ของพม่าก็มี #มหาสียาดอ .. คนนี้ทีแรกก็เป็นชาวนา .. ทีแรกไม่สนใจพุทธ
อะไรยังไม่ถึงเวลา มันก็ไม่เป็นหรอก สนใจไปวัดไปวาก็ไม่ไป
พอถึงเวลา วันหนึ่งคุยกัยเมียว่า ลองไปดูสักทีจะเป็นอย่างไร ก็ไปฟังเทศน์ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องสติปัฏฐาน ..
อันเดียวพอเลย กลับมาบ้าน ก็พิจารณาแต่ #สติตัวกระทบผัสสะ
กระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เดี๋ยวนี้ .. ดูตัวนั้น
ได้ยินเดี๋ยวนี้ เห็นเดี๋ยวนี้ รู้เดี๋ยวนี้ กระทบ ...
ตัวกระทบ สำคัญมาก .. เหลือบเห็น กระทบตา อยากแล้ว .. ได้ยิน .. กระทบ ดูตัวนี้
ธรรมชาติของตัวกระทบ"รู้" กระทบ . รู้ , สติ ดูตัว เกิด ดับ
สำเร็จเป็นโสดาบันตั้งแต่เป็นชาวนา ก็เลยบวชภาวนาไปเรื่อย ๆ
..
หลวงปู่บุญฤทธิ์ บัณฑิโต
พุทธธรรมกฎแห่งกรรม วันที่ 8 ธันวาคม 2562
ตอนที่ 128 **การทรงพลังจิต**
ในเช้าของวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2562 ณ ถ้ำพญานาคราช จ.พังงา
ข้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้า ต่อองค์พระพุทธบิดา
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น
จึงได้นอบน้อมเฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า..
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
เราจะมีวิธี ฝึกฝนจิตของเราอย่างไรดี เพื่อให้จิตของเราตั้งมั่น ทรงพลังอยู่ในจิต
ไม่ส่งจิตออกไปที่อื่น
และจะมีวิธีทำอย่างไรให้จิตของเราทรงพลังฌาน เช่นนั้น ได้อยู่ตลอดไปหละเจ้าคะ
เพราะว่าลูกรู้สึกว่า บางทีจิตมีพลัง บางทีเหมือนจะไม่มีพลัง
บางที ก็จะโดนคลื่นกระแส สภาวธรรมต่างๆกระทบ จนหาจิตก็ยังไม่เจอเลย
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตา แสดงธรรมถึงเรื่องของจิต ด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า ฯ
พระพุทธองค์ : ดีแล้วหละ พระยาธรรมเอย
ถ้าอย่างนั้น ลูกก็จงตั้งใจ พิจารณาตาม เสียงที่ได้ยินได้ฟัง
ด้วยการลองฝึก ฝึกตามเสียงนี้ พิจารณาตามเสียงนี้ดู นะลูก
ลูกก็ลอง ***หายใจเข้า หายใจออก ผ่อนคลายร่างกาย และจิตใจ***
*ปล่อยใจ*ของลูกนั้น ให้มัน ว่างๆ เบาๆ
*ปล่อยกาย* ให้ ว่างๆ เบาๆ
*คลายความ ยึดติด กังวล* ทั้งร่างกาย ทั้งจิตใจ
เหลือเพียงแค่*ความรู้สึก* และความรู้สึกนั้น ก็ให้เป็น*ความรู้สึกที่ เฉยๆ เบาๆ*
ไม่ตึงเกินไป จนมันเกิดสภาวะของการเกร็ง ในความเฉยๆ เบาๆ นั้น
ไม่หย่อนเกินไป จน"ตั้งมั่นไม่ได้" เกิดความฟุ้งซ่านต่างๆ ไปในทิศทางต่างๆ
*หา*ความว่างๆ เบาๆ สบายๆ ให้เจอ
*ทำความรู้สึก*ของตน ให้มันเป็นกลางๆ
ให้ไม่ฝืนต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นฝั่งของความตั้งใจ จนตึงไป หรือตั้งใจจนแรงไป
ให้เป็นเพียงแค่ *สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น*
*นิ่งเฉย* เฉยอย่างเบาๆ แล้วก็*จับอารมณ์ ความนิ่งๆเฉยๆ เบาๆนั้นเอาไว้*
จับ ก็ให้ *สักแต่ว่าจับ* อย่าไปทำจริงจัง จนตึงไป
จน***ทำลายคลื่นสภาวะความเบา*** นั้น
มีเสียงอะไร มีสิ่งใด กระทบเข้ามา
ก็อย่าไปผลักดันมัน ไม่ต้องจัดการมัน ปิดกั้นมันแรงไป
* เห็นเป็นธรรมดา* แต่*ไม่น้อมเอาเข้ามา*
ดูความเบา ดูความว่าง ดูความสบายๆนั้นไป
ทำเช่นนี้ ทรงสภาวจิต เช่นนี้
ดูจิต.. *จิต* อยู่ที่เบาๆ...อยู่ที่ ว่างๆ
ดู สักแต่ว่า ดู... แล้วก็ ดูเบาๆ
รักษามันไว้อย่างนิ่ง ๆ ดูไปเรื่อยๆ ทำได้ทั้งหลับตา ลืมตา
ให้เฝ้าดู *ความเบา ความว่าง* นั้น ให้มันเห็น *แสงสว่าง*
โดยเกิดขึ้นจากตัวของมันเอง และเราก็ยังคงดู ความเบาๆ นั้นไปเรื่อยๆ ดูไปๆ...
จนเห็นแสงสว่างที่เกิดขึ้นมา เกิดขึ้นอยู่ในศูนย์กลางกาย
เราก็ยังคงดูแสงสว่างนั้นไปอย่างเบาๆ
เราก็*ตามดู ตามรู้ ตามเห็น ความเบา ว่าง ที่เกิดขึ้น *อย่างเบาๆ*
ไม่แตะมันแรง จนเราเข้าไปสู่*สภาวะของจิต เบา สว่าง ว่าง*
เราก็ยังคง ทรงสภาวะอารมณ์เบาๆ นั้น
แล้ว*พลังงานของจิต*ที่เกิดขึ้น ก็จะพาให้ลูกค่อยๆ*เคลื่อนเข้าไปสู่ภายใน*
ของ*คลื่นกระแสจิตที่ทรงพลัง* มากขึ้นเรื่อยๆ
ความรู้สึกจะ ลึกขึ้นๆ ละเอียดขึ้นๆ โดยไม่ต้องเร่งรีบอะไร
เราแค่ดูมันไปตามสภาวะ ความเป็นธรรมชาติ เป็นขั้น เป็นตอน
ดูเบาๆ ดูเฉยๆ ดูแบบไม่ตึงไป ไม่ตั้งใจแรงเกินไป และก็ไม่หย่อนเกินไป
ตามดู ตามรู้ เช่นนี้ ไปเรื่อยๆ
จิตของเรา ก็จะมีสภาวะความเป็นธรรมชาติในตัวของมันเอง
จะพา"ความรู้สึก ลึกเข้าเรื่อยๆ" และทรงสภาวธรรมของจิตตามระดับ
ตามขั้นตอน ของการทรงอยู่ในฌาน ..
ทีนี้ ลูกก็เห็นจิตชัดเจนแล้ว *การกังวลในสิ่งภายนอกต่างๆ*
มันก็ค่อยๆแยกทางออกจากลูกไป
ลูกค่อยๆ แยก*จิต*ออกจาก*สภาวะภายนอก* แยกเป็นสัดเป็นส่วน
สิ่งมันเคยเจือปนกันมานาน คลุกเข้าหากันจนแบ่งแยกไม่ได้
บัดนี้ เราได้ค่อยๆแยก ด้วยการ..ดูความเบา..ความว่าง ดูเบาๆ แตะเบาๆ
เคลื่อน"จิต" แยกออกจาก"สิ่งภายนอก"ได้แล้ว อย่างเด็ดขาด ชัดเจน
*สิ่งภายนอก*แยกออก ลอกออก เหมือนเปลือกไข่
*สิ่งภายใน สภาวธรรมของ*จิต* ขาวสะอาด เหมือนไข่ขาวภายใน*
เรานี้ ก็รักษาไข่ขาวภายใน รักษาอย่างเบาๆ ตามความเป็นธรรมชาติของไข่ลูกนั้น
*ดู สักแต่ว่า ดู...สักแต่ว่า รู้*
ดูไปๆ.. เกิดแสงมากแล้ว ค่อยๆน้อมเอาพลังพุทธบารมีเติมลงมา อย่างเบาๆ
ให้จิตนั้น *ตามสภาวะธรรมชาติที่มันเป็นอยู่
*ลอย*..อยู่ในโลกแห่ง..*ความเบาสบาย*
*ปราศจากสิ่งภายนอก*ทั้งหลาย
เปรียบเสมือนเรา ค่อยๆ กะเทาะเปลือกไข่ กะเทาะเบา ๆ
ไม่ให้เปลือกไข่เข้ามาทิ่ม ความเบา ว่าง สบาย
แล้วก็ ค่อยๆ แกะด้วยความเบาๆ จนเปลือกไข่กับไข่หลุดออกจากกัน
เราก็ตามภายในของลูกไข่ ที่สีขาว ตามไปอย่างเบาๆ
ส่วนเปลือกก็ถูกลอกทิ้งไป ไม่สนใจใยดีอีกต่อไป
*ทรงสภาวะของจิตไว้ ในความสว่าง ตั้งมั่น*
เช่นนั้นหละ พระยาธรรมเอย
ธรรมชาติของจิตนั้น เขาคือ*ความเฉยๆ...เขาคือ ความว่างๆ..เบาๆ..สบายๆ*
เพียงแต่ว่า เรานั้นหาเขาไม่เจอ เราก็เลยตั้งใจแรงไปหน่อย
ตั้งใจแรงไปหน่อย ก็เลยทำให้ตึงไป
ตั้งใจเบาไปหน่อย ก็เลยถูกกิเลสตัณหาเข้าครอบงำ
สภาวะความเบาๆ จึงไม่เกิดขึ้นกับตัวของเรา
เช่นนี้หละลูก *วางใจให้มันเป็นกลางๆ*
ไม่เลือกข้างใดข้างหนึ่ง จนเกิด*สภาวะของความตึง หย่อน*
จับเอาสภาวธรรมของความเป็นกลางๆ ความเบาๆ ว่างๆ
*เฝ้าดูความความว่าง*นั้น อย่างเบาๆ
ตามดู ตามรู้ ตามเห็น เขาไปเช่นนี้ ก็จะเป็นการทรงพลังที่ถูกต้อง
*เป็นการทรงจิตที่เกิดพลัง*ได้โดยง่าย ได้บ่อยๆ
จิตที่ทรงพลัง ชาร์จพลัง จนเบาสว่างไสวเช่นนี้
ก็ย่อมสามารถรวมพลังเป็น*จิตอันรู้ตื่น*
*จิตที่รู้ตื่น*แล้ว ย่อมเห็นทุกสรรพสิ่ง *ตามเหตุ*ของมัน
*เห็นได้อย่างถูกต้อง*ตั้งแต่ต้น* ที่มัน*ก่อเกิดเหตุ*นั้น
*ท่ามกลาง*ที่มัน*ตั้งอยู่ *
*บั้นปลาย*ที่มัน*ดับไป*
เราจะมองเห็นสภาวธรรม ของทุกสรรพสิ่ง ตามความเป็นจริงของมัน
เมื่อเรารู้ ว่า*เหตุ*ของมัน*เกิด*จากสิ่งนี้ *ผล*ทำให้ตั้งอยู่ เช่นนี้
*เหตุ*ของมัน*จะดับ*ไปเช่นนั้น *ผล*ของมัน*ก็จะสิ้นสุด*ไปด้วย
เราก็จะไม่ไปกังวล เร่าร้อน สนใจ *จิตเราก็จะตั้งมั่น* และ*เข้มแข็งในความดี*
จิตของเรา ยิ่งทรงพลังได้มากเท่าไหร่ ความรู้ตื่น รู้แจ้ง ยิ่งจะชัดเจนแก่เรา มากเท่านั้น
พระยาธรรมเอย... บุคคลผู้มีดวงตา ไว้ให้มองเห็นสิ่งนั้น สิ่งนี้ ถือว่าเป็นบุคคลผู้โชคดี
เพราะว่า สามารถมองเห็น สามารถดำรงชีวิตได้อย่างสะดวก
บุคคลที่ตาบอด ย่อมยากลำบากกับการดำรงชีวิตในแต่ละวัน
แต่บุคคลผู้ที่ มี ดวงตาภายใน คือ *จิต*อันบริสุทธิ์ สว่างเจิดจ้า
รู้ตื่นจากภายใน สู่ภายนอก
ย่อมเป็นผู้ที่พ้นจากความทุกข์ยากลำบาก ได้มากยิ่งกว่าบุคคลผู้ตาบอดนั้น
อย่างเทียบไม่ได้เลย ว่ามากเท่าไร ย่อมเป็นผู้ถึงสุข และไม่ทุกข์อีก
บุคคลผู้มีดวงตาภายนอกสว่างดี มองเห็นทุกสรรพสิ่งได้เป็นอย่างดี
แต่ก็ยัง*มีความทุกข์ และความมืดบอด*อยู่ในใจ จึง*ยังไม่ถือว่าดี*
และความสว่างที่มีอยู่นั้น ยังไม่สามารถที่จะเทียบเท่ากับ
*ความสว่างที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ*เลย ...ลูกเอ๋ย
ยังเป็นคนที่เหมือนตาบอดอยู่ เพราะยังมืดมิด เศร้าหมอง มัวหมอง
ไม่รู้หนทางไปแห่งชีวิต
ฉะนั้น พระยาธรรมเอย... คนเราจึงควรที่จะเปิดตา ที่เป็น*ตาภายในใจ*ของเรา
คือ การฝึกจิตให้สว่างไสว เช่นนี้ *รู้แจ้ง เห็นตามความเป็นจริง* เช่นนี้
ลูกก็จะมีดวงตา ที่สว่างจากข้างใน สู่ข้างนอก
ชีวิตของลูก จะไม่เจอความมืดมิด มืดบอดอะไร
ดวงจิตของลูกสว่างไสว ด้วยการทรงฌาน และฝึกฝน รู้ตื่น รู้แจ้งในสภาวะต่างๆ
ได้เป็นอย่างดี ย่อมถือว่า เป็นเรื่องที่ดี
ฉะนั้น พระยาธรรมเอย... การที่จะฝึกจิตให้มีพลัง ก็ควรที่จะฝึกเช่นนี้
การที่จะฝึกให้จิตของเรา ทรงสภาวะของความว่าง โล่ง โปร่ง เบาสบาย
ให้จิตอยู่กับตน ก็ควรที่จะทำ เช่นนี้
และหากว่าเรา ทรงสภาวะเช่นนี้ได้
เราก็เห็น*สุข*ที่เกิดขึ้นจากภายใน เห็นทุกสิ่งภายนอกเป็น*ทุกข์*ทั้งหมด
เราก็จะ"ไม่อยากไปยุ่งกับใคร".."ไม่อยากไปยุ่งกับอารมณ์ภายนอก" เรื่องใดเลย
จิตเรา ก็จะ*อยู่กับตนเองได้* จิตเรานั้น ก็จะไม่ฟุ้งซ่าน สาดส่ายไปหาผู้อื่น
เรื่องอื่นๆ ภายนอก แม้แต่อารมณ์ภายนอก ของตัวเราเอง เราก็จะไม่ยุ่งกับเขาเลย
จิตเราย่อม*ตั้งมั่นได้* ย่อม*เป็นสุขได้* ย่อม*ทรงพลังได้*
และก็ *จงฝึกทำ ทั้งหลับตาและลืมตา และก็จงฝึกทำ ในทุกอิริยาบถ*
ฝึกทำอยู่บ่อยๆ จิตเมื่อรวมพลังได้มากขึ้นๆ จิตดวงนั้น ก็จะยิ่งเข้าสู่สภาวะภายใน
*อยู่กับตน ดูจิตตน ดูอย่างรู้ตื่น*ได้โดยง่ายดาย และรวดเร็วขึ้น
จนกว่าจิตของเราจะ*ทรงสภาวธรรม การรู้ตื่น อย่างเที่ยงแท้*
นั่นหละ พระยาธรรม... ถือเป็นใช้ได้
ลูกเอ๋ย... สภาวธรรมแห่งจักรวาล วัฏสงสาร มีสิ่งขับเคลื่อนไม่เที่ยงแท้แน่นอน
แปรเปลี่ยนไปอยู่เสมอ..ดวงจิตที่"เคลิ้ม"ตาม *จึงมีสุข มีทุกข์ จรมา*
หาความเที่ยงแท้ แน่วแน่ แห่งความสุขไม่เจอ
แต่ดวงจิตที่ได้รับการฝึกฝนไว้เป็นอย่างดีแล้ว*หาความเที่ยงแท้แน่นอนในจิต*เจอแล้ว
ย่อม *ไม่เคลิ้มตาม วิ่งตาม สิ่งภายนอก* ทั้งหลาย
ฉะนั้น ลูกเอ๋ย... จงพยายามตั้งมั่นฝึกฝน เช่นนี้หละลูก
*จิตของลูกจะทรงอารมณ์ อยู่เหนือกิเลสตัณหา*ทั้งหลาย คลื่นสภาวะใด
จะกระทบเข้ามารุนแรงเพียงใด ก็ไม่สามารถกระทบเข้ามา สู่จิตของลูกได้
ลูกก็จะกลายเป็น ผู้ทรงอารมณ์ *ทรงอารมณ์แห่งการรู้ตื่น รู้แจ้งโลก*
ลูกก็จะเป็น ผู้ที่*เปิดดวงตาภายใน*ของลูกได้แล้ว
ลูกก็จะ*อยู่เหนือสภาวธรรมทั้งหมด*
ฉะนั้น พระยาธรรมเอย... ตั้งใจฝึกฝน ประพฤติปฏิบัติกัน เช่นนี้หละลูก
ดีแล้วหละ พระยาธรรม... ถือว่าลูกทั้งหลายนั้น ได้พากัน
เปิด*ดวงตาภายในจิตใจ..ของตน* จนสำเร็จ
บัดนี้ ก็จงพากัน รักษาดวงตาภายในของลูก ให้สว่างไสว ให้*เป็นดวงตาแห่งธรรม*
ที่นำพาลูกทั้งหลาย ประพฤติปฏิบัติ ฝึกฝนให้รู้แจ้งตามความเป็นจริง
เส้นทางแห่งการปฏิบัติ เป็นสิ่งที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อน
แต่หากว่าลูกนั้น มี*ดวงตาภายใน*ที่เกิดขึ้นแล้ว ลูกก็ย่อมเข้าใจได้โดยง่ายดาย
ในทุกคำสอน ทุกสรรพสิ่ง
ดวงตาสว่างมากเพียงใด ลูกก็จะมองเห็นโลกใบนี้ทั้งโลก จักรวาลนี้ทั้งจักรวาล
วัฏสงสารนี้ทั้งหมด อย่างชัดเจน เหมือนอยู่ในกำมือ
ลูกจะไม่มีความลังเลสงสัยใด เกิดขึ้นอีก
ดวงจิตของลูก ย่อมบรรลุถึงนิพพาน
*จิตย่อมเที่ยงแท้* ทรงอยู่ในพลังแห่งความสุขได้ ในที่สุด
เช่นนี้หละ... พระยาธรรมเอ๋ย
ดวงจิตของลูก สามารถที่จะพากันฝึกฝน จนเปิดดวงตาภายในได้กันแล้ว
และเห็นเส้นทางอันบริสุทธิ์ ที่จะฉุดช่วยดวงจิตทั้งหลายให้พ้นทุกข์แล้ว
*ดวงตาเห็นธรรม* ก็คือ เช่นนี้หละลูก..
สิ่งที่อธิษฐานกันมาโดยตลอด ไม่ว่าสร้างกุศลความดีใดก็ตาม
อธิษฐานขอให้ดวงตาเห็นธรรม
เมื่อเห็นดวงตาภายใน เห็นจิตตนเอง ดูจิตตนเอง
เห็นความสว่าง ความเบา สบาย ในจิตของตน
เข้าสู่สภาวะภายใน ระดับที่ลึกและละเอียด ลูกก็จะมีจิตที่สว่าง
*แบ่งแยกภายนอก กับภายในได้ อย่างชัดเจน..*
ง่ายต่อการประพฤติปฏิบัติ ฝึกฝนตามนี้หละ พระยาธรรม...
และเป็นสิ่งที่ง่าย ใครก็ทำได้ ถ้าตั้งใจที่จะทำ จะศึกษาเรียนรู้ ลูกก็จงตั้งใจทำให้สำเร็จ
เมื่อสำเร็จแล้ว.. ก็จงนำเอาวิธีนี้ ไปเผยแผ่ต่อ เพื่อฉุดช่วยมวลมนุษย์
และสรรพสัตว์ทั้งหลาย ให้พ้นทุกข์ รอดพ้นจากภัยแห่งวัฏสงสารนี้
ลูกจง *ปลุกจิตให้รู้ตื่น* ด้วยการ *เฝ้าดูจิต อย่างเบา ๆ*
ให้จิตนั้นสว่างไสว รู้ตื่น รู้แจ้งโลก เช่นนี้เถิด พระยาธรรม...
พอจะเข้าใจ และทำได้หรือเปล่าเล่า จงกล่าวธรรมนั้นมาเถิด.. พระยาธรรมเอย
พระยาธรรม : สาธุเจ้าค่ะ ลูกพอจะเข้าใจแล้ว พระพุทธเจ้าข้า ฯ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงนำทางดวงจิตของลูก ให้รู้ตื่น
เห็นแจ้งในสภาวะภายใน และภายนอก เข้าไปสู่*สภาวะภายในของดวงจิตได้*
แบ่งแยกถูก ว่าสิ่งใดคือภายนอก สิ่งใดคือภายใน
ลูกจะตั้งใจน้อมประพฤติปฏิบัติตาม พระพุทธเจ้าข้า ฯ
วันนี้ ลูกกราบขอลาก่อนนะเจ้าคะ เอาไว้ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่ พระพุทธเจ้าข้า ฯ
สาธุ....
เมื่อมี*จิตตั้งมั่น*แล้ว
ไม่ใช่ว่า.. *ไม่มีความคิด*
เพียงแต่*ไม่เข้าไปเป็น*
*ตั้งมั่นอยู่กับรู้* การรู้ นี้...
เป็นการรู้ที่*พร้อมรู้*
*รู้สิ่งที่เกิดขึ้นตามจริง*
รู้ว่า*ความคิด*นั้นเป็นแค่*ความปรุงแต่ง*
เอาไว้ใช้...ไม่ได้...เอาไว้สำคัญมั่นหมาย
ไม่ถูกความคิดปรุงแต่ง*ครอบงำ*
จิตตั้งมั่นนั้น จะเห็นว่า สิ่งต่างๆ นั้น
*ต่างคนต่างอยู่*...* ต่างทำหน้าที่ของมัน*
ความคิดก็ทำหน้าที่คิด
ความจำก็ทำหน้าที่จำ
ความรู้สึก ก็ทำหน้าที่รู้สึก
ไม่ใช่ว่า*จิตตั้งมั่นแล้วจะสงบเงียบ
ว่างเปล่า...ไม่มีอะไร*
...............
ตาเห็นรูป ให้รู้สึกตัว
หูได้ยินเสียง ให้รู้สึกตัว
จมูกได้กลิ่น ให้รู้สึกตัว
ลิ้นลิ้มรส ให้รู้สึกตัว
กายสัมผัส ให้รู้สึกตัว
จิตคิดนึก ให้รู้สึกตัว
ความรู้สึกตัวที่เราพยายามฝึกนี้
ก็เพื่อให้จิตไม่ถลำเข้าไปเป็น
ในสิ่งนั้นๆ ที่มากระทบ เมื่อไม่ถลำ
จิตย่อมตั้งมั่น เมื่อ*จิตตั้งมั่น*
ย่อมสามารถที่จะรู้เห็นตามจริง
เพื่อการเพิกถอนความสำคัญผิด
ว่า*นั่นเรา*...*นั่นของเรา*
.............................
ในวิถีทางแห่งการภาวนา
เมื่อเราได้เลือกเดินทางสายนี้แล้ว
ย่อมมีอุปสรรคมากมาย
ที่เราไม่เคยพบ เกิดขึ้นมา
อย่างสม่ำเสมอ เป็นสิ่งที่บังคับไม่ได้
ถ้าเรามุ่งตรงสู่ทางนี้แล้ว
วิถีแห่งการข้ามล่วงนั้น
มันไม่ได้ซับซ้อนอันใด
ขอเพียง*รู้สึกตัว*เป็น
รู้สึกตัว*ออกมาจากความคิด...ความหลง...ในอารมณ์ทั้งหลาย*
เมื่อ*ไม่เข้าไปเป็น* จึงไม่เป็นในอุปสรรคใดๆ
เป็นเพียงรู้
รู้สึกตัวอยู่กับปัจจุบันเท่านั้นเอง ไม่ซับซ้อนอะไรเลย
พระเจษฎา คุตฺตจิตฺโต
เอา*สติ*มากํากับ*ใจ*
เมื่อ*มีสติ*...*จะรู้ทันใจ*..*ไม่เข้าไปยึด* ทําให้*ไม่ทุกข์*
ดังนั้น ใช้*สติมาควบคุมใจ* ควบคุมโดย *รู้ทันใจ*
พอรู้ทัน จะ*ไม่ไหลไปกับความคิด* จะเริ่ม*เห็นความจริงของโลก*
*การเห็นความจริง* นี้ คือ *การรู้..ในวิชชา* จะไป *ละ..อวิชชาไปจากใจ*
*รู้* นี้ เป็นปัญญาหรือวิปัสสนาญาณ หรือปัญญาญาณ แล้วแต่จะเรียก
แล้วตัวปัญญาที่เกิดนี้ จะเป็นตัวไปช่วยกํากับให้ใจเรา *ยิ่งรู้เห็นความจริง*
ใจเราก็จะ*ยิ่งละ...เป็นอิสระ*
Trader Hunter พบธรรม
อย่ายินดีเมื่อระลึกถึงสิ่งรักชอบ.อย่ายินร้ายเมื่อระลึกถึงสิ่งที่เกลียดชังแค่สติทำหน้าที่ของมันแต่ให้มีปัญญาเห็นความไม่เที่ยงของสติ
.....................
สติระลึกถึงก่อนคือจิตก่อนคิด.พอคิดจบ.สติมาอีกคือจิตหลังคิด.นิพพานคือจิตก่อนคิดและจิตหลังจากคิดจบ.. คือสติความรู้สึกตัวนั่นเอง
จิตตไพศาล จิตตไพศาโล
อะไรเป็นสิ่งที่ควรทำสติ?
ก็คือ สิ่งที่ทำสติในสิ่งนั้นแล้ว
จะละลายเสียซึ่งความมีตัวตนหรือของตน
ที่เรียกกันอย่างภาษาธรรมดาว่า ตัวกู-ของกู
เราทำสติในสิ่งใดแล้ว เป็นการละลายตัวกู-ของกู
นั่นแหละความมุ่งหมายของการทำสติ
หรือเรียกว่าสมถวิปัสสนาแห่งยุคปรมาณู
_________________________
พุทธทาสภิกขุ
พุทธธรรมกฎแห่งกรรม วันที่ 10 ธันวาคม 2562
ตอนที่ 130 **ถ้าไม่เข้าใจก็มีสิทธิ์หลง**
ในเช้าของวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2562 ณ ถ้ำพญานาคราช จ.พังงา
ข้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัม
พุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้นอบน้อมเฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า..
พระยาธรรม : ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา
การที่เรานั้น พิจารณา *เห็นดวงจิตภายใน และเห็นสิ่งรบกวนภายใน*
คือ ความมุ่งมั่นตั้งใจที่แรงไป หรืออ่อนไป หย่อนไป.. จนคลื่นแห่งความฟุ้งซ่านต่างๆ
เข้ามาทำลายดวงจิตอันสว่างไสวภายในของเรา ทำให้เราทรงสมาธิภายในไม่ได้
นั่นคือ การที่เราฝึกฝนและทำสมาธิ เมื่อเรา *ทรงจิตภายในให้สว่างไสว*
แต่พอดีเมื่อวานนี้ ลูกเกิดสภาวะหนึ่ง คือ การทรงสมาธิภายนอก คือการลืมตา
ดำรงชีวิตอยู่ในทุกอิริยาบถ
แต่จิตเรา จะทรงสภาวะของการอุเบกขา วางเฉย กับทุกสิ่งทุกอย่าง อย่างรู้ตื่น
คือ เราก็จะนิ่งเฉย ดูทุกสิ่งเป็นไปตามเหตุ
เกิดขึ้นตามเหตุ ดับไปตามเหตุ และดำเนิน ทุกอย่างไปตามเหตุ
โดยที่*จิตของเราก็ยังคงตั้งมั่น และดูเฉยๆ รู้เฉย ดูเบาๆ รู้เบาๆ ว่างๆ อยู่*เช่นนั้น
นั่นคือ การที่เราทรงสภาวะของสมาธิภายนอก ซึ่งจริงๆแล้วก็เชื่อมต่อมาจากภายใน
นั่นหละเจ้าค่ะ เพียงแต่ว่า วางใจเป็นกลางๆ ในตอนที่เราต้องดำเนินชีวิตอยู่ปรกติ
กับการใช้ชีวิตที่ต้องถูกกระทบ หรือดำเนินไปตามหน้าที่ ตามเหตุ เราก็ต้องวางใจเฉย
และเป็นกลาง
การวางใจเฉยๆ และเป็นกลางนี้ ก็จะเป็นการทรงอารมณ์การรู้ตื่น
*การสักแต่ว่าเห็น การวางเฉย การเบาสบายภายนอก*
ซึ่งมันก็จะรวมกันไป เป็นพลังงานเชื่อมต่อกันและกัน
ทั้งการทำจิตให้เบาจากภายใน การทำจิตให้เบาภายนอก
รวมกันมาๆ ก็จะเป็นจิตที่ทรงสภาวะอย่างรู้ตื่น เช่นนี้..หน่ะเจ้าค่ะ
ลูกเกิดสภาวะเช่นนี้ขึ้นมา ในการประพฤติปฏิบัติบำเพ็ญธรรม
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟัง เพื่อเข้าใจชัดเจนมากขึ้น
เห็นตามสภาวะความเป็นจริงมากขึ้น ชัดเจนขึ้น ด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า.....
พระพุทธองค์ : ดีแล้วหละ พระยาธรรมเอย...
ที่ลูกได้ถามมานั้น เป็นธรรมที่ละเอียด เป็นธรรมที่ทุกคนจะต้องฝึกฝน
ทำความเข้าใจให้ละเอียด เมื่อเข้าใจและจับจุดของมันได้
ก็จะเป็น*ผู้รู้ตื่น รู้แจ้งในธรรมอย่างแท้จริง*
บางคนเผลอไป หลงไป ก็จะไปติดอยู่กับ*อารมณ์ของการทรงฌานอยู่ภายใน*
จนไม่ยอมที่จะคลายจิตออกมาจากการหลับตา จากการทรงฌานนั้น
*ไม่รับสิ่งกระทบ*ต่างๆ เมื่อเจอปัญหาใดกระทบเข้ามา ก็เลยไม่รับ ไม่สนใจ ไม่แก้ไข
ไม่เอาอะไรสักอย่าง มีแต่หาที่ที่สงบ แล้วก็เข้าไปภาวนา
เมื่อถูก*กระทบจากสิ่งภายนอก* ด้วยสิ่งรบกวน เสียงรบกวน คลื่นกระแสต่างๆ
หรือด้วยการดำรงชีวิต ก็จะปฏิเสธทุกอย่าง
เพราะตนนั้น ตั้งใจที่จะภาวนา แบบไม่รับอะไรภายนอกเข้าไปสู่ภายใน
จึงทรงสภาวะจิตเอาไว้ อย่างที่ไม่ต้อนรับใครเข้ามา
เมื่อเจอปัญหา ก็จะรู้สึกว่าอยากจะหนี หนีเข้าฌานไป
แล้วก็ ไม่ได้ใช้ปัญญาตรึกตรอง ที่จะแก้ไข หรือรับกระทบ
หรือ*เห็นทุกอย่างเป็นธรรมดา และแก้ไขไปตามเหตุ อย่างรู้ตื่น*
จึงกลายเป็น*ผู้ที่หลง*ไปอยู่ในสมาธิ หลงเข้าสู่ฌาน หลงคิดว่าดีแล้ว ถูกต้องแล้ว
จึงไม่ยอมที่จะฝึกฝนตน ก้าวขึ้นสู่ *การรู้ตื่น* เรียกว่า *ติดฌาน หลงฌาน* ลูกเอ๋ย
บุคคลกลุ่มนี้ จึง*ไม่ถอดถอนกิเลสจนหมด* กิเลสจึงยังคงฝังรากลึกอยู่
เพียงแต่มีกำลังของฌาน คลุมเอาไว้ ให้เข้าถึงความสงบ จึงถึงแค่ระดับของฌานเท่านั้น
จึง*ไม่ถึงนิพพานอย่างแท้จริง* เพราะ*ไม่ได้ถอดถอนกิเลสออกไป*
หากตายไป ก็จะไปอยู่ใน*นิพพานพรหม* ถ้าเกิดว่าไม่เข้าใจ ก็จะหลงทางเช่นนั้น
และถ้าหากว่าทำความเข้าใจ ตรึกตรองธรรม ที่ลูกได้กล่าวถามมานั้น อย่างละเอียด
จนเข้าใจตาม และปรับสภาวะตาม ก็จะสามารถเข้าใจได้ถูกต้องตามความเป็นจริง
คือ การทรงฌานภายใน เป็นสิ่งที่ดี เพราะ*เป็นกำลัง* กำลังที่จะเสริมให้จิตนั้น
มีพลังมากพอ ที่จะช่วยให้จิตดวงนั้น *รู้ตื่น รู้แจ้ง ตามความเป็นจริง*หากปล่อยให้จิต
ออกมาพิจารณาทุกอย่าง ตามเหตุตามปัจจัย * เห็นเป็นธรรมดาไป *
พระยาธรรมเอย... จึงควรที่จะทรงสภาวะจิต คือ เข้าไปอยู่ภายในจิตของตน
เข้าไป*พิจารณาดูจิตของตน อย่างเบาๆ* จน*ทรงสภาวะสว่างไสวอยู่ภายใน*
แล้วก็จึง*ควรที่จะถอยกลับออกมา* เพื่อที่จะดำรงชีวิตตามเหตุ ตามสภาวะ
ของการถูกกระทบก็ดี แก้ไขปัญหาที่กระทบเข้ามาก็ดี
ดำรงชีวิตปรกติ *ตามเหตุของสิ่งภายนอกไป* โดยไม่ปฏิเสธสิ่งใด
แต่จิตดวงนั้นก็ยังคงฝึกสภาวธรรม คือ สมาธิภายนอก
ด้วยการ ทรงจิตไว้ใน***อารมณ์ที่รู้ตื่น*** *เห็นทุกสรรพสิ่งเป็นธรรมดา*
แตกฉาน เข้าใจในเหตุที่เกิดขึ้น ในเหตุที่ตั้งอยู่ และในเหตุที่ดับไป
อย่างไม่ปฏิเสธเขา *รับกระทบเข้ามา แต่ก็ไม่กระทบ*
เห็นสิ่งต่างๆ ทั้งดีและไม่ดี แต่ก็ไม่เห็นว่าดี หรือไม่ดี *สักแต่ว่าดำเนินไป ๆ ตามเหตุ*
*เจอปัญหา ก็ไม่ได้เห็นว่าเป็นปัญหา เห็นว่าเป็นธรรมดา* เช่นนั้นอย่างนั้น
*เห็นการเกิด การดับ ของสภาวะที่กระทบเข้ามา เป็นธรรมดา*
จิตดวงนั้น จึงสามารถที่จะ*อยู่เหนือกิเลส*ได้อย่างแท้จริง
พระยาธรรมเอย... และการที่ทรงอารมณ์ภายนอก อย่างรู้ตื่น เช่นนี้หละ
ก็จะเป็นการรู้เห็นเท่าทัน เหตุต่างๆทั้งหลาย อย่างรู้ตื่น
*กำลังสมาธิภายใน จะช่วยหนุน กำลังสมาธิภายนอก*
*ให้มองเห็นตามความเป็นจริง* ความเป็นจริงที่มองเห็นอยู่ภายนอก
ก็จะช่วยให้ทรงกำลังสภาวะของสมาธิภายใน ได้*นิ่ง*ขึ้นเรื่อยๆ
ก็จะช่วยกันไป หนุนกันไปอย่างนี้ จนดวงจิตนั้น เข้าถึงสภาวะของ
การรู้ตื่น รู้แจ้ง ในสรรพสิ่ง และ หลุดจาก*การมี*ทั้งหมดทั้งมวล
การรับสภาวะทั้งภายนอก และภายใน สักแต่ว่าอยู่กับสิ่งเหล่านั้นไป อย่างรู้ตื่น
อยู่ไปเพียงเพื่อให้ เหตุทั้งหมดดับลง จบลงเท่านั้น
ดวงจิตก็จะหลุดลอย*อยู่เหนือสภาวะทั้งหลาย เหนือวัฏสงสาร* นี้ไป
พระยาธรรมเอย... การเข้าไป*ทำสมาธิอยู่ภายใน*นั้น ก็ทำเช่นดังที่ได้กล่าวไปแล้ว
คือ การทำจิตของตนให้ทรงอารมณ์*นิ่งเฉย อย่างเบาสบาย*
ให้*มันเบา*อยู่เหนือ*ความอยาก* ความตั้งใจอันแรงกล้า
และให้มันเบาอยู่เหนือ*คลื่นกระแสความรบกวนต่างๆ* ให้เบาๆว่างๆ
*ปล่อยวาง* ทุกสิ่ง ทุกอย่าง จิตทรงพลัง*อย่างรู้ตื่น นิ่งเฉย*
เข้าไปทรงสภาวะเช่นนั้น.. .ลูก
และการทรงสภาวธรรมของสมาธิภายนอก ก็คือ การดำรงชีวิตอยู่อย่างปรกติ
แต่ก็จงอยู่เหนืออารมณ์ของการอยากจะทรงฌาน อยากจะเข้าไปสู่สมาธิให้ได้
อยากจะทำสมาธิให้ได้ ให้อยู่เหนืออารมณ์เหล่านี้
และก็ให้อยู่เหนืออารมณ์แห่งการฟุ้งซ่านต่างๆ หรือปัญหาต่างๆ สิ่งต่างๆ
ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ที่เกิดเป็นรูปธรรม นามธรรม
เรื่องราว สิ่งของ ตัวบุคคล ให้อยู่เหนือสภาวะเหล่านั้นด้วย..
ให้ตัวของเรานั้น ทรงอารมณ์ไว้เป็นกลางๆ เช่นเดียวกัน
ไม่ได้ดิ้นรนอยากจะเข้าฌานอย่างเดียว จนเกิดสภาวะทุกข์ ตึงเครียดจนตนนั้น
เข้าไปหมกมุ่นอยู่แต่กับความอยากเข้าฌาน ๆ
ทีนี้ *ความอยาก*ก็โจมตี ทำให้เข้าไม่ได้ หรือก็ไม่ปฏิเสธสิ่งที่กระทบเข้ามา
ทำไมเรื่องนั้นเป็นอย่างนั้น ทำไมคนนี้ถึงมาทำแบบนี้ สิ่งนั้นถึงเป็นอย่างนั้น
ทำไม ฉันไม่ได้ทำสมาธิสักที จนเกิดการรบกวนจิตใจของตน* เหมือนเลือกข้าง*
อยากจะได้สิ่งนั้น – ไม่อยากได้สิ่งนี้ , รักสิ่งใดสิ่งหนึ่ง- ไม่รักสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
อารมณ์เหล่านี้ ก็จะกลายเป็นสิ่งทำลายความสงบสุขของดวงจิตของเรา
ที่กำลังจะทรงสภาวะ ว่าง รู้ตื่น รู้แจ้ง
ฉะนั้น อารมณ์ของการทำสมาธิภายนอก ก็คือ..
อยู่เหนือ*อารมณ์ของความอยาก* อยากที่จะถึงนิพพาน อยากที่จะทำอารมณ์ให้ได้
อยากที่จะไปทำสมาธิ
อยู่เหนือ*อารมณ์ของความไม่อยาก* ไม่อยากที่จะรับรู้ ไม่อยากที่จะได้ยิน
ไม่อยากที่จะมองเห็น ไม่อยากที่จะแก้ไข หรือ อยู่เหนืออารมณ์อยาก
*อยากและไม่อยาก* ให้มันวางไปทั้งหมด
ให้ดวงจิตของเรา ทรงสภาวะของจิต* ที่เป็นกลางๆ คือ อุเบกขา *
วางเฉย กับทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ให้จิตของเรานั้น ทรงพลังความรู้ตื่น ความว่างโล่ง
เห็น*ทุกสรรพสิ่งเป็นเพียงธรรมดา*เช่นนั้น อย่างนั้นไป
เราก็จะเป็นผู้ที่ * ดูอยู่ รู้อยู่ เห็นอยู่...อย่างรู้ตื่น *
เมื่อทำสมาธิได้ทั้ง 2 รูปแบบนี้
จิตฝึกภายใน อยู่เหนือคลื่นรบกวนภายใน
จิตฝึกภายนอก อยู่เหนือคลื่นรบกวนภายนอก
*อยู่อย่าง รู้ตื่น รู้แจ้ง ตามความเป็นจริง*
ฝึกเช่นนี้หละลูก ดวงจิตของลูก ก็จะสามารถดำเนินไป ๆ
จนถึงซึ่ง*ความรู้ตื่นอย่างแท้จริง*
เช่นนี้หละ... พระยาธรรมเอย ..ลูก ก็เข้าใจสภาวะ ได้ถูกต้องแล้ว
และบุคคลที่เข้าใจสภาวะทั้ง 2 อย่างนี้ และดำเนินไปทั้ง 2 อย่างนี้
ย่อมเป็นผู้ไม่หลงทาง ไม่หลงเข้าไปติดในฌาน ไม่หลงติดอยู่กับสิ่งภายนอก
รู้จักปรับประยุกต์ใช้ทั้ง 2 แบบนี้ เข้าช่วยกัน จนฝึกฝนให้จิตดวงนั้น
เป็นจิตที่รู้ตื่น ขัดเกลากิเลสตัณหาได้อย่างแท้จริง ย่อมถึงนิพพาน
เช่นนี้อย่างนี้หละ พระยาธรรมเอย..พอจะเข้าใจบ้างแล้วหรือยังเล่า
จงกล่าวธรรมนั้นมาเถิด.. พระยาธรรม
พระยาธรรม : สาธุเจ้าค่ะ ลูกพอจะเข้าใจพระพุทธเจ้าข้า ฯ
เข้าใจแล้วว่า.. การทรงสมาธิอยู่ภายในอย่างเดียว ก็เกิดการหลงฌาน
การถอดถอนออกมา ทรงสมาธิอย่างรู้ตื่นภายนอก ก็จะเป็นการถอดถอนกิเลส
*สมาธิ ทำได้ทั้งภายใน และภายนอก* มันจะช่วยกัน
ทำให้จิตของเราไม่รับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง คือ ภายใน หรือภายนอกอย่างเดียว
มันก็จะช่วยกันทำให้จิตของเรารู้ตื่น ถอดถอนกิเลสได้
ทำให้เราสามารถ"ทรงจิตที่รู้ตื่นได้อย่างแท้จริง" คือ พระนิพพาน
ที่เป็นที่ที่หลุดพ้นทุกข์ เป็นที่ที่พระองค์ทรงเสด็จประทับอยู่
พร้อมด้วยองค์พระปัจเจกพุทธเจ้า และองค์พระอรหันต์
เราจะไม่เป็นผู้หลงฌาน ติดฌาน เคร่งเครียดในการที่จะเข้าฌาน
จนปฏิเสธสภาวะภายนอกทั้งหมด กลายเป็นผู้หลงไปอยู่ในความสุขในฌานนั้น
ก็เลยไม่ได้ถอดถอนกิเลส ลูกพอจะเข้าใจเช่นนี้แล้ว พระพุทธเจ้าข้า ฯ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง นะเจ้าคะ...สาธุ
เมื่อมีสมาธิตั้งมั่น
ให้ธาตุรู้ ได้เรียนรู้
กาย - เย็น ร้อน อ่อน แข็ง
เวทนา - สุข ทุกข์ ไม่สุข ไม่ทุกข์(เฉย)
จิต - เศร้าหมอง ผ่องแผ้ว เฉย
ธรรม กุศล อกุศล อัพยากตธรรม
ธรรม 3 (สภาวะ, สิ่ง, ปรากฏการณ์ — states; things; phenomena; idea)
1. กุศลธรรม (ธรรมที่เป็นกุศล, สภาวะที่ฉลาด ดีงาม เอื้อแก่สุขภาพจิต เกื้อกูลแก่ชีวิตจิตใจ ได้แก่กุศลมูล 3 ก็ดี นามขันธ์ 4 ที่สัมปยุตด้วยกุศลมูลนั้นก็ดี กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่มีกุศลมูลเป็นฐาน ก็ดี กล่าวสั้นว่า กุศลในภูมิ 4 — skillful, wholesome, or profitable states; good things)
2. อกุศลธรรม (ธรรมที่เป็นอกุศล, สภาวะที่ตรงข้ามกับกุศล ได้แก่ อกุศลมูล 3 และกิเลสอันมีฐานเดียวกับอกุศลมูลนั้น ก็ดี นามขันธ์ 4 ที่สัมปยุตด้วยอกุศลมูลนั้น ก็ดี กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมที่มีอกุศลมูลเป็นสมุฏฐาน ก็ดี กล่าวสั้นว่าอกุศลจิตตุบาท 12 — unskillful, unwholesome or unprofitable states; bad things)
3. อัพยากตธรรม (ธรรมที่เป็นอัพยากฤต, สภาวะที่เป็นกลางๆ ชี้ขาดลงมิได้ว่าเป็นกุศลหรืออกุศล ได้แก่ นามขันธ์ 4 ที่เป็นวิบากแห่งกุศลและอกุศล เป็นกามาวจรก็ตาม รูปาวจรก็ตาม อรูปาวจรก็ตาม โลกุตตระก็ตาม อย่างหนึ่ง ธรรมทั้งหลายที่เป็นกิริยา มิใช่กุศล มิใช่อกุศล มิใช่วิบากแห่งกรรม อย่างหนึ่ง รูปทั้งปวง อย่างหนึ่ง อสังขตธาตุ คือ นิพพาน อย่างหนึ่ง กล่าวสั้นคือ วิบากในภูมิ 4 กิริยาอัพยากฤต ในภูมิ 3 รูป และนิพพาน — the indeterminate; neither-good-nor-bad thing)