ได้ทั้งสติ ได้ทั้งสมาธิ
ยืนเดินนั่งนอนกินดื่มทำพูดคิด
ทำได้ทุกขณะ
#จิตปัจจุบัน สำคัญที่สุด
จิตสงบ ยังพ้นทุกข์ไม่ได้
จิตปัจจุบัน พ้นทุกข์ได้
สติธรรม ปัญญาธรรม กลมเกลียวอยู่ภายในจิต
เป็นมหาสติ มหาปัญญา
ถ้าไม่เจริญอานาปาน์หรือสติปัฏฐานข้อใดข้อหนึ่ง
การบรรลุธรรมก็มีไม่ได้
#กล่าวถึงเฉพาะอานิสงส์ของการเจริญอานาปานสติกรรมฐานตามนัยแห่งโพชฌงค์ 7 ประการ
เจริญอานาปาน์ 1 ครั้ง
ใกล้พระพุทธเจ้าเข้าไป 1 คืบ
เจริญสติพิจารณาไตรลักษณ์ 1 ครั้ง
ใกล้พระนิพพานเข้าไป 1 วา
คือ การรู้เท่าทันกาย
การรู้เท่าทันเวทนา
การรู้เท่าทันจิต
การรู้เท่าทันธรรม
ในปัจจุบันธรรม เป็นปัจจุบันขณะ ด้วยปัจจุบันจิต
#ล้วนเป็นรากแก้วรากฝอยของพระนิพพานทั้งสิ้น
ส่งต่อไปยังมรรคผลนิพพานได้ทั้งสิ้น
#บุญกุศล คือ แร่ธาตุ หล่อเลี้ยงลำต้น
#ศีล คือ การป้องกันแมลงและวัชพืช
#สมาธิและปัญญา คือ น้ำและแสงสว่าง หล่อเลี้ยงกิ่งก้านใบ
#ใบไม้ ย่อมมีการสังเคราะห์แสง
#จิตที่มีปัญญา ย่อมมีธัมมวิจยะหรือโยนิโสมนสิการ
ย่อมมองเห็นทุกสิ่งพิจารณาทุกสิ่งเป็นสัจธรรมตามความเป็นจริงไปหมดสิ้น
โดยมีสมาธิเป็นน้ำในลำต้นและกิ่งก้านสาขาเพื่อช่วยในการหล่อเลี้ยง และส่งต่อแร่ธาตุพลังงานออกไปทั่วทั้งต้น
และช่วยในการสังเคราะห์แสงด้วยปัญญาญาณอันสมบูรณ์บริบูรณ์
ศีล สมาธิ ปัญญา หรือ #ไตรสิกขา
ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้
#มรรคสมบูรณ์ ผลก็สมบูรณ์
ผลิดอกออกผล เป็นมรรคผลนิพพาน
เป็นวิมุตติสุข บรมสุข
#นิพพานัง ปรมัง สุขัง
#การเจริญอานาปาน์ คือ การนำอ๊อกซิเจนเข้าไปสู่สมองและร่างกายโดยตรง โดยผ่านการเจริญสติผ่านการกำหนดจิตอันเป็นปัจจุบันธรรม ปัจจุบันจิต ปัจจุบันขณะ
#จิตกับลมย่อมสัมพันธ์กัน (สติสัมโพชฌงค์)
สัมพันธ์กับคลื่นของพลังงานในจักรวาลโดยตรง
#เชื่อมโยงกับพลังงานในจักรวาลโดยตรง
เมื่อลมหรืออ๊อกซิเจนเข้าไปหล่อเลี้ยงยังส่วนต่างๆ ของร่างกายอย่างต่อเนื่องโดยผ่านการกำหนดจิตผ่านการเจริญสติอันเป็นปัจจุบันขณะ ปัจจุบันธรรม ปัจจุบันจิต (ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์)
#เซลล์ทั่วทั้งร่างกายก็ตื่นตัว
เมื่อเซลล์ทั่วทั้งร่างกายเกิดการตื่นตัว
กายกับจิตก็สัมพันธ์กัน (วิริยสัมโพชฌงค์)
ก็เกิดกระแสพลังงานของจิตแผ่ออกไปทั่วทั้งร่างกาย
มีอาการต่างๆ (ปีติสัมโพชฌงค์)
ความสมดุลของกายกับจิตก็เกิดขึ้น (กายปัสสัทธิ-จิตปัสสัทธิ : ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์)
ก็เกิดกระบวนการจัดเรียงโมเลกุลของกายกับจิตขึ้นมาใหม่
เมื่อกระบวนการจัดเรียงโมเลกุลของกายกับจิตสมบูรณ์
จิตก็จะเกิดพลังจิต อันมาจากความสงบของจิตหรือโมเลกุลของจิตเกิดการเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ (สมาธิสัมโพชฌงค์)
เมื่อจิตเกิดพลังจิต
#ถ้าน้อมพลังของจิตไปพิจารณากาย อันเป็นที่ตั้งเป็นที่อยู่ของจิต
จิตก็จะรู้จะเห็นสภาวะของกายตามความเป็นจริง
#เมื่อจิตรู้เห็นสภาวะของกายตามความเป็นจริง
จิตก็จะแยกออกจากกาย
เพราะจิตกับกายเป็นคนละส่วนกันอยู่แล้วตามธรรมชาติตามความเป็นจริง
จิตก็จะเบา
และเข้าสู่สภาวะที่แท้จริงของจิต คือ เป็นกลางวางเฉยต่อทุกสรรพสิ่ง (อุเบกขาสัมโพชฌงค์)
#ถ้าจิตน้อมอธิษฐานอะไร หรือ อยากรู้อยากเห็นอะไรตามความเป็นจริง
#จิตก็จะรู้เห็นตามความเป็นจริงทุกประการ (โพชฌงค์ : องค์แห่งการตรัสรู้)
#ถ้าจิตไม่ปรารถนาที่จะเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป
จิตก็จะไปอาศัยอยู่ที่ความว่าง ที่เรียกว่า #สุญญตา
จิตก็ย่อมเสวยพระนิพพานเป็นอารมณ์ของจิต
#นิพพาน หรือ ความว่าง หรือ สุญญตา เป็นสภาวะธรรมที่ไม่มีความเกิด
เมื่อไม่เกิด ก็ไม่ดับ
จิตที่เสวยพระนิพพานเป็นอารมณ์ของจิต
#จิตก็ไม่เกิดไม่ดับไปตามพระนิพพาน
จิตก็หลุดพ้นจากสมมติบัญญัติได้
จิตที่พ้นไปจากสมมติบัญญัติ เรียกว่า #วิมุตติจิต
จิตที่รู้ว่าหลุดพ้นแล้ว เรียกว่า #วิมุตติญาณทัสสนะ
หรือถ้าน้อมจิตอธิษฐานอย่างไร
ก็จะเป็นไปตามนั้นทุกประการ
แต่ก็ไม่เกินความสมดุลของจักรวาลหรือดุลยภาพของจักรวาล
อันมีพลังงานอื่นๆ ควบคุมอยู่ด้วยเช่นกัน
ขอเจริญพร
เกิดมาแล้วก็ต้องแก่
เกิดมาแล้วก็ต้องเจ็บไข้ได้ป่วย
เกิดมาแล้วก็ต้องตาย
เป็นเรื่องปกติธรรมดา
ทุกข์ ก็ทุกข์น้อยหน่อย
จะไม่ทุกข์เลย ไม่ได้ดอก
ทุกข์กายบ้าง ทุกข์ใจบ้าง
อยู่กับมันให้ได้
ยอมรับมันให้ได้
ก็ไม่ต้องกังวลอะไรดอก
รักษาจิตใจไว้ให้ดี
สำคัญกว่าวัตถุภายนอกเยอะ
ธรรมนั้นมิใช่อยู่อื่นไกล
เข้าถึงธรรมนั้นไม่ยากดอก
ยากอยู่ที่การละกิเลสนี่แหละ
เมื่อทุกสิ่งพร้อมก็เป็นไปเอง
#อธิษฐานปรารถนาถึงพระนิพพานเท่านั้น
ไม่เอาอย่างอื่นเลย
อยู่กับปัจจุบันเท่านั้น
แค่ปัจจุบันเท่านั้น
ธรรมอยู่ในปัจจุบัน
เป็นปัจจุบันขณะ
ในปัจจุบันธรรม
ด้วยปัจจุบันจิต
เหมือนง่าย แต่ไม่ง่าย
เหมือนยาก แต่ไม่ยาก
กายพร้อม ใจพร้อม บุญพร้อม สถานที่พร้อม
ธรรมก็พร้อม
กายวิเวก จิตตวิเวก อุปธิวิเวก
จิตไม่เนิ่นช้า
ธรรมก็ไม่เนิ่นช้า
ไม่เกี่ยวกับหลับตาหรือลืมตา
ลืมตาก็ตัดกิเลสได้ หลับตาก็ตัดกิเลสได้
จะเป็นหน่อพุทธภูมิหรือพระโพธิสัตว์
หรือเป็นพระอรหันต์
#ก็ต้องไปเจอกันที่พระนิพพานอยู่ดี
เพียงแต่มีหน้าที่ความรับผิดชอบมากน้อยต่างกันเท่านั้น
#พระโพธิสัตว์ ก็ต้องช่วยเหลือคนช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
จนกว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า แล้วก็ช่วยเหลือเหล่าเวไนยสัตว์เพื่อขนเข้าพระนิพพานเป็นครั้งสุดท้ายถึงจะหมดหน้าที่
#พระอรหันต์ ก็ต้องเมตตาต่อผู้ที่เกี่ยวข้องเกี่ยวพันกันมาให้พ้นทุกข์ไปด้วยกันหรืออย่างน้อยที่สุดก็ส่งให้ไปถึงสุคติให้ได้
เป็นพระโพธิสัตว์ ก็ต้องเหนื่อยหน่อย
เป็นพระอริยบุคคลไม่เหนื่อยเท่าเป็นพระโพธิสัตว์
เพราะมีหน้าที่ความรับผิดชอบน้อยกว่า
แต่ก็ต้องดูแลพระศาสนาเหมือนกัน
ต้องตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้าเหมือนกัน
เพราะถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ คอยปูทางไว้ให้เป็นแบบอย่างไว้ให้ ก็ไม่มีแนวทางไม่มีแนวคำสอนที่ถูกต้องไว้ให้
#พระโพธิสัตว์ มุ่งสร้างบารมี 10 จนกว่าจะได้สำเร็จตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
#พระอริยบุคคล มุ่งละสังโยชน์ 10 จนกว่าจะได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์
#สติปัฏฐาน เป็นทางตรงที่สุด
นอกนั้นเป็นกุศโลบาย
ของมันต้องลงมือทำ
ไม่ใช่เอาแต่ปรารถนา เอาแต่นึกคิด
แล้วจะสำเร็จกันง่ายๆ
ความสำเร็จ ไม่มีอะไรง่าย
สำคัญกว่าสิ่งใด
ธรรมที่พินิจพิจารณา
แต่ไม่เป็นปัจจุบัน
ธรรมนั้นมิใช่ปัญญา
แต่เป็นสัญญาล้วนๆ
แยกสัญญากับปัญญาให้ออก
การปฏิบัติจึงจะถูกต้องและเป็นไปด้วยความก้าวหน้าและรวดเร็ว
แยกรูป แยกนาม ธาตุสี่ ขันธ์ห้า อายตนะสิบสอง
แต่มิใช่เจ้าของ
เจ้าของไม่มี
ไม่มีเจ้าของ
#ทุกข์ เป็นเครื่องทดสอบจิตใจ
ทุกข์ เป็นเครื่องทดลองสติและปัญญา
ทุกข์ เป็นฐานแห่งธรรม
ผู้นั้นเห็นธรรม
ผู้นั้นเห็นพระพุทธเจ้า
ทุกข์ เป็นปฐมบรมธรรม
ทุกข์ เป็นข้อแรกของอริยสัจสี่
ทุกข์ เป็นหนึ่งในพระไตรลักษณ์
ทุกข์ เป็นเรื่องธรรมดาของโลก
ไม่มีทุกข์ ก็ไม่มีสุข
ไม่มีสุข ก็ไม่มีทุกข์
#พระนิพพาน ไม่มีทุกข์
เพราะทุกข์เป็นเรื่องของโลก
ไม่ใช่เรื่องของธรรม
#ผู้ที่มีธรรม จึงไม่มีทุกข์
พระนิพพาน เป็นธรรมอันสงบระงับ
พระนิพพาน จึงไร้ทุกข์แท้จริง
จึงมีแต่สุข ไม่มีทุกข์เจือปน
เรียกว่า #วิมุตติสุข
สุขจากความหลุดพ้นโดยสิ้นเชิง
#ดูลมหายใจเข้าออกอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวัน
ดึงจิตกลับมาที่ลมหายใจบ่อย ๆ
สติต้องตั้งอยู่ในปัจจุบันขณะ
จึงเรียกว่า #เจริญสติปัฏฐาน
จิตน้อมไปสู่ความปล่อยวาง
จึงเรียกว่า #เจริญวิปัสสนาญาณ
จิตน้อมไปสู่ความว่าง
จึงเรียกว่า #จิตเสวยพระนิพพานเป็นอารมณ์
ถ้าเริ่มฝึกหัดระลึกถึงในคุณแห่งพระนิพพาน
เรียกว่า #อุปสมานุสติกรรมฐาน
ถ้าจิตน้อมไปสู่พระนิพพานหรือความว่างเองโดยอัตโนมัติ
เรียกว่า #สุญญตาวิหารธรรม
จิตไม่มีความหวั่นไหวในอารมณ์ทั้งปวง
#ไม่มีความหวั่นไหวในโลกธรรมทั้งหลาย
มีลาภ เสื่อมลาภ
มียศ เสื่อมยศ
สรรเสริญ นินทา
สุข ทุกข์
#ทุกสิ่งกลับคืนสู่ความว่างเปล่า
สาระ คือ จิตกับธรรม
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปหมดสิ้น
#การรู้จิต ไม่ใช่การตามจิต
ไม่ใช่การบีบบังคับจิต ไม่ใช่การสะกดจิต
แต่เป็นการรู้เท่าทันจิตในปัจจุบันขณะตามความเป็นจริง
จนจิตเป็นปัจจุบันจิต
จนธรรมเป็นปัจจุบันธรรม
#ปัจจุบันธรรม ไม่ใช่การนึกการคิด
แต่ให้รู้เท่าทันความนึกความคิดที่เกิดขึ้นในปัจจุบันขณะนั้นๆ ทันที
ดูความคิดที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปอย่างรวดเร็วในปัจจุบันขณะนั้น
ทุกอิริยาบถ ทุกขณะจิต และทุกขณะการกระทำ
ดูไปเรื่อยๆ จนจิตแก่รอบ
จนจิตเกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด
คลายความลุ่มหลงมัวเมาในกายสังขาร ในวจีสังขาร ในมโนสังขาร
เบื่อหน่ายความปรุงความแต่งทั้งหลาย
#จิตจะสว่างกระจ่างแจ้งไปโดยลำดับ
จิตจะรู้แจ้งเห็นจริงไปโดยลำดับ
จิตจะตัดกิเลสอวิชชาตัณหาอุปาทานออกไปโดยลำดับ
จนกว่าจิตจะหลุดพ้น
พ้นแล้ว ก็จบกัน
สภาวะของจิต เกิดดับอยู่แล้วเป็นปกติ
#ขันธ์ห้า มีการเกิดดับเป็นปกติ
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
มีการเกิดดับเป็นปกติ
แต่แม้จะเกิดดับเพียงใด
ธาตุทั้งหลาย สสารทั้งหลาย พลังงานทั้งหลาย
ก็ไม่สูญหายไปไหน
รู้ได้อย่างไรว่า จิตดับ
เอาอะไรมารู้ว่า จิตดับ
ถ้าจิตดับ ดับแล้วเกิดขึ้นใหม่อีกไหม
จิตดับ แล้วจิตเปลี่ยนแปลงอะไรไหม
จิตเกิด แล้วจิตเปลี่ยนแปลงอะไรไหม
หรือแค่จิตปรุงแต่งไปเองว่า จิตดับ
หรือแค่เวทนาสัญญาสังขารของจิตระงับไปชั่วขณะ
หรือแค่จิตสงบเป็นสมาธิไปชั่วขณะ
หรือแค่จิตขาดสติไปเพียงชั่วขณะ
หรือแค่จิตตกสู่ภวังคจิตไปชั่วขณะ
#พระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา เชี่ยวชาญในสมาบัติทั้ง 8
สามารถเข้านิโรธสมาบัติได้ (สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ)
จิตระงับดับสัญญาดับเวทนาดับสังขารจิตได้เป็นการชั่วคราว
แต่วิญญาณคือการรับรู้ของจิตไม่ได้หายไปไหน
ถ้าวิญญาณหายไป แล้วจะเอาอะไรมาเข้านิโรธ
เพียงแต่ความยึดถือในวิญญาณไม่มี
อายตนะหรือการรับรู้ทางวิญญาณไม่ปรากฏชั่วขณะหนึ่งเท่านั้นเอง
อารมณ์เสมือนเข้าสู่พระนิพพานทั้งเป็นทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่
โดยจิตเสวยพระนิพพานเป็นอารมณ์อย่างเต็มที่เต็มเปี่ยม
จิตได้สัมผัสถึงพระนิพพานด้วยวิโมกข์ทั้ง 3 ประการในขณะที่ออกจากนิโรธสมาบัตินั้น
จะเรียกว่า หยุดการทำงานของจิตโดยชั่วขณะชั่วระยะเวลาหนึ่งก็ได้
ปกติไม่เกิน 3 วัน 7 วัน ตามความทนได้ของสังขารร่างกาย (ท่านพระสารีบุตรจะเข้านิโรธสมาบัติในขณะก่อนที่จะรับอาหารบิณฑบาตเสมอ เพื่อเพิ่มอานิสงส์ผลบุญให้แก่ผู้ที่ทำบุญถวายภัตตาหารแด่องค์ท่าน)
ยกเว้น พระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญาจะเจริญอิทธิบาทภาวนาให้เป็น กัปปัฏฐิติปาฏิหาริยะ
ก็สามารถดำรงขันธ์อยู่ได้นานเท่าไหร่ก็ได้ด้วยอำนาจแห่งฌานสมาบัติ
และสามารถเข้านิโรธสมาบัตินานเท่าไหร่ก็ได้ตามที่ใจปรารถนา
คำว่า จิตดับ มีหลายนัยยะ
ดับจากกิเลส ดับจากความทุกข์ ดับจากความยึดมั่นถือมั่น ดับจากความปรุงความแต่ง ดับจากอัตตาตัวตน และดับจากโลกนี้ไปสู่โลกหน้า เป็นต้น
แต่โดยสภาวะของจิตเองโดยปรมัตถ์นั้น
แม้จิตจะเกิดดับอยู่ตลอดเวลาทุกขณะของจิตเองก็ตาม
ก็ไม่ได้หมายความว่า จิตจะไม่มีอยู่ หรือ จิตจะหายไปไหน
เพราะจิตเป็นนามธาตุนามธรรม
มีการสืบต่อและส่งต่อพลังงานได้
และพลังงานเหล่านั้นเกิดจากกิเลสเป็นตัวขับเคลื่อนให้จิตมีการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ถ้าจิตขจัดเสียซึ่งกิเลสได้แล้ว
จิตก็ดำรงอยู่ได้ด้วยตัวของจิตเองโดยไม่ต้องพึ่งสิ่งใด
ไม่ต้องเกาะเกี่ยวหรืออาศัยสิ่งใดอีกต่อไป
สภาวะของจิตนั้นเรียกว่า วิมุตติจิต
หรือ วิสุทธิจิต
หรือ วิสังขารจิต
#โดยแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะด้วยกัน คือ
เจโตวิมุตติ (พ้นด้วยอำนาจของจิต)
ปัญญาวิมุตติ (พ้นด้วยอำนาจของปัญญาญาณ)
และ อุภโตภาควิมุตติ (พ้นด้วยทั้งสองส่วนเสมอกัน)
#และแบ่งออกเป็น 3 ประเภทด้วยกัน คือ
สุญญตวิโมกข์ (หลุดพ้นด้วยอำนาจแห่งอนัตตานุปัสสนา)
อนิมิตตวิโมกข์ (หลุดพ้นด้วยอำนาจแห่งอนิจจานุปัสสนา)
อัปปณิหิตวิโมกข์ (หลุดพ้นด้วยอำนาจแห่งทุกขตานุปัสสนา)
จิตดับจากกิเลส
หรือ
กิเลสดับจากจิต
ก็ดีทั้งนั้น
แต่ก็ไม่ควรถือว่า จิตเป็นเรา หรือ เราเป็นจิต เลย
เพราะล้วนแต่เป็นอัตตาอันละเอียดอยู่นั่นเอง
รู้ลม วางลม
รู้จิต วางจิต
ลม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
จิต ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
ลมก็สักแต่ว่าลม
จิตก็สักแต่ว่าจิต
ไม่มีเรา ไม่มีลม
ไม่มีลม ไม่มีเรา
เพียงแค่ธาตุทั้งหลายกลับคืนสู่ธาตุเดิมเท่านั้น
ไม่มีอะไร
เพราะสรรพสิ่งทั้งหลายล้วนว่างเปล่า
ใจไม่มีตัวตน
เพราะยึดถือจึงมี
ไม่ยึดไม่ถือก็ไม่มี
มีใจ ก็ทุกข์เพราะใจ
ไม่มีใจ ทุกข์ก็ไม่มี
ขอจบการอธิบายแต่เพียงเท่านี้
เส้นทางแสวงบุญอยู่หนใด
ผมกำลังอยู่บนเส้นทางตามรอยตำนานพระเจ้าเลียบโลก เป็นการเยี่ยมเยือนพระธาตุ พระพุทธบาทและบริโภคเจดีย์ที่กล่าวกันว่าพระพุทธเจ้าจาริกมาโปรดสัตว์ ไม่ว่าพระเจ้าจะเสด็จมาจริงหรือไม่ มันเป็นการเดินทางที่มีความหมายสำหรับผู้แสวงหาคนหนึ่ง
แสวงหาอะไร? แสวงหามรรคแห่งการไม่แสวงหา
นานมาแล้ว ผมเคยหวังที่จะไปแสวงบุญถึงสังเวชนียสถานทั้งสี่ ฝันที่จะไปเยือนปัญจมหาบรรพตที่จีน ไปไหว้พระที่ทิเบต ตามรอยฉเกศาธาตุวงศ์ที่เมืองมอญ กราบเจดีย์ทุกองค์ที่พุกาม ตามรอยตำนานอุรังคธาตุ และไหว้รอยพระเจ้าในตำนาน ฯลฯ
วันนี้มาไหว้พระบาท พระธาตุต่างๆ ประหนึ่งได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์ แต่แท้จริงแล้วมันเป็นเรื่องผิวเผิน
เส้นทางแสวงบุญของผมแคบลงทุกที
จากแดนไกลสุดฟ้า ใกล้เข้ามารอบเมืองไทย ใกล้เข้ามาในเมืองไทย ใกล้เข้าแถวบ้าน สุดท้ายพบว่าการแสวงบุญที่แท้คือการแสวงบุญภายในตัวเอง ในกายกว้างศอกยาววานี่เอง
การแสวงบุญที่แท้ อยู่ที่ไหนก็เดินทางไปได้ถ้าใจแกร่งพอ
การพบพระพุทธเจ้าในตัวเองคือบุญสูงสุด อันที่จริงมันไม่ใช่บุญด้วยซ้ำ มันคือการกลับสู่ความธรรมดาสามัญ เหนือบุญและไม่บุญ
ถามว่าทำไมต้องออกจากเส้นทางภายใน ไปเร่ร่อนบนถนนบุญภายนอก?
บางครั้งเส้นทางภายในและภายนอกเกื้อหนุนกัน ตราบใดที่ยังไม่พ้นความชอบไม่ชอบ สถานที่ที่เหมาะสมกับการภาวนามีความจำเป็นมาก
ภาษาพระเรียกว่าเป็นสัปปายะ
แม้แต่ข้าวปลาเหมาะๆ กินแล้วถูกปากดีต่อธาตุขันธ์ก็ช่วยให้ภาวนาขึ้น คนแสวงบุญไม่ใช่ว่ากินตามมีตามเกิดเสมอไป กินแล้วกายทรุดโทรมก็จักบั่นทอนความก้าวหน้าทางใจ
หลายปีก่อน ผมเดินทางมาลำปาง ขบคิดเรื่องพระเจดีย์ซาวหลัง ดังมีเกร็ดว่าใครนับเจดีย์ได้ครบซาว (ยี่สิบ) ถือว่ามีบุญ
ก่อนจะกลับบ้าน จึงนึกออกว่า เจดีย์องค์ที่ซาวนั้นไม่ได้อยู่ภายนอก แต่เป็นเจดีย์ภายใน เมื่อเราสร้างวิหารธรรม สร้างตัวเองให้เป็นพระธาตุได้ แต่นั้นก็นับตัวเองเป็นเจดีย์องค์หนึ่งได้ กราบตัวเองได้ลงและคนอื่นกราบไม่เคอเขิน เพราะพ้นแล้ว
ครั้งหนึ่งไปไหว้พระธาตุดอยสุเทพ ตรึกตรองเรื่องแบกคัมภีร์ ตัวผมนั้นติดปริยัติ ชอบอ่าน ชอบรู้เรื่องสารพัด สภาพจึงเหมือนคนบ้าหอบฟาง แบกตำราไปไหนต่อไหนเหมือนมีภูมิ แต่ที่จริงเต็มไปด้วยความฟุ้งซ่าน
ระหว่างลงดอยจึงนึกได้ว่า คัมภีร์ที่ไม่ต้องแบก คือคัมภีร์ที่จำขึ้นใจ แต่นั้นจึงจำคัมภีร์เอาไว้ท่องบ่น สารพัดคัมภีร์ ไม่แบกหนังสือภายนอก แต่กลับแบกไว้ในสัญญาแทน
สุดท้ายมาเกิดความรู้ขึ้นว่าคำพระต้องไม่จำ แต่ต้องรู้เอง
คติโบราณว่า อักษรหนึ่งในคัมภีร์เท่ากับพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง แต่ความจริงก็คือ คัมภีร์ทั้งหลายนั้น ลงที่พุทธะ หรือพุทโธ คำเดียว
คำเดียวเท่านั้นพอ ให้มีสติจดจ่อเท่านั้น
พอมีสติแล้ว คัมภีร์อะไรก็ไม่สำคัญ เพราะทุกคัมภีร์ลงที่สตินี่เอง
ยอดของเส้นทางแสวงบุญคือทางภายใน ยอดของเจดีย์คือเจดีย์ภายใน ยอดของคัมภีร์ก็เกิดขึ้นแต่ใจ
แต่กว่าจะถึงจุดนั้น การเดินทางภายนอกยังคงต้องดำเนินไป เยี่ยงบรรพชิตออกธุดงค์
หลวงปู่บุญจันทร์ จันทวโร วัดถ้ำผาผึ้ง อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่ ผู้ที่ได้รับฉายาจากองค์ท่านหลวงปู่ชอบว่า " พระอรหันต์ผู้ประเสริฐดั่งพระจันทร์วันเพ็ญ "..
หลวงปู่ชอบท่านเล่าเรื่องหลวงปู่บุญจันทร์วัดถ้ำผาผึ้งเชียงใหม่ให้ฟัง ท่านบอก ท่านบุญจันทร์เป็นลูกศิษย์เราอีกองค์หนึ่งที่รู้ธรรมเร็วตั้งแต่พรรษาเจ็ด เราอยู่บ้านหนองอ้อกับท่านอาจารย์ขาว
เรานิมิตเห็นช้างเผือกมาหมอบลงต่อหน้าเอาดอกไม้ธูปเทียนถวายเรา เราพูดเรื่องนี้ให้อาจารย์ขาวฟัง อาจารย์ขาวท่านบอกอาจารย์ชอบจะได้ช้างเผือกมาเลี้ยงอีกเชือกหนึ่ง..
ไม่กี่วันท่านบุญจันทร์ก็มาหาเรา ตอนค่ำวันนั้นเราเดินจงกรมอยู่ข้างที่พักเห็นท่านบุญจันทร์แบกบาตรสะพายกลดเข้ามาหา ท่านถามเราว่าอาจารย์ อาจารย์ชอบท่านพักอยู่นี่บ่ เราก็บอกเรานี่แหละคืออาจารย์ชอบ ท่านบุญจันทร์คุกเข่าลงพนมมือไหว้เรา..
เราถามไปจั่งใด๋มาจั่งใด๋ถึงได้มาหาเราถึงที่นี่ ท่านบุญจันทร์บอกข้าน้อยมาจากเมืองขอนแก่นตั้งใจจะมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์พ่อแม่ครูบาอาจารย์ ท่านอาจารย์อ่อนบอกว่าพ่อแม่ครูบาอาจารย์มาพักอยู่ที่นี่ข้าน้อยเลยตามมาหา ตอนท่านจันทร์มาฝากตัวเป็นลูกศิษย์เรา ท่านจันทร์พรรษาสี่(หน้าหนาวต้นปี ๒๔๙๔)..
ท่านจันทร์เล่าเรื่องภาวนาให้เราฟัง จิตท่านจันทร์สว่างนิ่งมาสามสี่ปีหาทางออกไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรจึงจะออกจากอาการที่จิตเป็นแบบนี้ได้..
เราบอกนี่จิตท่านมันเป็นสมถะเต็มภูมินะ จิตเป็นแบบนี้ยังไม่พ้นทุกข์ ภูมิชั้นนี้ยังเป็นภูมิโลกไม่ใช่ภูมิพระ ภูมิแบบนี้ฤษีชีไพรก็เป็นได้เหมือนกัน เราก็บอกท่านจันทร์ให้ถอนจิตออกมาจากชั้นอัปปนาสมาธิ
ให้ทรงจิตอยู่กึ่งกลางระหว่างอัปปนากับอุปจาระ หมุนจิตเข้ามาพิจารณาในกายของตน พิจารณากายส่วนไหนก็ได้ตามที่นิสัยของจิตมันชอบ ให้พิจารณาเข้าออกๆอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆจนกว่าจิตมันจะชำนิชำนาญแตกฉานในอสุภกรรมฐาน..
จิตท่านจันทร์จะชำนาญในการพิจารณากระดูก ท่านจันทร์พิจารณากระดูกจนแตกละเอียดอยู่ถ้ำปากเปียงเชียงใหม่ ท่านจันทร์ถามเราว่าข้าน้อยพิจารณากระดูกจนแหลกป่นปี้หมดแล้ว
เราก็ถามว่าได้กำหนดตั้งรูปมันขึ้นมาพิจารณาอีกบ่ ท่านจันทร์บอกข้าน้อยกำหนดขึ้นมาเป็นรูปได้ พอจะพิจารณากระดูกทั้งหลายก็แตกสลายป่นปี้ไปหมด มันจะพังพาบๆอยู่อย่างนี้..
เราบอกท่านจันทร์ ท่านพ้นกามในสิ่งที่เป็นของหยาบไปได้แล้ว ถึงท่านจะกำหนดรูปขึ้นมาได้ พอเดินปัญญาเข้าไป สิ่งเหล่านี้ก็จะพังพาบลงทันที เพราะจิตมันขาดกันไปแล้วกับธรรมส่วนที่เป็นของหยาบ จิตท่านพ้นจากรูปธรรมที่เป็นของหยาบไปแล้ว ต่อไปให้พิจารณาในส่วนที่เป็นนามธรรมซึ่งเป็นของละเอียด..
ให้ท่านจับเงื่อนเวทนาเข้าไปให้เห็นสัญญา พิจารณาสัญญาเข้าไปให้เห็นสังขาร พิจารณาสังขารเข้าไปให้เห็นวิญญาณ พิจารณาวิญญาณเข้าไปให้เห็นอวิชชาปัจยการ เมื่อเห็นอวิชชาปัจยการแล้ว ทุกอย่างมันจะถูกมหาสติมหาปัญญาทำลายลงไปทั้งหมด จิตจะเป็นธรรมธาตุยิ่งใหญ่..
ถึงตอนนั้นท่านบ่ต้องไปถามใครอีกแล้วว่าท่านเป็นอะไร..
หลังจากองค์ท่านหลวงปู่ชอบให้อุบายธรรมแก่ หลวงปู่บุญจันทร์ จันทวโร ท่านก็มาพักอยู่ที่สำนักสงฆ์ห้วยน้ำริน หลวงปู่บุญจันทร์ท่านรับเอาอุบายธรรมจากองค์ท่านหลวงปู่ชอบไปปฏิบัติ หลวงปู่บุญจันทร์ท่านพิจารณาในนามธรรมซึ่งเป็นธรรมอันละเอียดอ่อนอยู่ห้าหกเดือน..
หลวงปู่บุญจันทร์ท่านก็บรรลุมรรคผลเป็นพระอรหันต์ “ ฉฬภิญโญ ” เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๙๖ ที่ วัดถ้ำปากเปียง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่..
เรื่องนี้หลวงปู่ชอบท่านย้ำให้บันทึกไว้ ท่านบอกต่อไปถ้าเราตายไปแล้วท่านจะถามใครไม่ได้อีกในเรื่องภาคปฏิบัติ..
๒๗ กันยายน ๒๕๓๖ ที่ห้องพักหลวงปู่ชอบศาลาบำเพ็ญกุศลวัดป่าโคกมน..
เคดิต: https://www.facebook.com/pages/หลวงปู่ชอบ-ฐานสโม/451703388208111?fref=ts