ระลึกรู้หยุดนิ่งอยู่ในท่ามกลางกายในท้อง. มรรคเจริญให้มาก ทำให้มาก ให้ชำนาญ. ผู้รู้หรือธาตุรู้จิตดั้งเดิมแท้ ก็จะว่างจากสังขารการปรุงแต่งคิดนึกแบบชำนาญได้.
แล้วก็จะกลายสภาพเป็นธรรมชาติรู้ที่ว่างอิสระ และกลับคืนสู่ธรรมชาติรู้ว่างเดิมแท้ของตนล้วนๆและจะสิ้นอาสวะกิเลสได้ในที่สุด. เอวัง
..........................................
พระอาจารย์เจษฎา อาภากโร
.......... สติระลึกรู้หยุดนิ่งว่าง .......
ชีวิตนี้มีขึ้นมีลง. ความสุขความทุกข์ก็มีขึ้นมีลง. นี่แหละคือของไม่เที่ยง. นี่แหละชีวิต. นี่แหละสภาพชีวิตที่มันไม่เที่ยง. เป็นทุกข์ทรมานใจ. และหาความเป็นตัวของตัวเองไม่มีเลย.
ท่านจึงสอนให้ปล่อยวาง. ให้ใจเป็นอิสระจากชีวิตนี้. อยู่เหนือชีวิตนี้ได้. อยู่เหนือความสุขความทุกข์ได้. นั่นแหละใจที่อยู่เหนือได้.
ใจนั่นแหละสำคัญ. เป็นใจที่อยู่เหนือได้. ก็เป็นใจที่ประเสริฐเลิศล้ำสำหรับตน. และนั่นคือใจที่มีความเป็นธรรม. ไม่เอนเอียงซ้ายขวาไปในสุขทุกข์ ไปในชีวิตที่ไม่เที่ยงนั้น.
จงหยุดคิดปรุงแต่ง จงหยุดหลงไปตามความคิดปรุงแต่ง. และตั้งสติรู้อยู่ในท่ามกลางของที่สุดลมหายใจเข้าออก. ระลึกรู้อยู่ที่นั่น. เพื่อเข้าสู่ภาวะธาตุรู้ว่างดั้งเดิมแท้แห่งตนนั้น. และจะมีความสุขที่แท้จริงเกิดขึ้น
เป็นสุขที่ไม่ต้องอิงอาศัยการปรุงแต่งคิดนึก. หรือ รูปเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนั้น
.......... หยุดคิดถึง ถึงพุทธะ .......
เราไม่ควรที่จะปล่อยตัวปล่อยใจ. ให้วิ่งโลดแล่นไปตามสิ่งต่างๆในภายนอก. หรือไปตามบุคคลทั้งหลาย. และแม้จะเป็นหมู่มิตรญาติมิตรเพื่อนฝูงของเราก็ตามที. ที่เค้าไม่ได้ใฝ่ในศีลในธรรมนั้น. เราอย่ามัวไปเสียเวลากับเค้าเลย ......
........ และเราก็ต้องการความเป็นตัวของตัวเอง แบบธรรมะ แบบหลุดพ้นไปจากเครื่องพันธนาการทั้งหลายในโลก. ก็ควรแล้วที่เราจะเรียนรู้. หยุดวิ่งตามเขาซะ. หยุดแม้กระทั่งความคิดนึกปรุงแต่งต่างๆในใจของเราเสียด้วย .....
......... หยุดรู้เข้ามาที่ตัวเรา หยุดรู้อยู่ในกายในใจของเรา. หยุดความหลง หยุดความคิดปรุงแต่งถึงสิ่งทั้งปวง หยุดคิดถึงบุคคลทั้งหลายเสียให้ได้. และเมื่อนั้นเราถึงจะเป็นพุทธะที่แท้จริงในใจเราได้ ....
.......... คือพุทธะที่รู้ตื่นเบิกบาน. เป็นอิสระภาพจากความคิดปรุงแต่งฝัน ปรุงแต่งอารมณ์ต่างๆทั้งปวงในใจของเรานั่นแหละ คือพุทธะที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้. อุบัติขึ้นในใจของเราได้ด้วยอาการเช่นนี้. ให้รู้จักพิจารณากันอย่างนั้น. เอวัง
.........................................
พระอาจารย์เจษฎา อาภากโร
.......... พุทธะบริสุทธิ์นิ่งเป็นใบ้ .........
ธรรมะสติปัญญาเกิด. สติสัมปชัญญะเกิด คุ้มครองดูแลรักษาจิตใจตนเอง ให้ปราศจากความลุ่มหลงมัวเมาในร่างกายและความคิดปรุงแต่งต่างๆทั้งปวงนั้น และลุถึงพุทธะภาวะดั้งเดิมแท้บริสุทธิ์ ซึ่งปราศจากความคิดปรุงแต่งดีและชั่วร้ายนั้นได้ .....
......... ขณะที่เรารู้เห็นความเคลื่อนไหวของความคิด. ก็คือขณะที่เรารู้ เราเห็น ความเคลื่อนไหวของความคิดนั้นเท่านั้น. แต่ของจริงนิ่งเป็นใบ้นั้นเราจะเห็นได้อย่างไร. ก็ต่อเมื่อเรารู้จักปล่อยวางความเคลื่อนไหวให้ขาดสะบั้นลงไปเท่านั้น. เราถึงจะเห็นของจริงนิ่งเป็นใบ้ นั้นได้ .......
.......... และที่เราบอกว่า เรารู้จักปล่อยวางความคิดออกไปแล้ว. แต่เราไม่เห็นของจริงนิ่งเป็นใบ้ตรงนั้น. นั่นหมายถึงสติ ปัญญา มรรคไม่สมดุลย์กันนั่นเอง. จึงไม่เห็น. ถ้ามรรค สติ ปัญญา สมดุลย์กันเราจะเห็น ......
.......... ขณะที่เราเห็นความคิดเคลื่อนไหวนั้น. นั่นคือการบำเพ็ญมรรค สติสัมปชัญญะ สติ ปัญญา มรรคนั้น เราก็ทำหน้าที่ รู้แจ้งปล่อยวางความเคลื่อนไหวของความคิดนั่นแหละให้ขาดตอนลงไป ขาดตอนลงเป็นระยะๆไป. เราจึงจะพบกับความไม่เคลื่อนไหวของพุทธะภาวะจิตดั้งเดิมแท้บริสุทธิ์บริบูรณ์. ของจริงนิ่งเป็นใบ้ตรงนั้นได้. ให้เรารู้จักยังงั้น. เอวัง
...........................................
พระอาจารย์เจษฎา อาภากโร
........ สรรพสิ่งเปลี่ยนแปลงไป .......
สรรพสิ่งเมื่อมีความเกิด ย่อมเปลี่ยนแปลงไปเสมอ. หาความเที่ยงแท้แน่นอน ย่อมไม่ได้เลย. คำว่าสรรพสิ่งทั้งหลาย ย่อมเปลี่ยนแปลงไปนั้น. นั่นก็คือสิ่งทั้งหลายในโลก. รวมทั้งร่างกายและความคิดปรุงแต่งต่างๆในใจของเราด้วยนั่นแหละ ไม่เที่ยงเปลี่ยนแปลงไปเสมอๆ ....
......... ย่อมเกิดดับสลายไปเสมอๆ. มันไม่สามารถที่จะอิงอาศัยอะไรกับมันได้เลย. ดังนั้นแล้วมันจะเป็นที่พึ่งที่แท้จริงให้เราไม่ได้หรอก. ไม่เที่ยงตลอดกาลไปเช่นนั้นแหละ. มีความคิด แต่งต่างๆทั้งปวงในใจของเราเป็นต้น ....
......... สรรพสิ่งย่อมเปลี่ยนแปลง เกิดดับสลายไปเช่นนั้น. มีร่างกายและความคิดปรุงแต่งต่างๆในใจของเราเป็นต้น. แต่การทำใจให้ว่างอิสระจาก สิ่งเปลี่ยนแปลงทั้งหลายเสียได้. นั่นแหละเป็นการดีที่สุด. นั่นก็คือความพ้นทุกข์นั่นเอง ....
.......... เจริญสติเป็นวิหารธรรม .......
ผู้เจริญธรรม เพื่อบรรลุมรรคผลนิพพาน เพื่อสิ้นทุกข์นั้น. จำเป็นต้องรู้จักสำรวมเจริญสติรู้กายในทุกๆอิริยาบถ. เมื่อมีโอกาสเราก็สำรวมปฏิบัติอยู่ในรูปแบบ การเดินจงกรมนั่งสมาธิด้วย. เจริญสติแนบรู้อยู่ที่กายเป็นวิหารธรรมอยู่อย่างนั้นแหละ ....
......... เมื่อเราชำนาญทางสติที่แนบรู้กายเคลื่อนไหวยืนเดินนั่งนอนทั้งวันเช่นนั้น แบบชำนาญได้. สมาธิพลังอันว่างอิสระจากนิวรณ์ห้าอารมณ์ต่างๆก็จะอุบัติเกิดขึ้นได้. ปัญญาที่เราจะน้อมจิตพิจารณาอะไร มันก็จะชัดเจนขึ้น .....
......... จิตที่สงบตั้งมั่นนั้นแหละ มันเป็นเหตุปัจจัย ให้พิจารณา เกิดความรู้แจ้งขึ้น. และก็จะปล่อยวางอารมณ์กิเลสสรรพสิ่งทั้งปวงที่เปลี่ยนแปลงที่ไม่เที่ยงนั้นได้. ใจก็จะเป็นอิสระภาพมีความสุขหรรษารื่นเริงด้วยสภาวะวิมุตติธรรมแห่งตนนั้นได้. เอวัง
...........................................
พระอาจารย์เจษฎา อาภากโร
.........บรรลุฌาน.หมิ่นประมาท.........
คน ฤาษี พระ บรรลุฌานที่แท้จริง ต้องสามารถนั่งนิ่งเฉยๆๆอยู่ได้ ใจไม่ทุรนทุราย. ต้องสามารถนั่งไม่ต่ำกว่า หนึ่งชั่วโมงขึ้นไป สอง สามชั่วโมง กายไม่ขยับไปไหนได้เลย.....หรือนั่งไม่ขยับกายทั้งวันทั้งคืนก็ได้. นั่นคือ คน ฤาษี พระ ที่ได้ฌาณที่แท้จริง. จะไม่พรั่นพึ่งต่อความเจ็บปวดทางร่างกายเลย ไม่กลัวตายเลย...จะไม่กังวลกับกาลเวลา อดีตอนาคต โลกภายนอกทั้งปวงเลย. จะไม่กังวลกับ ความคิดปรุงแต่ง สัญญาอารมณ์กิเลสมารทั้งปวงเลย......
......... จิตใจจะมีตบะธรรมแข็งกล้า ไม่กลัวเจ็บ ไม่กลัวตาย มีความเพียร มีความอดทนสูง. จะมีใจสงบนิ่งประกอบไปด้วยวิตกวิจารณ์ปีติสุขเอกัคตาจิต. หรือความสงบนิ่งดิ่งลึกอยู่ในท่ามกลางกายและใจนี้อย่างเดียว.....จิตใจจะไม่มีการหลุดออกจากร่างกายนี้ไปไหนเลย. นั่นคือ คน พระ ฤาษี ที่ได้ฌาณที่แท้จริง. จะมีสามารถทำได้เช่นนี้.....
......... เมื่อมีฌาน ญาณถึงจะมีได้. เมื่อไม่มีฌาณ ญาณก็ไม่มี..เมื่อฌาณเสื่อม ญาณก็เสื่อม ใจก็เสื่อม...ถ้าเป็นวิมุตติธรรมญาณ หลุดพ้นจากความคิดปรุงๆๆๆอารมณ์ๆๆๆทั้งปวงในโลก ก็ไม่เสื่อม........
----------------------------
ถ้าทำไม่ได้เช่นนี้..มีแต่ ความคิด คาดการเอาเองทั้งนั้น. แล้วก็หมิ่นประมาท พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ของพระพุทธเจ้าอีก...หมิ่นประมาทดูถูก ดูแคลน ครูอาจารย์ผู้ทรงธรรมอีก คิดว่าท่านไม่รู้ท่านไม่เก่งเท่าเรา. ฉันนี่ปัญญาใบ้เลยนะ วิเคราะห์โลกจักรวาลทะลุปรุโปร่งเลย รู้พระคัมภีร์ทะลุปรุโปรงหมด.....
........ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์เขาให้แสงสว่างมาตั้งนานแล้ว ใครเค้าก็รู้กันทั่วไป. จะอัศจรรย์อะไรกับความรู้ชนิดนั้น นักวิทยาศาสตร์เขาก็รู้กันดี....
....... แล้วสู่ก็ยังไม่รู้ตัวอีก ยังผยองลำพองใจไม่หยุด. เมื่อไหร่สู่จะหลุดพ้นไปจากความคิดปรุงแต่งอันมืดมน สัญญาอารมณ์กิเลสมารทั้งปวงได้ล่ะ.....เมื่อไหร่สู่จะหลุดพ้นไปจากความโง่ และความฉลาดได้ล่ะ.....
----------------------------
แต่ความรู้ความหลุดพ้นอยู่เหนือโลก อยู่เหนือจักรวาลนี้สิ.อยู่เหนือความคิดปรุงแต่งสัญญาอารมณ์กิเลสมาร ที่มีต่อโลกต่อจักรวาลนั้นน่ะ. เป็นภาวะไม่เกี่ยวข้องกับ ความคิดปรุงแต่ง กับโลกและจักรวาลนี้อีกเลย. รู้จักไหมล่ะ.......
........อันความหลุดพ้นนั้นคือวิมุตติธรรมญาณ ฟ้ากฝั่งพระนิพพานนั้น. อยู่เหนือโลก อยู่เหนือจักรวาล อยู่เหนือความคิดปรุงแต่งถึงโลกจักรวาลทั้งปวง...เมื่อไหร่สู่จะรู้จักได้. เมื่อไหร่สู่จะเข้าถึงได้ล่ะ. ซึ่งเป็นภาวะหมดภพหมดชาติ. หมดความคิดปรุงแต่งสัญญาอารมณ์กิเลสมารทั้งปวง.....เป็นภาวะหมดความโง่ หมดความฉลาดทั้งปวง สู่รู้จักหรือเปล่าล่ะ. เมื่อยังไม่รู้จัก อย่าผยองลำพองใจเลย. เอวัง
----------------------------
พระอาจารย์เจษฎา อาภากโร
......... ทางพ้นทุกข์เหตุให้เกิดทุกข์ .........
จิตที่ว่างอิสระเสรีภาพ แบบวิชชา แบบวิมุตติธรรม แบบพระอริบุคคลที่ท่านรู้แจ้งกันนั้น. ตั้งแต่พระโสดาบันบุคคลเป็นต้นไปนั้น. ก็คือขณะที่ความคิดปรุงแต่งเกิดขึ้น. เราก็ว่างอิสระจากมันได้. นั่นแหละให้รู้จักยังงั้น .....
.......... พระโสดาบันก็ว่างตามส่วน. พระอริยบุคคลชั้นสูงขึ้น ก็ว่าง อิสระจากความคิดปรุงแต่งกิเลสมารต่างๆในดวงใจมากขึ้นนั่นแหละ. นี้เรียกว่า ว่างในสิ่งที่มันมีอยู่ปรากฏอยู่นั่นแหละ. แต่เป็นอิสระจากมันได้เท่านั้น ให้รู้จักกันยังงั้น ......
.......... ปัญหาที่ใหญ่โตมโหฬารหรือปัญหาที่เล็กน้อยนั้น. มันล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่ที่กิเลสและความคิดปรุงแต่งทั้งหลายทั้งปวงในดวงใจของเรานั่นแหละ. และหนทางพ้นทุกข์ พ้นไปจากเหตุให้เกิดทุกข์ในใจนั้น. มันก็ขึ้นอยู่ที่การฝึกหัดเจริญสติให้มากๆนั่นแหละ .....
...... ฝึกหัดกำหนดรู้ทันกิเลสและความคิดในใจให้ได้ นั่นแหละ. และขณะเดียวกันก็มีสัมปชัญญะ รู้ตัวทั่วพร้อมทั้งร่างกายด้วย. และรู้ตัวสติที่กำหนดรู้กิเลสความคิดนั้นด้วย. นั่นแหละเราจะพบกับใจพุทธะภาวะที่เป็นอิสรภาพและบริสุทธิ์หมดจดได้ ด้วยอาการเช่นนี้ ......
.........ให้เรารู้จักกันอย่างนั้นนี่คือหนทางพ้นทุกข์. พ้นไปจากเหตุกิเลสและความคิดในดวงใจของเรานั้น. ขณะที่ใจมันนึกมันคิด ขณะนั้นมันก็ไม่รู้ตัวเอง. ขณะที่ใจรู้ตัวเองหรือรู้ตัวเองอย่างเต็มที่. ขณะนั้นมันก็ไม่นึกไม่คิดอะไร. นั่นแหละให้รู้จักใจแท้ๆ ใจที่แท้จริงของตนเป็นเช่นนั้น. เอวัง
.........................................
พระอาจารย์เจษฎา อาภากโร
จิตถูกจองจำอยู่ในโลกธาตุ
ร่างกายนี้ก็คือโลกธาตุนั่นแหละ จิตใจถูกจองจำอยู่ในโลกธาตุนั้นมายาวนานแสนนาน นับภพนับชาติไม่ถ้วน ถูกจองจำเพราะอวิชชา ความไม่รู้แจ้งโลกธาตุนั้นตามความเป็นจริง เมื่อไม่รู้แจ้งโลกธาตุตามความเป็นจริง จึงเป็นปัจจัยเกิดเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ขึ้นมา และเป็นปัจจัยให้เกิดกิเลสตัณหา อุปทาน ความยึดมั่น ความทุกข์ใจต่าง ๆ นานาขึ้นมา จะได้อยู่อย่างสงบในโลกธาตุนั้น จะได้ไม่ปั่นป่วนไปตามโลกธาตุ เมื่อถึงเวลามันแปรปรวน เจ็บไข้ได้ป่วยอย่างแสนสาหัสขึ้นมา
จิตใจที่จะอยู่อย่างสงบภายในโลกธาตุ คือร่างกายนั้นได้ จะต้องเป็นผู้ที่รู้แจ้งโลกธาตุ คือร่างกายนั้น ตามความเป็นจริงเท่านั้น และถอนอุปทาน ความลุ่มหลง ความยึดมั่นให้ได้อย่างเด็ดขาดเท่านั้น จิตใจถึงจะอยู่อย่างสงบเงียบงันจากโลกธาตุ คือร่างกายนั้นได้ จะอยู่ต่างกัน ต่างจริง ไม่เป็นสิ่งเดียวกันได้ ไม่เป็นอันเดียวกันอีกต่อไป คือจิตใจนั้นจะเป็นวิมุตติธรรมขึ้นมาได้ เมื่อจิตใจเป็นวิมุตติธรรมขึ้นมาได้ จิตใจก็จะพ้นทุกข์ได้เท่านั้น .....
ผู้มีปัญญาควรกำหนดรู้พิจารณาโลกธาตุ คือร่างกายนั้นให้เป็นวิหารธรรม เครื่องรู้เครื่องอยู่ ของจิตใจ สติปัญญาตนเสมอ จึงเรียกว่าไม่ประมาท กำหนดรู้พิจารณาอยู่เสมอว่า ไม่น่าลุ่มหลง ไม่ได้ยึดมั่น ไม่น่ายินดียินร้าย ลุ่มหลง ยึดมั่นอยู่กับมัน เพราะเมื่อถึงเวลาแล้ว โลกธาตุคือร่างกายนั้น จะต้องแปรปรวน เจ็บปวดทรมาน และจะต้องแตกดับในที่สุด
จิตใจของเราผู้กำหนดรู้พิจารณาอยู่เสมอ ๆ จะได้รู้แจ้งตามความเป็นจริง จะได้ปล่อยวางได้ตามความเป็นจริง เมื่อฝึกจิตจนเป็นวิมุตติธรรมได้แล้ว จิตนั้นจะไม่หวั่นไหวในโลกธรรม ไม่หวั่นไหวในสิ่งทั้งปวงได้อย่างแท้จริง จิตนั้นจะไม่วิ่งโลดแล่นไปตามความคิดปรุงแต่งฝันต่าง ๆ ด้วยความลุ่มหลง ใฝ่ฝันไม่มีจบไม่มีสิ้นเช่นนั้นอีกต่อไป .....
ไม่มีสิ่งใดจะเป็นวิมุตติได้ นอกจากจิตดั้งเดิมแห่งตน จิตเดิมแท้นั่นแหละเป็นวิมุตติธรรมได้ แต่เราต้องอาศัยฝึกสติให้เป็นมหาสติ ฝึกสมาธิให้เป็นมหาสมาธิ ปัญญาให้เป็นมหาปัญญาให้เกิดขึ้นมาให้ได้ และกำลังของมหาสติ มหาสมาธิ มหาปัญญาสมดุลย์นั่นแหละ จะทำให้จิตถึงฝั่งฝันแห่งวิมุตติธรรมล้วน ๆ ได้ เรียกว่าวิมุตติธรรมแห่งจิตเดิมแท้ของตนนั่นเอง วิมุตติธรรมไปเป็นลำดับ ระดับพระโสดาบันบุคคลก็มีวิมุตติธรรมชั่วคราว ให้ได้สัมผัสจับต้อง แบบหายสงสัยได้เหมือนกัน แต่สิ่งที่เป็นเครื่องวัดว่าสำเร็จโสดาบันบุคคล คือประหารสังโยชน์ทั้งสามได้ ประหารความเห็นผิดว่าขันธ์ ๕ เป็นตน ตนเป็นขันธ์ ๕ ได้
จิตคือตนที่แท้จริงนั้น เป็นวิมุตติธรรมได้ คือเป็นอิสระจาก ขันธ์ ๕ ได้นั่นเอง เป็นอิสระจากร่างกาย เป็นอิสระจากความคิดเป็นต้น เมื่อรู้ว่าเป็นอิสระ ก็รู้ชัดว่าเป็นอิสระจากกาย จากความคิดได้ นั่นแหละคือสภาวะแห่งวิมุตติจิตล้วน ๆ แล้วก็รู้ว่าตนไม่มีความเห็นผิดว่ากายเป็นตน ว่าขันธ์ ๕ ว่าความคิดเป็นตน ตนก็คือตน ไม่ใช่กายไม่ใช่ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ความคิดแม้แต่อย่างใดเลย เอวัง
............................………………
พระอาจารย์เจษฎา อาภากโร
วัดป่าบุญธรรม ( บ้านหนามแท่ง )
........ เหตุแห่งสติตามรู้กาย .......
แม้กาลเวลาสิ่งทั้งหลาย จะเปลี่ยนแปลงไป แต่จิตใจคนเราไม่ควรเปลี่ยนแปลงไปกับสิ่งทั้งหลายนั้น. แต่จิตใจคนเราควรตั้งมั่นอยู่กับธรรมะนั้นเสมอๆ. ธรรมะนั้นก็คือ สติรู้ตัวตั้งมั่นสมาธิปัญญานั้น ....
.......... เหตุแห่งการเจริญสติแนบรู้ไว้กับกายทั้งวัน. เหตุแห่งการมีสติตามลมหายใจเข้าออก. เหตุแห่งการมีสติบริกรรมพุทโธ. สิ่งที่เราจะได้รับ. ก็คือความสงบระงับดับสังขารการปรุงแต่งคิดนึก ดับนิวรณ์ทั้งห้าประการได้นั่นเอง. และจะเกิดปัญญาญาณ บรรลุ. ถึงความบริสุทธ์พุทธะวิมุตติธรรมนั่นเอง. ไม่ใช่อย่างอื่นใด ....
..........เราก็ทำอย่างนั้นแหละ. ทำให้มากเจริญให้มากต่อไป. การกระทำอย่างนั้นน่ะ. มีสติตามรู้ลมหายใจเข้าออก บริกรรมพุทโธนั้นเป็นต้น. อีกอย่างหนึ่ง สติสัมปชัญญะความรู้ตัวก็จะเจริญขึ้น เมื่อสติสัมปชัญญะเจริญขึ้นเช่นนั้น. มันก็จะเป็นเหตุให้จิตเกิดสมาธิความตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวในอารมณ์ทั้งปวง. และเกิดสติปัญญารักษาจิตใจของเราไม่ให้ลุ่มหลงในสิ่งอื่นใดได้. เอวัง
...........................................
พระอาจารย์เจษฎา อาภากโร
........ จิตที่ฝึกดีแล้วนำสุขมาให้ .......
ไม่มีสิ่งอื่นใด ที่จะดียิ่งไปกว่า การฝึกจิตแล้วไม่มีหรอก. จิตที่ฝึกดีแล้วเท่านั้นจะนำความสุขมาให้ตนได้. เช่น ทุกขเวทนา สุขเวทนาเกิดขึ้นในร่างกายนั้นน่ะ. เราจะฝึกจิตให้อยู่เหนืออำนาจ ทุกข์เวทนา สุขเวทนาในร่างกายในจิตใจนั้นได้อย่างไร .....
......... ไม่ใช่เจ็บปวดอะไรนิด อะไรหน่อย. ก็อวดครวญ ไม่มีความอดทนเลย. และไม่เข้าใจเจริญสติสมาธิปัญญา ในท่ามกลางสุขทุกข์เวทนานั้น. จิตใจของเรา มันก็จะต้องหวั่นไหวทุกข์ใจไปด้วยนั่นแหละ ....
......... ฝึกจิตให้อยู่เหนือรูปร่างกายได้. ฝึกจิตให้อยู่เหนือสุขทุกข์เวทนาในร่างกายในจิตใจได้. ฝึกจิตให้อยู่เหนือสัญญาอารมณ์ความคิดปรุงแต่งต่างๆทั้งปวงได้. ฝึกจิตให้อยู่เหนือกิเลสมารต่างๆในขันธ์ทั้งห้าได้. นั่นแหละคือยอดมนุษย์ .....
......... จิตที่ฝึกดีแล้วเท่านั้น. จึงจะนำความสุขมาให้ตนได้. แต่เป็นสุข จากการปล่อยวาง เป็นอิสระจากกิเลสมาร และขันธ์ความคิดปรุงแต่งต่างๆได้. ไม่ใช่สุขเผาลนด้วยกิเลสตันหาซาตาน พึงเข้าใจเช่นนั้น ....
......... เช่นพระอริยเจ้าทั้งหลาย. ท่านสามารถ ฝึกจิตให้อยู่ เหนืออำนาจ ของรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณขันธ์ได้. ฝึกจิตให้อยู่เหนือกิเลสมารอย่างเด็ดขาดสิ้นเชิงได้ .....
......... ท่านจึงอยู่สุขสบายได้ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า. ไม่เดือดร้อนวุ่นวายสับสน เพราะกิเลสเผาลน เพราะรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์นั้นเลย. ไม่เหมือนพวกเรา วุ่นวายสับสนทุกข์ใจ เพราะไฟกิเลส ราคะโทสะโมหะและขันธ์ห้านั้นตลอด. เอวัง
...........................................
พระอาจารย์เจษฎา อาภากโร
........ สติรู้ตัวและความเข้มแข็ง .......
แม้หนทางนั้นจะยาวไกล. ในบางกาลบางเวลานั้น บางครั้งเราจำเป็นต้องเดินไปคนเดียว. แต่ก็ไม่เป็นอะไรหรอกที่เราจะเดินก้าวไปคนเดียวอย่างนั้น. เพราะเรามีความเพียรพยายาม มีความอดทนอดกลั้น มีความเข้มแข็งประจำใจอยู่เสมอ. ที่จะประคับประคองตนให้ก้าวเดินไปอย่างองอาจกล้าหาญ .....
......... ไม่หวาดหวั่นพรั่นพรึง ต่อพยันอันตรายใดๆทั้งนั้น กล้าเป็นกล้าตายเสมอ ยอมสละชีวิตได้เสมอ เพื่อบรรลุถึงประโยชน์อันสูงสุดนั้น. การไปพระนิพพาน การบรรลุธรรม ก็เป็นเช่นนั้นแหละ เราต้องไปตามลำพังจิตคนเดียว. เราเอาใครไปด้วยไม่ได้หรอก .....
........ สติแนบรู้ๆๆๆกายๆๆๆไม่ใช่กิเลสและความคิดปรุงแต่งทั้งหลายทั้งปวงนั้น. การที่เราจะปลดปล่อยดวงจิตของเราให้เป็นอิสระ จากความลุ่มหลง จากกิเลสความคิดปรุงแต่งต่างๆทั้งปวงได้นั้น เราต้องเจริญสติแนบรู้กายให้มาก ....
........ ต้องรู้จักอยู่กับภาวะสติแนบรู้ๆๆๆกายๆๆๆนั่นแหละให้ลึกซึ้งอย่างยิ่ง. เราจึงจะปลดปล่อยดวงจิตของเรานั้นให้เป็นอิสรภาพจากกิเลสความคิดปรุงแต่งต่างๆได้. และจะเป็นพุทธะผู้รู้ตื่นเบิกบาน อยู่เหนืออารมณ์กิเลสความคิดปรุงแต่งต่างๆทั้งปวงนั้นได้. พึงเข้าใจเช่นนั้นเราทั้งหลาย. เอวัง
...........................................
พระอาจารย์เจษฎา อาภากโร
วัดป่าบ้านหนามแท่ง
........ อย่าประมาทคำพูดท่าน........
ที่บอกให้ใช้คำภาวนาพุธโธๆๆๆๆสอนให้พุธโธๆๆพุธโธ. ก็เพราะว่ามันชอบเผลอใช่ไหมล่ะ. ตั้งสติดูลมหายใจเข้าออก. แล้วมันชอบเผลอใช่มั้ยล่ะ. คนภาวนาจริงๆจังๆ มันย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจดีนะ. ว่ามันชอบเผลอใช่ไหมล่ะ .....
..........ใจมันไม่เป็นมหาสติมหาสัมปชัญญะที่ยิ่งยวด. มันจะต้องเผลอวันยังค่ำ. เมื่อเป็นดังนั้น คำบริกรรมมันจำเป็นมากๆๆ. คำบริกรรมภาวนาบริกรรมพุทโธๆๆๆๆมันจำเป็น. ท่านสอนอย่างนี้. ถ้าสู่ปฏิบัติจริง สู่ก็ลองสังเกตุดูสิ มันชอบเผลอไหม. ถ้ามันชอบเผลอ นั่นแหละต่อไปจิตมันจะเสื่อมละ ......
.......... ครูบาอาจารย์ ท่านสอนให้ตั้งสติ ให้เจริญสติเพื่อให้เกิดสมาธิ. เพื่อให้เกิดปัญญา ปล่อยวางขันธ์ห้า ปล่อยวางความคิดปรุงแต่งทั้งหลาย. มันผิดตรงไหนล่ะสู่ทั้งหลาย ....
.......... ถ้าไม่เชื่อก็อย่ามาประมาทคำพูดท่าน. อย่าประมาทคำพระสาวก คำครูอาจารย์ สู่ทั้งหลาย นับถือพระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม. และพระอริยสงฆ์ไปที่ไหน .....
......... สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ มันขาดรัตนะใด รัตนะหนึ่งไม่ได้ทั้งนั้นแหละ. นั่นคือขาดความอ่อนน้อมถ่อมตน. แล้วมันจะไปรอดหรือ. คุณธรรมคือความอ่อนน้อมถ่อมตนไปที่ไหนล่ะสู่ทั้งหลาย. เอวัง
...........................................
พระอาจารย์เจษฎา อาภากโร
วัดป่าบ้านหนามแท่ง
......... ลึกซึ้งถึงสติสัมปชัญญะ .......
ถ้าเราลึกซึ้งถึงสติสัมปชัญญะที่แนบรู้อยู่กับร่างกายตลอดกาลเวลา. เคลื่อนไหวยืนเดินนั่งนอนทั้งวันได้เช่นนั้น. เราพึงหวังการชนะอารมณ์กิเลสความคิดปรุงแต่งต่างๆทั้งปวงในดวงใจของเรานั้นได้ ให้พึงเข้าใจเช่นนั้น ......
.......... การที่เราจะลึกซึ้งถึงสติสัมปชัญญะที่แนบรู้อยู่กับร่างกาย. ตลอดกาลเวลาเคลื่อนไหวยืนเดินนั่งนอนทั้งวันได้เช่นนั้น. มันก็เกิดขึ้นจากการที่เรา จะต้องเข้าใจความหมายของ คำว่า เจริญให้มากทำให้มากเสียก่อนนั่นแหละ ....
.......... หมั่นทำความรู้ตัวเต็มที่อยู่ที่ร่างกายเสมอๆๆตลอดเวลาทุกวินาทีที่เกิดดับสลายไป นั่นแหละ เราจึงจะเอาชนะอารมณ์กิเลสความคิดปรุงแต่งต่างๆทั้งปวงในดวงใจของเรานั้นได้ให้เข้าใจเช่นนั้น. เอวัง
........ พระผู้เฒ่า...ที่ไม่มีวันตาย .......
........... รู้ตัวล้วนๆกับรู้คิดปรุงแต่ง .........
รู้ตัว กับ รู้คิด หรือรู้ตัวกายล้วนๆ กับรู้คิด. หรือรู้ตัวจิตเดิมแท้ล้วนๆ กับรู้คิดปรุงแต่งทั้งหลาย. มันต่างกันนะ. ถ้าเราอยู่กับรู้คิดปรุงแต่ง. มันก็จะปรุงแต่งเป็นกิเลส เป็นวัฏวนวัฏสงสารเป็นทุกข์ใจไปเรื่อยนั่นแหละ. และมันก็ชอบคิดปรุงแต่งเป็นกิเลส หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆนั่นแหละ. เพราะเราไปอยู่กับรู้คิดปรุงแต่ง .......
......... แต่ถ้าเราอยู่กับรู้ตัว กายล้วนๆหรือรู้ตัวจิตเดิมแท้ล้วนล้วนได้ นั่นก็ยิ่งดีมาก. จิตมันก็จะหลุดพ้นจากการปรุงแต่งคิดนึกของกิเลสมารทั่งหลายได้. ให้รู้จักอยู่กับรู้ตัวกายล้วนๆให้แน่นแฟ้นเสียก่อน. ต่อไปจิตก็จะเข้าถึงการรู้ตัวจิตเดิมแท้ล้วนๆได้. และเมื่อนั้นจิตนั้นก็จะปราศจากความหลง ปราศจากความคิดปรุงแต่งกิเลสมารต่างๆครอบงำได้ ให้เข้าใจเช่นนั้น. เอวัง
.........................................
พระอาจารย์เจษฎา อาภากโร
วัดป่าหนามแท่ง
....... ภาวนาเคลียใจทุกวัน ........
ความเพียรพยายาม และความอดทนอดกลั้น บากบั่นมั่นคง ในการทำคุณงามความดีทั้งหลายทั้งปวงนั้น. ตามสายทางของธรรมะคำสอนนั้น. ท่านเรียกว่า เป็นการบำเพ็ญ วิริยะบารมี และขันติบารมีของเรา. ดังนั้นเราจงศรัทธาในบำเพ็ญบารมีของเราให้มั่นคงถิด
ดังนั้นเราจงบากบั่นมั่นคงอดทนอดกลั้นพากเพียรพยายามไปเถิด. แม้ความดีนั้นจะเล็กน้อย จะน้อยนิด ก็ไม่มองข้าม. นั่นแหละคำสอนของบัณฑิต คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านสอนไว้ว่า นั่นแหละคือความไม่ประมาทในการทำคุณงามความดีทั้งหลายให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท. จงจำไว้เราทั้งหลายผู้อ่อนแอท้อแท้ท้อถอยเอ่ย
การภาวนาทุกๆวันนั้น. ก็คือการหมั่นเคลียร์ใจของเราทุกๆวันนั่นเอง. เคลียใจที่มันติดขัดติดข้องยึดมั่นทุกข์ใจนั่นแหละ.
การเจริญสติภาวนา สมาธิภาวนาไป ปัญญาภาวนานั้น ก็เพื่อเคลียร์ใจที่มันติดข้องติดขัดทุกข์ใจนั่นแหละ ไม่ใช่อะไรอย่างอื่นเลย
เคลียร์มันออกไปจากใจ. ให้ใจนั้นมันโล่งเบาสบายใสสะอาดบริสุทธิ์ขึ้นมา. เป็นใจปราศจากความติดข้องติดขัดทุกข์ใจ. นั่นแหละคือใจที่พ้นทุกข์. เอวัง
.................................................
....... จิตยึดจึงมาอยู่กับสังขาร .....นั่นแหละ
เพราะจิตยึดสังขารร่างกาย ว่าเป็นตน. จึงต้องมาอยู่กับสังขารร่างกายนั่นแหละ.
เพราะจิตยึดเวทนา สุข ทุกข์ในกาย ในใจ ว่าเป็นตน. จึงได้เกิดมาอยู่กับเวทนานั้น.
เพราะจิตยึดสัญญาว่าเป็นตน จึงได้เกิดมาอยู่กับสัญญานั้น
เพราะจิตยึดสังขาร ความคิดปรุงแต่ง ว่าเป็นตน จึงเกิดมาอยู่กับสังขารความคิดปรุงแต่งนั้น.
เพราะจิตยึดวิญญาณความรับรู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้นกาย ว่าเป็นตน จึงต้องเกิดมาอยู่กับวิญญาณนั้น
นั่นแหละคือชาติความเกิดแก่เจ็บตายของกิเลสอุปาทาน มันร้ายกาจนัก มันเป็นเช่นนั้น.
การทำความพากเพียรละให้เบาบางลงไป และหมดสิ้นไปแบบเด็ดขาดสิ้นเชิง จิตวิมุตหลุดพ้นบริสุทธิ์เต็มที่เท่านั้น. มันถึงจะจบการเวียนเกิดตายของกิเลสอุปาทานได้อย่างแท้จริง. เอวัง
..........................................
พระอาจารย์เจษฎา อาภากโร
........... จิตที่หลงและไม่หลง .........
จิตที่หลงและไม่หลง. ก็คือจิตตัวเดียวกันนั่นแหละ. และจิตที่หลงและไม่หลงนั้นแหละ เป็นผู้เจริญมรรคแปดศีลสติสมาธิปัญญาขึ้นมา. ก็จะเป็นจิตที่ไม่หลงใหลในสิ่งใดใดได้. ก็จะเป็นจิตพุทธะที่บริสุทธิ์ว่างอิสระจากอารมณ์กิเลสต่างๆขึ้นมา. มันก็มีเท่านั้นเองเป้าหมายของการเจริญมรรคแปด
จิตใจที่หลงอยู่ในความคิดปรุงแต่งตลอดเวลา. หรือหลงอยู่ในสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตลอดกาลเวลานั้น. จิตนั่นมันจะว่างได้อย่างไร. มันจะว่างไปไม่ได้เลย.
ดังนั้นการเจริญสติปัญญา ไม่หลงใหลในสิ่งทั้งปวงในความคิดปรุงแต่งตลอดกาลเวลา.
นั่นแหละคือปฏิปทา. ที่จะให้จิตนั้นเป็นพุทธะที่ว่างบริสุทธิ์. ปราศจากสิ่งทั้งปวงครอบงำได้. ปราศจากความหลงของตนครอบงำตนได้. ก็จะเป็นจิตผู้รู้ที่ว่างเปล่าบริสุทธิ์. และจงอยู่กับภาวะนั้นเป็นวิหารธรรม เครื่องอยู่เถิด. นั่นคือสันติธรรมที่รุ่งเรืองสว่างเล้นรับ
ภาวะแห่งสติสัมปชัญญะ หรือสติความรู้สึกตัว ที่บุคคลเจริญให้มากทำให้มากแล้ว ซึ่งสติรู้สึกตัวอยู่ที่ร่างกายเคลื่อนไหวๆๆยืนเดินนั่งนอนทั้งวันๆๆๆเช่นนั้นตลอดเวลา
นั่นแหละคือวิหารธรรมอันยอดเยี่ยม. สำหรับผู้ที่ต้องการเข้าถึงภาวะแห่งพุทธะภาวะอันบริสุทธิ์หลุดพ้นไปจากกิเลสความคิดปรุงแต่งฝันทั้งปวง. เอวัง
..........................................
พระอาจารย์เจษฎา อาภากโร
.... สติสัมปชัญญะให้สมบูรณ์ไว้เสมอ …….
มันสำคัญที่ข้อปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ข้อปฏิบัติที่จะทำให้เห็นธรรมตามความเป็นจริงได้ หรือเห็นธรรมในขันธ์ทั้ง ๕ เกิด-ดับตามความเป็นจริงได้นั้น มันขึ้นอยู่ที่เราต้องเข้าใจบำเพ็ญสติ สัมปชัญญะให้สมบูรณ์ไว้เสมอ ๆ บำเพ็ญและรักษาสติ สัมปชัญญะนั่นแหละให้สมบูรณ์ไว้ที่กาย ที่ใจอยู่เสมอ ๆ นั่นแหละให้ต่อเนื่อง และเมื่อสภาวะขันธ์ ๕ ทำงาน จังหวะมันจะเห็นการเกิด-การดับ มันก็จะเห็นชัดเจนได้ ตามความเป็นจริง.
เห็นความเกิดความดับของสังขารการปรุงแต่งคิดนึก เป็นต้น มันจะเห็นได้ตามความเป็นจริงของมัน เมื่อเห็นการเกิด-ดับของความคิดนึกมากเข้าไปเท่าไหร่ ความรู้สึกตัวอันเต็มเปี่ยมอยู่กับร่างกายของเราก็ต้องไม่ลืม นั่นเรียกว่าทรงสติ ทรงสัมปชัญญะ ทรงธรรมะนั้นไว้อยู่กับตัวเสมอนั่นแหละ .....
....... ไม่ว่าอะไรจะเกิดจะดับก็ตาม เราอย่าลืมความรู้สึกตัวทั่วพร้อมอยู่กับร่างกาย อยู่กับจิตใจตลอดเวลา นั่นถึงจะถูกต้องดีงาม นั่นคือหนทางมรรคาอันประเสริฐ ซึ่งจะนำไปสู่ปัญญาญาณการรู้แจ้ง และเพิกถอนปล่อยวางสังขารความคิดปรุงแต่งต่าง ๆ ทั้งปวงได้ เข้าถึงวิมุตติธรรมแห่งจิตล้วน ๆ นั้นได้ เอวัง
2. มันไม่มีเราอยู่จริงหรอก ชีวิตนี้ มันมีแต่ความเกิดความดับของสังขารการปรุงแต่งคิดนึกอยู่ในใจล้วน ๆ เท่านั้น มันมีแต่ความเกิด-ดับล้วน ๆ นั่นแหละ จิตจงศึกษาให้เข้าใจ เจริญสติปัญญา จึงจะเป็นไปเพื่อรู้ยิ่งได้ ต้องเป็นสติปัญญาที่กำหนดรู้พิจารณาอยู่ในรูปขันธ์ กำหนดรู้พิจารณาอยู่ในเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์เท่านั้น ให้รู้สภาวะขันธ์ ๕ เหล่านี้ตามความเป็นจริง .....
..... ให้รู้สภาวะขันธ์โดยความเป็นสภาวะขันธ์ตามความเป็นจริง และรู้จักความเกิดความดับของขันธ์ ๕ ด้วยอยู่เสมอ ๆ จิตนั้นถึงจะเป็นไปเพื่อรู้ยิ่ง เห็นจริงในความเกิดความดับของขันธ์ ๕ และจะรู้เท่าทันภาษาสมมุติ ภาษาชื่อเรียกที่มาครอบขันธ์ ๕ นั้นไว้แล้ว
เราคือดวงจิตตามสมมุตินั้น มันก็จะไม่ยึดมั่นถือมั่นเป็นจริงเป็นจังว่ามีเรา มีเขา มีสัตว์ บุคคล ตัวตนจริงจังได้ เมื่อรู้ยิ่ง เห็นจริงในสภาวะ ๆ ขันธ์ทั้ง ๕ เข้าไปแล้ว มันจะรู้ว่า มันไม่มีไม่มีตัวเราอยู่จริง มีแต่ความเกิดความดับไปทั้งนั้น มีแต่ความเกิดความดับไปแห่งสังขารการปรุงแต่งคิดนึกเท่านั้น เมื่อนั้น ใจก็จะลุถึงสภาวะวิมุตติธรรมแห่งตนล้วน ๆ ได้ เป็นตนแห่งวิมุตติธรรม ไม่ใช่ตนแห่งกิเลสมาร จิตนั้นเป็นธรรม เมื่อจิตเป็นธรรม จิตจะหลุดพ้นโดยชอบ จิตจะไม่มีความลุ่มหลง ยินดียินร้ายในสิ่งที่ผ่านเข้ามากระทบในชีวิตนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นโลกธรรม ๘ กามคุณต่าง ๆ จิตจะไม่หวั่นไหวเลย เนี่ยพึงรู้จัก เอวัง
...........................………………
พระอาจารย์เจษฎา อาภากโร
13 กรกฎาคม 2566
......... ทำความเพียรชอบ .......
สิ่งที่จะทำให้เรา ฟั่นฝ่ามรสุมร้ายของชีวิต ให้ลุล่วงผ่านพ้นไปได้ด้วยดีนั้น. นั่นก็คือพลังแห่งสติ พลังแห่งสมาธิ พลังแห่งปัญญาญาณที่มีประมาณมากเพียงพอ. และพลังแห่งธรรมนั้น. ต้องสามารถทำจิตของเรานั้นให้ว่างจากอารมณ์กิเลสขันธ์ต่างๆได้นั่นแหละ. ถึงจะเป็นสุดยอดแห่งธรรมะในใจได้ .....
......... คำว่าความเพียรชอบนั้นอยู่ในวัด เราก็ต้องทำความเพียรชอบให้ได้. และเมื่อเราจำเป็นต้องไปอยู่ที่บ้าน. คำว่าความเพียรชอบนั้น. อยู่ในบ้านก็ต้องทำความเพียรชอบให้ได้นั่นแหละ. ทำความเพียรเจริญสติให้เกิดสมาธิให้ได้. เพราะสมาธินั้น มันเป็นตัวพลังสำคัญ ที่จะก่อให้เกิดสติปัญญาญาณอันประเสริฐขึ้น ....
........ สมาธิคือจิตอันว่างจากอารมณ์กิเลสขันธ์ทั้งห้าได้ ว่างจากความคิดปรุงแต่งต่างๆนั่นแหละ. นั่นแหละเรียกว่าสัมมาสมาธิอันยอดเยี่ยม. จิตยิ่งว่างจากอารมณ์กิเลสความคิดปรุงแต่งมากเท่าไหร่. สติปัญญาญาณอันประเสริฐยิ่งเกิดขึ้นให้จำไว้ ....
........ จิตที่ไม่ว่างเลยน่ะ. สติปัญญาญาณอันประเสริฐ มันจะเกิดได้อย่างไรล่ะ. เกิดได้แต่โลกียปัญญานั่นแหละ โลกุตระปัญญาฆ่ากิเลสมันก็เกิดไม่ได้หรอก. เพราะจิตมันไม่โปร่งใส ....
........ จิตที่เป็นสมาธิ มันว่างอิสระจากขันธ์ห้า ว่างจากนิวรณ์กิเลส มันเป็นจิตที่ปลอดโปร่งใส มันพร้อมจะเกิดสติปัญญาญาณอันประเสริฐขึ้นในสภาวะจิตที่ว่างเปล่าจากอารมณ์นั่นแหละ ให้จำไว้อย่างนั้น. เอวัง
...........................................
พระอาจารย์เจษฎา อาภากโร
วัดป่าบ้านหนามแท่ง
........ จิตสติดิ่งรู้กายปัจจุบัน ......
เราสามารถที่จะวางแผนในอนาคตได้ว่า เราจะทำอย่างนั้นอย่างนี้. เราวางแผนได้ทั้งนั้นแหละ. แต่และแล้วสิ่งที่เป็นอนาคตย่อมเปลี่ยนแปลงได้เสมอ. มันยังหาความเที่ยงแท้แน่นอนอะไรไม่ได้หรอก. ดังนั้นแล้วเราก็ควรฝึกจิตสติให้ดึ่งรู้กายใจปัจจุบัน ให้ดึ่งรู้ปัจจุบันเป็นหลักเข้าไว้.....
......... กระทำสิ่งต่างๆในปัจจุบันนี้ให้ดีที่สุด ก็พอแล้วล่ะ. ให้ชีวิตจิตวิญญาณของเรา มีความสุขสงบร่มเย็นในปัจจุบันนี่แหละก็พอแล้วล่ะ อันนี้ถึงจะดีที่สุดให้เข้าใจอย่างนั้น .....
......... สภาวะทางโลกต้องอาศัยการปรุงแต่งคิดนึก. แต่ทางธรรมะต้องอยู่เหนือการปรุงแต่งให้เข้าใจเช่นนั้น. และการที่จะอยู่เหนือการปรุงแต่งคิดนึกของกิเลสมารทั้งปวงได้นั้น ....
........ เราต้องอาศัยสติรู้สึกตัวๆกายที่ดิ่งรู้ปัจจุบันที่มีพลัง. สติปัญญาที่มีพลัง. เป็นไปเพื่อเพิกถอนกิเลสและความคิดปรุงแต่งต่างๆออกจากใจนั่นแหละ. เราก็จะพบกับธรรมหรือใจที่อยู่เหนือการปรุงแต่งคิดนึกกิเลสทั้งหลายนั้นได้. เอวัง
...........................................
พระอาจารย์เจษฎา อาภากโร
วัดป่าบ้านหนามแท่ง
.......... มีจิตใจอยู่กับเนื้อกับตัว .........
ไม่มีอะไรดีไปกว่า การมีจิตใจอยู่กับ เนื้อกับตัว อยู่กับร่างกายตลอดกาลเวลา อยู่กับจิตใจดั้งเดิมแท้ของตน ซึ่งปราศจากความคิดปรุงแต่งดีและชั่วตลอดกาลเวลานั่นแหละ ......
........ และการที่เราจะมีจิตใจ อยู่กับเนื้อกับตัว อยู่กับจิตใจดั้งเดิมแท้แห่งตน ซึ่งปราศจากความคิดปรุงแต่งได้ตลอดกาลเวลานั้นได้. นั่นก็คือ เราต้องเข้าใจความหมายของ คำว่า สติความรู้สึกตัวทั่วพร้อม อยู่กับร่างกายตลอดกาลเวลานั่นแหละ .....
........ ข้อนี้ เราก็ต้องหมั่นบำเพ็ญเจริญให้มากทำให้มาก ซึ่งสติสัมปชัญญะ. แนบรู้ๆๆๆอยู่กับร่างกายตลอดกาลเวลา เคลื่อนไหวยืนเดินนั่งนอนทั้งวันนั่นแหละ พึงเข้าใจเช่นนั้น .....
........ เมื่อเราทำได้เช่นนั้น. ผลสุดท้ายแล้วจิตของเราก็จะตั้งมั่น เกิดญาณรู้ตนเห็นตนอย่างแจ่มแจ้ง. รู้ธาตุห็นขันธ์ห้าอย่างแจ่มแจ้งตามความเป็นจริงได้ ....
......... และตนของตน ก็จะเป็นอิสรภาพ พุทธะภาวะอันบริสุทธิ์ล้วนล้วน ซึ่งปราศจาก การครอบงำ ของกิเลสมารและความคิดปรุงแต่งฝันต่างๆทั้งปวงในใจของตนนั้นได้. เอวัง
...........................................
พระอาจารย์เจษฎา อาภากโร
วัดป่าบ้านหนามแท่ง
.......... อยู่กับปัจจุบันเป็นหลัก ........
เราไม่ควรปล่อยให้ใจของเรา ล่องลอยไปในอดีตในอนาคต หรือสิ่งที่อยู่นอกกาย นอกใจนั้นเลย เพราะใจดวงนั้นย่อมจะเศร้าโศกเสียใจทุกข์ใจไม่เลิกนั่นแหละ ......
.......... เราควรมีใจอยู่กับปัจจุบันของสติสัมปชัญญะของกายเป็นหลัก ให้จิตใจของเราความรู้สึกนึกคิดของเรา. สติสัมปชัญญะของเรา อยู่กับปัจจุบันของการกระทำเป็นหลัก. อยู่กับปัจจุบันของยืนเดินนั่งนอนทั้งวัน เป็นหลักเข้าไว้. แล้วชีวิตจิตวิญญาณของเราจะมีความสุข อยู่ในเป็นปัจจุบันจิตปัจจุบันธรรมนั้นได้ ......
........... การดำรงชีวิตให้เป็นอยู่ด้วยอาการอย่างเนี่ย. ประเสริฐที่สุด และดีที่สุด. ความทุกข์ใจกับสิ่งที่อยู่นอกกายนอกใจของเรา ก็จะน้อยลง. ไม่ทุกข์มาก. ให้รู้จักอย่างนั้น .....
........... การใส่ใจสติสัมปชัญญะที่ต่อเนื่อง อยู่กับร่างกายลมหายใจเข้าออกตลอดกาลเวลา นั่นแหละ. อันนั้นแหละคือหัวใจของสมาธิ ....
............ เพราะเหตุว่าสัญญาอารมณ์ความคิดปรุงแต่งต่างๆ ไม่ใช่สติสัมปชัญญะนั้น. สติสัมปชัญญะนั้น ไม่ใช่สัญญาอารมณ์ความคิดปรุงแต่งต่างๆเหล่านั้นให้เข้าใจอย่างนั้น. เอวัง
.......... พระผู้เฒ่า...ที่ไม่มีวันตาย .......
......... การปล่อยวางที่ถูกต้อง .........
บุคคลรู้จักปล่อยวางเพียงแต่สิ่งภายนอกที่อยู่นอกกายนอกใจนั้นได้อย่างเดียวยังไม่ชื่อว่าการปล่อยวางที่ยอดเยี่ยม พึงรู้ไว้เถิดสู่ทั้งหลาย. การปล่อยวางที่ถูกต้องนั้น ที่ยอดเยี่ยมนั้น. เมื่อบุคคลปล่อยวางสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่อยู่นอกกายนอกใจได้แล้วนั้น. บุคคลต้องมีความสามารถย้อนมาปล่อยวางขันธ์ห้า กิเลสตัณหาความทะยานอยาก และความคิดปรุงแต่งต่างๆทั้งปวงที่มีอยู่ในใจได้ด้วย. และลุถึงภาวะพุทธะภาวะดั้งเดิมแท้อันบริสุทธิ์บริบูรณ์แห่งตนเองได้ด้วย. ซึ่งปราศจากกิเลสและความคิดปรุงแต่งต่างๆทั้งปวงครอบงำนั้น .......
............ นั่นแหละ ถึงจะเป็นความปล่อยวางที่ยอดเยี่ยม และถูกต้องชอบธรรม เป็นที่สุด. คือถูกต้องชอบสติปัญญาอันรู้แจ้งเห็นชอบของตนนั่นแหละ. และเป็นผู้ดำรงสติความรู้สึกตัวทั่วพร้อมไว้เสมอไม่เผลอไผไปที่อื่นได้เลย .......
............ สติความรู้สึกตัวทั่วพร้อมแน่นแฟ้นอยู่ตลอดเวลา. ไม่ลุ่มหลงในสิ่งใดทั้งสิ้น แม้กระทั่งความคิดปรุงแต่งต่างๆทั้งปวงในใจของตน. และเห็นแจ้งพุทธะภาวะดั้งเดิมแท้แห่งตนเสมอๆ. นั่นแหละจึงจะเป็นยอดมนุษย์อริยบุคคลได้. บุคคลนั้นจึงจะได้นามว่าเป็นพุทธะพระอริยบุคคลในขั้นใดขั้นหนึ่งได้. พึงรู้จักกันอย่างนั้น. เอวัง
......... พระผู้เฒ่า...ที่ไม่มีวันตาย ........
......... การงานภายในภายนอก ........
คำว่าการงานชอบนั้น. ถ้าใครลึกซึ้งถึงความหมายนี้แล้วล่ะก็. เราย่อมมีความสุขในชีวิตนี้ได้. นั่นก็คือว่าเมื่อมีการงานภายนอกทำ เราก็ทำ ทำด้วยความตั้งสติสัมปชัญญะปัญญาชอบอยู่ในการงานนั่นแหละ ......
.......... ถ้าไม่มีการงานภายนอกทำ เราอยู่ว่างว่าง เราก็รู้จักทำการงานภายใน. เรียกว่าการงานเจริญกรรมฐานนั่นเอง. ก็คือการเจริญสติ สมาธิ ปัญญา อยู่ในกาย เวทนาจิต ธรรม. ชำระจิตของตนให้ผ่องใสขาวสะอาดปราศจากมลทิน อุปกิเลส ความคิดปรุงแต่งต่างๆ ครอบงำนั่นแหละ. นี้เรียกว่าการงานชอบ ....
......... จิตสังขารและจิตหนึ่ง ........
การปรุง การแต่ง การคิดสารพัด. อย่างนั่นแหละเรียกว่าสังขาร. หรือเรียกว่าจิตตสังขาร. แล้วใครเป็นผู้ปล่อยวางมัน. ใครเป็นผู้วางมัน. ต้องรู้จักผู้นั้นให้ชัดเจนด้วย. จึงจะเป็นความรู้แจ้งที่สุดยอดให้รู้จักกันอย่างนั้น สูทั้งหลาย ......
.......... การปรุง การแต่ง การคิดสารพัดอย่าง. นั่นแหละเรียกว่าสังขาร. หรือเรียกว่าจิตตสังขาร. แต่นั่นไม่ใช่ธรรมชาติจิตดั้งเดิมแท้ล้วนล้วนแห่งตนเข้าใจมั้ยล่ะ. จิตตสังขารเป็นสิงที่อิงอาศัยมันไม่ได้. ล้วนไม่เที่ยงตลอดกาล ไม่ว่าอดีตอนาคตหรือปัจจุบัน ......
.......... แต่จิตหนึ่งซึ่งไม่เปลี่ยนแปลง คือจิตดั้งเดิมแท้แห่งตนนั่นแหละ. เมื่อเรารู้แจ้งมันได้. ความลุ่มหลงในสิ่งอื่นใดก็จะดับลง. แต่มันจะเป็นภาวะที่เป็นตัวของตัวเอง ขึ้นมา. และเป็นวิมุตติธรรม. เป็นอิสระจากความลุ่มหลงจากความคิดฝันเด็ดขาดตลอดกาลได้. ให้รู้จักกันยังงั้น. เอวัง
.........................................
พระอาจารย์เจษฎา อาภากโร
........ มีสติรู้ใจรู้กายไม่เพ้อฝัน .......
เราไม่ควรปล่อยให้ใจจมปลักและทุกข์ใจอยู่กับอดีตที่ผ่านมาแล้วนั้นเลย. และไม่ควรปล่อยใจให้เพ้อฝันถึงสิ่งที่เป็นอนาคตที่ยังมาไม่ถึงนั้น.
เพราะสิ่งเป็นอดีตก็ละไปแล้ว ก็เป็นอันว่าละไปแล้ว. สิ่งที่เป็นอนาคต ก็ยังมาไม่ถึง ก็เป็นอันว่ายังมาไม่ถึง. ไม่มีประโยชน์อันใดที่เราจะต้องคำนึงถึงให้เป็นทุกข์ใจเลย
เราจงมีสติตื่นจากความฝันทั้งหลายเสีย. และมีสติสัมปชัญญะกลับมาอยู่กับความจริงของชีวิตในปัจจุบันนี้ ทั้งยืนเดินนั่งนอน. และกระทำสิ่งต่างๆในปัจจุบันนี้ให้ดีที่สุด. นั่นแหละชีวิตเราถึงจะสบายและมีความสุขในปัจจุบันนี้ได้.
ถ้าหากว่าเราไม่สามารถมีสติรู้อยู่กับใจแท้ๆของเราได้ตลอดเวลาเช่นนั้น. ก็ควรแล้วที่เราจะตระหนัก มีสติรู้อยู่กับกายเคลื่อนไหวเป็นหลักๆ. ทั้งยืนเดินนั่งนอนทั้งวันนั้นให้ชำนาญอย่างยิ่งจำไว้
การมีสติรู้เท่าทันใจธาตุแท้ๆก็อย่างหนึ่ง. การมีสติรู้เท่าทันความคิดปรุงแต่งก็อย่างหนึ่ง. มันคนละอย่างกัน มันคนละสิ่งกันให้เข้าใจเช่นนั้น
ความคิดเป็นอาการของใจ. ไม่ใช่ใจแท้ๆของเรา. ส่วนใจแท้ๆของเรานั่น ไม่ใช่ความคิดปรุงแต่งแม้แต่ใดอย่างใดเลย ให้เข้าใจเช่นนั้น. เอวัง
..........................................
พระอาจารย์เจษฎา อาภากโร
.......... ทำใจให้ว่าง ละใจที่ว่าง .........
การปฏิบัติเจริญมรรคแปด เจริญสติสมาธิปัญญานั้น. ก็เพื่อให้ใจของเรา รู้จักว่างเป็นอิสระจากธาตุสี่ ขันธ์ทั้งห้า ความคิดปรุงแต่งต่างๆ และกิเลสมารต่างๆในธาตุขันธ์ นั่นเอง มิใช่อะไรอย่างอื่นจำไว้ ......
......... ทุกวันนี้ใจพวกเรายังไม่รู้จักว่างจากขันธ์ห้าจากความคิดปรุงแต่งต่างๆเลย. แล้วอุตริจะไปละใจที่ว่าง. ใจที่ไม่รู้จักเจริญมรรค. ใจนั้นจะรู้จักว่างจากกิเลสความคิดปรุงแต่งต่างๆไม่ได้เลย. แล้วอุตริจะไปละใจที่ว่าง. มันคือความสำคัญผิด ......
.......... ขั้นตอนการละใจที่ว่าง ของพระอรหันต์เจ้าทั้งหลายนั้น. มันคือผ่านขั้นตอนการเจริญสติสมาธิปัญญารู้จักทำใจนั้นให้ว่างเปล่า จากธาตุสี่ขันธ์ทั้งห้าราคะโทสะความหลง อย่างเด็ดขาดสิ้นเชิงแล้วนู่น. และเมื่อเหลือแต่ใจที่ว่างเปล่าล้วนๆแล้วนั้น. เมื่อเป็นดังนั้นแล้วพระอรหันต์เจ้าทั้งหลาย จึงทอดทิ้งใจที่ว่างเปล่าในภายหลัง.
.......... แต่พวกเราล่ะรู้จักเจริญสติสมาธิปัญญาทำใจให้ว่างเปล่า และเป็นอิสระจากขันธ์ทั้งห้ากิเลสมารต่างๆในธาตุขันธ์หรือยังล่ะ. ยังเลย. แล้วอุตริจะไปละใจที่ว่างเปล่า. มันคือทำผิดขั้นตอนจำไว้ .....
.......... เราไม่ต้องไปล่ะใจที่ว่างเปล่าหรอก. แต่ให้รู้จักเจริญมัคคาอันประเสริฐ. รู้จักเจริญมรรคแปด เจริญสติสมาธิปัญญา ทำใจพุทธะดวงเดิมแท้ของเรานั้นให้ว่างเป็นอิสระจากธาตุสี่ขันธ์ทั้งห้ากิเลสมารต่างๆในธาตุสี่ขันธ์ทั้งห้าให้ได้เสียก่อนเถอะ
.................................................
........ ธรรมอันเดียวว่างล้วน .......
เมื่อทำในขั้นตอนนี้ สมบูรณ์บริบูรณ์. ผ่านพระโสดามรรค พระสกทาคามีมรรค พระอนาคามีมรรค. ละธาตุขันธ์. ละกิเลสราคะความหลงในธาตุในขันธ์ ให้หมดสิ้นไปซะก่อน. จึงค่อยละตนเองละผู้รู้ในใจที่ว่างเปล่านั้นในภายหลัง. จึงค่อยละใจที่ว่างเปล่านั้นในภายหลัง .....
......... ถ้าทำได้เช่นนั้น มันก็จะเหลือแต่ใจพุทธะว่างล้วน. เหลือแต่ธรรมอันเดียวว่างล้วน ซึ่งว่างบริสุทธิ์ล้วนๆไป มันก็มีเท่านั้นเอง. ต่อจากนั้นแล้ว จะบัญญัติใช้ ว่าใจพุทธะที่บริสุทธิ์ล้วนๆก็ได้. หรือจะบัญญัติใช้ว่าเป็นวิมุตติธรรมล้วนๆก็ได้. หรือจะบัญญัติใช้ว่าเป็นจิตที่บริสุทธิ์ล้วนๆก็ได้. หรือจะบัญญัติใช้ว่าเป็นภาวะพุทธะอันเกษมอันบริสุทธิ์ล้วนๆก็ได้. หรือพุทธะภาวะอันบริสุทธิ์ล้วนๆก็ได้ ......
.......... เช่นพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระอรหันต์เจ้าทั้งหลาย พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายนั้น. ท่านเป็นผู้ที่เข้าใจวิมุตติธรรมสมบูรณ์แล้ว. เข้าใจสมมุติธรรม อย่างสมบูรณ์บริบูรณ์แล้วนั้น. ท่านจะบัญญัติใช้สมมุติติธรรมอย่างไร. ท่านก็ไม่มีปัญหา ไม่ติดใจในสมมุติติธรรมทั้งหลาย ที่ท่านบัญญัติใช้ แม้แต่อย่างใดเลย. ให้เข้าใจเช่นนั้นสู่ทั้งหลายเอ๋ย
...................................................
......... วิธีการละใจที่ว่างเปล่า .........
วิธีการทอดทิ้งดวงใจที่ว่างเปล่าให้เป็นธรรมอันบริสุทธิ์ล้วนล้วนของตนไปนั้น. และไม่มีกิเลสสัตว์บุคคลตัวตนเราเขาไปเป็นเจ้าของ. นั้นก็คือขั้นตอนการเจริญพระอรหันต์มรรคนั่นเอง. นั่นก็คือการเจริญสติสมาธิปัญญาญาณอันแยบคายขั้นละเอียดลึกซึ้ง.
.......... จนสามารถดับจิตทุกทุกชนิดในใจที่ว่างเปล่านั้นให้หมดสิ้นไปนั้นเท่านั้น. มันก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่. มันก็จะเหลือแต่ใจที่ว่างเปล่าล้วนๆ. และเป็นธรรมชาติของตนล้วนๆไปมันก็มีเท่านั้นเอง. และมันก็จะเป็นธรรมอันเดียวล้วนๆไป เป็นธรรมอันบริสุทธิ์ล้วนๆไป และหาใครไปเป็นเจ้าของก็ไม่มี. ต้องรู้จักอย่างนั้นสู่ทั้งหลาย. เอวัง
..........................................
พระอาจารย์เจษฎา อาภากโร