอนุสาวนาจารย์
แล้วอย่าสนใจขันธ์ ๕ หรือร่างกายเรานี้ …
ให้สำรวมจิตให้ดี มีความยินดีในการบวช
ชายก็ตั้งจิตเป็นพระภิกษุ_หญิงก็ตั้งจิตเป็นพระภิกษุณี
อย่างนี้จะมีอานิสงส์สูงมาก
จัดเป็นเนกขัมมบารมีขั้นอุกฤษฏ์ทีเดียว”
***************************************'****
ขออนุโมทนาขอขอบคุณและขออนุญาตนำมา
เผยแผ่เป็นธรรมทานแก่ผู้ที่มีความศรัทธา..
ความคิดความปรุง มันออกมาจากอะไร ออกมาจากอวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ตามเข้าไป อวิชชาดันให้เกิดสังขาร สังขารสมุทัยหลอกลวงตนเองได้ตลอดเวลา สติตามเข้าไป มันจะวิ่งเข้าไปถึงอวิชชาแล้วมันก็ดับ เกิดขึ้นก็ดับ อะไรเกิดขึ้นก็ดับ ตามกันไป ฝึกซ้อมกันไปมาจนมีความคล่องแคล่วแกล้วกล้า ตามเข้าถึงตัวอวิชชาถอนพรวดขึ้นมาหมด แต่ก่อนก็ว่าว่าง ที่ไหนว่างๆ แต่ตัวอวิชชามันยังไม่ว่าง ฟาดเข้าไปหาอวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สังขารก็เลยว่าง เพราะอวิชชาตัวต้นเหตุของสังขารให้ปรุงให้แต่งมันดับไปแล้ว มันว่างไปแล้ว เลยว่างไปหมด เข้าถึงจิต จิตยิ่งเป็นของว่างเปล่าไปหมด อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ไม่มีภายในจิต เป็นจิตที่ว่าง
จิตของพระอรหันต์ ท่านพ้นจากทุกข์ ก็คือพ้นจากกิเลส คืออวิชชานี้เป็นสำคัญ พออวิชชาดับพรึบลงไปเช่นนั้น จิตนี้ว่างโดยหลักธรรมชาติ มองไปที่ไหนไม่มีต้นไม้ภูเขา ดินฟ้าอากาศ ถึงเราจะนั่งจะอาศัย จะเดินไปเดินมา ก็สักแต่ว่าปรากฏๆ แต่จิตนี่ว่างครอบไปหมดเลย นั่นละที่เรียกว่า สุญฺญโต โลกํ โลกนี้เป็นโลกสูญเปล่าว่างเปล่า ไม่มีอะไรภายในใจ ส่วนต้นไม้ภูเขา ดินฟ้าอากาศ เขาก็มีอยู่ตามสภาพของเขาอย่างนั้นแหละ แต่มันไม่เข้ามาเกี่ยวข้องของใจ ให้เป็นก้างขวางคอใจได้ ว่าอันนั้นไม่ว่าง อันนี้ไม่ดี อันนั้นไม่ดี อันนั้นเป็นภัย เข้ามากีดขวางหัวใจได้เหมือนแต่ก่อน เพราะมันว่างไปหมด เมื่อว่างไปหมดแล้ว โลกธาตุนี้ก็พลอยว่างไปตามๆ กันหมด เพราะจิตว่าง จิตวางเสียอย่างเดียว ทีนี้ก็ว่างไปหมด วางไปหมด
นี่ละจิตพระอรหันต์ท่านท่านว่างอย่างนี้ เมื่อเห็นต้นไม้ภูเขา ก็เป็นเพียงรางๆ เป็นเงาๆ ส่วนเรื่องใหญ่โตคือความว่างของจิตนี้ ว่างเป็นประจำเต็มหัวใจ แล้วท่านจะสะทกสะท้านกับสิ่งใดในโลกอันนี้ นั่นละจิตว่าง สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ ท่านว่า ให้พิจารณาโลกเป็นของสูญเปล่า แล้วถอนอัตตานุทิฏฐิ ความเห็นว่าเขาว่าเรา อันเป็นเหมือนก้างขวางคอออกเสีย จะพึงหลุดพ้นจากพญามัจจุราช พญามัจจุราชจะตามไม่ทันผู้ที่พิจารณาโลกเป็นของว่างเปล่าอยู่อย่างนี้ แล้วหลุดพ้นไปโดยสิ้นเชิง นี่การพิจารณาภาวนา
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
"สมบัติใดสู้ศีล สู้ธรรมไม่ได้"
รู้สึกตัวสบายๆ ให้จิตผู้รู้เด่น
เห็นกายใจ หรือ รูปนาม ตามความเป็นจริง
เห็นทุกสิ่งเป็นของชั่วคราว มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด
รัก โลภ โกรธ หลง ล้วนของชั่วคราว เป็นมายาแห่งใจ
จิตผู้รู้เด่นอยู่กับความเป็นกลาง เหนือการปรุงแต่งทั้งปวง
สุขทุกข์ล้วนไม่แตกต่าง กุศลหรืออกุศลล้วนหมดค่ากับใจ
ดําเนินชีวิตไปกับสัมมาต่างๆในมรรค8
ธรรมะคือคำสอนของพระพุทธเจ้าพวกเรามองข้ามไป
เสียหมด อยู่ที่ตัวของเรานี้เอง มิใช่อื่น พุทธะ คือ ผู้รู้
ก็ตัวของเรานี้เองมิใช่ใครอื่น เช่นเดียวกันกับไข่
ไข่อยู่ข้างในของเปลือกของไข่ ทำใก้เปลือกไข่แตก
เราก็ได้ไข่ พิจารณาร่างกายของเราให้แตก
แล้วเราก็จะได้ธรรมะ
โอวาทธรรม
หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม
ปฏิบัติต่อไปอย่างไร
ถึงจะลัดสั้นสำหรับผู้ที่ “ ได้ต้นทางเเล้วนั้น ? “
การปฏิบัติก็ “ ดูจิตใจที่มันนึกมันคิดนี่เอง “
เคลื่อนไหวไปมาโดยวิธีไหนก็ตาม เข้าห้องน้ำห้องส้วมก็ตาม
ปฏิบัติได้ทุกลมหายใจเข้าออก กินข้าว กินน้ำ ก็ปฏิบัติได้
ทำการทำงานก็ปฏิบัติได้ เพราะมือทำงาน~ใจดู มันนึกมันคิด
เห็น รู้ เข้าใจ ผ่านไป ไม่ต้องยึดถือ
อย่างนี้เเหละ ลัดสั้นที่สุด
เพราะเราเป็นคนทำ อยู่ที่ไหนก็เราเองเป็นคนทำ
การพูดก็เราเป็นคนพูด อยู่ที่ไหนเราก็พูดได้
การดูจิตดูใจมันนึกมันคิดก็เราเองเป็นคนดู
อยู่ที่ไหนก็ดูได้ จึงพูดว่า ลัดสั้นที่สุด
ไม่เลือกกาลเวลา ทำที่ไหน เมื่อไหร่ก็ทำได้
เเละเป็นการกระทำที่ตรงเข้าไปสู่จิตใจ
ต้องลัดตรงเข้าไปอย่างนั้น
พระธรรมเทศนา หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
" พิจารณากาย
ทำความรู้สึกที่กาย ทั้งหมด
มันนั่งอยู่...นี่แหละ กาย
มองดูบ้าง มีอะไรที่มองเห็น
ก็มองเห็น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ฯลฯ
ที่เรียกว่า...กาย
ขันธ์ ๕(รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)
สิ่งเหล่านั้นเป็น เป็นเครื่องประกอบกาย
ผม ก็เรียกว่ากาย ขน ก็เรียกว่ากาย
เล็บ ก็เรียกว่ากาย ฟัน - หนัง ก็เรียกว่ากาย
เรา...
กำหนดรู้ มันทั้งหมดนี้
นี่คือ รูปร่างกาย ประกอบด้วยธาตุ ๔
ว่าด้วยอาการ ๓๒ เกสา โลมา ฯลฯ
ใต้หนังเข้าไป...
กำหนดรู้ ทั้งหมด
กำหนดรู้...
ความแก่ ให้เราเห็น ความแก่
ให้รู้...ตัวเอง
ที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย
คือธาตุ รู้
คือ...ใจ
แต่ ธาตุรู้ อันนี้ มันยังอาศัยรูป ร่างกาย
ทุกข์ อยู่ที่นี่
ไม่ใช่ อยู่...ที่อื่นไกล
อะไร ที่มันไม่ตาย(ใจ)
เรา ก็กลับเข้าไปสงบอยู่...ที่ใจ
มีสติ รู้...อยู่
นั่นแหละ เป็นเครื่องอยู่
มีสติ รู้...อยู่ที่ใจ
หรือ ใจรู้...อยู่
นิ่ง...รู้อยู่
ไม่ให้ มีอะไรเกี่ยวข้อง
มีสติ...
รู้...อยู่ ข้างใน...รู้
รู้...
มัน อยู่."
------------------------------------------------------------
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
มีผู้เขียนไว้ว่า...
หนึ่งรู้ ดูความไหว คิดวูบไปใจก็รู้
หนึ่งรู้ เฝ้าดูใจ จิตหวั่นไหว ใจดูใจ
หากเข้าใจตามแบบนี้ถูกต้องไหมครับ ควรเริ่มต้นด้วยการฝึกรู้สึกตัวก่อนใช่ไหมครับ
หนึ่งรู้ คือ "รู้หนึ่งเดียว" คือปัจจุบัน ที่รู้ตรงนี้ไปเลย ไร้สมมุติทุกอย่าง บอกไม่ได้ ไม่มีคำเรียก
หนึ่งรู้ เมื่อปรากฏ ทุกอย่างก็จบสิ้น ไม่มีอะไรอีกต่อไป ไม่มีไปไหนไม่มีมาทำไม ไม่มีสิ่งอื่นนอกเหนือจาก "หนึ่งเดียว"
แต่หนึ่งรู้ หรือ "รู้หนึ่งเดียว" ปรากฏอยู่เป็นขณะ ๆ พอเจตนาจะบังคับให้ปรากฏต่อเนื่อง หนึ่งรู้ก็หายไป กลายเป็นคำ / ทำ "สมมุติ" มากมาย
หนึ่งรู้ "รู้หนึ่งเดียว" เหมือนท้องฟ้า หรือจักรวาลไร้ขอบเขต ไร้เกิดไร้ดับ สสารใหญ่น้อยทุกอย่างปรากฏเคลื่อนไหวในจักรวาลที่นิ่งสนิท
แสงสว่างช่วยให้มองเห็นว่า ฟ้าคือฟ้า เห็นสิ่งเคลื่อนไหวในท้องฟ้า เท่าที่มีการสะท้อนแสง จนเข้าใจธรรมชาติของฟ้าที่นิ่งสนิท ตลอดแยกแยะแตกต่างจาก สิ่งปรากฏเคลื่อนไหวที่มีชั่วคราว
หากไม่มีความสว่าง ก็แยกไม่ได้ว่ามีฟ้า ไม่เห็นแม้สิ่งเคลื่อนไหวชั่วคราว แต่ความมืดกลับไม่ใช่ปัญหา หากไม่มีผู้ต้องการจะเห็น
ความรู้สึกตัว เป็นเหตุให้หนึ่งรู้ "รู้หนึ่งเดียว" ปรากฏ เหมือนแสงสว่าง ที่ช่วยให้กายสังขาร จิตตสังขาร เห็นได้ว่าส่วนไหนคือฟ้าแท้ ส่วนไหนคือสิ่งปลอม
ความรู้สึกเกิดขึ้นด้วยการอาศัย "ตัว" ของกายสังขารทำงานร่วมกับจิตตสังขาร ทำให้รู้ว่า "ใจมีเครื่องห่อหุ้ม" เหมือนกระดาษเปล่า ที่เส้นวงกลมทำให้เกิดพื้นที่สมมุติ
เมื่อรู้ว่าท้องฟ้ามีสิ่งต่าง ๆ ปรากฏแล้วหมดไป จนเมื่อใจยอมว่า ใจแท้ไม่มีเครื่องห่อหุ้มประกอบอยู่ เครื่องประกอบหุ้มห่อจะล่วงลงจากใจไปเอง เหมือนกางเกงหลวม ๆ ที่ร่วงลงพื้นโดยไม่ต้องออกแรงถอด และไม่อาจหยิบขึ้นมาใส่ได้อีกเพราะกางเกงหายไปแล้วเพราะเป็นของชั่วคราว
ความรู้สึกตัวที่เกิดทีละช่วง ๆ ทำให้ หนึ่งรู้ ปรากฏขึ้นเป็นครั้ง ๆ ไป หากฝึกความรู้สึกตัวให้รู้สึกตัวไปบ่อยขึ้น
หนึ่งรู้ก็เกิดตาม โลกแต่ละขณะก็จบไป ๆ เห็นจักรวาลหนึ่งเดียว เห็นต่อเนื่องขึ้นเรื่อย ๆ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น
จากจุดนี้ ผมยังไม่รู้แล้วว่าต่อไป คืออะไร...
สำหรับผม ยังมีความรู้สึกตัวน้อย หลงมาก เผลอบ่อย จึงคิดว่าฝึกความรู้สึกตัว คงเป็นการเริ่มต้นที่ดี แต่คำว่า เริ่ม ไม่ได้แปลว่าจะไปไหน คงเป็นการเริ่มต้นไปเรื่อย ๆ ทุกครั้งไป ไม่ก้าวหน้าไม่ถอยหลัง เริ่มต้นทุก ๆ ครั้ง
จุดศูนย์กลางของวงล้อ ไม่เคยเคลื่อนไหว มีแต่สิ่งอื่นที่หมุนรอบวงล้อนั้น จุดศูนย์กลางไม่มีการเดินทาง
การฝึกความรู้สึกตัว ผมทดลองใช้การปลุกตัวให้ตื่นจากคิด ด้วยการเรียกตัวเองว่า "พุทโธ" แล้วรู้สึกตัวว่าถูกเรียก หลงคิดหลงฟุ้งก็ชะงัก เปิดพื้นที่ให้หนึ่งรู้ปรากฏแว๊บหนึ่ง จึงทำสนุก ๆ เรียกตัวเองในใจว่าพุทโธ บางทีกลอนพาไป เปลี่ยนเป็น พุทโธ ๆ ๆ "นะโม วิมุตตานัง นะโม วิมุตติยา" ซ้ำไปซ้ำมา สนุก ๆ รู้สึกว่าน่าทำ ไม่หวังอะไร
เพราะ หนึ่งรู้ปรากฏได้ก็รู้สึกว่าเพียงพอแล้ว อะไร ๆ ก็เป็นอยู่แบบนั้น ๆ ของจักรวาลเดียว
โลกนี้ จักรวาลหนึ่งเดียวนี้ ปรากฏแก่การรู้นี้ เพราะมีกายสังขารจิตตสังขาร เกิดรู้มันขึ้นมา หากไม่มีกายจิต โลกก็ไม่มี จริง ๆ มีจักรวาลหนึ่งเดียวมีอยู่ของมัน แต่จะมีหรือไม่ก็ไม่สนใจแล้ว จริง ๆ แล้ว เรื่องมันก็แค่นั้น เรื่องอะไรก็เรื่องของมัน มันไม่มีอะไรจริง ๆ
กราบขอบพระคุณครับ
☀️ หลวงตา : สาธุ เข้าใจธรรมอย่างนี้ ถูกต้องตามธรรมแล้ว
“แยบคายละอนุสัย (ตั้งตนไว้ชอบ)”
ทีนี้การปฏิบัติธรรมนะ มันมีนิสัย นิสัยคือความเคยชินที่ทำมาเรื่อย ๆ นิสัยคือความเคยชินที่ทำมาเรื่อย ๆ นั้น มันเป็นเหตุของอนุสัยนั่นเองเกิด
อนุสัยก็คือ นิสัยที่มันกอบด้วยกิเลสนั่นเอง มันเคยชิน เวลามันคิดนะ มันเร็วมากนะ ก็ว่าเราคิด มันสำคัญว่าเราคิดนะ ความคิดนั้นพอใจไม่พอใจ มันก็สำคัญว่า เราพอใจไม่พอใจ พอเราไม่พอใจมันก็แสดงความไม่พอใจออกมาทางกายวาจา นี่ มันอยู่อย่างนี้ นี่แหละนิสัยอนุสัย ความที่เคยชินเคยคิดเคยทำเคยพูดอย่างไหนมันก็ไปอย่างนั้น นี่ อนุสัยมันเกิดตรงนี้ อนุสัยก็คือนิสัยนั่นเองที่กอบด้วยกิเลส
เพราะฉะนั้นจะละอนุสัยได้อย่างไร จะละอนุสัยก็ต้อง ๑ ตั้งสัจจะให้มั่นคง เรียกว่าตั้งตนไว้ชอบ ว่า “เราจะศึกษาหาความจริงของสิ่งที่มากระทบทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ”
ถ้าสิ่งที่มากระทบทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ ทางตาก็คือรูปใช่ไหม แล้วก็ลูกตา แล้วก็ความรู้ทางตา จะศึกษาหาความจริงของสิ่งเหล่านี้
ทางหูก็คืออะไร คือเสียงกับหูกับความรู้ทางหู
ทางจมูกคืออะไร ก็คือกลิ่นกับจมูกกับความรู้ทางกลิ่น
ทางลิ้นก็คือรสอาหารคาวหวานทั้งหลาย ที่มันมีรสกับลิ้นกับความรู้ทางลิ้น
ทางกายก็ความสัมผัสคือผิวหนัง กับสิ่งที่มาสัมผัส กับความรู้สัมผัสไม่ว่าเย็นร้อนอ่อนแข็ง จะศึกษาหาความจริงของมัน
ทางใจคืออะไร ก็คือมโนคือใจที่รู้อยู่ กับธรรมารมณ์ที่มาสัมผัสทางใจคือเวทนา สัญญาคือความจำ สังขารคือความคิด
ทีนี้มันคิดมันก็จะคิดไปอยู่ ๓ ทาง ทางหนึ่งคือทางกุศล ทางหนึ่งคือทางอกุศล ทางอกุศลก็คิดไปเพื่อความเป็นตัวตนเพื่อความรักเพื่อความชัง อีกทางหนึ่งมันคิดไปทางที่ ๓ มันก็คิดไปเฉย ๆ ตามเหตุปัจจัยตามอะไรไปตามเรื่องตามราวของมัน แต่มันไม่ได้ไปทางรักทางชัง เพราะนั้นความคิดมันก็ออกไป ๓ ทางอีก เพราะนั้นเราก็ต้องศึกษาหาความจริงของใจ ความรู้ตรงนั้น แล้วก็ธรรมารมณ์ที่มันกระทบ
ถ้าเราตั้งตนไว้อย่างนี้ เรียกว่าตั้งตนไว้ชอบ เรียกว่าอัตตสัมมาปณิธิ แปลว่าตั้งตนไว้ชอบ ต้องตั้งตรงนี้ไว้ก่อน เป็นสัจจะบารมีก่อน เป็นจิตตะคือตั้งมั่นก่อน ฉันทะ วิริยะ วิมังสา มันจึงจะตามมา
ฉันทะคือความพอใจ วิริยะคือความเพียร เพียรที่จะศึกษาหาความจริงของจุดนั้น วิมังสาคือใคร่ครวญหาเหตุหาผล คือความจริงของจุดนั้นนั่นเอง ต้องตั้งไว้อย่างนี้ก่อน
โดยท่านพระอาจารย์วิชัย กัมมสุทโธ
ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนา
เรื่อง “แยบคายละอนุสัย (ตั้งตนไว้ชอบ)”
เทศน์ที่ สถานปฏิบัติธรรมป่าวิเวกสิกขาราม อ.พล จ.ขอนแก่น
วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗ (เช้า)
ถ้าเรารู้จักทำใจเฉย ๆ ปล่อยวาง
ได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น
พอใจว่าได้ฝึกหัดมีสติอยู่ทุกวัน ๆ
ได้ขัดเกลาอยู่ทุกวัน ๆ
นั่นแหละ วันหนึ่งมันก็ได้ผลเอง
การได้เจริญสติ ได้ฝึกหัด
ในที่สุดก็จะมีจิตใจที่ตั้งมั่น
จิตใจเมื่อมีสติสัมปชัญญะดีขึ้น
ก็จะรวมตัวไม่ออกไปข้างนอกมาก
จะรวมรู้เข้ามาสู่ภายใน
รู้ในกายในใจตัวเอง
พวกนักปฏิบัติก็ลองสังเกตสภาพจิตใจ
พอจิตรู้สึกเบาสบายขึ้น ผ่องใสขึ้น
สงบ แม้ว่ามันก็ยังมีวุ่น ๆ
อยู่บางครั้งบางขณะ
ก็ถือว่าเป็นธรรมดาก็ดูไป
ใจมันจะร้อนก็รู้ ใจมันเย็นลงก็รู้
สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ คิดนึกก็รู้
มันเป็นธรรมทั้งหมด
ความคิดนึกก็เป็นธรรม
เป็นธรรมชาติที่จะต้องตามดู
ตามรู้ความนึกคิด
ความตรึกอยู่เสมอ ๆ
แล้วจิตใจเขาก็ประกาศ
ตัวของเขาเองว่า เขาไม่เที่ยง
จิตนี่มันประกาศตัวของมันเอง
อยู่ตลอดเวลาว่า ไม่เที่ยง
เราก็จะคอยไปบังคับให้มันเที่ยงอยู่
ให้มันได้อย่างใจ ให้มันคงที่
เขาก็ประกาศตัวของเองว่า
เขาไม่เที่ยงนะ เขาเกิดดับนะ
เขาบังคับไม่ได้นะ
เขาไม่ใช่ตัวตนนะ
สภาวธรรมทั้งหลาย
มันประกาศตัวมันเองยู่ตลอด
ประกาศว่าไม่ใช่ตัวตน
บังคับไม่ได้ ไม่เที่ยง
เราก็จะไปบังคับให้มันเที่ยงให้ได้
จะให้มันได้อย่างใจให้ได้
มันก็เลยสวนทางกับ ความเป็นจริง
ไม่เห็นความจริง
ความจริงเขากำลังเปิดเผยอยู่
ไม่ดู ไม่ยอมรับ แล้วจะไปเอาอะไร
จะไปทำเพื่ออะไร
ทำก็เพื่อให้เห็นความจริงของธรรมชาติ
ของจิต ของกายว่า
มันเป็นสภาพที่ไม่เที่ยง
คือเปลี่ยนแปลง
เป็นธรรมชาติที่เป็นทุกข์
ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้
เป็นธรรมชาติที่บังคับไม่ได้
ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน
เขาก็ประกาศความเป็นอย่างนี้
อยู่ตลอดเวลา
ฉะนั้นก็จงดู รู้ และยอมรับ
กับความเป็นจริงของธรรมชาตินี้
ธัมโมวาท โดยพระวิปัสสนาจารย์
ท่านเจ้าคุณ พระภาวนาเขมคุณ
(หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี)
เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา
จิตใจจะตั้งมั่นอยู่กับเนื้อกับตัวได้ มีวิธีฝึกอันแรก ฝึกสมถะ ฝึกสมถะไปนะ พุทโธๆไปก็ได้ หายใจไปก็ได้ แล้วคอยรู้ทันจิตไว้ พุทโธ พุทโธ พุทโธไป แล้วคอยรู้ทันจิตไปเรื่อย อย่างนี้เป็นสมถะแบบง่ายๆ แบบง่ายๆที่พวกเราพอจะทำได้ เพราะฉะนั้นเราหัดพุทโธไป หัดหายใจไป พอจิตเราเคลื่อนไหว เรารู้ทัน จิตเคลื่อนไหว รู้ทัน ในที่สุดจิตจะสงบ จิตจะตั้งมั่น ไม่หนีไปแล้ว เพราะหนีไปทีไรถูกรู้ทุกที
จิตนี้เหมือนเด็กซน สติเหมือนพ่อแม่ พอเด็กจะหนีออกจากบ้าน พ่อแม่หันมาดูนะ เด็กมันกลับมาไม่กล้าไปเที่ยว เนี่ยสติก็เหมือนกัน มันคอยดู ดูจิตใจอยู่ พอจิตใจจะหนีไปคิดนะ สติรู้ทันไปเรื่อย จิตใจก็ไม่หนีไป จิตใจก็สงบ จิตใจก็ตั้งมั่นอยู่กับเนื้อกับตัวได้ นี่ก็วิธีหนึ่งนะ ไม่ยาก อันนี้ง่ายๆ ใครๆก็ทำได้ เพราะฉะนั้นพวกเราทั้งหลายนะ ลองดู หายใจเข้าหรือพุทโธเข้าก็ได้นะ แล้วก็คอยรู้ทันจิตไป พอจิตไหลไปแล้วรู้ ไหลไปแล้วรู้ ในที่สุดจิตจะตั้งมั่นขึ้นมา อันนี้เป็นวิธีทำสมถะที่ง่ายที่สุดแล้วนะ
สมถะอีกชนิดหนึ่งเป็นสมถะเต็มรูปแบบ อันนั้นทำยากแล้ว ในยุคนี้ที่มาเรียนกับหลวงพ่อ หลวงพ่อเห็นอยู่ไม่กี่คน มีไม่มากที่ทำสมถะเต็มรูปแบบได้ เห็นมีคุณดำเกิง มีอาจารย์วิชา อาจารย์วิชาเป็นลูกศิษย์อาจารย์วิริยังค์ทำอานาปานสติ คุณดำเกิงเป็นลูกศิษย์ท่านเจ้าคุณนรฯ ท่านก็ทำอานาปานสติเหมือนกัน พวกนี้เขาฝึกสมาธิ เขาฝึกกันทุกวัน หายใจไปนะ หายใจไป หัดใหม่ๆก็จะไปรู้ลมหายใจเข้า-ลมหายใจออก ลมหายใจเนี่ยเขาเรียกว่า “บริกรรมนิมิต” ไปรู้ลมหายใจ ไม่เอาสติไปที่อื่นแล้ว มีแต่สติอยู่กับลม แต่ว่าไม่เผลอตัว ไม่เคลิ้ม ไม่ลืมตัว รู้สึกตัวอยู่ แล้วก็เห็นร่างกายนี้หายใจ ใจเป็นคนดูอยู่ เห็นลมอยู่ เอาลมหายใจนี้เป็นอารมณ์
หายใจไปนะ ทีแรกลมหายใจจะยาว หายใจเป็นธรรมชาติเนี่ย เราจะหายใจยาว หายใจลึกนะ หายใจไปถึงท้องเลย ทีนี้พอเราหายใจไปเรื่อย จนเริ่มสงบ ลมหายใจจะสั้น สั้นๆนะ จนขึ้นมาอยู่ที่ปลายจมูกนี้หน่อยเดียว เพราะฉะนั้นพอลมมันละเอียด ลมมันสั้น ค่อยๆละเอียดๆนะ ใจนี้มันจะโล่งว่าง จะสว่าง มันจะรู้สึกสว่าง
ทำไมรู้สึกสว่าง เวลาคนนั่งสมาธินะ เลือดจะมาเลี้ยงสมองส่วนหน้านี้เยอะ ถ้าคนฟุ้งซ่าน เลือดจะไปเลี้ยงที่อื่น ไปเลี้ยงมือเลี้ยงเท้าบ้าง เลี้ยงปาก แต่พอจิตเริ่มสงบนะ เลือดมาอยู่ที่ตรงนี้เยอะ จะให้ความรู้สึกว่าสว่าง สบาย แต่ไม่ใช่ว่าสว่างขึ้นมาเพราะเลือดมาอยู่ที่หัวหรอกนะ อันนี้สำหรับมนุษย์นะ เทวดาเขาไม่มีเลือดนี่ เขานั่งสมาธิเขาก็สว่างได้เหมือนกัน พอจิตมันสงบมันก็จะสว่างขึ้นมา
ทีนี้สว่างทีแรกมันก็จะสว่างอยู่ตรงนี้ เป็นดวงขึ้นมา ให้เราดูดวงสว่างตรงนี้แทนลมหายใจ เพราะลมหายใจสั้น..จนลมหายใจหยุดไปแล้ว จะเป็นดวงสว่างขึ้นมา ใช้แสงสว่างตรงนี้แทนลมหายใจ ตัวนี้เรียกว่า “อุคคหนิมิต” ไม่ใช่บริกรรมนิมิตแล้ว ตัวลมเป็นแค่บริกรรมนิมิตนะ พอมันเป็นความสว่างเกิดขึ้น เป็นอุคคหนิมิต ใช้ความสว่างนี้เป็นอารมณ์กรรมฐาน หายใจไปเรื่อย..แต่มันไม่รู้สึกว่าหายใจเท่าไหร่ มันเหมือนหายใจทางผิวหนัง แต่ใจมันจะสว่าง รู้ในความสว่าง มันก็ใหญ่ๆขึ้นมาได้นะถ้าฝึกชำนาญ ถ้าไม่ชำนาญก็จะถลำลงไปในแสงแล้วก็เบลอไปเลย เคลิ้มๆไป ถ้าชำนาญก็จะขยับได้ ให้ใหญ่แค่ไหนก็ได้ ให้เต็มโลกก็ได้ จิตใจก็เริ่มมีปีติมีควาสุขขึ้นมา นี่ได้สมาธิ
พอมีสมาธิขึ้นมาแล้ว ก็ยังไม่หยุดอยู่แค่นั้น จิตมันยังตรึกมันยังตรองถึงดวงสว่างนี้อยู่ เรียกว่ามีวิตกมีวิจารอยู่ จิตยังไม่ละเอียดจริง เราเฝ้ารู้ไปนะ จิตมันสงบขึ้นมานี้ มันทิ้งการตรึกการตรองในตัวนิมิต ไม่เอานิมิตนะ มันกลับมารู้ที่จิตได้ จิตมันตั้งมั่นขึ้นมาเป็นตัวผู้รู้ขึ้นมา พอจิตตั้งมั่นเป็นตัวผู้รู้แล้ว มันจะเห็นว่ามีความสุขเกิดขึ้น มันมีความสุขอยู่แล้วล่ะ แต่ทีแรกมันหวือหวา มันไม่ดูความสุขนะ มันมัวแต่ไปดูนิมิต จิตมันเปลี่ยนจากการรู้นิมิตมาดูความสุขแทน ความสุขก็จะดับให้ดู เป็นอุเบกขาขึ้นมา มีปีติ มีสุข สุดท้ายจิตเป็นอุเบกขา แล้วทรงตัวเป็นผู้รู้อยู่ บางทีร่างกายหายไปเลย ไม่มีร่างกายแล้ว
ทีนี้พอออกจากสมาธิมาแล้วเนี่ย จิตที่ฝึกมาจนมีตัวผู้รู้นะ ตัวผู้รู้นี้ยังทรงอยู่ได้ บางคนทรงอยู่ได้นานเลย ถ้าสมาธิทำมานานนะ ทำมาปราณีตลึกซึ้ง ตัวผู้รู้จะทรงอยู่นาน ตัวผู้รู้ที่ทรงอยู่นานจะดูจิตไม่ได้ อย่าไปดูจิตนะเวลามันทรงตัวผู้รู้อยู่ มันจะไม่มีอะไรให้ดู มันจะว่างๆ ให้ดูกายไว้
เห็นร่างกายยืนเดินนั่งนอนนะ ใจเป็นคนดู มันจะดูได้ทั้งวันเลยคราวนี้ มันจะเห็นเหมือนคนอื่นเคลื่อนไหวตลอดวันตลอดเวลา มันจะรู้สึกอย่างนี้ อาจารย์เหน่งรู้สึกไหม มันจะรู้สึกเหมือนเห็นคนอื่นทั้งวัน ปัญญามันเริ่มเกิด จิตมีสมาธิเป็นผู้รู้ผู้ดู แล้วร่างกายเคลื่อนไหว สติรู้ทันความเคลื่อนไหวของกายด้วยจิตที่ตั้งมั่นเป็นแค่ผู้รู้ผู้ดู ปัญญาจะเกิด จะเห็นทันทีว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวเรา
เพราะฉะนั้นปัญญาเกิดได้ด้วย ๒ เหตุผล อันหนึ่งจิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดู อันที่สองมีสติระลึกรู้ลงไปที่กายก็จะเห็นว่ากายไม่ใช่ตัวเรา สติระลึกรู้ในเวทนาก็จะเห็นเวทนาไม่ใช่เรา สติระลึกรู้จิตทีเป็นกุศลอกุศลนะ ก็จะเห็นว่าจิตก็ไม่ใช่เรา สติระลึกรู้ เป็นตัวผู้รู้อยู่
ถ้าประคองไว้มากนะ เหมือนตัวผู้รู้เด่นดวงอยู่อย่างนี้ จะเห็นว่าทุกอย่างในโลกธาตุนี้ไม่เที่ยง ยกเว้นผู้รู้ พวกนี้ยังเดินต่อไม่ได้จริง ยังยึดตัวผู้รู้อยู่ จะเห็นตัวผู้รู้เที่ยง หลวงปู่หล้า ภูจ้อก้อ เคยสอนไว้นะ “ใครเห็นผู้รู้เที่ยง ยังเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่” เพราะฉะนั้นตัวผู้รู้เราก็ไม่ประคองไว้ มีตัวผู้รู้ก็สักแต่ว่าอาศัยไปรู้กาย รู้เวทนา รู้สังขาร รู้อะไรไป แต่เราไม่ประคองตัวผู้รู้
ถ้าเราไม่ประคองตัวผู้รู้ไว้ เราจะพบปรากฏการณ์อันหนึ่งว่า ตัวผู้รู้ก็ไม่เที่ยง ตัวผู้รู้เองเดี๋ยวก็เป็นตัวผู้รู้เดี๋ยวก็เป็นตัวผู้คิด ตัวผู้รู้เดี๋ยวก็เป็นตัวผู้รู้เดี๋ยวก็เป็นตัวผู้หลง เดี๋ยวก็เป็นตัวผู้รู้เดี๋ยวเป็นตัวผู้เพ่งนะ นี่มีความแปรปรวน ตัวผู้รู้เองไม่คงที่ ในที่สุดก็จะเห็นเลยนะว่า ขันธ์ทั้งหมดแม้กระทั่งตัวจิตเอง เกิดดับตลอด ไม่มีตัวไหนคงที่เลย
แต่การที่เราจะรู้ขันธ์ทั้งหลายแล้วเห็นความเกิดดับได้ จิตต้องตั้งมั่น จิตต้องเป็นกลาง ถ้าจิตถลำลงไปในอารมณ์ จะไม่เห็นหรอก ปัญญาจะไม่เกิด เพราะฉะนั้นจิตต้องตั้งมั่น บางคนถึงบอกว่าต้องทำสมาธิก่อน อันนี้ก็ถูกเหมือนกัน แต่ว่าไม่ใช่ ๑๐๐ เปอร์เซนต์ ไม่ใช่ทุกคนต้องทำสมาธิในรูปแบบก่อน บางคนทำไม่ได้ บางคนไม่มีวันทำได้นะ เพราะฉะนั้นบางคนต้องใช้ปัญญาก่อน ใช้ปัญญานำสมาธิ บางคนที่ทำสมาธิได้ก็ใช้สมาธินำปัญญา คนที่เชี่ยวชาญทั้งสมาธิและเชี่ยวชาญในการดูจิต จะใช้สมาธิและปัญญาควบกันได้ เพราะฉะนั้นมันมี ๓ แบบนะ การปฏิบัตินี้