ผู้ถามก็ไม่ควรถาม ผู้ตอบก็ไม่ควรตอบ ผู้กรรมการก็ไม่ควรเป็นกรรมการ เพราะคล้ายๆคนขี้เมาสุราถามและตอบกัน คล้ายๆ กับคนขี้เมาสุรามาเป็นกรรมการอีก จะกลายเป็นสภานกเค้าแมวเพราะมีลูกตาโตเสมอกันแล้ว
และก็จักขุวิญญาณ วิญญาณทางดวงตา โสตวิญญาณ วิญญาณทางหู ฆานวิญญาณ วิญญาณทางจมูก ชิวหาวิญญาณ วิญญาณทางลิ้น กายวิญญาณ วิญญาณทางกาย มโนวิญญาณ วิญญาณทางใจ
วิญญาณทั้งหลาย เป็นเมืองขึ้นของมโนวิญญาณ แล้วโทรเลขด่วน หรือโทรศัพท์ด่วนลงถึงมโนวิญญาณแล้ว ทั้งอดีตที่ล่วงไปแล้วด้วย ทั้งอนาคตที่ยังมาไม่ถึงด้วย ทั้งปัจจุบันที่กำลังเป็นอยู่ซึ่งหน้าด้วย
ถ้าหากว่าไม่รู้เท่าวิญญาณแล้ว ก็เป็นวิญญาณปฏิสนธิตะพึดตะพือ เป็นอนันตรปัจจัย เป็นอนันตรเหตุ เป็นอนันตรผล เป็นอนันตรกิเลส เป็นอนันตรกรรม เป็นอนันตรวิบาก เป็นอนันตรชาติ เป็นอนันตรภพ หรือจะว่าเป็นอนันตรภพ อนันตรชาติก็ได้
#ในห้วงของปัจยาการปฏิจจสมุปบาท
#ที่เกี่ยวข้องกันเป็นสายโซ่
#โลภ #โกรธ #หลง #เป็นสายโซ่หรือไม่ #และต่างกันอย่างไรกับปัจยาการ
#ตอบว่า #เป็นสายโซ่อยู่โดยตรงๆแล้ว
#และไม่ต่างกันกับปัจยาการเลย
มีความหมายอันเดียวกัน
ผู้ที่ไม่รู้เท่าปัจยาการก็มีความหมายอันเดียวกัน ผู้ที่ไม่รู้เท่า โลภ โกรธ หลง ก็มีความหมายอันเดียวกันไม่แปลกเลย
ผู้ไม่รู้เท่าอดีต อนาคต และปัจจุบัน ก็มีความหมายอันเดียวกัน
ผู้ไม่รู้เท่ากองนามรูป ก็มีความหมายอันเดียวกันนั้นแล
ผู้ไม่รู้เท่าไตรลักษณ์ก็มีความหมายอันเดียวกันอีก
คำว่ารู้เท่าในที่นี้ มิได้หมายความว่ารู้ตามสัญญาความจำมา เคยหูก็หัดปากว่าไปเหมือน "แก้วเจ้าขากินข้าวกับกล้วย " เลย...
หมายความว่า
#รู้ตามเป็นจริงแห่งความหลุดพ้นโดยถ่องแท้
เป็นสัมมาวิมุตติ
เป็นสัมมาญาณะ
มิใช่มิจฉาวิมุตติ มิใช่มิจฉาญาณะ
+++++
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
#วิญญาณมีจริงหรือ
ต่อไปมีเรื่องอะไรก็เขียนลงไปก๊อกๆ แก๊กๆ ตามประสาของกายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร เพราะพระนิพพานมิได้มาเขียนมาอ่านด้วย
บางท่านถามว่า วิญญาณมีจริงหรือ ผู้เขียนก็ต้องตอบว่า ผู้ถามเอามโนวิญญาณถาม ผู้ตอบก็เอามโนวิญญาณตอบ ผู้เป็นกรรมการก็เอามโนวิญญาณเป็นกรรมการ
“วิญญาณ” มีสองอย่าง คือ “วิญญาณในขันธ์ห้า” และ “ปฏิสนธิวิญญาณ”
“ปฏิสนธิวิญญาณ” คือ “วิญญาณตัวมาเกิด” เป็นคนทีแร
ส่วน “วิญญาณในขันธ์ห้า” หมายถึง “ความรู้ที่เกิดขึ้นเบื้องต้น” ของ “ผัสสะ” แล้วก็หายไป เช่น ตาเห็นรูป ตัว “ผู้รู้” นั้นเรียกว่า “วิญญาณ”
ต่อจากนั้น ตัว “สัญญา” ก็เข้ามาแทน มา “จำ” ได้ว่าเป็น รูปนั่น รูปนี่ แล้ว “สัญญา” ก็ “ดับไป”
“สังขาร” ก็เข้ามา “ปรุงแต่งคิดนึก” ต่อไป
อัน “ความรู้” ว่าเป็น "รูปทีแรกนั่น" เรียกว่า “วิญญาณขันธ์ ในขันธ์ห้า”
“ธรรมทั้งสี่” อย่างนี้ มันหากทำหน้าที่ของสัตว์ผู้จะเกิดต่างหาก ผู้จะมาเกิดต้องมี "ธรรมสี่อย่าง" นี้สมบูรณ์จึง "จะเกิดได้"
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
"ความจริงของโลก"
พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ว่า ไม่มีตัวไม่มีตน ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นธรรมชาติทั้งหมด
ในโลกนี้มีธรรมชาติอยู่ ๖ ชนิดด้วยกัน เรียกว่าธาตุเดิม คือธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุ และวิญญาณธาตุ มี ๖ ธาตุ ซึ่งมีมาแต่ดั้งเดิมของโลก
เมื่อธาตุ ๔ ผสมกับอากาศธาตุ ผสมกับวิญญาณธาตุ คือธาตุรู้ ก็เกิดเป็นมนุษย์บ้าง เป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง
ถ้าไม่มีวิญญาณธาตุ ก็เป็นพวกต้นไม้ วัตถุข้าวของต่างๆ อันนี้มี ๕ ธาตุ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ กับอากาศธาตุ สิ่งเหล่านี้เมื่อผสมกันเข้ามา แล้วก็แปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป ในที่สุดก็ต้องแตกสลายไป ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็กลับไปสู่ธาตุเดิมของมัน มาจากธาตุ ๖ ก็ต้องกลับไปสู่ธาตุ ๖ ตามเดิม
ส่วนธาตุรู้ หรือวิญญาณธาตุนั้น ถ้าเป็นธาตุรู้ของพระพุทธเจ้า ก็จะเป็น ผู้รู้ คือผู้ไม่หลง
ผู้รู้ คือผู้ปล่อยวางตัวตนนั่นเอง
เมื่อรู้ว่าตัวตนเหล่านี้ เกิดขึ้นมาจากอวิชชา คือ ความหลง อวิชชา จะทำให้หายไปได้ ต้องอาศัยแสงสว่างแห่งธรรมะ ธรรมะนั้นก็คือปัญญา ที่สามารถแยกแยะสิ่งต่างๆได้
สามารถรู้ว่าตัวตนนี้ เกิดจาก"ความคิดปรุง"ของ"จิตใจ" ของวิญญาณธาตุ
ปรุงไปว่ามีตัว มีตน แล้วไปยึดอยู่กับความมีตัว มีตน
เมื่อมีตัว มีตนขึ้นมาแล้ว ก็เกิดมีเรา มีเขา มีเรา
มีเขาก็มีการแก่งแย่งกันขึ้นมา เพราะตัวตน แต่ละคน ก็มีความปรารถนาที่จะให้ตัวตนนั้นมีมากๆ มีความสุขมากๆ ไม่ต้องการความทุกข์ ก็เลยต้องกอบโกยกัน
เมื่อกอบโกยในสิ่งของที่มีอยู่ในจำนวนจำกัด มันก็ต้องมีการแก่งแย่งกัน เมื่อมีการแก่งแย่ง มันก็เกิดความทุกข์ เกิดการเบียดเบียนกันตามมา เป็นผลที่เกิดจากความหลง ที่เกิดขึ้นในวิญญาณธาตุของแต่ละบุคคล
อย่างพวกเรานี้ ก็มีวิญญาณธาตุ หรือจิตใจที่มีอวิชชา ความหลงครอบงำอยู่ หลงว่ามีตัว มีตน มีเรา เมื่อมีเราแล้ว ก็ต้องมีของของเรา มีสิ่งต่างๆ ทั้งๆที่เมื่อมาเกิดใหม่ๆ มันก็ไม่มีอะไร
ร่างกายนี้ก็มาจากของพ่อ ของแม่ เมื่อวิญญาณธาตุเข้ามาครอบครอง เข้ามายึดในร่างกายอันนี้ ว่าเป็นเรา เป็นของของเรา และเมื่อเกิดมาแล้วก็ต้องดูแลร่างกายนี้ มีการขวนขวาย หาธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ในรูปลักษณะของอาหาร เมื่อรับประทานอาหารเข้าไปในร่างกาย ก็เปลี่ยนแปลงจากอาหารไป เป็นอาการ ๓๒ เช่น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง นี่คือเรื่องของธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่แปลงเป็นอาหาร กับข้าว กับปลาต่างๆ เมื่อเข้าสู่ร่างกาย ก็เปลี่ยนสภาพกลายเป็นอาการ ๓๒ เป็น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง อย่างนี้เป็นต้น
มีการเจริญเติบโต และเมื่อเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว ก็มีการเสื่อม มันก็จะค่อยๆ เกิดอาการแก่ เกิดอาการเจ็บ และในที่สุด ก็เกิดอาการแตกสลายของธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่เรียกว่าความตาย
กัณฑ์ที่ ๑๗ วันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๓ (กำลังใจ ๒)
"ความเป็นจริงของโลก"
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
จิตอิสระ...จากอารมณ์
จิตอิสระ...จากอายตนะวิญญาณ
จิตอิสระ...จากเบญจขันธ์
จิตอิสระ...จากกิเลสตัณหา
จิตอิสระ...จากอุปาทานสังขาร
จิตอิสระ...จากจิตไม่ยึดจิต ไม่กำเริบ ไม่สั่นไหว ไม่สนอง ไม่รับ ไม่ยึด ไม่พัวพัน.
ชัชวาล เพ่งวรรธนะ
#ปฏิสนธิวิญญาณ
วิญญาณในขันธ์ห้า กับ ปฏิสนธิวิญญาณ นั้นต่างกัน
#ปฏิสนธิวิญญาณนั้น
หมายถึง มโน หมายถึงจิตใจโดยตรง
จิตที่จะก้าวเข้าสู่ ปฏิสนธิวิญญาณ
ในกำเนิดต่างๆ ท่านเรียกว่า
ปฏิสนธิวิญญาณ คือใจโดยตรง
#ส่วนวิญญาณในขันธ์ห้านี้
มีความเกิดดับตามสิ่งที่มาสัมผัส
สิ่งนั้นมาสัมผัสแล้วดับไป
คือความรับทราบดับไป
พร้อมขณะที่สิ่งนั้นผ่านไป
#แต่ปฏิสนธิวิญญาณ_หมายถึงใจ
ซึ่งมีความรับรู้อยู่โดยลำพัง
แม้ไม่มีอะไรมาสัมผัส
#ใจนี้ไม่ดับ
เรียนขันธ์ห้า ทบทวนให้เป็นที่เข้าใจ หลายตลบทบทวน
#คุ้ยเขี่ย_ขุดค้น จนเป็นที่เข้าใจ
นี่คือสถานที่ทำงาน
ของผู้ที่จะรื้อกิเลสตัณหาอาสวะออกจากจิตใจ
ที่เรียกว่า รื้อถอนวัฏวน
#คือความหมุนเวียนแห่งจิตใจ
ที่ไปเกิด ในกำเนิดต่างๆ
ไปเที่ยวจับจองป่าช้าไม่มีสิ้นสุด
#เพราะเหตุแห่งความหลงในขันธ์
ไปหลงติดยึดไม่สิ้นสุด
#ถ้าไม่เอาปัญญาเข้าไปพิสูจน์ #พิจารณาจนรู้จริง_และตัดได้
ท่านจึงให้เรียนธาตุขันธ์
รูปขันธ์ ก็คือตัวสัจธรรม
ตัวสติปัฏฐานสี่นั่นเอง
.
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน