โลกนี้เต็มไปด้วยความปรุงแต่ง แต่ว่างจากความเป็นตัวเป็นตน
“ จักรวาลนี้เต็มไปด้วยเหตุกับผล มีปรากฏการณ์มากมายนับจำนวนไม่ถ้วน เกิดดับเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นรวมลงมาแล้วเหลือ ๒ อัน คือ รูปธรรม กับ นามธรรม
รูปธรรม ก็ไม่มีความเป็น สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา
นามธรรม ก็ไม่มีความเป็น สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา
เราจะเห็นโลกนี้เต็มไปด้วยความปรุงแต่ง แต่ว่างจากความเป็นตัวเป็นตน...สิ่งที่พ้นจากโลกมีอยู่ สิ่งที่พ้นจากการปรุงแต่งมีอยู่ รู้ทันความปรุงแต่ง จนกระทั่งจิตหมดความปรุงแต่ง จิตมันเห็นทุกอย่างว่างเปล่าไปหมดแล้ว ตัวเราก็ไม่มี มันจะปรุงอะไรอีกล่ะ!
ถ้าจิตมันยังสำคัญผิดว่าตัวเรามีอยู่จริงๆ ก็ยังมี“อวิชชา”อยู่ มันก็ยังปรุงไม่เลิก ต่อไปเรามีสติปัญญาแก่รอบ โลกมันก็ปรุงของมันไปตามเหตุตามผลของมันไป ธาตุขันธ์ก็ทำงานของมันไปตามเหตุตามผลของมัน แต่เราไม่เข้าไปข้องแวะด้วย ต่างคนต่างอยู่ ขันธ์ส่วนขันธ์ จิตที่พ้นแล้วจากขันธ์ก็อยู่ต่างหากไม่เกี่ยวกัน
จิตที่พ้นจากขันธ์ หลวงปู่ดูลย์เรียกว่า “จิตหนึ่ง” ท่านพุทธทาสเรียกว่า “จิตเดิมแท้” หลวงปู่บุดดาเรียกว่า “จิตเดียว” หลวงปู่เทสก์เรียกว่า “ใจ” ถ้าพูดอย่างอภิธรรมคือ “มหากิริยาจิต” ในความเป็นจริงก็คือ “เป็นจิตที่พ้นจากการปรุงแต่ง”
เมื่อพ้นจากการปรุงแต่ง มันก็ไม่หลงไปสู่ความเป็นคู่ๆ เขาเรียก “จิตหนึ่ง” จิตนี้ไม่ได้สนใจในความเจริญและความเสื่อม ไม่ได้หลงตามสุขและทุกข์ ดีและชั่ว หยาบและละเอียด ภายในและภายนอก ที่ใกล้และที่ไกล ไม่หลงสิ่งที่เป็นคู่ๆ ที่เป็นความปรุงแต่งของโลก โลกมันก็ไหลไปในสิ่งที่เป็นคู่ จิตที่เข้าใจโลกแจ่มแจ้งก็เป็นหนึ่ง ตราบใดที่ยังเป็นคู่อยู่ สุขได้ก็ทุกข์ได้ ดีได้ก็ชั่วได้ ไม่พ้นหรอก”
๒๙ มีนาคม ๒๕๕๑ นาที ๘
เรื่อง ความเข้าใจในธรรมปฏิบัติ หัวข้อ ๓.๙ “การปรุงแต่ง”
เครื่องมือเจริญปัญญา
…………………..
“ทำอย่างไรเราจะสามารถ
เห็นกายเห็นใจตามความเป็นจริง
หรือทำอย่างไรจะเห็นกายเห็นใจ
แสดงไตรลักษณ์ได้
เราต้องมีเครื่องมือ ๒ ตัว
ตัวที่ ๑ คือสติ
เป็นตัวคอยรู้ทันกาย รู้ทันใจ
ร่างกายเคลื่อนไหว คอยรู้
จิตใจเคลื่อนไหว คอยรู้
(ตัวที่ ๒ คือ)สมาธิ ทำให้ใจตั้งมั่น
สมาธิก็เป็นเจตสิกตัวหนึ่ง
มาประกอบกับจิต
ทำให้จิตดวงนี้ตั้งมั่น เป็นคนดู
จิตทำหน้าที่เป็นคนดู
พอจิตทำหน้าที่เป็นคนดูกายมันทำงาน
มันก็จะเห็นกายอย่างที่กายเป็น
จิตทำหน้าที่เป็นคนดูจิตใจของตัวเองทำงาน
ก็เห็นจิตใจไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
เมื่อจิตมันเป็นคนดูอยู่
เราจะเห็นสภาวะทั้งหลายแสดงไตรลักษณ์ได้
ถ้าอย่างเวลาเราไปดูท้องพองยุบนะ
แล้วจิตเราไหลไปอยู่ที่ท้อง
เรียกว่าจิตลงไปตั้งแช่อยู่ที่ท้อง
จิตไม่ได้ตั้งมั่น
สมาธิที่ดีคือจิตตั้งมั่น เป็นคนดู
มันจะเห็นร่างกายนี้หายใจ จิตเป็นคนดู
แล้วมันก็จะเห็นต่อไป
ร่างกายที่หายใจอยู่นี้
ไม่ใช่ตัวเรา เป็นตัวทุกข์เท่านั้นเอง
ไม่มีอะไรหรอก มีแต่ทุกข์เกิดขึ้น
มีแต่ทุกข์ตั้งอยู่ มีแต่ทุกข์ดับไป
จิตต้องเป็นคนดู
ถ้าจิตเป็นผู้แสดง (เป็นผู้แทรกแซง)
จะเห็นไม่ได้
พอร่างกายแก่ จิตก็เป็นทุกข์
ร่างกายเจ็บ จิตก็เป็นทุกข์
ร่างกายจะตาย จิตก็เป็นทุกข์
(ทั้งที่)ร่างกายไม่ใช่ตัวมันซะหน่อย
ร่างกายไม่เคยบ่นเลย
เวลาร่างกายแก่ ร่างกายเจ็บ ร่างกายตาย
ไม่เคยบ่นเลย รู้สึกไหม
ร่างกายเงียบ ๆ ร่างกายไม่พูดหรอก
จิตต่างหากล่ะ ที่วุ่นวาย เข้าไปแทรกแซง
ทนไม่ได้ที่ร่างกายแก่
ร่างกายเจ็บ ร่างกายตาย
จิตเองเป็นคนที่เข้าไปแทรกแซง
ไปรู้รูปก็แทรกแซงรูป
ไปรู้นามก็แทรกแซงนาม
แทรกแซงไปทั่ว มันไม่ยอมเป็นผู้ดู
มันจะยอมเป็นผู้ดูได้
ก็ต้องฝึกจิตให้มันเป็นคนดู
วิธีฝึกจิตให้เป็นคนดู
ก็คือฝึกให้มันมีสมาธิชนิดตั้งมั่น
เราจะฝึกจนจิตมันเลิกยุ่งกับคนอื่น
ทำตัวเป็นคนดูจริงๆ แล้วมันจะได้เห็น
ร่างกายนี้จริง ๆ เป็นอย่างไร
จิตใจนี้จริง ๆ เป็นอย่างไร
เห็นโดยที่ไม่เข้าไปแทรกแซง
ค่อยๆ ฝึกไป”
…………………..
พระธรรมเทศนา
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
ธรรมะต้องทนจริงๆ เลยนะ
ต้องทนดูแล้วดูอีก วันแล้ววันเล่า
ฝึกไป
เราหลงมาตลอดชีวิตเลยนะ
กี่ภพกี่ชาติเราก็อยู่กับโลกของความหลงตลอดเลย
มาหัดรู้สึกตัวนิดๆ หน่อยๆ
จะเอามรรคผลนิพพาน
ก็เร็วไปหน่อย
แต่มันไม่ได้ยากเท่าที่คิด
พยายามรู้สึกตัว
อย่าให้หลงไป อย่าให้ใจลอย
รู้สึกตัวบ่อยๆ
รักษาศีล รู้สึกตัวไว้
ดูกายมันทำงาน ดูใจมันทำงาน
ทำตัวเป็นแค่ผู้รู้ผู้ดูไปเรื่อย
ถึงจุดหนึ่งปัญญามันแจ้งขึ้นมาว่า
มันไม่มีเราหรอก
ค่อยฝึกไป
นี่เป็นปัญญาขั้นต้นนะ
เห็นว่าตัวเราไม่มี
ล้างความเห็นผิดว่ามีตัวมีตนได้
เป็นพระโสดาบัน
ค่อยฝึกๆ ต่อไปอีก
ปัญญาค่อยแก่กล้าขึ้น
จนวันหนึ่งปัญญารู้แจ้งแทงตลอดในอริยสัจ ๔
รู้แจ้งเลย
ทีแรกมันแจ้งในร่างกายก่อน
เห็นเลยว่าร่างกายนี้มีแต่ทุกข์ล้วนๆ
ไม่ใช่ของดีของวิเศษแล้ว
อย่างพวกเราตอนนี้รู้สึกไหมว่า
ร่างกายเราเป็นทุกข์บ้างเป็นสุขบ้าง รู้สึกไหม
ถ้ายังรู้สึกแบบนี้ยังปล่อยวางกายไม่ได้หรอก
แต่ถ้าวันใดปัญญาแก่รอบจริงๆ
จะเห็นเลยว่าร่างกายนี้เป็นทุกข์ล้วนๆ นะ
มีแต่ทุกข์มากกับทุกข์น้อย ไม่ใช่ทุกข์บ้างสุขบ้าง
ถ้าเห็นถึงขนาดนี้มันจะวางกายนะ
มันจะถอยเข้ามาเรียนอยู่ที่จิต
รวมลงที่จิตดวงเดียวเลยคราวนี้
เราก็มาภาวนาอยู่ที่จิตอีก
ภาวนาไปเรื่อยๆ เราจะเห็นว่า
ถ้าจิตมีความอยาก จิตมีความยึด จิตก็มีความทุกข์
จิตไม่อยาก จิตไม่ยึด จิตก็ไม่ทุกข์
จิตจึงมี ๒ ชนิดอีกแล้ว มีจิตที่สุขกับจิตที่ทุกข์
อันนี้เรียกว่ายังไม่รู้แจ้ง
ถ้าฝึกมากเข้าๆ จะรู้แจ้งว่าจิตนั่นแหละคือตัวทุกข์
เหมือนที่เราเคยเห็นกายเป็นทุกข์ล้วนๆ
มีแต่ทุกข์มากกับทุกข์น้อย
จิตนี้ก็เป็นทุกข์ล้วนๆ ขึ้นมา มีแต่ทุกข์มากกับทุกข์น้อย
ถ้าเห็นอย่างนี้ได้มันจะปล่อยวางจิต
ถ้าปล่อยได้ทั้งกายปล่อยได้ทั้งจิต
ก็ไม่มีอะไรให้ยึดถืออีกในโลกนี้
โดยสมมติโดยบัญญัติ เขาเรียกว่า "พระอรหันต์"
ความทุกข์ทางใจจะไม่มีอีก
เหลือแต่ความทุกข์ทางร่างกาย
ร่างกายก็ยังทุกข์นะ ไม่หาย
🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣
กราบพระพุทธเจ้าด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
กราบหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
ช่วงนี้คนที่มาใหม่ๆ มีเยอะ
หลายคนหลวงพ่อไม่เคยเห็นหน้า
ที่มาใหม่ๆ นี่ ส่วนใหญ่ฟังซีดี
ดูยูทูป (youtube) มา แถมภาวนาได้ด้วย
จำนวนมากเลยที่มาครั้งแรก มาด้วยความมั่นใจ
มาส่งการบ้านด้วยความมั่นใจ เข้าใจว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร
อาศัยเคล็ดลับที่หลวงพ่อสอนให้พวกเราหัดเจริญสติ
หัดเจริญไปเรื่อยนะ ได้สติ ได้ศีล ได้สมาธิ ได้ปัญญาขึ้นมา
แล้วก็เริ่มรู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร
รู้แล้วก็เกิดความมั่นใจ
เส้นทางที่ท่านให้ไว้นี่ดีจริงๆ ควรจะเดินตาม
มีศรัทธาขึ้นมา พากเพียรปฏิบัติ
บางคนมาขอบคุณหลวงพ่อ
ไม่สงสัย ได้ฟังธรรมหลวงพ่อแล้วหมดสงสัย
หลวงพ่อยังเคยเตือนเลย สงสัยหน่อยนา
หน้าตาเธอยังไม่รู้จริงหรอก บางทีเธอสิ้นสงสัยเร็วเกินไป
หลวงพ่อทบทวนให้นิดนึง
สำหรับคนใหม่ๆ ยังไม่เคยเจอหลวงพ่อ
ไม่ต้องตกอกตกใจ ทำใจสบายๆ นั่งฟังไปสบายๆ
เคล็ดลับอยู่ที่สบาย พอใจเราสบายแล้วสมาธิจะเกิด
ถ้าใจเครียดสมาธิจะไม่เกิด
ฉะนั้นทำใจให้สบายๆ
ไม่ต้องแกล้งทำให้สบายมากเกินไปนะ
เป็นธรรมชาติ ผ่อนคลาย ยิ้มหวานๆ ยิ้มกับตัวเอง
ไม่ต้องไปยิ้มใส่คนอื่นหรอก เดี๋ยวกิเลสเกิด
เราเพิ่งกินข้าวมาไม่ได้แปรงฟัน เรายิ้มของเราคนเดียว
ถ้าใจมันมีความสุข สมาธิมันจะเกิดง่าย
ลองยิ้มซิ … รู้สึกไหมร่างกายมันยิ้มอยู่
ลองพยักหน้า … รู้สึกไหมร่างกายมันพยักหน้า
ไม่ใช่ยิ้ม พยักหน้า (หลวงพ่อทำหน้ายิ้ม พยักหน้า) มันผิดธรรมดา
ธรรมดานี่แหละ ไม่ต้อง ดจร. (ดัดจริต) … (เสียงโยมหัวเราะ)
เนี่ย เมื่อกี้หัวเราะ รู้สึกไหมร่างกายหัวเราะ
(ใคร)ไม่ได้ยิ้มไม่ได้หัวเราะ นั่งเฉยๆ
ร่างกายหายใจออก ร่างกายหายใจเข้า รู้สึกไหม
ตอนนี้หายใจออกหรือหายใจเข้า รู้สึกไหม
รู้สึกสบายๆ ไม่ต้อง (หลวงพ่อทำท่าสูดหายใจแรง)
อย่างนี้ไม่ต้องนะ นี่ก็เข้าขั้น ดจร. อีกแหละ
ใช้ใจธรรมดารู้สึกไป
ถ้าร่างกายเคลื่อนไหว ก็รู้สึกร่างกายเคลื่อนไหว
ร่างกายหยุดนิ่ง ก็รู้สึกร่างกายหยุดนิ่ง
ทำไปเพื่ออะไร
เพื่อความมีสติในเบื้องต้น
เพื่อความมีปัญญาในเบื้องปลาย
อย่างร่างกายยิ้ม ร่างกายพยักหน้าเนี่ย
อยู่ในสติปัฏฐานเหมือนกัน
อยู่ในสัมปชัญญบรรพ เคลื่อนไหวแล้วรู้สึก
ถ้าหยาบขึ้นมาหน่อยนะ นั่งอยู่ก็รู้สึก
ตอนนี้นั่งอยู่รู้สึกไหม
ขณะนี้ร่างกายนั่งอยู่ รู้สึกว่าร่างกายมันนั่ง แค่รู้สึก
ตรงที่เรารู้ร่างกายยืนเดินนั่งนอนนี้
เรียกว่า อิริยาบถบรรพ อยู่ในสติปัฏฐาน ๔
(ตรงที่)รู้ร่างกายที่หายใจออก รู้ร่างกายที่หายใจเข้า
อยู่ใน อานาปานสติบรรพ
ฉะนั้น สิ่งที่หลวงพ่อสอนให้พวกเราทำ
อยู่ในสติปัฏฐานนี่เอง
ทำไปเพื่ออะไร
เพื่อความมีสติในเบื้องต้น
เพื่อความมีปัญญาในเบื้องปลาย
เอายิ้มหวาน
ยิ้มหวานแล้ว รู้สึกร่างกายยิ้ม
อย่างนี้อยู่ในสัมปชัญญบรรพ
ร่างกายเคลื่อนไหวแล้ว รู้สึก
ถ้าร่างกายหายใจแล้วรู้สึก
เรียก อานาปานสติ (อานาปานสติบรรพ)
รู้สึกเรื่อยๆ
หายใจออก รู้สึก
หายใจเข้า รู้สึก
ต่อไป เวลาจังหวะการหายใจเปลี่ยนนะ
สติจะเกิดเอง ไม่ได้เจตนาให้เกิด มันจะเกิดเอง
ฉะนั้น สิ่งที่หลวงพ่อสอนพวกเรานะ
พวกมาใหม่ๆ ไม่ต้องงง
หลวงพ่อจะสอนจนพวกเรามีสติอัตโนมัติเกิดขึ้นเอง
ต่อไปจะมีศีลอัตโนมัติ มีสมาธิอัตโนมัติ มีปัญญาอัตโนมัติ
ไปฝึกจนอัตโนมัติทั้งหมดเลย
ทำไมต้องฝึกให้เป็นอัตโนมัติ
เพราะเวลาที่อริยมรรคเกิดเนี่ย เกิดอัตโนมัติ
จงใจให้เกิดไม่ได้ เกิดเอง
เกิดเองเมื่อศีล สมาธิ ปัญญา มันอัตโนมัติแล้ว
เคล็ดลับอยู่ที่สบาย พอใจเราสบายแล้วสมาธิจะเกิด ถ้าเครียดสมาธิจะไม่เกิด
ศีล สมาธิ ปัญญา อัตโนมัติได้
เบื้องต้นต้องฝึกให้มีสติอัตโนมัติ
สติเกิดจากการที่จิตจำสภาวะได้แม่นยำ
เพราะฉะนั้น เรามาหัดรู้สภาวะบ่อยๆ
จิตเค้าจะได้จำสภาวะได้แม่น แล้วสติจะเกิดเอง
แล้วศีล สมาธิ ปัญญา จะงอกงามขึ้นมา
(ถ้า)ไม่ถนัดที่จะเริ่มจากกาย ดูจากเวทนาก็ได้
ความรู้สึกสุข ความรู้สึกทุกข์ เราคอยรู้สึก
อย่างในใจเรานี้ ไม่สุขก็ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ก็เฉยๆ
มีอยู่สามอย่างเท่านั้นเกิดขึ้นในใจเรา ในกองของเวทนา
เพราะฉะนั้น ใจเรามีความสุขเรารู้
ใจเรามีความทุกข์เรารู้ ค่อยๆ รู้ไปเรื่อย
ต่อไปพอใจเฉยๆ แล้วอยู่ๆ มีความสุขขึ้นมานะ สติเกิดเอง
หรือเราอยู่เฉยๆ นะ แล้วความทุกข์ผุดขึ้นมา
เราจะเห็นความทุกข์มันเกิดขึ้นเอง มันมาอย่างอัตโนมัติ
สติคอยรู้ไปเรื่อย ต่อไปพอมีความสุขเกิดขึ้น
มันรู้โดยไม่เจตนารู้ มีความทุกข์เกิดขึ้น รู้โดยไม่เจตนาจะรู้
นี้เรียกว่า เรามีสติอัตโนมัติขึ้นมา
หรือถ้าไม่ถนัดที่จะดูกาย
ไม่ถนัดที่จะดูความรู้สึกสุขทุกข์
เรามาดูใจของเราที่เป็นกุศล อกุศล ก็ได้
คนไหนขี้โกรธ คนขี้โกรธยุคนี้เยอะนะ มีมาก
ไหนใครขี้โกรธบ้างยกมือซิ
ใครขี้โลภยกมือซิ
ใครชอบหลงบ่อยๆ (ยกมือซิ)
นี่ เยอะ ถูกต้อง ถูกต้องนะ
ถ้าบอกขี้โกรธ ขี้โลภ แต่ไม่หลงนี่ ภาวนาไม่เป็นหรอก
คนจะโกรธได้ต้องหลง คนจะโลภได้ต้องหลง
ส่วนใหญ่เราก็หลงนั่นแหละ
แต่หลงนี้เป็นตัวที่ดูยากที่สุด มันประณีต ดูยาก
ตัวโกรธดูง่ายที่สุด มันหยาบ
เพราะฉะนั้น พวกเราขี้โกรธนี่พวกมีบุญนะ
ถึงชาติก่อนจะมาจากนรก มาจากอบายก็ตาม
มันคุ้นเคยกับโทสะ ใจวันๆ เต็มไปด้วยโทสะ
ก็ไม่ต้องเสียใจ อดีตก็แล้วๆ ไป
ทุกวันนี้พอใจโกรธขึ้นมา หงุดหงิดขึ้นมา คอยรู้ทัน
พอรู้บ่อยๆ จิตจำสภาวะของความหงุดหงิด ของความโกรธได้
พอมันจำได้แม่นแล้ว ต่อไปพอมันหงุดหงิดนิดเดียวนี่นะ
สติระลึกได้เอง ระลึกขึ้นมาเอง คือสติอัตโนมัติก็เกิด
คนไหนขี้โลภ จิตมันโลภขึ้นมาเราก็รู้ จิตมันหายโลภเราก็รู้
ต่อไปชำนาญขึ้นมา จิตจำสภาวะของความโลภได้แม่น
พอจิตโลภปุ๊บ สติเกิดเองเลย รู้ว่าโลภแล้ว
ถ้าจะดูหลง
หลงส่วนใหญ่นั้น หลงคิด
วิธีดูหลงคิดนะ ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่งก่อน
จะพุทโธ จะหายใจ อะไรก็ได้ แล้วคอยรู้ทัน
เคลื่อนไหว ขยับไม้ขยับมือ เดินจงกรม อะไรก็ได้
ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง แล้วคอยรู้ทันเวลาจิตมันหนีไปคิด
จิตไหลไปคิดแล้วรู้ จิตไหลไปคิดแล้วรู้
เมื่อก่อนหลวงพ่อก็เล่นตัวนี้เลย
จิตมีราคะ จิตมีโทสะ ไม่ได้เกิดตลอด
จิตหลงนี่แทบจะตลอด
เดี๋ยวก็ไหล เดี๋ยวก็ไหล เดี๋ยวก็ไหล
ตอนที่หลวงพ่อฝึก หลวงพ่อดูจิตที่ไหลไป
เราหายใจไป พุทโธไป จิตหนีไปคิดเราคอยรู้ทัน
ทำอานาปานสติ หายใจออกรู้สึก หายใจเข้ารู้สึก
จิตหนีไปคิดแล้วรู้ อันนี้อยู่ใน จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน
จิตไหลไปคิด คือจิตฟุ้งซ่าน จิตมีโมหะ
ต่อไปพอเราหัดดูบ่อยๆ จิตจำสภาวะที่ไหลไปได้
พอจิตไหลปุ๊บ สติเกิดเอง
สติจะเกิดได้เองถ้าเราหัดดูสภาวะบ่อยๆ
ใจที่มันทรงสมาธิขึ้นมา มันพร้อมที่จะเดินปัญญา ใจที่ทรงสมาธิจะมีความเบา เพราะฉะนั้น ถ้าหนักๆ อยู่ ใช้ไม่ได้นะ
ดูร่างกายก็ได้
ร่างกายหายใจ ร่างกายยืน เดิน นั่ง นอน
ร่างกายเคลื่อนไหว ร่างกายหยุดนิ่ง
ดูความสุข ความทุกข์ ก็ได้
สุขเกิดก็รู้ ทุกข์เกิดก็รู้ เฉยๆ เกิดก็รู้
ดูจิตที่เป็นกุศล อกุศล ก็ได้
ขี้โกรธก็ดูจิตมันโกรธ จิตโกรธแล้วจิตไม่โกรธ
ขี้โลภก็ดูจิตโลภแล้วไม่โลภ ดูบ่อยๆ
หรือทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง แล้วคอยรู้ทันจิตที่ไหลไป
ส่วนใหญ่ไหลไปคิด จิตไหลไปคิดแล้วรู้ ไหลไปคิดแล้วรู้
อันนี้อยู่ในจิตตานุปัสสนา (จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน) นะ
ในสติปัฏฐาน ๔ นั้น ใช้หลักเดียวกันทั้งหมดแหละ
แต่ธัมมานุปัสสนา (ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน)
ทำยากนะ เอาไว้ก่อน เอาของง่ายก่อน
แต่สุดท้ายทุกคนเข้าไปธัมมานุปัสสนาได้ทั้งนั้นแหละ
โดยเฉพาะบรรพสุดท้าย สัจจบรรพ รู้อริยสัจขึ้นมา
ถึงจุดหนึ่งทุกคนก็รู้อันนี้ ถ้าไม่รู้อันนี้จะเกิดอีก
ถ้ารู้แล้วไม่เกิดอีก
พอเรามีสติอัตโนมัติแล้วนะ
ต่อไปเราก็มาฝึกคอยรู้ทันจิตใจของเราเองบ่อยๆ
จิตมีกิเลสอะไรเกิดขึ้นเราคอยรู้ทัน
จิตโลภ จิตโกรธ จิตหลง เกิดขึ้นมารู้ทันเรื่อยๆ
รู้ทันตัวนี้บ่อยๆ นะ ต่อไปศีลอัตโนมัติจะเกิด
ศีลที่เราตั้งใจรักษาเป็นศีลเบื้องต้น ศีลพื้นฐาน
อาศัยเจตนาตั้งใจไว้ก่อน
แต่ถ้าเราฝึกสติของเราให้ดีนะ ศีลอัตโนมัติจะเกิด
การเดินปัญญาคือการเห็นไตรลักษณ์ ถ้าลำพังเห็นรูปธรรม เห็นนามธรรม เช่น เห็นร่างกายหายใจออก หายใจเข้า มีสติ (แต่)ยังไม่มีปัญญา
คนทำผิดศีลได้เพราะกิเลสครอบงำจิต
ฉะนั้น เราคอยรู้ทันจิตไว้
จิตมีราคะเราก็รู้ จิตมีโทสะเราก็รู้
จิตฟุ้งซ่านไปเราก็รู้ จิตหดหู่ก็รู้
พอรู้บ่อยๆ กิเลส โลภ โกรธ หลง มันครอบงำจิตไม่ได้
กิเลสครอบงำจิตไม่ได้ ศีลอัตโนมัติจะเกิด
คนทำผิดศีลเพราะกิเลสครอบงำจิต
อย่างจิตมีโทสะ ไปฆ่าเขาก็ได้
ไปแย่งชิงสมบัติเขาก็ได้
ไปหลอกลูกหลอกเมียเขาก็ได้
ไปใส่ร้ายเขาก็ได้
หรือจิตมีโทสะ กลุ้มใจ ไปกินเหล้าก็ได้
ผิดศีลได้ ๕ ข้อเลย
จิตมีราคะก็ผิดศีลได้ ๕ ข้อ
จิตมีโมหะก็ผิดศีลได้ทั้ง ๕ ข้อ
เพราะฉะนั้น อาศัยสติรู้ทัน
จิตใจมีกิเลสขึ้นมา รู้ทัน
จิตใจมีกิเลส รู้ทัน ศีลอัตโนมัติจะเกิด
ทีนี้เราอาศัยสติไปสร้างสมาธิอัตโนมัติ
สมาธิอัตโนมัติ จะไม่จงใจให้เกิดสมาธิ
จิตมันมีสมาธิขึ้นมาเอง
ศัตรูของสมาธิเรียกว่า นิวรณ์
นิวรณ์ตัวหัวโจกเลยคือ ตัวฟุ้งซ่าน
อาศัยความฟุ้งซ่านไป
มันเลยเกิดความรักใคร่พอใจ เกิดกามฉันทะ
ฟุ้งซ่านไปในอารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย
เกิดความพอใจขึ้นมา เกิดกามฉันทะขึ้นมา
อาศัยความฟุ้งซ่านไปหาอารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย
เกิดความไม่พอใจขึ้นมา เกิดพยาบาทขึ้นมา
หรือเกิดความฟุ้งซ่าน เกิดความรำคาญใจ
เกิดความลังเลสงสัย เกิดความหดหู่
อาศัยฟุ้งซ่านก็หดหู่ได้นะ
สังเกตไหมช่วงไหนฟุ้งซ่านมากๆ
ถัดไปแล้วจิตจะซึมไป จิตจะหดหู่ มันเป็นของมันเอง
เพราะฉะนั้น หัวโจกคือตัวฟุ้งซ่านนั้นแหละ
ศีล สมาธิ ปัญญา อัตโนมัติได้ เบื้องต้นต้องฝึกให้มีสติอัตโนมัติ
สติเกิดจากการที่จิตจำสภาวะได้แม่นยำ เพราะฉะนั้น เรามาหัดรู้สภาวะบ่อยๆ
จิตเค้าจะได้จำสภาวะได้แม่น แล้วสติจะเกิดเอง แล้วศีล สมาธิ ปัญญา จะงอกงามขึ้นมา
เราคอยรู้ทันจิตที่ฟุ้งซ่านนะ
นิวรณ์ห้าตัวนี้สิ้นสภาพไปเลย
จิตฟุ้งซ่านคือ ฟุ้งไปทางตา ทางหู
ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
ฟุ้งมากที่สุดคือฟุ้งทางใจ
ฟุ้งไปคิด เกิดบ่อยที่สุด
รองลงมาสำหรับคนที่ตาไม่บอด ก็ฟุ้งไปดู
รองลงไปอีกก็ฟุ้งไปฟัง
น้อยลงไปอีกก็ฟุ้งไปดมกลิ่น ไปลิ้มรส ไปรู้สัมผัสทางร่างกาย
เพราะฉะนั้น ทวารที่จิตวิ่งพล่านไปมากๆ เลย
คือ ทวารใจ หนีไปคิด
เวลาเราดูโทรทัศน์ใช้สามช่องนี้แหละ
ตามองรูปในโทรทัศน์ หูได้ยินเสียง ใจก็คิด
ตอนที่เราดูข่าวอะไรสักข่าว
เราบอกว่าเราดูโทรทัศน์เลยรู้ข่าว จริงๆ ไม่ใช่
รู้ขึ้นมาเพราะคิดหรอก
ถ้าตาสักแต่ว่าเห็นรูป ไม่รู้ว่ารูปอะไร
ถ้าหูสักแต่ว่าได้ยินเสียง ไม่รู้ว่าเสียงอะไร
อาศัยความคิดไปแปลความ แล้วก็สรุปขึ้นมา
เกิดความรู้ความเข้าใจขึ้นมา ถูกบ้างผิดบ้าง
เราดูทีวีนะ เราใช้ตา เราใช้หู เราใช้ใจ
เราไม่ได้ใช้ลิ้นใช่ไหม ใครเลียโทรทัศน์บ้าง
หรือใครไปดมมันบ้าง หรือใครไปนั่งลูบมันบ้าง
จริงๆ แล้ว อายตนะหลักๆ คือตา หู ใจ
ใจนี่ใช้เยอะที่สุด
เห็นรถชนกัน ดูด้วยตา
ฟังเสียงเขาวิพากษ์วิจารณ์ ใจก็คิด
ตัวที่มากที่สุดก็คือตัวใจคิด
ถ้าเราจะหัดรู้นะ หัดรู้ทันใจที่คิด ดีที่สุด มันเกิดบ่อย
ใจคิดแล้วรู้ ใจคิดแล้วรู้ สมาธิจะเกิด
จริงๆ ตามองเห็น เรารู้ สมาธิก็เกิด
หูได้ยินเสียง เรารู้ สมาธิก็เกิด
ใจมันคิดบ่อยที่สุด
ใจไหลไปคิดแล้วรู้ สมาธิจะเกิดขึ้น
คือใจไม่ฟุ้งซ่าน ตรงที่ใจไหลไปนี่ใจฟุ้งซ่าน
ตรงที่มีสติรู้ทันว่าใจไหลไป จิตเป็นกุศลแล้ว
ความฟุ้งซ่านจะดับอัตโนมัติ
เมื่อไหร่มีกุศล เมื่อนั้นอกุศลไม่มี นี่เป็นกฎของธรรมะ
เราอาศัยสติคอยรู้ทันเวลาใจหนีไปคิด รู้บ่อยๆ
ช่วยมันหน่อยก็ พุทโธ พุทโธ ไป
ใจหนีไปคิดเรื่องอื่นนอกจากพุทโธ ก็รู้
หายใจไป ใจหนีไปคิดแล้วก็รู้
เดินจงกรมใจหนีไปก็รู้
อยู่ๆ จะดูใจหนีไปคิด ดูยาก มันลืมเก่ง ช่วยมันนิดนึง
ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง แล้วคอยรู้ทันเวลาใจมันไหลไป
พอใจไหลไปปุ๊บเรารู้
นิวรณ์ไม่มี ใจไม่ฟุ้งซ่าน สมาธิอัตโนมัติมันเกิดขึ้น
พอสมาธิอัตโนมัติมันเกิดขึ้น ใจจะมีความเบา
มีความนุ่มนวล อ่อนโยน คล่องแคล่วว่องไว
แล้วก็ใจไม่ขี้เกียจขี้คร้าน
สภาวะอะไรเกิดขึ้นก็สักว่ารู้ว่าเห็นไป
ซื่อตรงในการรู้อารมณ์ ไม่เข้าไปแทรกแซง
ใจดวงนี้เป็นใจที่พร้อมสำหรับการเจริญปัญญาแล้ว
ใจที่มันทรงสมาธิขึ้นมา มันพร้อมที่จะเดินปัญญา
ใจที่ทรงสมาธิจะมีความเบา
เพราะฉะนั้น ถ้าหนักๆ อยู่ ใช้ไม่ได้นะ
แล้วต้องมีความนุ่มนวล ถ้าแข็งๆ กระด้างอยู่ ใช้ไม่ได้
มีความคล่องแคล่วว่องไว ถ้าซื่อบื้อ นิ่งเฉยๆ อยู่ ใช้ไม่ได้
มีความซื่อตรงในการรู้อารมณ์
ขยันรู้อารมณ์ รู้แล้วก็ไม่เข้าไปแทรกแซง
นี่ใจอย่างนี้ ดี เหมาะกับการเจริญปัญญา
เกิดจากใจมีสมาธิที่ถูกต้อง
มีสมาธิที่ถูกต้องเพราะมีสติรู้ทันจิตที่ฟุ้งซ่านไป
สมาธิที่ถูกต้องมันเกิด ใจก็เบา นุ่มนวล อ่อนโยน
คล่องแคล่วว่องไว ควรแก่การงาน ซื่อตรงในการรู้อารมณ์
ไม่มีราคะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะในขณะนั้น
ใจดวงนี้เรียกว่า ใจมีสมาธิที่ถูกต้อง
สมาธิที่ถูกต้องเป็นเหตุใกล้ให้เกิดปัญญา
ถ้าใจไม่มีคุณภาพแบบนี้ เจริญปัญญาไม่ได้จริง
เห็นซ้ำๆ ไปเรื่อย จนกระทั่งจิตมันสรุปรวบยอดได้ว่า
ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีตัวเรา
รูปธรรมนี้ไม่ใช่เรา นามธรรมนี้ไม่ใช่เรา
พอความรู้รวบยอดตรงนี้เกิดนะ อริยมรรคก็จะเกิดขึ้น
เป็นปัญญาในขั้นอริยมรรค
ใจเรามีคุณภาพแล้ว เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
อาศัยสติคอยรู้ความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของรูปนามกายใจ
แต่เดิมร่างกายหายใจออกเรารู้สึก
หายใจเข้ารู้สึก ทำไปเพื่อความมีสติ
แต่ตอนนี้เราพัฒนาให้เกิดปัญญา
(ให้)จิตเป็นผู้รู้ขึ้นมา เห็นว่า
ร่างกายที่หายใจอยู่ ไม่ใช่ตัวเรา
ร่างกายเป็นอนัตตาขึ้นมาแล้ว ไม่ใช่ตัวเรา
ร่างกายเป็นแค่วัตถุ เป็นแค่ก้อนธาตุ
ร่างกายนี้มีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
เดี๋ยวหายใจออก เดี๋ยวหายใจเข้า แสดงความไม่เที่ยง
(เห็นอย่างนี้)จะเริ่มเดินปัญญา
การเดินปัญญาคือการเห็นไตรลักษณ์
ถ้าลำพังเห็นรูปธรรม เห็นนามธรรม เช่น
เห็นร่างกายหายใจออก หายใจเข้า
มีสติ (แต่)ยังไม่มีปัญญา
มีปัญญาต้องเห็นความเป็นไตรลักษณ์
เห็นว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา
ร่างกายไม่เที่ยง ร่างกายเป็นทุกข์
เห็นจิตใจก็ไม่ใช่เรา มีแต่ความไม่เที่ยง
มีแต่ความแปรปรวน บังคับไม่ได้
เห็นซ้ำๆ ไปเรื่อย จนกระทั่งจิตมันสรุปรวบยอดได้ว่า
ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีตัวเรา
รูปธรรมนี้ไม่ใช่เรา นามธรรมนี้ไม่ใช่เรา
พอความรู้รวบยอดตรงนี้เกิดนะ อริยมรรคก็จะเกิดขึ้น
เป็นปัญญาในขั้นอริยมรรค
พระพุทธเจ้าสอน
ไม่มีใครทำอริยมรรคให้เกิดได้ อริยมรรคเกิดเอง
เรามีหน้าที่เจริญศีลสิกขา จิตตสิกขา ปัญญาสิกขา
พัฒนาศีล สมาธิ ปัญญา ที่ถูกต้องอัตโนมัติขึ้นมา
แล้วอริยมรรคจะเกิดขึ้นเอง
ท่านบอกเหมือนชาวนาทำข้าวให้ออกรวงไม่ได้
ชาวนาทำเงื่อนไขให้ข้าวออกรวงได้
พอฝนตกก็ไปไถนา ไถนาแล้วก็ไปหว่านข้าว
หว่านข้าวแล้วก็คอยดูแลต้นข้าว
น้ำมากก็เอาออก น้ำน้อยก็เอาเข้า
หนอนแมลงมาก็หาทางแก้ไข
ถึงเวลาแล้วข้าวออกรวงเอง
ชาวนาไปสั่งข้าวให้ออกรวงไม่ได้ ข้าวออก(รวง)เอง
จิตนี้ก็เหมือนกัน เราสั่งให้เกิดอริยมรรคไม่ได้
อริยมรรคเกิดขึ้นเองเมื่อเรามีเหตุที่พร้อมแล้ว
เหมือนชาวนาทำเหตุที่พร้อมแล้ว ข้าวก็ออกรวง
เรานักปฏิบัติ
เราเจริญศีล สมาธิ ปัญญา ที่ถูกต้องอัตโนมัติขึ้นมา
อริยมรรคก็จะเกิดขึ้นเอง
ค่อยๆ ฝึกนะ นี่เป็นภาพรวมทั้งหมดเลยของการปฏิบัติ
พระธรรมเทศนาหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม แผ่นที่ ๖๗ วันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๙ (591016)
"ใจเป็นที่รองรับธรรมะ
ธรรมะไม่เข้าที่อื่นหรอก เข้าที่ใจที่เดียว
ฉะนั้นถ้าใจเราแกว่งไปแกว่งมา
ธรรมะก็ลงไปไม่ได้
พยายามฝึกจิตใจให้อยู่กับเนื้อกับตัวไว้
หายใจออก หายใจเข้า รู้สึกตัวไปเรื่อยๆ
จิตของเรา สมาธิมันน้อย
ฉะนั้นเราต้องมีเครื่องอยู่ให้จิตอยู่
จะอยู่กับพุทโธก็ได้ อยู่กับลมหายใจก็ได้
อยู่กับพุทโธ พุทโธๆ ไป
ท่องอยู่ในใจ
ช่วงไหนกิเลสแรง ก็ท่องเร็วๆ
พุทโธๆๆ นะ (หลวงพ่อทำเสียงเร็วๆ)
ช่วงไหนกิเลสเบา ใจเริ่มสงบก็พุทโธๆ ไป (หลวงพ่อทำเสียงช้าๆ)
ไม่ได้พุทโธเพื่อให้เกิดความดี ความสุข ความสงบ
อันนั้นกระจอก
เราพุทโธเป็นแค่ที่สังเกตจิตใจของเราเท่านั้นเอง
อย่างเราพุทโธๆ นี่
จิตเราไหลไปคิด เรารู้ทัน
พุทโธไป จิตสงบ เรารู้ทัน
พุทโธแล้วรู้ทันจิตไป
พุทโธแล้ว จิตสุขก็รู้ทัน
พุทโธแล้ว จิตทุกข์ก็รู้ทัน
เอาเป็นแค่เครื่องอาศัย รู้ทันจิตตัวเอง
พุทโธมันดียังไง?
พุทโธเป็นความคิด
แต่สิ่งที่เราจะดู เราจะดูจิต
พุทโธแปลว่าผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
สิ่งที่เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ก็คือจิต
ฉะนั้นที่เราบริกรรมพุทโธ เพื่อเตือนตัวเอง
ให้รู้ทันจิตตนเอง ไม่ใช่เพื่อบังคับจิตให้นิ่ง
ถ้าทำไปเพื่อบังคับจิตให้นิ่งนี่ ตื้นเกินไป
ธรรมะอย่างนั้นพัฒนาไม่ได้หรอก
พัฒนายาก"
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แสดงธรรมที่วัดสวนสันติธรรม ๘ กันยายน ๒๕๖๑
เห็นไตรลักษณ์
เพราะมีสมาธิชนิดที่เป็นคนดู
…………………..
“ถ้าเรามีจิตที่มีสมาธิที่ถูกต้องแล้ว
ปัญญาจึงจะเกิด
ในอภิธรรมฯ จึงสอนบอกว่า
“สัมมาสมาธิ เป็นเหตุใกล้ให้เกิดปัญญา
การจำสภาวะได้แม่น เป็นเหตุใกล้ให้เกิดสติ”
ทีนี้ถ้าเรามีสติรู้ทันจิตที่เคลื่อน
จิตที่เคลื่อนเป็นจิตฟุ้งซ่าน จิตไม่มีสมาธิ
พอเรารู้ว่าจิตเคลื่อนปุ๊บ จิตตั้งมั่นเองเลยนะ
พอจิตตั้งมั่นแล้วนี่ ได้สัมมาสมาธิมา
แล้วเราก็ดูลงไปที่ไหนก็ตาม
จะเป็นร่างกาย จะเป็นความรู้สึก
หรือ(จะเป็น)ตัวจิตเอง
มันจะเกิดดับทั้งสิ้นเลย
จิตก็เกิดดับนะ
จิตเดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ เดี๋ยวก็เป็นผู้คิด
สลับไปเรื่อยๆ
เดี๋ยวก็เป็นผู้ไปดูรูป เดี๋ยวก็เป็นผู้ไปฟังเสียง
เดี๋ยวก็เป็นผู้ไปดมกลิ่น ไปลิ้มรส
ไปรู้สัมผัสทางร่างกาย
เดี๋ยวก็เป็นผู้หลงไปคิดทางใจ
เดี๋ยวก็เป็นผู้หลงไปเพ่งอารมณ์กรรมฐาน
นี่หลงๆๆ ไป
ฉะนั้นจิตเองก็เกิดดับ
จิตเกิดดับอยู่ทางทวารทั้ง 6
ถ้าเมื่อไหร่เราได้สมาธิที่ถูกต้อง
จิตของเราเป็นผู้รู้แล้วนี่
พอรู้ลงในกาย ก็จะเห็นว่า
ร่างกายตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์
รู้ไปที่ความรู้สึกทั้งหลาย คือเจตสิก
ก็จะเห็นว่า เจตสิกทั้งหลายก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์
รู้ลงไปที่ตัวจิตซึ่งเป็นธรรมชาติที่รู้อารมณ์ต่างๆ
ก็จะเห็นว่า ตัวจิตเองก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์
ที่เราสามารถเห็นไตรลักษณ์ได้นี่
เพราะใจเรามีสมาธิชนิดที่เป็นคนดู”
…………………..
พระธรรมเทศนา
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม วันที่ ๕ มกราคม ๒๕๖๒
กระจายตัวเราออกเป็นส่วน ๆ
…………………..
“สมัยพุทธกาล
คนบรรลุมรรคผลมีเยอะ
แต่บางคนก็ไม่บรรลุ
ไม่ใช่ทุกคนที่เจอพระพุทธเจ้า
แล้วได้มรรคผลนิพพานนะ
บางคนได้อเวจี
ไม่แน่นะ แล้วแต่ความประพฤติ
บางคนก็ได้(มรรคผลนิพพาน)ช้า
บางคนก็ได้เร็ว ไม่ใช่ทุกคนได้เร็ว
บางคนปฏิบัติง่าย บางคนปฏิบัติยาก
ไม่ใช่ทุกคนปฏิบัติง่าย
ภาพอันนี้ จริง ๆ แล้วมันก็ตกทอดมาถึงยุคของเรานี้
ที่เราภาวนากันนะ
บางคนก็ได้ผลเร็ว บางคนก็ได้ผลช้า
บางคนก็ทำง่าย บางคนก็ทำยาก
ตรงที่ได้ผลนั้น เกิดความรู้ถูก
เกิดความเข้าใจถูก
เกิดสัมมาทิฐิขึ้น รู้ความจริงของรูปนามกายใจ
เวลาเรียนธรรมะในขั้นที่จะแตกหักกัน
ส่วนใหญ่จะเรียนรู้เรื่องขันธ์
เรื่องธาตุ เรื่องอายตนะ เรื่องอินทรีย์
เรื่องปฏิจจสมุปบาท อะไรพวกนี้
ธรรมะเหล่านี้ เป็นการกระจายสิ่งที่เรียกว่า ตัวเรา
ออกเป็นส่วนย่อย ๆ
บางทีก็กระจายสิ่งที่เรียกว่าตัวเรา เป็นขันธ์ ๕
ในขันธ์ ๕ นี้ มีรูปธรรม ๑ มีนามธรรม ๔
เพราะฉะนั้น เรื่องของขันธ์ ๕ นี่นะ
จะเหมาะกับคนซึ่งเป็นพวกมีปัญญามากหน่อย
ถ้าเรื่องอายตนะ ๖
ในอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย
๕ อย่างนี้เป็นรูปธรรม
มีใจเป็นนามธรรมอันเดียว
ก็จะเหมาะกับพวกที่จะดูกาย
ส่วนขันธ์ ๕ นี่เหมาะกับพวกดูจิต
พวกใช้ปัญญาลุยเข้าไป
พวกปัญญานำสมาธิ
ถ้าทรงฌานอยู่
ส่วนใหญ่ออกจากฌานมา จิตมันนิ่ง ๆ
ท่านจะดูกายเป็นหลัก
ขันธ์ ๕ นี่เอาไว้สอนพวกดูจิต
อายตนะ ๖ เอาไว้สอนพวกดูกาย
แต่ละคนไม่เหมือนกัน
แต่ที่จริงก็หลักอันเดียวกัน
คือกระจายสิ่งที่เรียกว่าตัวเราออกเป็นส่วน ๆ”
…………………..
พระธรรมเทศนา
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐
*** เพราะตัวจิตผู้รู้นี้ ..ยังเป็น #ของที่เป็นคู่ อยู่
เป็นคู่กับ..จิตผู้หลง ผู้คิด ผู้นึก.ผู้ปรุง ผู้แต่ง ผู้เพ่ง
.
*** งั้นจิตผู้รู้ ยังเป็นของ #แปรปรวน อยู่ ***
.
ถ้าเรารักจิตผู้รู้อยู่
เราจะไปปฏิเสธ
จิตผู้หลง ผู้คิด ผู้นึก ผู้ปรุง ผู้แต่ง ผู้เพ่ง อะไรไม่ได้เลย
มันเป็นของคู่กัน
.
เหมือนรักเหรียญด้านหัวนะ
ก็ต้องรักเหรียญด้านก้อยด้วย มันติดกันมา
จะเอาด้านเดียวไม่ได้
.
หลวงพ่อไม่เห็นกรรมฐานใดอัศจรรย์เหมือนอานาปานสติ ลึกล้ำ จนถึงขนาดยอมรับเต็มปากเต็มคำ เต็มหัวใจเลย มันเป็นกรรมฐานของพระมหาบุรุษ ไม่ใช่กรรมฐานของคนทั่วๆ ไป จะเล่นได้ชำนิชำนาญหรอก
ทีนี้ พวกเราเล่นไม่ได้ทั้งหมด เราก็เลือกเอาส่วนที่เล่นได้ หายใจแล้วรู้สึกตัวไป หายใจไปแล้วจิตหนีไปคิด คอยรู้ทัน ทำตรงนี้ให้ได้ หายใจไป จิตหนีไปคิดแล้วรู้ทัน จิตหนีไปคิดแล้วรู้ทัน จิตจะเป็นผู้รู้ขึ้นมา พอจิตเป็นผู้รู้แล้วจะดูกายดูใจก็ดูไปเลย ไม่ต้องไปเข้าฌานก็ได้ เอาแค่ว่าหายใจไป เห็นกายมันหายใจ ไม่ใช่ตัวเราหายใจ หายใจไปจิตใจมีความสุขความทุกข์ เห็นมันสุขมันทุกข์ของมันได้เอง หายใจไปแล้วก็เกิดกุศลบ้าง เกิดอกุศลบ้าง เช่น เกิดฟุ้งซ่าน หายใจแล้วมีฟุ้งซ่านไหม ส่วนใหญ่นั่นแหละหายใจแล้วฟุ้งซ่าน ใช่ไหม ก็ดูไป จิตมันฟุ้งซ่าน เราเป็นแค่คนดู ดูไปๆ มันก็เลิกฟุ้งของมันไปเอง ฟุ้งซ่านมันก็ไม่เที่ยง เห็นแต่ของไม่เที่ยง มีความสงบเกิดขึ้น หายใจสบายๆ มันสงบขึ้นมา มันก็อยู่ชั่วคราว เดี๋ยวมันก็หายไปอีก นี่เราฝึกแค่นี้ก็พอแล้ว
หายใจไป จิตหนีไปแล้วรู้ทัน มันจะได้จิตผู้รู้ขึ้นมา ถัดจากนั้นเห็นร่างกายหายใจ ไม่ใช่ตัวเรา อันนี้เดินปัญญาด้วยการดูกาย ถ้าจะเดินปัญญาด้วยการดูจิตก็หายใจไป มีความสุขก็รู้ มีความทุกข์ก็รู้ เฉยๆ ก็รู้ หายใจไปแล้วจิตเป็นกุศลก็รู้ จิตเป็นอกุศลก็รู้ บางทีเห็น ทุกอย่างชั่วคราวไปหมด
ฝึกไปอย่างนี้ เรียกว่า ปัญญานำสมาธิ มันนำสมาธิอย่างไร ความจริงมันมีสมาธิอยู่แล้ว แต่มันมีในขั้นขณิกสมาธิ สมาธิชั่วขณะ
เมื่อเดินปัญญาแก่รอบเต็มที่แล้ว จิตจะรวมเข้าอัปปนาเอง ในนาทีที่จะตัดสินความรู้บรรลุ อริยมรรค อริยผล อริยมรรค อริยผล ไม่เกิดในจิตของคนธรรมดา อริยมรรค อริยผล เกิดในฌานจิตเท่านั้น เกิดในรูปฌานก็ได้ เกิดในอรูปฌานก็ได้ แต่จะไม่เกิดในวิถีจิตปกติของมนุษย์นี้
ทีนี้ ถ้าเราเข้าฌานไม่เป็น ไม่ต้องตกใจ เจริญปัญญาให้มาก มีแค่ขณิกสมาธินะ ทุกวันพยายามไหว้พระสวดมนต์ไว้ ทำในรูปแบบ จิตหนีไปคิดแล้วรู้ทัน ฝึกให้มันมีขณิกสมาธิ แล้วมาเดินปัญญา รู้กาย รู้ใจ ในชีวิตประจำวัน ถึงเวลาก็ทำความสงบ ไหว้พระ สวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรม รู้ทันจิตที่หนีไป หมดเวลาก็มารู้กาย รู้ใจ ในชีวิตประจำวันต่อไป ถึงวันที่ สติ สมาธิ ปัญญา แก่รอบ พอจิตจะรวมเข้าอัปปนาสมาธิ จิตรวมเอง แล้วเกิด อริยมรรค อริยผล ขึ้น อันนี้เรียกว่า ใช้ปัญญานำสมาธิ
ลึกซึ้งมาก เรื่องอานาปานสติ แต่ว่าเราฝึกง่ายๆ อย่างที่หลวงพ่อบอก ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องสนใจถึงขนาด ทำอย่างไรจะเกิดฌานจิต ทำอย่างไรจะไปเดินวิปัสสนาในอุปจาระ เห็นมันไหวๆ ขึ้นมา แต่ส่วนมากพวกเราก็ทำได้อันนี้ คนจำนวนมากก็ทำได้ นั่งสมาธิแล้วก็เห็นใจสงบ ไปเห็นมันปรุงขึ้นมา เกิดดับไป บางทีไม่รู้ว่าอะไรเกิดอะไรดับ ไม่มีชื่อ ถ้ายังมีชื่ออยู่จิตยังฟุ้งซ่านมาก บางทีเห็นแค่สิ่งบางสิ่งเกิด แล้วสิ่งนั้นดับไป อย่างนี้ก็ใช้ได้ ถ้าถึงขนาดเห็นองค์ฌานเกิดดับอย่างนี้มีน้อยเต็มที ประเภทหนึ่งในแสน หายาก ส่วนถ้าฝึกในชีวิตประจำวัน เดินปัญญาอยู่นี้ ง่าย พอทำได้สำหรับฆราวาส ที่วันๆ เต็มไปด้วยความวุ่นวายนะ หายใจไป อย่าหยุดหายใจ หายใจไว้ก่อน
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี
ถ้าเรามีสติว่องไว จิตเคลื่อนแล้วรู้ อันนี้ไวที่สุด
เคลื่อนไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
รู้ทันปุ๊บ การปฏิบัติเสร็จแล้ว จะเห็นเลย
จิตผู้รู้ก็ไม่เที่ยง จิตที่เคลื่อนก็ไม่เที่ยง
จิตผู้รู้ก็รักษาไม่ได้ จิตที่เคลื่อนก็ห้ามไม่ได้ เดินปัญญาแล้ว
หรือเคลื่อนแล้วรู้ ๆ จิตก็หยุดการเคลื่อน ได้สมาธิ ได้ปัญญา
จิตเคลื่อนแล้วไม่เห็น เกิดสุขเกิดทุกข์ขึ้นมา ก็รู้ทันไป
ตรงนี้ก็รู้ได้ ถ้ารู้ตรงนี้ เรียกว่าเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน
ถ้าสุขทุกข์ไม่เห็น กิเลสจะแทรก
ราคะ โทสะ โมหะจะแทรกเข้ามา
ถ้ารู้ตรงนี้ เรียกว่า เจริญจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน
ถ้ากิเลสแทรกแล้ว ใจเกิดความอยากขึ้นมาแล้ว
สายไปแล้ว ยังไงก็ต้องทุกข์แล้ว
ช่วยไม่ทันแล้ว ต้องทุกข์แล้ว
แต่ถ้าเวทนาเกิด แล้วรู้ทันปุ๊บ ดับเลย ปฏิจจสมุปบาท ขาดแล้ว
เคยได้ยินไหม ผัสสะเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา
ผัสสะ คือการกระทบอารมณ์ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ถ้าเรามีสติตั้งแต่ผัสสะ กระบวนการของปฎิจจสมุปบาทก็จบลงตรงนั้นเลย
ถ้าตรงผัสสะ เราดูไม่ทัน มันเกิดเวทนาขึ้นมา โดยเฉพาะเวทนาทางใจ
เรามีสติรู้ทันตรงนี้ เวทนาก็ดับ
ผัสสะเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา
ตรงเวทนา กิเลสมันจะแทรก
เรารู้ทันตรงนี้ กระบวนการก็ดับ
ถ้ารู้ไม่ทันกิเลส ตัณหาจะเกิดแล้ว
โทสะเกิดขึ้น ก็เกิดวิภวตัณหา อยากให้สภาวะอันนี้หมดไป สิ้นไป
ถ้าราคะเกิดขึ้น ก็อยากให้สภาวะที่พอใจอยู่นาน ๆ อันนี้เรียกว่า ภวตัณหา
พอมันหายไป ก็อยากให้มันกลับมา เป็นกามตัณหา
ถ้าตัณหาเกิดแล้ว ความทุกข์ต้องเกิด
เพราะตัณหา เป็นตัวสมุทัย ผลของมัน คือตัวทุกข์
แต่ถ้าสติเราเร็ว ตัณหายังไม่ทันเกิด
กระบวนการของจิตจบลงแล้ว ไม่ทุกข์แล้ว
เพราะฉะนั้น ดูจิตที่เคลื่อนได้ ดูไปเลย
ถ้าดูจิตเคลื่อนไม่ได้ ดูความรู้สึกสุขทุกข์ที่เกิดขึ้น
ดูสุขทุกข์ไม่ทัน ดูโลภโกรธหลงที่เกิดขึ้น ดูเป็นชั้น ๆ
หลังจากนั้น สายไปแล้ว ต้องทุกข์
-- หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม
วันที 1 มกราคม 2562 ไฟล์ 620101B ซีดีแผ่นที่ 80
🎗ลงมือเสียแต่วันนี้ ก่อนที่กระแสลมแห่งกาลเวลา
จะพัดพารอยพระบาทของท่านหายไป
เพราะถ้าถึงวันนั้น
เราจะระหกระเหินอีกนานแสนนาน
⛤ลงมือเสียแต่วันนี้
ลงมือเจริญสตินะ ไม่ใช่ลงมือทำอย่างอื่น
......................................🐢........................................
" ต้องสู้นะ เส้นทางนี้ต้องอดทน"
🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣
เมื่อก่อนเขียนไว้ บอกว่า.....
ลงมือเสียแต่วันนี้ ก่อนที่กระแสลมแห่งกาลเวลา
จะพัดพารอยพระบาทของท่านหายไป
เพราะถ้าถึงวันนั้น
เราจะระหกระเหินอีกนานแสนนาน
⛤ลงมือเสียแต่วันนี้
ลงมือเจริญสตินะ ไม่ใช่ลงมือทำอย่างอื่น
อย่างอื่นทำมาเยอะแล้ว
ลงมือเจริญสติ หัดรู้สึกกาย หัดรู้สึกใจ
กายเป็นอย่างไร รู้มันไป
ฝึกอยู่อย่างนี้แหละ
เดี๋ยววันหนึ่งก็จะเข้าถึงความบริสุทธิ์
หลุดพ้นเป็นลำดับๆ ไป
.......................................🐢........................................
" ต้องสู้นะ เส้นทางนี้ต้องอดทน"
🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣
กราบพระพุทธเจ้าด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
กราบหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
จิตแหละเป็นตัวนำทุกข์มาให้ ครั้นฝึกฝนดีแล้ว นำความสุขมาให้ อยู่ในโลกนี้ก็มีสุข ความทุกข์ไม่มี อันนี้มันเป็นธรรมดาของอัตภาพของสภาวะ มันเป็นเองของมัน ถึงมันจะทุกข์ปานใด มันก็ไม่มีความเดือดร้อน หวาดเสียวต่อความทุกข์
หลวงปู่ขาว อนาลโย
คำสอนของพุทธะทั้งหมด มีวัตถุประสงค์ข้อนี้เพียงข้อเดียว
คือพาพวกเราข้ามขึ้นให้พ้นเสียจากภูมิแห่งความคิด
บัดนี้ ถ้าเราหยุดความคิด
และหยุดความคิดของเราได้สำเร็จแล้ว...
คือหมายถึง สามารถปฏิบัติ...
จนหยุดพฤติของความคิดปรุงแต่งต่างๆ เสียได้
ไม่มีอะไรสามารถปรุงให้จิต
คิดไปตามอำนาจกิเลสตัณหาได้อีกต่อไป
เป็นจิตที่ว่างจากสิ่งปรุงแต่งและความคิดทั้งปวง
นั่นแหละเป็นตัว ธรรม หรือ พุทธะ หรือธรรมชาติเดิมแท้...
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
หนังสือ จิตคือพุทธะ
รู้ทันกระบวนการเกิดทุกข์
…………………..
(๑)
“อยากพ้นโลก อยากพ้นทุกข์
รักษาศีล 5 ไว้
ทุกวันฝึกจิตฝึกใจในรูปแบบ
ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง
จิตเคลื่อนไปแล้ว รู้ทัน
อย่าไปบังคับจิต
เวลาที่อยู่ในชีวิตประจำวันนี่
ปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
มีตาก็ดู มีหูก็ฟัง มีใจก็คิด
ให้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ทำงานไปตามธรรมชาติ
พอมันทำงานแล้ว
เกิดความรู้สึกขึ้นในใจ รู้ทัน
หรือจิตเคลื่อนไป รู้ทัน
เวลาจิตเคลื่อน
ก็เคลื่อนไปทางตา
หู จมูก ลิ้น กาย ใจนั่นแหละ
เคลื่อนไปดู เคลื่อนไปฟัง
เคลื่อนไปดมกลิ่น เคลื่อนไปลิ้มรส
เคลื่อนไปรู้สัมผัสทางกาย
เคลื่อนไปคิดนึกทางใจ
นี่จิตก็เคลื่อนอยู่ ๖ ช่อง
ถ้าเราสติเร็ว
เราเห็นจิตเคลื่อนก็สบาย
จบลงตรงนั้นเลย
การปฏิบัติสบาย”
(๒)
“(จิตเคลื่อนไป รู้ทัน) จะเห็นเลย
จิตผู้รู้ก็ไม่เที่ยง
จิตที่เคลื่อนก็ไม่เที่ยง
จิตผู้รู้ก็รักษาไม่ได้
จิตที่เคลื่อนก็ห้ามไม่ได้
นี่เดินปัญญาแล้ว
หรือเคลื่อนแล้วรู้นะ
จิตก็หยุดการเคลื่อน
ได้สมาธิ ได้ปัญญา
ถ้าจิตเคลื่อนแล้วไม่เห็น
เกิดสุขเกิดทุกข์ขึ้นมาแล้ว ก็รู้ทันไป
ตรงนี้ก็รู้ได้ ถ้ารู้ตรงนี้
เรียกว่า เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน
ถ้าสุขทุกข์ไม่เห็น กิเลสจะแทรก
ราคะ โทสะ โมหะ จะแทรกเข้ามาอีก
ถ้ารู้ตรงนี้ เรียกว่า จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน
ถ้ากิเลสแทรกแล้ว
ใจเกิดความอยากขึ้นมาแล้ว
สายไปแล้ว ยังไงก็ต้องทุกข์แล้ว
ช่วยไม่ได้ ช่วยไม่ทันแล้ว ต้องทุกข์แล้ว
แต่ถ้าเวทนาเกิดแล้ว รู้ทันปุ๊บ
ดับเลย ปฏิจจสมุปบาทขาดแล้ว
เคยได้ยินไหม?
ผัสสะเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา?
ผัสสะคือการกระทบอารมณ์
ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ถ้าเรามีสติตั้งแต่ผัสสะนะ
กระบวนการของปฏิจจสมุปบาท
ก็จบลงตรงนั้นเลย
ถ้าตรงผัสสะเราดูไม่ทัน
มันเกิดเวทนาขึ้นมา
โดยเฉพาะเวทนาทางใจนี่
เรามีสติรู้ทันตรงนี้ เวทนาก็ดับ
ผัสสะเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา
แล้วตรงเวทนานี่ กิเลสมันจะแทรก
เรารู้ทันตรงนี้ กระบวนการก็ดับ
ถ้ารู้ไม่ทันกิเลส ตัณหาจะเกิดแล้ว
ถ้าโทสะเกิดขึ้น ก็เกิดวิภวตัณหา
อยากให้สภาวะอันนี้หมดไปสิ้นไป
ถ้าราคะเกิดขึ้นนะ
ก็อยากให้สภาวะที่พอใจนี้อยู่นานๆ
อันนี้เรียกว่าภวตัณหา
พอมันหายไป ก็อยากให้มันกลับมา
เป็นกามตัณหา
ถ้าตัณหาเกิดแล้ว ทุกข์ต้องเกิด
เพราะตัณหาเป็นตัวสมุทัย
ผลของมันคือตัวทุกข์
แต่ถ้าสติเราเร็ว
ตัณหายังไม่ทันเกิดเลย
กระบวนการของจิตจบลง
ไม่ทุกข์แล้ว
ฉะนั้น ดูจิตที่เคลื่อนได้ ดูไปเลย
ถ้าดูจิตที่เคลื่อนไม่ได้
ดูความรู้สึกสุขทุกข์ที่เกิดขึ้น
ดูสุขทุกข์ไม่ทัน
ดูโลภโกรธหลงที่เกิดขึ้น
ดูเป็นชั้นๆ
หลังจากนั้น สายไปแล้ว ต้องทุกข์แล้ว”
…………………..
พระธรรมเทศนา
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๒
“หลวงปู่ดูลย์(หลวงปู่ดูลย์ อตุโล : พระราชวุฒาจารย์)บอก การดูจิตเนี่ยนะได้สมาธิอัตโนมัติ ถึงเวลาเข้าสมาธิเองไม่ต้องตกใจ
เพราะงั้นใช้ปัญญานำสมาธิคือสิ่งที่พวกเราทำได้ พอจะทำได้ถ้าขยันทำ ใส่ใจที่จะทำ
ถ้าขี้เกียจถ้าไม่สนใจการปฏิบัติ กี่ปีกี่ชาติมันก็ไม่เจริญขึ้นหรอก
ถ้าคอยสนใจที่จะเรียนรู้กายรู้ใจของตัวเองนะ ไม่นานมันก็เจริญ ศีลก็ดีขึ้น สมาธิก็ดีขึ้น ปัญญาก็ดีขึ้น แล้วก็ใกล้มรรคผลนิพพานเข้าไปเรื่อยๆ
พอศีลสมาธิปัญญาสมบูรณ์นะ ก็เกิดอริยมรรคอริยผลขึ้นมา
สมบูรณ์ในขั้นโสดาก็แบบนึงนะ ระดับนึง สมบูรณ์ในขั้นสกทาคา ขั้นอนาคา ขั้นพระอรหันต์ ก็คนละระดับกัน
ระดับโสดา ไม่ยากนักหรอกนะ สมัยพุทธกาลนะฆราวาสฟังพระพุทธเจ้าเทศน์ ได้โสดากันเยอะแยะไป
เราไม่ได้โง่กว่าคนยุคนั้นนะ แต่เราฟุ้งซ่านกว่าคนยุคนั้น คนยุคนั้นไม่มีมือถือ
เค้าไม่ได้เล่นLINE ถ้าอนาถบิณฑิกเศรษฐีเล่นไลน์ หรือแชทกับนางวิสาขา ไม่ได้โสดาทั้งคู่ (หลวงพ่อหัวเราะ) ไม่ได้กินหรอก
หรืออุบาลี เป็นอุบาสกคนนึงนะ ถ้าวันๆนึงถ่ายรูปตัวเองลง Facebook ทุกวั๊นทุกวัน วันนึงหลายๆรอบนะ ไม่ได้อนาคา ไม่ได้กินหรอก
อยู่ที่ความใส่ใจนะ ไม่ได้ยากเกินไป การที่จะเรียนรู้ตัวเองไม่ใช่เรื่องยาก
ใจเราโกรธรู้มั้ย ใจเราโลภรู้มั้ย ใจเราหลงไปแล้ว เผลอไปคิดแล้วรู้มั้ย เผลอไปดูแล้วรู้มั้ย เผลอไปฟังแล้วรู้มั้ย ใจเราสงบแล้วรู้มั้ย ใจเราฟุ้งซ่านแล้วรู้มั้ย ไม่เห็นจะยากตรงไหนเลย
ง่ายๆคอยอ่านมันไปเรื่อย คอยรู้คอยดูมันไปเรื่อย แค่นี้แหละ
แล้วถึงเวลาทำในรูปแบบนะ จะได้พลังเยอะๆ ถ้าไม่มีเวลาก็ทำQuick charge (สูดลมหายใจเข้าแล้วกลั้นลมหายใจไว้ช่วงหนึ่ง เอาจิตจับที่ความรู้สึกว่างๆ จากนั้นหายใจเข้าออกตามปกติ) ให้จิตได้พัก แว๊บนึงก็ยังดี...”
...........................................................
จากส่วนหนึ่งของการแสดงพระธรรมเทศนา
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม
16 ธันวาคม 2561
พวกเราเคยได้ยินมั้ย
เวลาไม่สบายไปสวดโพชฌงค์ ?
พระอริยะบุคคลได้ยินบทนี้แล้วร่าเริงคึกคัก
ทางผ่านมาเนี่ย ผ่านมาในเส้นทางนี้เอง
งั้นเวลาท่านเจ็บป่วยนะ พอพระมาสวดโพชฌงค์
ท่านพิจารณาธรรมะตาม ท่านร่าเริง
พระมหากัสสปะ ท่านก็เคยไม่สบายมาก
รู้สึกว่าท่านพระโมคคัลลาฯสวดให้ หาย(อาพาธ)
พระพุทธเจ้าท่านอาพาธ
พระจุนทะสวดให้ฟัง
พระพุทธเจ้าท่านหาย(จากอาพาธ)
ท่านหายด้วยธรรมปีติ
มีปีติในธรรมะ..หาย(อาพาธ)
พวกเราไม่มีปีติ
เราไม่รู้ว่าโพชฌงค์สำคัญยังไง.?
โพชฌงค์สำคัญมากนะ
เริ่มจากมีสติ
สติจำเป็นในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ
มีสติ
ไม่ใช่สติกระจอก
แต่เป็นสติที่ไปทำธรรมวิจัย/ไปวิจัยธรรมะ
คือไปเรียนรู้ความจริงของรูปธรรม-นามธรรม
แล้วไม่ได้เรียนรู้ฉาบฉวย
เรียนรู้แบบมีวิริยะ
วิริยะ
ไม่ใช่ขยันทำหามรุ่งหามค่ำ
ไม่ใช่แปลว่าเดินมากนั่งมากวิริยะ
วิริยะ คือความเพียร
แต่ว่ามีลักษณะพิเศษ(สัมมาวายามะ)
ไม่ใช่เพียรส่งเดช
(สัมมาวายามะ/ความเพียรชอบ)
เพียรละอกุศลที่มีอยู่นะ
เพียรปิดกั้นอกุศลใหม่ไม่ให้เกิด
เพียรเจริญกุศลให้เกิดขึ้น
กุศลที่เกิดขึ้นแล้ว
(ทำ)ให้เจริญงอกงามขึ้นไป
นี่เรียกว่าวิริยะ
เนี่ยมีสตินะ ดูรูปนามไป
ไม่ใช่ดูเพื่อจะเอานะ แต่ดูให้เห็นความจริง
รู้ความจริงเพื่อความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด
เพื่อความหลุดพ้น
ไม่ใช่เรียนเพื่อจะเอากระทั่งมรรคผลนิพพานนะ
เนี่ยจิตของพระอรหันต์นะ
ท่านผ่านมาแล้ว ไม่มีความอยากได้แล้ว
ฟังแล้วร่าเริง
พอมีความเพียรไปนะ
จิตมีปีติขึ้นมา
คิดถึงความเพียร จิตก็เกิดปีตินะ
มีปีติ สติรู้เท่าทันนะ
ปีติสงบระงับ เป็นปัสสัทธิ
(มี)ปัสสัทธินะ
จิตก็เข้าสู่สมาธิที่แท้จริง
คือไม่ยินดีไม่ยินร้าย
สมาธิในสติปัฏฐาน สมาธิในอริยมรรคเนี่ย
ไม่ใช่สงบเฉยๆ นะ
สงบตั้งมั่น ไม่ยินดียินร้าย เป็นกลาง
งั้นในสติปัฏฐาน จะมีคำอยู่เซ็ทหนึ่ง
บอกว่า..วิเนยยะ โลเก อภิชฌา โทมนัสสะ
ถอดถอนความยินดียินร้ายในโลกเสียได้
ถอดถอนความยินดียินร้ายในโลกเสียได้นะ
จิตจะทรงสมาธิเต็มภูมิทันทีเลย
ตรงนี้พวกเราก็เอาไปใช้ได้นะ
บางทีเราภาวนาจิตฟุ้งซ่าน
เวลาฟุ้งซ่านเกิดขึ้นนะ อยากให้หาย
ไปภาวนาไม่มีสมาธิหรอก
ความฟุ้งซ่านเกิด รู้ทันว่าใจไม่ชอบ
ความไม่ชอบดับ สมาธิเกิดเลยนะ ง่ายๆ แค่นี้
หลวงพ่อเคยเป็น
บวชพรรษาที่สามเนี่ย
จิตผู้รู้เนี่ยหมองๆ ลงไป มันมัวได้
ยอมไม่ได้เลย ภาวนาเอาเป็นเอาตาย
ภาวนาก็แก้ไขขึ้นมา เดี๋ยวมันก็เสื่อมอีก
หมองๆอีก เล่นอย่างนี้หลายรอบนะ
สุดท้ายปัญญามันทันนะ
(จิต)มันเห็นความยินร้าย จิตไม่ชอบ
พอหมดความยินร้ายในตัวนี้เท่านั้น
ขาดสะบั้นเลยนะ ใจไม่หมองแล้ว
คราวนี้หมองหลอกเราไม้ได้แล้วนะ
งั้นสมาธิเนี่ย
มันอยู่ที่ว่าไม่ยินดียินร้ายนะ
ถ้ายินดียินร้าย จิตกระเพื่อมขึ้นกระเพื่อมลง
นึกออกมั้ย..เวลายินดีจิตก็กระเพื่อมใช่มั้ย..?
เวลายินร้ายจิตกระเพื่อม สมาธิไม่มีหรอก
เวลาจิตทรงสมาธิ ตั้งมั่นเด่นดวงอยู่
(จิต)ไม่กระเพื่อมนะ งั้นไม่ยินดียินร้าย
งั้นตรงที่จิตหมดความยินดียินร้ายเนี่ย
จิตจะทรงสมาธิ มีปัสสัทธิ มีสมาธิขึ้นมา
แล้วก็รู้รูปนาม(กายใจ/ขันธ์๕)
ทำธัมมวิจยะ เรียนรู้รูปนามแสดงไตรลักษณ์ไป
ด้วยจิตที่เป็นกลาง ด้วยจิตที่เป็นอุเบกขา
*** หลวงพ่อถึงมาสรุปให้พวกเราฟัง
"..มีสติ รู้กายรู้ใจ ตามความเป็นจริง
ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง.."
จิตที่เป็นกลางนั้น จิตที่เป็นอุเบกขา
ตรงนี้คือประตูแห่งอริยมรรคนะ
ถ้าบารมีเราพอ จิตมันมีพลัง
ภาวนามาถึงตรงนี้ มันก็ก้าวกระโดดต่อไปได้
จิตจะทิ้งอารมณ์ทางตาหูจมูกลิ้นกาย
รวมเข้าที่ใจดวงเดียวนะ
เข้าอัปนาสมาธิ โดยที่เราไม่ได้เจตนา..เข้าเอง
งั้นบางทีเราเข้าอัปนา(อัปนาสมาธิ)
จงใจเข้าไปนะ ถอยออกมา แล้วเข้าไปอีก
ไม่บรรลุมรรคผลนะ
เข้าไปบางที ไปพักเฉยๆ
เข้าไปบางที ไปเจริญปัญญาในอัปนา(อัปนาสมาธิ)
ก็ทำได้นะ แต่มันไม่เกิดมรรคผล
เวลาที่เกิดมรรคผลนะ ไม่ได้เจตนา
ทำไมไม่ได้เจตนาแล้วถึงจะเกิดได้..?
เจตนาเนี่ย เป็นมโนสัญเจตนา
ความจงใจ เป็นปัจจัยให้เกิดการกระทำกรรม
คือการสร้างภพ...เรียกว่ากรรมภพ
งั้นเราจงใจรวมปุ๊บเข้าไป นี่คือภพ-ภพหนึ่ง
งั้นอย่างเวลาเข้าสมาธินะ
อย่านึกว่าดีวิเศษนะ นั่นคือภพ-ภพหนึ่ง
เข้าฌานก็คือภพ-ภพหนึ่ง
พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า
ภพนะ จะดีวิเศษแค่ไหน ก็เหมือนอุจจาระ
ก้อนเล็กหรือก้อนใหญ่ ก็ไม่น่ารับประทาน
ค่อยฝึกไปนะ
ธรรมะนั้นอยู่ไม่นานนักหรอก ก็อันตรธาน
_/|\_ _/|\_ _/|\_
พระธรรมเทศนา #หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
#วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี
CD สวนสันติธรรม แผ่นที่ 62
(ฝาก)
อุเบกขาในวิปัสสนาญาณนั้น
ก็คือการเลิกการปรุงแต่ง
ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น
ลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจไม่นำมาคิด
สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้ยิน
สักแต่ว่าได้กลิ่น สักแต่ว่าได้รส สักแต่ว่าสัมผัส
เมื่อใจไม่คิด ความดีความชั่วก็ไม่เกิด
กุศลกรรมและอกุศลกรรมไม่เกิด
ในเมื่อสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่เกิดเพราะขาดการปรุงแต่ง
คำว่า "ไม่เกิด" ก็คือ "ดับ"
นิโรธคือความดับก็ปรากฏขึ้น
โอกาสที่เราจะเข้าถึงพระนิพพานจึงจะมีได้
หลวงพี่เล็ก สุธมฺปญฺโญ
มีสติ ไม่ยึดถือ ไม่เพลิดเพลิน
ความเพลิดเพลินเป็นมูลเหตุแห่งทุกข์ทั้งหลาย
เป็นตัววัฏสงสาร เวียนว่ายตายเกิด
รู้ธรรมแต่ปัจจุบันเท่านั้นพอแล้ว
สติ-นิพพาน เห็นสักแต่เห็น ได้ยินสักแต่ได้ยิน
นิพพานัง ปรมัง สุขขัง
หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต
🍀" ปัญญาเกิดขึ้นได้เพราะอาศัยความสงบ.
อาศัยการฟังธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าให้เข้าใจ.
แล้วก็ทำความสงบให้เข้าถึงสมาธิ.
จิตถึงสมาธิแล้ว จะเห็นเรื่องการลวงของจิตด้วยตนเองชัดเจนทีเดียว.
🍀จิตที่เป็นสมาธิแล้วไม่หลอกลวง.
เป็นจิตตรงไปตรงมา เข้าถึงสัจธรรม.
เห็นทุกข์เป็นทุกข์จริงๆ เห็นความสงบเป็นสุขจริงๆ .
เห็นความทะเยอทะยานดิ้นรน เป็นความเดือดร้อนแท้ทีเดียว.
🍀หน้าที่ของเรามีเพียงทำความสงบ อบรมสมาธิให้ชำนาญ.
ทำปัญญาขั้นสามัญพื้นๆ นี้ให้เกิดก่อน.
สมาธิและปัญญาขั้นละเอียดมันหากเกิดเอง.
นั่นจึงเป็นของแท้แน่นอน. "
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
ขอให้เราทั้งหลาย พยายามปฏิบัติดูจิตใจของเรา
โดยเฉพาะเจาะจงในปัจจุบัน อย่าให้เผลอตัว
สังเกตดูอยู่นั้นแหละ จิตสบายก็ให้รู้ว่าสบาย
จิตไม่สบาย เราก็ไม่ต้องเดือดร้อน กับเรื่องไม่สบาย
ก็เป็นเรื่องของเวทนา เรื่องผู้รู้ เรามีหน้าที่รู้เท่านั้นแหละ...
ขอให้รู้ต่อเนื่องกันไป อย่าเผลอไปตามอาการสบาย
หรือไม่สบาย อย่าเผลอไปตามอาการสงบ หรือไม่สงบ
อันนั้นเป็นเรื่องของสังขาร มันแต่งมันเอง ...
หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ
"ให้มีสติรู้กายรู้ใจอย่างที่มันเป็น
ถ้าใครชอบดูจิตก็รู้จิตมันไปเรื่อย
แต่รู้มันแบบสิ่งที่ถูกรู้ถูกดูอยู่
เราเป็นแค่คนดู ฝึกอย่างนี้เรื่อยไป
สุดท้ายปัญญามันก็แจ้ง
ปล่อยวางจิต"
ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนา
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
จากหนังสือ แก่นธรรมคำสอน ของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล
จิตส่งออกนอกไปคิดนึกปรุงแต่ง
คิดนึกปรุงแต่ง ๑ ครั้ง, คือการเกิดของขันธ์๕ขึ้น ๑ ครั้ง
เกิดขันธ์๕ขึ้น ๑ ครั้ง, ย่อมต้องเกิดเวทนาขึ้น ๑ ครั้ง
ดังนั้นคิดนึกปรุงแต่ง ๑๐๐ ครั้ง, ย่อมต้องเกิดเวทนาขึ้น ๑๐๐ ครั้งเช่นกัน
เวทนาเกิดขึ้น ๑๐๐ ครั้ง ย่อมเปิดโอกาสให้เกิดตัณหาได้ ๑๐๐ ครั้งเช่นกัน
ตัณหาเกิดขึ้นเมื่อใด ทุกข์อุปาทานเกิดขึ้นเมื่อนั้น
ดังนั้นจงมีแต่คิดนึก, แต่ไม่มีคิดนึกปรุงแต่งหรือฟุ้งซ่าน.
จิตที่ส่งออกนอกเพื่อรับสนองอารมณ์ ทั้งสิ้น
เป็นสมุทัย
(สนองอารมณ์-เวทนา)
ผลอันเกิดจากจิตส่งออกนอกแล้วหวั่นไหว
เป็นทุกข์
(หวั่นไหว-คิดปรุงแต่ง,ตัณหา)
จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง
เป็นมรรค
(สติเห็นจิตสังขารในขันธ์๕)
ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง
เป็นนิโรธ
เรื่องของใจมันเป็นอย่างนี้
บางทีก็คิดดี บางทีก็คิดชั่ว
ใจมันหลอกลวง เป็นมายา จงอย่าไว้ใจมัน
แต่จงมองเข้าไปที่ใจ
มองให้เห็นความเป็นอยู่อย่างนั้นของมัน
ยอมรับมันทั้งนั้น ทั้งใจดีใจชั่ว
เพราะมันเป็นของมันอย่างนั้น
ถ้าเราไม่ไปยึดถือมัน มันก็เป็นของมันอยู่แค่นั้น
แต่ถ้าเราไปยึดมันเข้า
เราก็จะถูกมันกัดเอา
แล้วเราก็เป็นทุกข์
หลวงปู่ชา สุภัทโท
จิต เป็นผู้รู้โดยธรรมชาติ เป็นแต่เพียงสักว่า รู้
คือ รู้สึก รู้นึก รู้คิด รู้ร้อน รู้เย็น รู้ได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง
และรู้ดมกลิ่น ลิ้มรส สัมผัสถูกต้อง สิ่งสารพัดทั้งปวง
ไม่รู้จักพินิจ พิจารณา วินิจฉัย ตัดสินอะไรไม่ได้ทั้งนั้น
จึงเป็นอันว่า ไม่รู้จักดี ไม่รู้จักชั่ว ไม่รู้จักผิด ไม่รู้จักถูก
สติ เป็นตัวผู้รู้ มีอำนาจอยู่เหนือจิต
สามารถรู้เท่าทันจิต และรู้เรื่องของจิตได้ดี
ว่าเวลานี้จิตดี เวลานี้จิตไม่ดี ตลอด
มีความสามารถทำการปกครองจิตของเราให้ดีได้จริงๆ
นักปฏิบัติในพระพุทธศาสนานี้
พึงกำหนดเอาตัวผู้รู้มีอำนาจอยู่เหนือจิตนั้น
มาตั้งลงตรงหน้าเป็นสติ
ทำหน้าที่กำหนดรู้ซึ่งจิต และรวมเอาดวงจิตเข้าตั้งไว้ในจิต
พยายามจนกว่าจิตจะรวมเป็นหนึ่ง
ท่านจึงจะเป็นผู้มีสติมีสัมปชัญญะพร้อมบริบูรณ์ในขณะเดียวกัน
หลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม
เมื่อเอาความทุกข์นั้นตั้งต้น
แล้วสาวหาเหตุของทุกข์นั้น
จึงทราบว่า ทุกอย่างเป็นเพียงความรู้สึกคิดนึก
ปรุงแต่งขึ้นมาให้สับสนวุ่นวายอลวนไม่มีที่สิ้นสุด
ไม่ใช่ของจริงเป็นเพียงสิ่งสมมุติ
..ยอมรับความจริงซะก็หมดเรื่อง
ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันคือละครมันหลอกเราทุกอย่าง
ทั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้ลุ่มหลงวุ่นวายไปกับมัน
ให้เจริญสติให้มาก
ทั้งอิริยาบถและมองดูความรู้สึกคิดนึกปรุงแต่งของเรา
เมื่อมีสติกำกับอยู่ไม่พลาดจนชำนิชำนาญ
นั้นแหละคือตัวสมาธิ ที่แทรกอยู่ในตัวของมันเอง
เหมือนขบเกลียวเชือก..ผสมผสานกลมกลืนกัน
สุดท้ายจะเห็นเข้าไปข้างในเองว่า
ไอ้ตัวสมมุติมาหลอกกูอยู่ตั้งนมนานกาเล
หลวงพ่อประสิทธิ์ ถาวโร
จงพยายามรักษาใจตัวเดียวก็พอ
แล้วอย่าไปรักษาสิ่งอื่นให้มันยุ่ง
เพราะธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นใหญ่
ถ้าเรารักษาใจตัวเดียวได้แล้ว ก็เท่ากับว่า
เรารักษาธรรมของพระพุทธเจ้าได้ทั้งหมดเลย
ให้คอยระวังดูใจ อย่าให้มันไปเกิด
คือเกิดยินดียินร้ายในสิ่งทั้งปวง
อย่าให้มันเกิดเลย ก็หมดทุกข์เท่านั้น
หลวงปู่คูณ สิริจันโท
“วิธีการของพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนเราให้หนีการกระทบอารมณ์ มีตาก็ดู มีหูก็ฟัง มีจมูกก็ดมกลิ่น มีลิ้นก็รู้รส มีกายก็รู้สัมผัสทางกาย มีใจก็คิดนึกปรุงแต่ง ห้ามไม่ได้
แต่เมื่อมันกระทบอารมณ์แล้ว เกิดสุขให้รู้ เกิดทุกข์ให้รู้ เกิดกุศล อกุศล ให้รู้ไป แล้วเราจะเห็นว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนี่ ดับทั้งสิ้น ที่พระพุทธเจ้าสอนมุ่งมาตรงนี้
ไม่ใช่มุ่งปรุงแต่งจิตให้ว่างๆ ไม่ได้มุ่งปรุงดี แต่มุ่งให้จิตได้เรียนรู้ว่า สิ่งใดเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นดับเป็นธรรมดา
ที่ปัญจวัคคีย์ได้ยินธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ก็เข้าใจธรรมะขึ้นมาว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นดับเป็นธรรมดา นี่คือเส้นทางของพระพุทธเจ้า
ไม่หนีการกระทบอารมณ์ แต่กระทบอารมณ์ไปแล้ว จิตปรุงอะไรขึ้นมา ปรุงชั่ว ปรุงดี ปรุงว่าง ปรุงอะไรขึ้นมาก็ตาม มีสติรู้เท่าทันลงไป แล้วเราจะเห็นว่า สิ่งใดเกิด สิ่งนั้นก็ดับ นี่คือธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนปัญจวัคคีย์ สิ่งใดเกิด สิ่งนั้นก็ดับ”
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แสดงธรรมที่วัดสวนสันติ
ความว่างกับความสงบแตกต่างกันตรงที่
ความสงบต้องไม่มีความคิด ไม่มีอารมณ์
ต้องมีการกำกับกำหนด
ให้มีแต่ความสงบเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ส่วนความว่าง แม้ว่าจะมีความคิดหรือมีอารมณ์เกิดขึ้นบ้าง
แต่เมื่อย้อนดูจิตก็ยังว่างๆ อยู่ โดยไม่ต้องบังคับแต่อย่างใด
จิตที่ว่างจะเบากว่าจิตที่เป็นสมาธิ
เพราะไม่ต้องกำหนดหรือบังคับ
จึงเป็นจิตที่พร้อมจะเดินด้านปัญญาต่อไป
เพราะสามารถใช้สังขารความคิด
มาพิจารณาธรรมตามความจริงได้...
ลุงหวีด บัวเผื่อน
ที่จะห้ามไม่ให้คิดไม่ให้นึกนั้น ห้ามไม่ได้เด็ดขาด
ธรรมดาของจิตมันต้องมีคิดมีนึก
แต่หากมีสติควบคุมจิตอยู่เสมอ
คิดนึกอะไรก็รู้ตัวอยู่ทุกขณะ
เรียกว่า บริกรรมภาวนา
มีสติคุมจิตอยู่ทุกขณะ จนกระทั่งเป็นมหาสติปัฏฐาน
จะยืน เดิน นั่ง นอน ในอิริยาบถใดๆ ทั้งหมด
มีสติรอบตัวอยู่เสมอโดยที่ไม่ได้ตั้งใจให้มีสติ
แต่มันเป็นของมันเอง สติ ควบคุมจิตไปในตัว
เมื่อมีสติเช่นนั้นมันก็ไม่เกี่ยวข้องพัวพันกันกับสิ่งต่างๆ
เมื่อตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง ลิ้นลิ้มรสต่างๆ
กายได้สัมผัส มันก็เป็นสักแต่ว่า
สัมผัสแล้วก็หายไปๆ
ไม่ได้เอามาเป็นอารมณ์ ไม่เอามาคำนึงถึงใจ
อันนั้นเป็น มหาสติ แท้ทีเดียว
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
ทุกข์เกิดขึ้นก็รู้ว่าทุกข์เกิดขึ้น
ทุกข์ตั้งอยู่ก็รู้ว่าทุกข์ตั้งอยู่
มันจะดับหรือไม่ดับ ไม่ได้ไปบังคับมัน
ถ้าไปบังคับก็กลายเป็นสมุทัย
ให้ทุกข์โผล่มามากขึ้น
ทุกข์ที่มีอยู่จะทุกข์มากขึ้น
ทุกข์จะดับเมื่อไร มันก็ดับของมันเอง
ขนาดเมื่อเกิดมันก็ยังเกิดของมันเอง มันตั้งอยู่เอง
เราจะบังคับให้มันดับ มันก็ไม่ดับถ้าไม่ถึงกาลเวลา
หลวงพ่อคำสด อรุโณ
อย่าพยายามไปบังคับจิตให้หยุดคิด
หน้าที่ของเราคือ
ทำสติตามรู้ความคิดไป
ทำสติตามรู้ไป ความคิดนั่นแหละ
คือเครื่องรู้ของจิตเครื่องระลึกของสติ
ความคิดเป็นฐานที่ตั้งอันมั่นคงของสติ
ตราบใดที่จิตยังมีความคิด สติยังมีความระลึก
สิ่งที่เราจะพึงได้จากการภาวนาคือ
ความที่สติมีพลังแก่กล้าขึ้นจนเป็นมหาสติ
เป็นสติที่มีฐานที่ตั้งอย่างมั่นคง แล้วกลายเป็นสติพละ
เป็นสติที่มีพละกำลังอันเข้มแข็ง
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
บุคคลที่หนีปรากฏการณ์
แต่ไม่ยอมหนีจิตปรุงแต่ง
ได้ชื่อว่าเป็นบุคคลที่
โง่เขลาเบาปัญญา
คนฉลาดจะพยายามหนีจิตปรุงแต่ง
แต่ไม่หนีปรากฏการณ์
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
การเรียนธรรมะ คือเรียนรู้เรื่องจิตของตัวเอง
เรียนจิตหลายดวงที่คิดโน่นคิดนี่มากมาย
เราเรียนรู้มากเข้าก็คิดน้อยลงๆ จนเหลือจิตดวงเดียว
พอจับจิตดวงเดียวได้ เราก็เริ่มรู้จิตตัวเรา
ธรรมะก็คือเรียนจิตหลายร้อยหลายพันดวง
วันหนึ่งนี่นับไม่ถ้วนเลย นั่งดูเถอะ คิดโน่นคิดนี่ ปรุงโน่น ปรุงนี่
ขยับกายหน่อยจิตมันก็ปรุงแต่งทันที
กระพริบตาหน่อยจิตก็ปรุงแต่งทันที
เคลื่อนไหวจิตมันก็ปรุงแต่งทันที ถ้าไม่มีสติมันก็ไปของมันเรื่อยเปื่อย
แต่พอสำรวมมากขึ้น มีสติมากขึ้น
อิริยาบถละเอียดมากขึ้น เข้ามามองดูตัวเองมากขึ้น
เราก็จะเห็นจิตพวกนี้มากขึ้น
พอเห็นมากๆ มันก็ดับไปๆ ดับแล้วก็หาย
หนักเข้าๆ มันก็วนเข้ามา มาเหลือ “จิตดวงเดียว”
มาเหลือเพียงเกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็เฉย...เกิดแล้วก็เฉย
จิตของเราก็จะสว่าง จิตของเราก็ว่าง
เรียนเรื่องจิตก็คือเรียนอย่างนี้
หลวงพ่อสนอง กตฺปุญโญ
ฝึกสติประจำวันนะ ตั้งแต่ตื่นนอนถึงลงนอน
เผลอแล้วๆ ไป ระลึกได้เอาใหม่ ไม่ต้องไปซีเรียสกับมัน
เราไม่ได้ทำเพื่อซีเรียส เราทำเพื่อความพ้นทุกข์..
อย่าไปบังคับมัน ให้เห็นทุกก้าว
เพราะไอ้ที่บังคับให้เห็นทุกก้าว..
มันมีความจงใจอยู่ ไม่รู้ตัว
มันมีอัตตาตัวตนในนั้นโดยไม่รู้ตัว..
ทำไปเรื่อยๆ แล้วมันจะค่อยเต็มเอง
สติสัมปชัญญะมันจะเต็มเอง
สมาธิมันจะตั้งมั่นตามกันไปหมด
พระอาจารย์วิชัย กัมมสุทโธ
เพราะสตินี้จะเป็นฐานสู่ความสงบของจิต จนเข้าสู่กระแสของปัญญาได้โดยง่าย...ทำไมต้องมีการฝึกหัดปฏิบัติธรรมอยู่เสมอ ไม่ว่าจะไปที่วัดไหน สำนักไหน ก็มีการให้ฝึกสมาธิ ฝึกเพื่ออะไร ก็ฝึกเพื่อให้สติเรากล้าแข็งนี่แหละ เมื่อเรามีสติอยู่เสมอ จะทำการทำงาน หรือคิดอะไรก็เป็นของง่ายไปหมด จึงเป็นที่มาของคำว่า "สติมา ปัญญาเกิด"
หลวงปู่บัว สิริปุณโณ
จะเรียนธรรมะ ต้องหัดรู้จักสภาวะก่อน
สภาวธรรมแต่ละตัวๆไม่เหมือนกัน
โลภกับโกรธก็ไม่เหมือนกัน
หลงก็มีลักษณะเฉพาะของตัวเอง
ความสุขก็มีลักษณะเฉพาะ
ความทุกข์ก็มีลักษณะเฉพาะ
ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม แต่ละอย่าง
ก็มีลักษณะเฉพาะของมัน
.
สภาวธรรมคือ สิ่งที่เราจะเอาไว้
ใช้ทำวิปัสสนากรรมฐาน หัดรู้จักสภาวะ
อย่างเราจำธรรมะได้
แต่เราไม่เคยเห็นสภาวะของจริง ใช้ไม่ได้
.
รู้จักโกรธไหม? ใครรู้จักโกรธยกมือหน่อย
(ผู้มานั่งฟังเทศน์ยกมือ) โอ้...เก่ง
ใครรู้จักโลภ? (ผู้มานั่งฟังเทศน์ยกมือ)
อุ้ยนี่ทำไมเยอะกว่า โกรธมันน่าจะดูง่ายกว่าโลภนะ
ใครรู้จักโลภบ้าง? (ผู้มานั่งฟังเทศน์ยกมือ)
โอ้...ใช้ได้ เนี่ยค่อยๆเรียนรู้สภาวธรรมแต่ละอย่างๆ
รูปธรรมแท้ๆมันก็มีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลมเนี่ยเป็นตัวหลัก
แต่ดูยากตัวธาตุกรรมฐาน ต้องทรงฌานจริงๆถึงจะดูออก
อย่างลมหายใจเข้ามันเย็นใช่ไหม?
หายใจออกมันร้อนเนี่ยตัวลมหายใจเข้ามีธาตุไฟไหม?
ลมหายใจที่หายใจเข้าไปมีธาตุไฟไหม?
มันมีอุณหภูมิไหม? ไม่มี?
เราหายใจที่ศูนย์องศา? (หัวเราะ)
ในลมหายใจมันก็มีความร้อน
เนี่ยในลมนี้ก็มีความร้อน เราหายใจเข้าไป
พอหายใจออกมามันร้อนกว่าเก่าเนี่ยธาตุไฟมันเพิ่มขึ้น
เพราะฉะนั้นดูธาตุดูยากนะ
.
ดูรูปข้างเคียงพออนุโลม พออนุมานเอา
คือ รูปเคลื่อนไหวดูง่ายที่สุด
ถ้าเห็นร่างกายที่หายใจออกไม่ใช่เรา
ร่างกายที่หายใจเข้าไม่ใช่เรา ร่างกายทั้งหมดก็ไม่ใช่เรา
ถ้าเห็นร่างกายที่ยืนไม่ใช่เรา เดิน นั่ง นอน ไม่ใช่เรานะ
ร่างกายทั้งหมดก็ไม่เป็นเรา เราเรียนบางอย่างเท่านั้น
ไม่ต้องเรียนรูปทุกชนิด รูปมีทั้งหมดตั้ง ๒๘ อย่าง
เราไม่ต้องเรียนไปให้หมดหรอก เอาเท่าที่เรารู้ได้
นามธรรมมีจิตหนึ่งนะ จิตเป็นตัวรู้
แล้วก็ธรรมะที่ประกอบจิตอีก ๕๒ ตัว เรามีไม่ครบ
เราได้ไม่ครบ รูปเราก็ไม่มีครบ
อย่างรูปผู้หญิงรูปผู้ชายคนละรูปกัน
แต่เดี๋ยวนี้มีรูปสับสนเพิ่มมาอีกรูปหนึ่ง
ไม่รู้รูปผู้หญิงรูปผู้ชายดูยาก
.
อย่างบางคนไปถวายของครูบาอาจารย์ท่านจะเอามือรับ
ท่านนึกว่าผู้ชาย หลวงพ่อเคยเจอหลวงปู่เหรียญน่ะ
คนจะถวายของ ท่านก็จะรับ...เขาก็หด(แขน)กลับ
เดี๋ยวเขาก็ยื่นไปอีก ท่านก็เอามือส่งมาอีก
เขาก็หด(แขน)กลับ สุดท้ายเขาทนไม่ได้
หนูผู้หญิงฮ่ะ (หัวเราะ) ดูยากเดี๋ยวนี้นะ
เนี่ยรูปแต่ละคนมีไม่ครบนะ
เวลารูปที่แยกเพศนะมันมีอันเดียว เราไม่ต้องเรียนทุกชนิด
ไม่ต้องเรียนทุกชนิดหรอก เรียนรูปเท่าที่รู้ได้
รูปที่เรารู้ได้ก็รูปหายใจ รูปยืน เดิน นั่ง นอน
รูปเคลื่อนไหว รูปหยุดนิ่ง อันนี้เป็นรูปที่พระพุทธเจ้า
ท่านเลือกมาให้อยู่ในสติปัฏฐาน
กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ๓ ปัพแรก
ปัพพะ หมายถึง ๓ หมวดแรก
ก็คือ อานาปานสติ แล้วก็อิริยาบท แล้วก็สัมปชัญญะ
.
อานาปานสติก็คือ เห็นร่างกายที่หายใจออกไม่ใช่เรา
เห็นร่างกายที่หายใจเข้าไม่ใช่เรา
ถ้าอิริยาบทก็เห็นร่างกายที่ยืน เดิน นั่ง นอน ไม่ใช่เรา
แค่นี้มันก็ไม่เป็นเราทั้งหมดแล้ว
ถ้าสัมปชัญญะปะพะก็ร่างกายที่เคลื่อนไหว
ร่างกายที่หยุดนิ่งไม่ใช่เรา
วันๆก็มีแต่เคลื่อนไหวกับหยุดนิ่งใช่ไหม?
อยู่แค่นั้นมันก็มีแค่นั้น มันก็จบแล้วเรื่องกาย
อันนี้แบบง่ายดูง่ายๆ ถ้าเรื่องธาตุเรื่องอะไรอย่างนี้ดูยาก
ถ้าไม่ทรงฌานจริง ดูธาตุไม่ไหว
.
แต่นามธรรมดูง่าย สุขรู้จักไหม? ทุกข์รู้จักใช่ไหม?
โลภรู้จักไหม? โกรธ อิจฉาเป็นไหม?
จองเวรพยาบาทเป็นไหม? อาฆาตเนี่ยมีสภาวะเยอะแยะ
ใครอิจฉาไม่เป็น ใครไม่เคยอิจฉาเลย?
ยกมือให้ดูหน่อยสิมีไหม? มีไหมใครไม่เคยอิจฉาเลย
ไม่มีนะ ใครไม่เคยพยาบาท มีไหมพยาบาท?
ไม่มีเลยเหรอ...เป็นคนดี๊คนดี (หัวเราะ)
ใครรู้จักเซงไหม เซง? เซงเป็นกิเลสตระกูลใหน? “โทสะ”
.
วิธีดูตระกูลของมันนะ
ตระกูลโทสะเนี่ยมันจะเกิดร่วมกับความทุกข์ในใจ
เวลาโทสะเกิดใจจะไม่มีความสุข
ใจมีได้อย่างเดียวมีความทุกข์ ดูง่ายๆ
ความขี้เหนียวเป็นโลภะหรือโทสะ
ใครว่าโลภะ? ใครว่าโทสะ?
แหม หลวงพ่อไปเฉลยก่อนมันก็เลยตอบได้
เวลาเรารู้สึกขี้เหนียวรู้สึกไหมใจเราไม่มีความสุขนี่เป็นตัวโทสะนะ
.
เวลาโลภะเกิดเนี่ยใจมีความรู้สึกได้ ๒ อย่าง
มีความสุขกับเป็นอุเบกขา
เพราะฉะนั้นเวลามีโลภะนะมีสุขก็ได้มีอุเบกขาก็ได้
แล้วเวลาจิตเป็นกุศลก็มีความสุขกับมีอุเบกขา
เพราะฉะนั้นมันดูยาก
บางคนกำลังมีราคะอยู่นะคิดว่าจิตเป็นกุศล
อย่างฟังหลวงพ่อแล้วก็เพลินมีความสุข
ไม่รู้ว่ามีความสุขคือ ไม่มีสติ ตัวนี้โลภะนะ
นั่งหัวเราะดูไร้เดียงสานั่นตัวโลภะ
ถ้าเมื่อไหร่ไม่มีสติเมื่อนั้นไม่ใช่กุศล เพราะฉะนั้น
เวลาเราจะดูระหว่างจิตที่เป็นโลภะกับจิตที่เป็นกุศล
ดูตรงที่ว่ามันมีสติจริงหรือเปล่า
จะไปดูที่ความรู้สึกสุขทุกข์อะไรอย่างนั้นไม่ได้
ความรู้สึกสุขกับอุเบกขา พอเห็นว่าจิตใจมีความสุข
แสดงว่าจิตเป็นกุศล...ไม่แน่ จิตอาจจะเป็นโลภะก็ได้
.
เวลามีความรักหวานชื่นจำได้ไหมสมัยมีความรักหวานชื่น
ใครเคยมี? ...น้อยจังเลย ไม่มีเลยเหรอ
เกิดมาชาตินี้ไม่มีความรักให้ใครเลย
เวลามีความรักหวานชื่นหรือเวลาเพลินๆ
พวกนี้เป็นโลภะนะ เวลาเราเผลอเพลิน
เพลินแล้วใจลอยเรียกว่า นันทิราคะ
เป็นกิเลสนะไม่ใช่กุศล เนี่ยเรารู้จักสภาวะ
รู้จัก...ต้องรู้จักแต่ไม่ต้องรู้จักทุกตัว
สภาวธรรมทั้งหมดนะ ย่อๆมี ๗๒ ตัว
ตัวหนึ่งคือ นิพพาน พวกเรายังไม่เห็น
ตัวที่สองคือ ตัวจิต รูปมีรูปแท้ๆ ๑๘ ชนิด
แล้วก็เป็นนามธรรมที่เกิดร่วมกับจิต ๕๒ ชนิด
เราไม่ต้องรู้จักทั้งหมด เรามีตัวใหนเรารู้ตัวนั้น
.
อย่างพระพุทธเจ้าท่านสอน
คนใหนขี้โมโหเราก็ดูแค่สภาวธรรม
แค่จิตมีโทสะ “รู้ว่ามีโทสะ”
จิตไม่มีโทสะ “รู้ว่าไม่มีโทสะ”
รู้แค่นี้ก็พอแล้ว ง่ายๆ
ถ้าเราขี้โลภเราก็ดู
จิตมีโลภะ “รู้ว่ามีโลภะ”
จิตไม่มีโลภะ “รู้ว่าไม่มีโลภะ”
เราชอบใจลอยเราก็รู้
จิตมีโมหะ “รู้ว่ามีโมหะ”
จิตไม่มีโมหะ รู้เนื้อรู้ตัวอยู่ “ก็รู้ว่าไม่มีโมหะ”
ดูไม่กี่ตัวหรอก ดูตัวที่เรามีตัวที่เด่นๆ
.
คนใหนโลภเด่นบ้าง โลภเก่งยกมือยกสูงๆ
คนใหนโกรธเก่ง สังเกตไหมคนเดิม...มี
เพราะว่าเดี๋ยวก็โลภเดี๋ยวก็โกรธ
ความโลภเกิดแล้วไม่ได้อย่างที่โลภนะ โทสะก็เกิด
ใครหลงเก่งบ้าง? โอ...ทุกคนนั่นแหละ
คนที่ไม่ยกคือ ผู้ที่ไม่รู้จักตนเอง หลงทั้งวันมนุษย์ทั้งหลาย
(ถ้า)ไม่ใช่พระอรหันต์(ก็)หลงทั้งวัน
.
หัดดูสภาวะไป
โลภขึ้นมาก็รู้ โกรธขึ้นมาก็รู้ หลงขึ้นมาก็รู้
ฟุ้งซ่านก็รู้ หดหู่ก็รู้ เป็นสุขก็รู้ เป็นทุกข์ก็รู้
เฉยๆไม่สุขไม่ทุกข์ก็รู้ เนี่ยรู้แค่นี้ก็พอแล้ว
นามธรรมที่เราจำเป็นต้องรู้นะ แค่นี้เองไม่มาก
รู้อะไร? เหมือนที่พระพุทธเจ้าบอก
จิตมีราคะรู้ว่ามีราคะ
จิตไม่มีราคะรู้ว่าไม่มีราคะนี่คู่ที่หนึ่ง
จิตมีโทสะรู้ว่ามีโทสะ
ไม่มีโทสะรู้ว่าไม่มีโทสะนี่คู่ที่สอง
จิตมีโมหะกับจิตที่ไม่มีโมหะ
จิตฟุ้งซ่านกับจิตหดหู่ดูอย่างนี้แค่นี้เอง
เติมไปอีกหน่อยจิตสุข จิตทุกข์ จิตไม่สุขไม่ทุกข์
แถมเข้าไปอันนี้ก็จะครอบคลุมความรู้สึกในใจได้หมด
ครอบคลุมความรู้สึกในใจ
.
เวทนาก็เป็นเจตสิกอย่างหนึ่งนะ
เวทนาคือ ความรู้สึกสุข-ทุกข์เนี่ย
อยู่ใน ๕๒ ตัวนั้น อยู่ในเวทนา
แล้วก็มีความจำ ความจำได้หมายรู้ตัวสัญญาอีกตัวหนึ่ง
ส่วนใหญ่จะเป็นตัวสังขาร ตัวปรุงดี ปรุงชั่ว
ปรุงไม่ดีไม่ชั่วอะไรอย่างนี้ ปรุงทั้งวัน
.
เราฟังธรรมะแล้วเราก็มาทำความรู้จัก
ทีแรกรู้จำก่อน แล้วก็มารู้จักสภาวะ
ถัดจากรู้จักสภาวะเราต้องรู้จริง “รู้จริงในสภาวะ”
อย่างโกรธเนี่ย ความจริงของมันคืออะไร?
ความจริงของมันคือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
ความโลภล่ะ ความจริงของมันคืออะไร?
ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
สภาวะแต่ละตัวไม่เหมือนกัน
มีลักษณะเฉพาะที่ทำให้แยกได้ว่ามันคืออะไร
ลักษณะเฉพาะของสภาวะแต่ละตัวมีชื่อว่า วิเสสลักษณะ
วิเสส (อ่านว่า วิ-เส-สะ) คือ วิเศษ
พิเศษนั่นเอง สภาวะพิเศษเฉพาะตัว
อย่างโทสะมีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว
โมหะมีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว
ถ้าเราเห็นอย่างนี้นะเรารู้โทสะเกิด
โลภะเกิด สุขเกิด-ทุกข์เกิดเนี่ย
เรารู้ได้ว่าตัวนี้เกิดเพราะมันมีลักษณะเฉพาะ
อย่างโทสะมันหน้าตาไม่เหมือนโลภะใช่ไหม?
มันไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราแยกได้
อย่างนี้เรียกว่าเรารู้จักสภาวะแล้ว รู้จักวิเสสลักษณะ
ตรงที่เราจะรู้จริงเนี่ย เราจะรู้จักสามัญลักษณะ
ลักษณะร่วมของทุกๆสภาวะ
ทุกๆสภาวะมีลักษณะร่วมคือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
ตรงที่เราเห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
เรียกว่า เราทำวิปัสสนากรรมฐาน
ถ้ายังไม่เห็นว่ารูป-นาม กาย-ใจนี้
ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตายังไม่เป็นวิปัสสนา ได้แค่สมถะ
.
อย่างเห็นท้องพองเห็นท้องยุบนี้เป็นสมถะนะ
เห็นร่างกายหายใจออก-ร่างกายหายใจเข้าเป็นสมถะนะ
แต่ถ้าเห็นว่าร่างกายนี้ถูกความทุกข์บีบคั้นอยู่
ร่างกายไม่ใช่ตัวเราเป็นวัตถุธาตุนี่เป็นการรู้จริงแล้ว
ขึ้นเจริญปัญญาเห็นไตรลักษณ
เห็นว่าความรู้สึกทุกชนิดเกิดแล้วก็ดับไปนี่เห็นอนิจจัง
เห็นว่าสั่งไม่ได้บังคับไม่ได้นี่เห็นอนัตตา
ต้องเห็นไตรลักษณ์ของรูปธรรม-นามธรรม
ไตรลักษณ์ของรูปธรรม-นามธรรมเรียกว่า สามัญลักษณะ
สามัญทั่วๆไป เป็นลักษณะร่วมของทุกๆสภาวะ
.
เราเรียนกรรมฐานนะ ทีแรกเรารู้จักสภาวะแต่ละตัว
แล้วเราก็เห็นสภาวะแต่ละตัวแสดงสามัญลักษณะ
แสดงไตรลักษณ์ ทุกตัวเหมือนกันหมดเลย
สุขเกิดแล้วก็ดับ ทุกข์เกิดแล้วก็ดับเหมือนกัน
พอใจเรารู้ความจริงแล้วเรียกว่า รู้แจ้ง
รู้แจ้งแล้วว่าสุขเกิดแล้วก็ดับ-ทุกข์เกิดแล้วก็ดับ
ความรู้สึกสุขกับทุกข์มันเท่าเทียมกันนะ
เพราะเป็นของไม่มีคุณค่าเกิดแล้วดับเท่าๆกัน
เวลามีความสุขจิตจะไม่ดิ้นรนรักษา
ความสุขหายไปจิตจะไม่เศร้าหมองแล้วก็ไม่อยากได้คืนมา
ความทุกข์เกิดขึ้นจิตก็จะไม่เกลียดชัง
จิตจะไม่ชอบ จิตจะไม่ชัง จิตจะเข้าสู่ความเป็นกลางด้วยปัญญา
.
เพราะฉะนั้นเราภาวนาเรื่อยๆนะ
ทีแรกก็จำคำสอนของครูบาอาจารย์
ต่อมาก็ทำความรู้จักสภาวะ ตัวใหนเด่นๆเราก็เรียนรู้ไป
แล้วทุกตัวที่เราเห็นนั้นแหละล้วนแต่สอนไตรลักษณ์ทั้งนั้น
ดูไปให้ถึงไตรลักษณ์ พอเราเห็นไตรลักษณ์แล้ว
จิตจะวาง จิตจะหมดความยินดี-ยินร้าย
เข้าสู่ความเป็นกลางเรียกว่า เป็นสังขารุเปกขาญาณ
จิตจะเข้าสู่ความเป็นกลางด้วยปัญญา
เพราะว่ารู้แล้วสุขเกิดแล้วก็ดับ ทุกข์เกิดแล้วก็ดับ
ไม่เห็นจะต้องหิวโหยความสุข
ไม่เห็นจะต้องเกลียดชังความทุกข์เลย
ดีกับชั่วเกิดแล้วก็ดับเหมือนกัน ไม่ใช่รักดีเกลียดชั่วนะ
รักสุขเกลียดทุกข์ รักสงบเกลียดฟุ้งซ่าน
ถ้ายังมีรักมีเกลียด จิตยังปรุงแต่งต่อ...ดิ้นรน
เพราะฉะนั้นเราจะเรียนจนกระทั่งรู้แจ้งลงไปเลยว่า
ทุกอย่างเสมอกันหมดเลยตรงนี้เรียกว่า เรามีปัญญาแล้ว
ทำวิปัสสนามาเต็มภูมิแล้ว ใจจะเข้าสู่ความเป็นกลาง
ต่อไปก็คือ ขั้นบรรลุมรรคผลละ
เพราะฉะนั้นเราตั้งอกตั้งใจนะ หัดรู้สภาวะไป
สภาวะแต่ละตัวไม่เหมือนกัน มีลักษณะเฉพาะของมัน
ไม่ต้องไปแจกแจง แค่รู้ว่าตอนนี้โกรธตอนนี้โลภ
อย่างนี้แค่นี้ก็พอแล้ว แล้วต่อไปก็เห็นเลย
(สภาวธรรม) ทุกตัวเกิดแล้วดับ
(สภาวธรรม) ทุกตัวบังคับไม่ได้
.
อย่างร่างกายเนี่ย จะอยู่ในอิริยาบทไหนก็ทุกข์
ทุกอิริยาบทแหละ ไม่มีอิริยาบทใหนดีกว่าอิริยาบทใหนหรอก
อย่างเราอาจจะคิดว่านอนดีที่สุดใช่ไหม...สบาย
บางคนก็สอนกันนะว่ายืนดีกว่าต้องเดิน เดินมันเมื่อยยืนดีกว่า
แล้วก็สอนต่อไประหว่างยืนกับนั่ง นั่งดีกว่า
ระหว่างนั่งกับนอน นอนดีกว่า นอนตลอดชาติเลยเอาไหม?
ใส่บาตรแล้วอธิษฐานขอให้ลุกไม่ขึ้นเลย
ขอให้เป็นอัมพาตได้นั่งกิน นอนกิน
ให้นอนตลอด...ไม่เอา ทำไมนอนตลอดไม่เอา?
เพราะมันทุกข์ เนี่ยเฝ้าเรียนรู้ลงไปนะ
จนเห็นความจริงของกายว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
เห็นความจริงของใจว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
.
ถ้าเห็นแล้วเนี่ยจิตก็จะเข้าถึงมรรคผล
จิตเข้าถึงมรรคผล จิตก็จะหลุดพ้น มีความสุข
ความสุขที่ไม่มีอะไรเหมือนนะ ในโลกที่ว่ามีความสุขๆนะ
พอไปเทียบกับความสุขของสมาธิแล้ว
ความสุขของโลกนี่กระจอกมากเลย
ความสุขของสมาธิไปเทียบกับความสุขของพระนิพพานนะ
กระจอกมากเลย คนละชั้นกัน
เราไม่ต้องเสียดายความสุขของโลก เป็นความสุขต่ำๆตื้นๆ
ความสุขของผู้ทรงสมาธิสูงกว่านั้นเยอะเลย
แล้วถ้าเราได้มรรคผลนะเราจะรู้เลย
ความสุขของสมาธิก็ไม่ใช่ของแท้
ความสุขของสมาธิ สมาธิเป็นภพๆหนึ่งยังมีความทุกข์อยู่
ความเสียดแทงอยู่ ความสุขที่แท้จริงก็ต้องพ้นจากรูป-นาม
พ้นจากความปรุงแต่งทั้งหลายทั้งปวง พ้นจากกิเลส
พ้นจากรูปจาก-นามเป็นวิมุตต
พ้นจากความรักใคร่ ผูกพัน ยึดถือเรียกว่า วิราคะ
ดับสนิทแห่งทุกข์ ดับสนิทแห่งกิเลสเรียกว่า นิโรธ
นิโรธะ สิ่งเหล่านี้เป็นชื่อของนิพพาน ชื่อของนิพพานทั้งนั้น
.
“วันนี้ยังทุกข์อยู่ ต่อไปต้องดีขึ้น”
ต้องตั้งใจอย่างนี้นะ
ต้องห่างความทุกข์ออกไปเรื่อยๆ
จิตจะห่างความทุกข์ได้ต้องห่างจากโลก
ค่อยๆฝึกไป จิตคลุกอยู่กับโลกก็ทุกข์แน่นอน
พอจิตมันห่างจากโลกออกไป มันตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดู
ที่หลวงพ่อบอกว่าจิตมันตื่นแล้ว
ที่จิตตื่นคือ จิตมันมีสมาธิขึ้นมา
จิตมีสมาธิขึ้นมา มันมีความสุขขึ้นมาเอง
เวลาความสุขของสมาธิเกิดนะ
มันสูงกว่าความสุขจากการดู การฟัง การดมกลิ่น
การลิ้มรส การรู้สัมผัสของกาย มันคนละชั้นกัน
สุขอย่างนั้นเรียกว่า กามสุข
สุขของสมาธินี้เรียกว่า ฌานสุข สูงกว่ากัน
มีวิมุตติสุขอีก สุขของมรรคผลนิพพาน
เพราะฉะนั้นอย่าเสียดายของต่ำ มุ่งไปหาของสูง
ทีแรกอาจจะลำบากบ้าง ล้มลุกคลุกคลานบ้าง แต่ไม่ย่อท้อ
มันเหมือนเราตกน้ำอยู่กลางทะเล ถ้าเราย่อท้อเราก็จมน้ำตาย
ไม่มีใครเขาสงสารหรอก มันไม่ต่อสู้
ถ้าใจเข้มแข็งนะหาอะไรเกาะไว้สักหน่อย
หาไม้กระดานเสื้อชูชีพอะไรเกาะ เกาะแล้วไม่ใช่อยู่เฉยๆ
ใช้สติใช้ปัญญาทำยังไงจะเอาชีวิตรอด ค่อยๆหาฝั่ง
พระโสดาเนี่ยรู้แล้วว่าฝั่งอยู่ที่ใหน
พวกเรายังไม่รู้นะว่าฝั่งอยู่ที่ใหน ยังประมาทไม่ได้นะ
พระสกทาคาเนี่ยคือคนที่เริ่มเข้าฝั่งแล้ว
รู้ว่าฝั่งอยู่ทางนี้ ว่ายน้ำเข้าฝั่ง
พระอนาคาเนี่ยคือคนที่เข้าถึงน้ำตื้นแล้ว น้ำอยู่แค่ๆเอว
หรือแค่น่องแล้ว เหลืออีกนิดหนึ่งก็พ้นแล้ว
พระอรหันต์คือคนที่ขึ้นบกได้แล้ว
.
อดทน! กรรมฐานสุดยอดเลย อดทน!
ไม่มีความอดทนไม่ได้กินหรอก
อดทนนี้ อดทนต่อคำสั่งสอน
อย่างบางทีครูบาอาจารย์หรือเพื่อนสหธรรมิกแนะนำอะไร
พระวินัยว่าอย่างนี้นะ...โกรธเขา อย่างนี้ไม่อดทนนะ
ไม่อดทนต่อคำสั่งสอน ใช้ไม่ได้
อดทนต่อความขี้เกียจของตัวเอง
อดทนต่อความโลภอยากได้ผลเร็วๆเนี่ยต้องอดทนทั้งนั้นเลย
อดทนต่อความขี้เกียจ มีขี้เกียจต่อการปฏิบัติ
ตั้งใจจะเดินจงกรมโต้รุ่ง เดินไปสิบนาที...
ถ้าโต้รุ่งเนี่ยมันเป็นอัตตกิลมถานุโยค ทรมานตัวเองเกินไป
ขอนอนโต้รุ่งดีกว่าตั้งสัจจะ จะนอนโต้รุ่ง
โอ้...อย่างนี้มันสู้(กิเลส)ไม่ไหว
อดทนนะ! ถ้าไม่มีความอดทนตัวเดียว
เก่งแค่ใหนไปไม่รอดหรอก เรื่องของกรรมฐาน
.
หลวงพ่อไม่ใช่คนเก่ง แต่หลวงพ่อเป็นคนทน
อย่างหลวงพ่อหัดกระบี่กระบอง
เขาหัดกันแป๊ปเดียวอาทิตย์เดียวนะ
เขาร่ายรำได้หลายกระบวนท่าแล้ว
หลวงพ่อยังเล่นท่าเบสิคอยู่เลย ตั้งดาบการ์ด
ฝึกอยู่อย่างนั้นเป็นเดือนนะ คนหัวเราะเลยนะ
มาตีกับเราแพ้เราหมด เพราะว่าเราเนี่ยมาตรฐาน
แม่นเปรี๊ยะเลยของเธอร่ายรำ ร่ายรำเหรอ...เรามีอยู่ท่าเดียว
มัวแต่เงอะงะ เราซัดโป้ง!เข้าให้
หลวงพ่อทนนะ แล้วหลวงพ่อเนี่ยน้ำหนักมาก
ไม่ได้ตะกละนะแต่เป็นกรรมพันธุ์
นั่งคุกเข่านานๆเนี่ยไม่ได้ ตอนจะบวชเนี่ยต้องคุกเข่านาน
แล้วหลวงพ่อมาบวชตอนอายุเยอะแล้ว
อายุ ๔๘ แล้ว อายุ ๔๘ เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่อยู่
มีภาระ พอสิ้นภาระแล้วก็มาบวช
ตอนคิดจะบวชเนี่ยหลวงพ่อซ้อมนั่งคุกเข่าเป็นปีเลย
ซ้อมวันแรกนั่งได้ไม่กี่วินาทีแข้งขาจะหัก ก็อดทนนะ
อีกวันหนึ่ง วันนี้ได้ห้าวินาทีแล้วดีกว่าเก่าแล้ว
ค่อยๆซ้อมๆซ้อมนะ จนถึงเวลาที่บวช
กัดฟันเลยตอนที่บวชนะ พระที่ท่านสวดพระคู่สวดนะ
ท่านเห็นเราร่อแร่เต็มทีแล้ว ใกล้จะกลิ้งตกจากอาสนะแล้ว
ท่านรีบสวดใหญ่เลย ช่วยกันใหญ่
พระที่นั่งหัตถบาสก็ลุ้นจะบวชสำเร็จหรือเปล่า
จะกลิ้งก่อนหรือเปล่า
ทนนะ ต้องทน! ทำกรรมฐานก็ต้องทน
ทนต่อคำสั่งสอน ถูกครูบาอาจารย์ดุด่า
ว่ากล่าวนี่เป็นมงคลทั้งสิ้น
ถ้าครูบาอาจารย์ชมนี่อันตราย เพราะว่าเจริญ
หรือว่าอยากรักษาว่าจะได้ดีนานๆอันนี้อัตรายมาก
เดี๋ยวก็เสื่อม เพราะว่ามันอยาก
ทนต่อความขี้เกียจ ทนต่อความเห็นแก่ตัวอะไรอย่างนี้
ทน ต้องสู้! ทนแล้วก็เป็นบารมีนะ
เป็นขันติบารมี ถ้าไม่มี(ความอดทน)
เก่งแค่ใหนไปไม่รอดหรอก
.
-หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช-
เมื่อกำลังบุญบารมีเราแก่กล้าพอนะ
เมื่อจิตเข้าสู่ความเป็นกลางแล้ว
บุญบารมีพอเนี่ย จิตจะรวมเข้าอัปนาสมาธิ
มันรวมของมันเอง
เราไม่ได้เจตนาจะรวม มันรวมเอง
(จิต)รวมเนี่ย
ระดับของความรวมไม่เท่ากัน
บางคนรวมไปที่ปฐมฌาน ฌานที่ ๑
บางคน(รวมไป)ฌานที่ ๒ , ๓, ๔
ฌานที่ ๔ เนี่ย บางคนมีรูป(รูปฌาน)
ฌานที่ ๔ ของบางคนเลยไปถึงขั้นไม่มีรูป(อรูปฌาน)
อรูปฌานเนี่ย
จัดว่าเป็นฌานที่ ๔ นะ
แต่ว่าในตำราจะแยกไว้
ว่าเป็นฌานที่ ๑, ๒, ๓, ๔ นี่เป็นรูปฌาน
ฌาน ๕, ๖, ๗, ๘ เป็นอรูป
แท้จริงฌาน ๕,๖, ๗,๘ มันก็เป็นฌานที่๔ นั้นแหละ
มีองค์ธรรมอย่างเดียวกันเสมอกัน
คือมีอุเบกขา กับเอกัคคตา
เท่าๆกันกับฌานที่ ๔ นะ
จัดอนุโลมว่าเป็นฌานที่ ๔
งั้นบางท่านเวลาบรรลุมรรคผลเนี่ย
จิตเข้าถึงอรูปฌาน
บางท่านบรรลุมรรคผล จิตอยู่ในรูปฌาน
บางท่านบรรลุมรรคผล
ในขณะที่จิตยังมีปีติมีสุขอยู่
บางท่านจิตเป็นอุเบกขา
เนี่ยพวกที่อยู่ในรูปฌาน
จิตจะเข้าฌานเอง
เมื่อจิตเข้าฌานเองอย่างอัตโนมัติ
สติจะหยั่งรู้ลงที่จิต สมาธิประชุมลงที่จิต
ปัญญาเข้าใจความเป็นจริงของจิต
ที่แสดงความเป็นไตรลักษณ์ของจิตชั้นในขึ้นมา
แล้วจะเข้าใจอริยสัจขึ้นมา
ตรงนี้ใช้เวลาสั้นนิดเดียว
ตรงที่(จิต)มันจะไปเห็นสภาวะแล้วมันเข้าใจเนี่ย
ใช้เวลานิดเดียวนะ...ถ้าบารมีพอ
ใช้เวลาสองสามขณะจิตเท่านั้นเอง
ที่จะเดินปัญญาในขั้นนี้
ตรงที่เข้าฌานไปปุ๊บ จิตจะไปเดินปัญญา
อยู่อีกสองสามขณะ คือเดินปัญญาอยู่ที่จิต
ถัดจากนั้นจิตจะปล่อยวาง
จิตจะปล่อยวางตัวจิต
แล้วทวนกระแสเข้าหาธาตุรู้
ตรงนี้ใช้เวลาหนึ่งขณะจิต
ตรงที่ปล่อยวางสภาวะจิตออกไปนะ
ปล่อยวางขันธ์ลงไปนะ
ไม่ใช่ปุถุชนแล้ว
แต่ยังทวนกระแสเข้ามาไม่ถึงธาตุรู้
ไม่ถึงธรรมธาตุ เรียกว่ายังไม่ได้เป็นพระอริยะบุคคล
งั้นสภาวะเนี่ยเป็นสภาวะคาบลูกคาบดอก
เรียกโคตรภูฯ เป็นญาณข้ามโคตร
เปลี่ยนจากโคตรปุถุชนไปเป็นโคตรพระอริยะ
เมื่อ(จิต)มันทวนเข้ามาถึงธาตุรู้แล้ว
อาสวะที่ห่อหุ้มธาตุรู้อยู่เนี่ย
จะถูกอริยมรรคแหวกออก
ตรงนี้ใช้เวลาหนึ่งขณะจิต
"อริยมรรคไม่เกิดสองขณะจิต"
เกิดหนึ่งขณะจิตเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นโสดาฯ สกทาคาฯ
อนาคาฯ หรือพระอรหันต์
อริยะมรรคก็เกิดชั่วขณะเท่านั้นเองนะ
ถัดจากนั้นอริยผลจะเกิดขึ้น
บางท่านเกิดสองขณะ บางท่านเกิดสามขณะ
จะสัมผัสพระนิพพานเต็มภูมินะ
เป็นความว่างเป็นความสว่างเป็นความบริสุทธิ์
ตรงที่ว่าอาโลโกอุทปาทิ แสงสว่างมันเกิด
แสงสว่างตัวนี้มันเกิดอยู่ในอริยผลนะ
ถัดจากนั้นจิตจะถอยกลับออกมา
สู่โลกข้างนอกนี่
แล้วจิตจะทวนกลับเข้าไปอีกทีหนึ่ง
ไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น
กิเลสอะไรถูกล้างแล้ว
กิเลสอะไรยังเหลืออยู่จะรู้
ทวนดูที่กิเลส
นี่เป็นกระบวนการมาตรฐานนะ
ที่จิตล้างกิเลสออกจากจิตใจอย่างถาวรเลย
.
งั้นพวกเราทุกวันนี้นะ มีหน้าที่ปฏิบัติไป
ถ้าเมื่อไหร่เราปฏิบัติไป
จนใจมันหมดความยึดถือในรูปนาม
ล้างสังโยชน์ได้หมดแล้ว
ล้างกิเลสได้หมดแล้ว ใจจะเป็นอิสระ
(สังโยชน์/กิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์
ไว้กับทุกข์ให้จมอยู่ในสังสารวัฏ
Google สังโยชน์ ๑๐--ผู้ถอดความ)
จิตใจของเราทุกวันนี้นะ
จะแกว่งขึ้นแกว่งลงยินดียินร้ายไปเรื่อยๆ
ถูกปรุงแต่งได้
ใจที่เข้าไปถึงธาตุที่บริสุทธิ์เนี่ย
ตัวนี้หลวงตามหาบัวเรียกว่า"ธรรมธาตุ"
สมเด็จพระญาณสังวรท่านเรียก"วิญญาณธาตุ"
ท่านพุทธทาสหรือท่านเว่ยหล่างเรียก"จิตเดิมแท้"
หลวงปู่ดูลย์หรือท่านฮวงโปเรียก"จิตหนึ่ง"
หลวงปู่เทสก์ เรียกสภาวะนี้ว่า "ใจ"
หลวงปู่บุดดาเรียกสภาวะนี้ว่า "ใจเดียว"
ใจเดียวก็คือ ใจเป็นหนึ่งนั้นเอง
ทำไมเป็นหนึ่ง..?
เพราะเป็นสภาวะที่มีคุณสมบัติบางอย่างเป็นหนึ่ง
ก็คือไม่มีอะไรปรุงแต่งได้อีกแล้ว
ไม่มีอะไรกระทบกระเทือนเข้ามาถึงได้อีกแล้ว
แต่ใจของพระอรหันต์นะ ยังมีหลายลักษณะ
บางดวงบางขณะ มีโสมนัสเวทนา
บางดวงเป็นอุเบกขา
บางดวงประกอบด้วยปัญญา
บางดวงไม่ประกอบด้วยปัญญา มีหลายแบบ
งั้นเข้าสู่ความเป็นหนึ่งหมายถึงว่า
พ้นจากความปรุงแต่งสิ้นเชิง
ไม่กระเพื่อมหวั่นไหวใดๆ อีกต่อไปแล้ว
.
หลวงปู่ดูลย์ท่านสอนน่าฟังมากเลย
ท่านสอนว่า...
จิตที่ส่งออกนอก...เป็นสมุทัย
ผลที่จิตออกนอก...เป็นทุกข์
จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งเป็น...มรรค
ผลที่จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งเป็น...นิโรธ
ธรรมชาติของจิตย่อมส่งออกนอก
แต่ส่งออกนอกแล้วนะ...ไม่มีสติ
จิตกระเพื่อมหวั่นไหวไป...เป็นสมุทัย
ผลที่จิตส่งออกนอกไม่มีสติ
ไปกระเพื่อมหวั่นไหว... เป็นทุกข์
ถ้าจิตออกนอกแล้วมีสตินะ
ไม่กระเพื่อมหวั่นไหวนะ
ท่านบอกว่าเป็นตัวมรรค
เป็นตัวที่เจริญปัญญานะ
งั้นเวลาจะเดินปัญญาเนี่ย "จิตออกนอกนะ"
ไม่ต้องกลัวจิตไม่ออกนอกหรอก
จิตจะเคลื่อนออกไปทำงาน
แต่ไม่ใช่หลุดออกจากฐานไปนะ
(จิตตั้งมั่นอยู่ที่จิต--ผู้ถอดความ)
แล้วท่านบอกว่าผลของมัน...เป็นนิโรธ
พระอริยะเจ้าทั้งหลาย
พระอริยะเจ้าหมายถึงพระอรหันต์
ครูบาอาจารย์ท่านเรียกพระอรหันต์
ท่านจะเรียกพระอริยะเจ้า
ถ้าเรียกพระอริยะเฉยๆเนี่ย
หมายถึงพระอริยะอื่นๆ ไม่ถึงขั้นพระอรหันต์
(พระโสดาฯ สกิทาคาฯ อนาคาฯ--ผู้ถอดความ)
หลวงปู่ดูลย์ท่านบอกว่า
พระอริยะเจ้าทั้งหลายมีจิตไม่ออกนอก
มีจิตไม่กระเพื่อมหวั่นไหว
มีสติบริบูรณ์เป็นวิหารธรรมอยู่
แล้วท่านก็ตบท้ายคำว่า "จบอริยสัจ"
จบตรงนี้เองรู้แจ้งแทงตลอดเรียนจบแล้ว
งั้นพระอรหันต์เนี่ย "จิตไม่ออกนอก"
จิตไม่ออกนอกแล้วรู้อารมณ์...
ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ได้ยังไง..?
จิตเนี่ยมันขยายตัวเต็มโลกธาตุนะ
ไม่จำเป็นต้องส่งไปส่งมา
มันเต็มอยู่แล้วมันถึงอยู่แล้ว
จิตที่เข้าถึงธรรมนะ
ไม่มีขอบ-ไม่มีเขต-ไม่มีจุด-ไม่มีดวง-ไม่มีที่ตั้ง
ไม่มีการไป-ไม่มีการมา
มันจะเป็นสภาวะแห่งความรู้ตื่นเบิกบาน
เป็นสภาวะที่ว่าง สว่าง บริสุทธิ์
หยุดความปรุงแต่ง หยุดการแสวงหา
หยุดกิริยาของจิต
ไม่มีอะไรเลย ไม่เหลืออะไรซักอย่าง
*** แต่มีธรรมอยู่ ***
ที่หลวงปู่เทสก์ท่านบอก "สิ้นโลกเหลือธรรม"
จิตนั้นแหละทรงธรรมอยู่นะ
จิตกับธรรมรวมเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
รวมเป็นอันเดียวกันที่จิตบริสุทธิ์นี้เอง
.
"ต้องสู้นะ..สู้ตาย"
หลวงพ่อเอาธรรมะชั้นสูงมาสอนให้พวกเราฟัง
ฟังเอาไว้อย่างน้อยก็รู้ว่า
ศาสนาพุทธมีอะไรมากกว่าที่เรานึก
มีอะไรที่วิเศษมากกว่าที่เรานึกเยอะเลย
นึกไม่ถึงนะ สภาวะที่(จิต)มันพ้นไปแล้ว
มีความสุขที่มหาศาลจริงๆ
_/|\_ _/|\_ _/|\_
พระธรรมเทศนา #หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
นักปฏิบัตินะ เกือบร้อยละร้อยนักเพ่ง
ตอนหลวงพ่อเรียนกับหลวงปู่ดูลย์
แล้วพอหลวงปู่รับรอง ว่าช่วยตัวเองได้แล้ว
หลวงพ่อก็ออกไปดูสำนักต่างๆ
สำนักครูบาอาจารย์นะที่มีชื่อเสียง
พบปัญหาหลักเลยนะ ก็คือเรื่องของสมาธิไม่ถูก
บางสำนักเนี่ยไม่ทำสมาธิเลย
อยู่ๆก็เอาจิตที่ฟุ้งซ่านเนี่ยไปเจริญปัญญา
มันทำไม่ได้
คิดไปเรื่อยๆ สิ่งที่ได้มาคือเซลฟ์จัด
อีกพวกหนึ่งทำสมาธิแบบเพ่งเอาไว้
จ้อง! นิ่ง! เครียด! ถ้าสติคุมไม่อยู่ก็บ้าไป
(ถ้า)ไม่ถึงกับบ้า ก็เหนื่อยหน่ายท้อแท้เดี๋ยวก็เลิก
น้อยคนนะที่จะผ่านเข้าถึงเส้นชัยได้
เข้าถึงมรรคถึงผลได้ อะไรอย่างนี้
เพราะว่า การเรียนธรรมะเรียนไม่ครอบคลุมพอ
.
บทเรียนของธรรมะเริ่มจากศีลสิกขา
เรียนเรื่องการรักษาศีล
ทำยังไงจิตใจเราจะเป็นปกติ เป็นธรรมดา
ไม่ถูกกิเลสครอบงำ
จิตที่มีศีลนะ
คือจิตที่เป็นปกติ ไม่ถูกกิเลสครอบงำ
อาการของการรักษาศีล ก็เช่น
ถือศีล ๕ ศีล ๘ อะไรไป
แต่มุ่งมาสู่การฝึกจิตนะ
ไม่ถูกกิเลสครอบงำ มันจะไม่ทำผิด
มันเริ่มจากไม่คิดผิด มันไม่พูดผิด ไม่ทำผิด
มันมีศีลขึ้นมา
ถ้าใจมันถูกกิเลสครอบงำ
มันก็คิดผิดๆ พูดผิดๆ แล้วก็ทำผิดๆ
ก็ผิดศีลจนได้
.
บทเรียนที่ ๒
เป็นบทเรียนที่คนทั่วไปละเลย ชื่อว่า จิตตสิกขา
ถ้าชื่อเต็มยศนะเรียก"อธิจิตตสิกขา" มี..อธิ..ด้วย
อธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา
จิตตสิกขาเป็นการเรียนรู้จิต
บางคนก็เรียนทฤษฎี บอกว่า
สมาธิเป็นองค์ธรรมที่เกิดร่วมกับจิตทุกดวง
งั้นไม่ต้องเรียน เก่งกว่าพระพุทธเจ้า
คิดว่าสมาธิเกิดกับจิตทุกดวง
ไม่รู้ว่าสมาธิมีหลายชนิด
เพราะไม่เคยเรียนเรื่องจิต
มิจฉาสมาธิ
ทำให้ตายเลยก็ไม่เกิดปัญญา
มีแต่ขวางการเจริญปัญญา
เนี่ยต้องรู้จักว่า
สมาธิอย่างไหนเป็นสัมมาสมาธิ
สมาธิชนิดไหนเป็นมิจฉาสมาธิ
ตัวที่หลวงพ่อไปเที่ยวตระเวนสำรวจมา
วัดโน้น วัดนี้ สำนักโน้น สำนักนี้
ที่พลาดที่สุดนะ คือเรื่องของสมาธินี่เอง
พวกหนึ่งก็นั่งแต่สมาธินะ
ซึมนิ่งๆ หรือก็สบายใจเคลิ้มไป
หรือใจก็ไหลสว่างจ้าไหลออกข้างนอกไป
บางทีก็เห็นโน้นเห็นนี่ไป
อีกพวกหนึ่งไม่นั่งสมาธิเลย ไม่ปฏิบัติทางจิต
พวกที่ไม่ทำสมาธิเลยก็ไปเจริญปัญญานะ
ไปกำหนดรูป กำหนดนาม
หรือไปคิดพิจารณากาย อะไรอย่างนี้
อยู่ๆก็ไปคิดเอาเลย
หรือไปกำหนดรูป กำหนดนาม
กำหนดมือ กำหนดเท้า
กำหนดท้องอะไรอย่างนี้
พวกนี้มันก็จะสุดโต่งไปข้างตึง
.
พวกเราที่มาบวชกับหลวงพ่อ
พวกเราลองสังเกตพระหลวงพ่อดู
งามมั้ย ?! ดูสงบมั้ย ?! เซื่องซึมมั้ย ?!
สงบ.. แต่ไม่เซื่องซึม
แต่ตอนนี้เริ่มฟุ้งซ่านแล้วล่ะ
เริ่มตกใจ ตกใจว่าคนหันไปมองมาก
เลยใจที่งดงามราบเรียบ กระฉอกไปนิดหน่อย
พลังฝึกปรือยังไม่มาก
บางคนพึ่งบวชเดือนสองเดือน
ลูกศิษย์หลวงพ่อที่มาบวชนี้
ก็มาจากพวกเรานี้แหละ
หลวงพ่อไม่ได้เปิดรับทั่วๆไปนะ
ส่วนใหญ่ก็จะรับคนซึ่งเคยได้ยินได้ฟัง
อย่างพวกเราฟังธรรมะหลวงพ่อมาพอสมควร
แล้วก็อยากปฏิบัตินะ
นึกว่าที่ปฏิบัติอยู่ตอนเนี้ยดีแล้ว
นึกว่าที่เราทำอยู่ตอนนี้ดีแล้ว
พอมาบวชเข้าจริงเนี่ย ร้องโอ๊กทุกองค์เลย
ว่าทำไมไม่เหมือนตอนที่เป็นโยม
มันคนละชั้นกัน
เรื่องของการฝึกจิตฝึกใจให้ตั้งมั่น
เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
พอจิตใจตั้งมั่นงดงามอย่างนี้แล้วนะ
จิตใจนุ่มนวล อ่อนโยน เบา
คล่องแคล่วว่องไว ควรแก่การงาน
ก็โน้มน้อมจิตไปให้เกิดญาณทัศนะ
คือพาจิตที่เป็นผู้รู้แล้วเนี่ย
ไปเรียนรู้ความจริงของรูปนาม กายใจ
.
สมาธิเป็นเหตุใกล้ให้เกิดปัญญา
แต่สมาธิมีหลายแบบนะ
มีสัมมาสมาธิ กับมิจฉาสมาธิ
มิจฉาสมาธิ
คือสมาธิที่ไม่ประกอบด้วยสติ
มันเกิดกับจิตอกุศลทั้งหลาย
นั้นมันเป็นมิจฉาสมาธิ
สัมมาสมาธิประกอบด้วยสติ
เกิดกับจิตที่เป็นกุศลทั้งหลาย ยังมี ๒ ชนิด
จิตที่เป็นกุศลมี ๒ ชนิดนะ
ชนิดหนึ่ง ประกอบด้วยปัญญา
ชนิดหนึ่ง ไม่ประกอบด้วยปัญญา
สมาธิที่เกิดร่วมกับจิต
ที่ประกอบด้วยปัญญาก็เป็นแบบหนึ่ง
เรียกว่า"ลักขณูปนิชฌาน"
สมาธิที่เกิดร่วมกับจิตที่เป็นกุศล
ที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา
เป็น"อารัมมณูปนิชฌาน"
อันนี้อาจจะไม่ตรงปริยัตินะ
หลวงพ่อเรียนจากการปฏิบัติมา
ถ้าปริยัติก็คือว่า
เข้าฌานได้ก็ถือว่ามีปัญญาแล้วล่ะ
แต่สำหรับเรานักปฏิบัติ
เราทำวิปัสสนาได้ ถึงจะเรียกว่ามีปัญญา
อย่างทำสมถะได้เท่านั้น ไม่เรียกว่ามีปัญญาหรอก
สมถะมีมาก่อนพระพุทธเจ้าอีก
.
ทำยังไง เราจะสามารถมีสมาธิที่ดี
มีสัมมาสมาธิซึ่งมี ๒ ชนิด
ชนิดหนึ่งสงบ(อารัมมณูปนิชฌาน)
ชนิดหนึ่งตั้งมั่น(ลักขณูปนิชฌาน)
สงบนั้นเอาไว้พักผ่อนให้มีแรงเหมือนชาร์จแบต
พอชาร์จแบตแล้วมีแรงแล้วเนี่ย
ก็มาฝึกสมาธิให้จิตตั้งมั่น
เป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานขึ้นมา
เป็นจิตที่เป็นมหากุศลจิตประกอบด้วยปัญญา
เรียกญาณสัมปยุต เกิดเองโดยไม่ต้องชวนให้เกิด
ต้องเกิดเองด้วย
ฝึกจนกระทั่งจิตที่เป็นกุศลดวงเนี้ยเกิดขึ้นเอง
ถ้ายังต้องโน้มนำให้เกิดนะ
(ยัง)เกลี้ยกล่อมให้เกิดอยู่ เป็นกุศลที่มีกำลังอ่อน
งั้นจิตที่เราจะใช้สำหรับทำวิปัสสนาแท้ๆเลยนะ
ที่ได้ผลจริงๆ มีอยู่ ๒ ดวงเอง
.
จิตที่เป็นกุศลมีทั้งหมด ๘ ดวง
ไม่ประกอบด้วยปัญญาเนี่ย ๔ ดวง
เหลืออยู่ ๔ ดวงที่มีปัญญา
ใน ๔ ดวงเนี้ย
๒ ดวงเกิดขึ้นอัตโนมัติ
อีก ๒ ดวง ต้องเร้าให้เกิด
จิตที่ต้องถูกเร่งเร้าให้เกิดกุศลเนี่ย
เป็นกุศลที่มีกำลังอ่อน
มันเหมือนอย่างเราอยู่ๆ
เราอยากใส่บาตรอย่างนี้
ไม่ต้องมีใครชวนนะ
อย่างเนี้ยกุศลอย่างนี้แรง
ถ้าพ่อแม่เราเรียก เฮ้ย ไปใส่บาตรได้แล้ว
ขี้เกียจ บิดไปบิดมา อย่างนี้นะ
เฮ้อ ไปก็ไป..อย่างเนี้ยได้บุญเล็กน้อย
เป็นกุศลเล็กน้อย..อ่อน
กุศลที่เกิดอัตโนมัติ
ด้วยความเคยชินที่จะมีกุศลนะ
กุศลอย่างนี้มีกำลัง
นี้ทำไมเหลือ ๒ ดวง ?
กุศลที่ประกอบด้วยปัญญา
แล้วก็เกิดอัตโนมัติเนี่ยมีอยู่ ๒ ดวง
คือดวงหนึ่งมีความสุข โสมนัสเวทนา
อีกดวงหนึ่งเป็นอุเบกขา เฉยๆ
เพราะฉะนั้น จิตที่เวลาจิตผู้รู้มันเกิดขึ้นนะ
บางทีก็มีความสุขผุดขึ้นมาเลยอัตโนมัติ
บางทีเฉยๆ
หัดใหม่ๆนะ ความสุขจะผุดอุตลุดเลย
ผุดๆๆ ขึ้นมาเรื่อยๆ
พอชำนิชำนาญแล้วเนี่ย
ความสุขยังเป็นเครื่องเสียดแทงจิต
สู้อุเบกขาไม่ได้หรอก อุเบกขาสูงกว่า
สุดท้ายจิตเราจะเป็นกลางนะ
ไม่ไปหลงเพลิดเพลินในความสุขของสมาธิ
ตั้งมั่น เป็นผู้รู้ผู้ดู เห็นรูป-เห็นนาม ทำงานไป
ตรงนั้นเรียกว่า"การเจริญปัญญา"
.
ยากที่สุดของการปฏิบัติ ก็คือ
การฝึกจิตให้มีคุณภาพสำหรับการเจริญปัญญา
เมื่อจิตมีคุณภาพที่จะเจริญปัญญาแล้ว
ไม่ยากเลยที่จะเกิดปัญญา ไม่ยากเลย
ง่ายที่สุด ที่หลวงพ่อพูดเรื่อยๆ ง่าย! ง่าย! ง่าย!
มันคือง่ายในขั้นของการเจริญปัญญานะ
ถ้าเจริญปัญญาเป็นนะ มันง่ายที่สุดเลย
ไม่ต้องทำอะไรหรอก จิตมันทำของมันเอง
จิตมันไปเรียนรู้ความจริง
ของรูป-ของนาม ของกาย-ของใจ
เห็นไตรลักษณ์ของมันเอง
แต่ก่อนที่จิตจะมีคุณภาพไปทำงานอย่างนี้ได้นะ
ยากไม่ใช่เล่นเหมือนกัน
แต่ก่อนหลวงพ่อก็ว่าง่ายนะ
เพราะหลวงพ่อฝึกสมาธิมาตั้งแต่เด็ก
แล้วรู้สึกว่ามันง่ายจะตายไปภาวนา
นี้พอมาดูตัวอย่างจากพวกเราเนี่ย
ทำไมมันยากนักวะ (เพราะ)สมาธิมันไม่มี
สมาธิมันไม่พอ
ต้องฝึก
แล้วต้องฝึกสัมมาสมาธินะ
ฝึกมิจฉาสมาธิใช้ไม่ได้
สมาธิอะไรที่ลืมเนื้อลืมตัวขาดสติ
อันนั้นเป็นมิจฉาสมาธิทั้งหมดเลย
อย่างนั่งไปแล้วเคลิ้มไป
ต้องฝึก
วิธีฝึกนะ บอกวิธีแล้วนะ
ทีแรกบอกว่าเราจะฝึกสมาธิที่ดี
สมาธิที่ดีมี ๒ อย่าง
อันหนึ่งเอาไว้พักผ่อน
จิตสงบอยู่ในอารมณ์อันเดียว
เรียกว่า"อารัมมณูปนิชฌาน"
อีกชนิดหนึ่ง
เป็นสมาธิที่จิตตั้งมั่นเป็นคนดู
แล้วเห็นรูปธรรม-นามธรรม
เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงให้ดู
เห็นไตรลักษณ์
อย่างนี้เรียกว่า"ลักขณูปนิชฌาน"
งั้นสมาธิที่เราจะฝึกกันมี ๒ ชนิด
_/|\_ _/|\_ _/|\_
พระธรรมเทศนา #หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
#วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี
แสดงธรรม ณ วัดสวนสันติธรรม
30 ธันวาคม 2561
CD แผ่นที่ 79 File:611230A
พระธรรมเทศนาระหว่างนาที 0:00--11:57
ดาวน์โหลดไฟล์เสียงธรรมะได้ที่
.....
กราบคุณพระรัตนตรัยด้วยความเคารพอย่างสูง
กราบพ่อแม่ครูอาจารย์ด้วยความเคารพอย่างสูง