พุทธธรรมสำหรับนักบวช ในเช้าวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2560 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า ได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านเพื่อเฝ้าฟังธรรม
เมื่อข้าพระพุทธเจ้า ได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า..
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า.. เจ้าขา
วันนี้ ลูกจะขอเข้าเฝ้าทูลถาม ถึงกรรมฐานกองที่ 40 แบบที่ 3 หนะเจ้าค่ะ
เราจะทรงอารมณ์ไว้ ในความมีกับไม่มี ให้เสมอเหมือนกัน
ให้เราอยู่เหนืออารมณ์ทั้งมี และไม่มีนั้น ได้ยังไงละเจ้าค่ะ ในแบบที่ 3 นี้
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟังด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ “
พระพุทธองค์..พระยาธรรมเอย กรรมฐานกองนี้ คงจะเป็นกรรมฐานกองสุดท้าย หรือว่าเป็นคลิปสุดท้ายของการนั่งสมาธิ
พระยาธรรมเอย.. ฉะนั้น ก็ให้ตั้งใจฟังให้ดี ฟังให้เข้าใจ จะได้น้อมไปประพฤติ ปฏิบัติตาม
กรรมฐานกองที่ 40 แบบที่ 3 ให้พิจารณาเช่นนี้ลูก
เราจะทำสมาธิกองที่ 1 / กองที่ 2 แบบที่ 1 หรือแบบที่เท่าไรก็ตาม.. ของกองอะไรก็ตาม
ใน 120 คลิป.. เราจะทำแบบไหนก็ตาม ให้เราจำเอาไว้ว่า เราเพียงแต่แค่ใช้สมาธิมาเป็นปัญญา
มาเป็นกำลังของปัญญา เพื่อพิจารณา และถอดถอนกิเลสเท่านั้น
เราจะเกิดความวิเศษเพียงใด ในการทำสมาธิ เช่นการ สามารถแสดงฤทธิ์
เช่นการ สามารถเข้าไปทรงฌานไว้อยู่ ได้นานๆ หรือว่ามีความสุขมาก เมื่อเข้าสู่ฌาน และทรงฌานอยู่ ..
จะเกิดภาวะแบบไหน
จะประสบความสำเร็จ ในกรรมฐานกองไหน แบบไหน.. ก็ตาม
เราอย่าลืมว่า นั่นคือ.. กำลังที่เราเอาจิตเข้าไปพัก เอาจิตเข้าไปเติมพลัง เติมกำลัง
กิจที่เราควรจะทำ อย่างแท้จริง
และสิ่งที่เราต้องต่อยอด ให้มันสูงยิ่งขึ้นไปจากการแค่มีสมาธินั้น..
คือ การน้อมเอาพลังของสมาธิ มาพิจารณาถอดถอน ตัดสิ่งทั้งหลายทั้งปวง
ที่มีอยู่ก็ดี ที่ไม่มีก็ดี
ลูกเอ๋ย.. ให้เราเอากำลังของฌานสมาธิ มาตัดดี ออกจากเรา
คือว่า เราดีแล้ว ทำสมาธิเข้าฌานได้แล้ว บำเพ็ญจนมีคุณวิเศษแล้ว..
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้.. ให้ถอด ให้ถอน ให้วางทิ้งไป
คือมี เหมือนไม่มี
ไม่มีกับมี..ก็เสมอเหมือนกัน
เราไม่ยึดความมีหรือความไม่มี มีก็มีอยู่ตรงนั้นหละ เราไม่ยึดลูก
ถ้าเกิดว่าเรายังไปยึด ในตัวดีตัวใดตัวหนึ่ง มันจะทำให้เราเข้าไม่ถึงพระนิพพานเลย.. ลูกเอ๋ย
... เพราะว่าเรายังติดอยู่..
กำลังของสมาธิ.. ไม่ว่าจะเป็นกองไหน แบบไหนก็ตาม ก็แค่มีเอาไว้เพื่อที่จะค้ำจิตของเรา ไปสู่พระนิพพาน ไปสู่ที่ที่ไม่ต้องเกิด
และที่นั้น เมื่อส่งเราไปถึงที่นั่น ถ้าเราจะอยู่ที่นั่น หรือว่าถึงที่นั่นอย่างแท้จริง เราต้องทิ้งคนที่ส่งเราไปด้วย
คนที่ค้ำที่หนุน ที่ส่งเราไป.. เราต้องไม่ยึดมันเอาไว้ลูก เราจึงจะถึงที่นั่น อย่างแท้จริง
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. การที่เรานี้มีพลังของฌานมาก ก็จะทำให้เราเห็นแจ้งในสรรพสิ่งทั้งหลายมาก
ยิ่งจะทำให้เราถอดถอนกิเลสต่างๆทั้งหลาย ออกจากเรา ได้มาก
ฉะนั้น ลูกเอ๋ย.. เมื่อเป็นผู้มีกำลัง นำมาพิจารณาถอดถอน เราย่อมถึงพระนิพพาน
และอารมณ์ที่เรานั้น จะเข้าไปทรงฌานอยู่ ในความมีกับไม่มีเสมอเหมือนกัน
อารมณ์นั้น ก็คือ *อารมณ์แห่งพระนิพพาน* ลูก
ฉะนั้น.. เราฝึกสมาธิทุกกอง เพื่อที่จะให้เรามีกำลังของจิต
แต่สูงสุดของสมาธิ กองสุดท้าย แบบสุดท้ายนี้ เราควรจะทำตามด้วย
คือ การทำสิ่งที่มี กับไม่มี ให้เสมอเหมือนกัน
" ให้จิตของเราอยู่สูงเหนือ เหนือทั้งมี และไม่มี "
เปรียบเสมือนนักมวย 2 คน แดง กับน้ำเงิน.. ที่กำลังชกกันอยู่
อีกฝั่งแดง คือชั่ว
ฝั่งน้ำเงิน คือดี
แต่เราไม่มีส่วนร่วม ในการไปสุข ไปทุกข์ ถ้าใครชนะ
ไม่มีส่วนร่วมไปสนับสนุน ดี หรือชั่ว
ไม่มอง ไม่เห็น ไม่สนใจด้วยซ้ำไป
แม้ว่าแดงจะเป็นญาติเรามา
แม้ว่าน้ำเงินจะเป็นผู้มีคุณมา
.. ช่างมันไปก่อน อย่างนั้น !
เหมือนความชั่ว ที่มันอาจจะเกี่ยวข้องกับมันมานาน กับเรามานาน
เหมือนความดี ที่มันอาจจะเป็นตัวค้ำตัวหนุน ตัวช่วยพาให้เรามาถึงซึ่งพระนิพพาน
แต่เราก็ไม่เอามันทั้งนั้นละ !
เพราะว่าเราจะไปสู่ที่ ที่เป็นสุขอย่างแท้จริงแล้ว..
เราจะไม่ยึดเอาตัว เอาตน เอาการกระทำ ทั้งดี ทั้งชั่ว อีกต่อไป
ทำอย่างนี้หละ.. พระยาธรรม
น้อมไปประพฤติปฏิบัติ พิจารณาถอดถอน ความหลง ที่จะหลงในฌาน ความหลงที่จะหลงในกรรมฐาน กองนั้น กองนี้
ที่มีกรรมฐานหลายกอง.. เพราะเชื้อกิเลสของแต่ละคน แต่ละดวงจิตนั้น มีมากมีน้อย ในเชื้อแต่ละตัวที่แตกต่างกันไป
จึงให้เลือกให้เหมาะกับเชื้อของตนเอง
เหมือนคนที่เป็นโรค เจ็บป่วยหลายโรค ใช้ยาขนานเดียวกัน แบบเดียวกันไม่ได้..จึงต้องใช้ยาหลายตัว เพื่อรักษาโรคที่เป็นอยู่ นั้นๆ...
ลูกเอ๋ย.. แต่ต่อให้รักษาโรคนั้นหายไปแล้ว.. ก็ไม่ควรยึดติดในร่างกายว่าเราแข็งแรง
เพราะคนที่แข็งแรง.. ก็ต้องตายเหมือนกัน
ก็เปรียบเสมือน การที่เราใช้สมาธิกองนั้นกองนี้ ทำให้เราเกิดความสุข ทำให้เรานั้น พ้นจากทุกข์
เราก็อย่าหลงในสมาธินั้น..
เพราะตราบใดก็ตามที่ยังมีความหลงอยู่ ก็จะทำให้เราเวียนว่ายตายเกิดอยู่
การตายยังไม่พ้นจากเรา !
อย่างนั้นหละ.. พระยาธรรมเอย
กรรมฐานมี 40 กอง - กองละ 3 แบบ เลือกปฏิบัติเอา
เมื่อปฏิบัติได้.. ควรจะมายึดเอากองสุดท้ายนี้ เป็นสิ่งที่ทุกคน จะต้องยึดเอา กองสุดท้ายนี้ มาเป็นอารมณ์อันสูงสุด
เพื่อที่จะตัดดับทุกสิ่งและทุกอย่าง.. เข้าสู่พระนิพพาน
ที่อธิบายมานี้ ก็เพื่อให้ลูกทั้งหลายได้มองเห็นในวงกว้างว่า.. ต่อให้มี 40 กอง มี 120 คลิป
แต่ต้องเอาคลิป หรือว่า 3 คลิปสุดท้าย หรือว่ากองสุดท้ายนั้น
** มาเป็นสิ่งที่เราจะต้องอาศัย.. เพื่อเข้าสู่พระนิพพาน **
เราจะเก่งในกองไหน เท่าไร.. เราก็ต้องมาทรงอารมณ์ไว้ ในความมี ก็เหมือนไม่มี
เราต้องมาทรงอารมณ์ ดับความมีในดี มีในชั่ว
ดับทั้งหมด.. ให้มันหมดจากเราไปอย่างแท้จริง
เราจึงจะเข้าสู่พระนิพพานได้ อย่างแท้จริง
อย่างนี้หละ พระยาธรรม.. ก็อธิบายไว้ให้ได้ทำความเข้าใจ
ส่วน ถ้าเรานั้น มีกำลังของฌานอยู่แล้ว.. เราก็แค่พิจารณา ความมี ให้เหมือน ไม่มี
ทั้งหลับตา ลืมตา.. เราก็ทำได้ทั้งนั้น
จับดูจิตของตน
ถ้ามันมีอะไรขึ้นมา ก็ บอกว่า.. มันไม่มี
แล้วก็บอกว่า...ไม่มี ก็ เหมือนมี
มีกับไม่มี.. ก็เหมือนกัน
เราก็ตั้งสติให้สงบ.. แล้วก็ค่อยๆพิจารณาแก้ไขในสิ่งที่มันมี หรือสมมุติมีนั้น
อย่างไม่สุข ไม่ทุกข์กับมัน
ทำอย่างนี้ละ.. พระยาธรรมเอย
หากว่าเรามีเรื่องคิดวุ่นๆ เข้ามา
เราก็จงพิจารณาว่า.. ก่อนหน้านี้มันก็ไม่มีเรื่องวุ่นนี้
แล้วพอเวลาผ่านไป เรื่องนี้ก็จะดับไป..
มันแค่สมมุติ มีขึ้นมา ตามเหตุของมัน
เดี๋ยว มันก็จะดับไป ตามเหตุของมัน
ค่อยพิจารณา
ไม่ต้องไปตื่น ไม่ต้องไปว้า ไปวุ่น ไปวิ่งกับมันหรอก
ทำจิต นิ่งๆ
จับดูให้ดี.. ว่าเราจะแก้ไขมันแบบไหนยังไง
ก็ค่อยว่ากัน ด้วยสติ ด้วยปัญญา ด้วยความรู้เท่าทัน ในสิ่งที่มันเกิดขึ้นแล้วนั้น..
เราพิจารณาเช่นนี้
เราก็จะเป็นผู้มีปัญญา อยู่เหนือเหตุที่เกิด อยู่เหนือเหตุที่ดับ
และดับปัญหานั้น.. ด้วยความมีสติ มีปัญญา
เรานั่งสมาธิไป.. นิ่งแล้ว มีความสุขแล้ว
อยู่ๆ มันก็มีเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งผุดขึ้นมา ทำให้เราว้าวุ่น
ทำให้เราทำสมาธิต่อไป ไม่ได้
เราก็ไม่ต้องไปสุข ไปทุกข์กับมัน..
เห็นเพียงว่ามันเป็นธรรมดา
ทำสมาธิ.. ต่อให้จะสุขเพียงใด ถ้าเลิกทำ แล้วจิตใจของเราไม่ใช้กำลังของสมาธินั้น มาช่วยถอดถอน ปัญหาต่างๆ ที่สมมุติมีเหล่านั้น
ด้วยความมีสติ มีปัญญา มันก็วุ่นอยู่ดี !
ความวุ่นนั้นเข้ามาทดสอบ ความติดในสิ่งที่ดี ติดในสิ่งที่ไม่ดีของเราเท่านั้น
ทำได้ กับ ทำไม่ได้..ก็เลยเหมือนกัน
เพราะเดี๋ยวก็ได้ เดี๋ยวก็ไม่ได้
สิ่งที่ไม่ได้ ก็ไม่เที่ยงแท้ สิ่งที่ได้ ก็ไม่เที่ยงแท้..
ฉะนั้น.. เห็นเป็นธรรมดาไป
ทำอย่างนี้หละ.. พระยาธรรมเอย
เรานั้น ตามรู้จิตของเราอยู่เสมอ ก็แล้วกัน..
วุ่นวาย - ก็วางความวุ่นวายนั้นไป
สงบ - ก็วางความสงบนั้นไป
จิตจึงอยู่เหนือทุกสิ่งและทุกอย่างได้ลูก..
จึงอยู่ในที่ๆไม่มีอะไร
ไม่มีอะไรในอีกโลกหนึ่ง อีกแบบหนึ่ง
ที่ไม่เกี่ยวข้องกับความไม่มีอะไร ในแบบที่ไม่เที่ยงแท้ทั้งหลาย หนะลูก
มันต่างกัน..
คำสมมุติ อาจจะสมมุติเหมือนกัน.. แต่ว่ามันต่างกัน
ความไม่มีนั้น เป็นความไม่มีอย่างเที่ยงแท้
ไม่มีสุข และก็ไม่มีทุกข์
ไม่มีเกิด และก็ไม่มีตาย
ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป.. อีกต่อไปแล้ว
ทุกสิ่งทุกอย่าง อยู่เหนือความมีและไม่มี.. เสมอและตลอดไป
อย่างนี้หละ พระยาธรรมเอย.. คือการที่เราจะฝึกตน ให้อยู่ในอารมณ์ของความมีกับไม่มี
เรา.. ฝึกมีปัญญารู้เท่าทัน “ความวิเศษ” ที่เกิดจากกรรมฐานทุกกอง
ฝึกให้มัน มี เหมือน ไม่มี
ฝึกปัญญา ให้มันอยู่สูงเหนือดี และชั่ว
ฝึกตัวของเรา ให้มันไปอยู่ในโลกของความไม่มี.. ทั้งสุข ทั้งทุกข์
จิตเรา เมื่อทะลุแจ่มแจ้งในสิ่งทั้งหลาย.. เราก็ย่อมพบนิพพานได้ลูก
กรรมฐานกองสุดท้ายนี้ ก็คือ ให้ลูกทั้งหลายพิจารณาถึง ความมี ทั้งดี และไม่ดี ทั้งโลก และธรรม
และให้วางสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น..เอาไว้
วางให้ว่าง ให้ลูกอยู่เหนือสิ่งเหล่านั้น
แล้วลูกจึงจะสามารถ “ ดับการเกิด ” อย่างแท้จริงได้ลูก
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกฟัง เจ้าค่ะ
ฟัง ก็งงไป งงมา..
แต่ฟังไปฟังมา ก็เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ
เพราะว่าธรรมบางอย่าง ละเอียดมาก
ถ้าเราไม่ใช้จิตที่ละเอียด น้อมพิจารณาตาม.. เราอาจจะสับสน ไม่เข้าใจ
แต่ในความเป็นจริงแล้ว.. พระองค์ทรงสอนให้ลูกได้รู้ว่า..
ให้ทิ้งทุกอย่าง.. ต่อให้จะวิเศษเพียงใด ก็ทิ้งมันไป!
ทิ้งทุกอย่างไปเลย..
ดี กับไม่ดี ไม่ใช่ตัวตนของเรา.. เราจะได้ไปถึงนิพพานได้
.. เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตา
วันนี้ลูกกราบขอลาก่อน นะเจ้าคะ
แล้วไว้ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่ ในโอกาสหน้า.. เจ้าค่ะ
สาธุ