ธรรมะไตรปิฎก วันที่ 14 มกราคม 2563
ตอนที่ 26 **หลงตน 3 ขั้น**
+ +
ในเช้าของวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2563 ณ วัดพระพุทธเจ้าใหญ่ศรีเชียงของ
เมื่อท่านพระยาธรรมิกราช ได้ขึ้นเข้าเฝ้านอบน้อมต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้นอบน้อมเฝ้าทูลถามพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเฝ้าทูลถามถึงเรื่องของ “ความลุ่มหลง 3 ขั้น” พระพุทธเจ้าค่ะ
เพราะลูกมองเห็นว่า ดวงจิตทั้งหลายนั้น มีความลุ่มหลงอยู่มาก การที่จะฉุดช่วยแต่ละดวงจิตให้พ้นทุกข์ได้นั้น มันก็เป็นเรื่องที่ยากเหลือเกิน เช่นเดียวกัน เพราะว่าบางคน แม้มีโอกาสที่จะฟังธรรมจากพระองค์โดยตรงแล้ว ก็ยังเอาความยึดมั่นถือมั่นในตัวในตน ในความรู้ของตนเข้ามาปิดกั้น
ยังเอาความยึดในการเป็นตน เป็นผู้อื่น มาปิดกั้นจนไม่สามารถที่จะเข้าใจในธรรมที่ถูกต้อง ที่ละเอียด ที่พยายามบอกทางชี้ทางเลย
ดูเหมือนจะเป็นลิงที่ได้เพชร แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพชร ไม่รู้รักษาสิ่งที่จะเกิดประโยชน์ เพราะว่าเหมือนใจของเขาจะมองไม่เห็นเลย..
หลายครั้ง ที่ลูกเห็นนักบวชหลายท่าน ที่ต่างก็เดินทางมาเพื่อแสวงหาพระธรรมของพระองค์ แต่เมื่อแวะเข้ามา เขานั้นก็กลับต้องเดินจากไปอย่างเปล่าประโยชน์
ลูกมองแล้วก็รู้สึกสงสารว่า หาอะไรกันอยู่ เจอทางแล้ว - ก็ยังไม่รู้ว่าเจอทางแล้ว ลูกจึงเห็นว่า จิตที่เป็นเช่นนั้นอย่างนั้นกัน เพราะว่าความหลง วิบากกรรม ยังคงครอบงำปิดบังดวงจิตเหล่านั้นอยู่..
ลูกจึงปรารถนาที่จะขอถึงพระพุทธองค์ โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมเรื่อง ความหลง 3 ขั้น ให้ลูกได้ฟังด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ “
- - - -
ดีแล้วละ พระยาธรรมเอ๋ย.. ถ้าอย่างนั้น ลูกก็จงตั้งใจพิจารณาธรรมนี้ ฟังธรรมนี้แล้ว ก็จงนำธรรมนี้ไปตรึกตรองทบทวนให้เห็นตามความเป็นจริง โดยปราศจากอัตตาและตัวตน
พระยาธรรมเอ๋ย.. บุคคลทั้งหลาย เมื่อยังมีความหลงอยู่ -- ความหลงนั้นก็ย่อมเป็นสิ่งที่ปิดบังจิตดวงนั้นให้มืดมิด
จิตที่มีความหลงมากเท่าไร.. สิ่งปิดบังจิตก็จะมากเท่านั้น
จิตที่ถอดถอนความหลงได้มากเท่าไร.. จิตดวงนั้น ก็จะรู้สึกเบาบางลงจากสิ่งมืดมิดได้มากเท่านั้น
ลูกเอ๋ย.. การที่บุคคลทั้งหลาย แม้จะเจอธรรมที่ประเสริฐแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะน้อมเข้าไปเรียนรู้ ฝึกฝน ประพฤติปฏิบัติได้นั้น.. ส่วนใหญ่ก็เพราะว่าหลงในตัวในตนอยู่..
พอหลงในตัวในตนอยู่ ก็เลยหลงคิดว่าตนดีแล้ว ตนทำได้แล้ว ถูกต้องแล้ว ก็เลยปิดฝาขวดเอาไว้ ไม่ยอมรับอะไรเข้าไปเลย แม้จะเทลงไปเพียงใด ก็เหมือนเทน้ำใส่ขวดที่ปิดฝา มันก็เปียกแต่เพียงภายนอก ไหลออกไปแต่เพียงภายนอก ไม่ได้ซึมเข้าไปในจิตในใจ ไม่ว่าจะตั้งอยู่ตรงที่ที่น้ำไหลเยอะมาก ก็ไม่สามารถที่จะกรอกน้ำเข้าไปได้เลยแม้เพียงหยดเดียว เพราะตนเป็นขวดที่ปิดฝา
เปรียบเสมือนความลุ่มหลง ที่หลงยึดตัวยึดตน ยึดมั่นถือมั่นในตน.. ก็เลยปิดฝาเอาไว้อย่างสนิท เพราะถือว่าตนดีแล้ว
แต่ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. หากยังถือว่าดีแล้ว แปลว่ายังหลงอยู่
บุคคลผู้ไม่หลง ย่อมคลายความดีแล้วได้ด้วย
ย่อมเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นเพียงแค่สักแต่ว่าเป็นธรรมดา เป็นตามเหตุตามปัจจัยนั้นๆ
ฉะนั้น พระยาธรรมเอ๋ย.. บุคคลทั้งหลายผู้ไม่รู้ธรรม ผู้ไม่เข้าถึงธรรม ผู้เห็นธรรมแล้วแต่ไม่เห็นธรรม ส่วนใหญ่แล้ว ก็คือติด - ติดหลงในอัตตาในตัวในตน ยึดมั่นถือมั่นในตนนั้นละลูก จึงเหมือนขวดน้ำที่ปิดฝา เทน้ำยังไงก็ไม่ลง เมื่อหมดเวลาก็โยนทิ้งไปเท่านั้นเอง ไม่เกิดประโยชน์อะไร
ฉะนั้น พระยาธรรมเอ๋ย.. บุคคลเหล่านี้ย่อมเป็นผู้เสียเปรียบลูก ไม่ว่าจะเจอกับของดีแค่ไหน ก็เอาใส่ไปไม่ได้ ตนก็ได้แต่เฉพาะในสิ่งที่ตนคิดว่าดีแล้ว และก็ทำไปตามที่ตนพอจะรู้พอจะทำได้
ก็เป็นสิ่งที่ดีอยู่ แต่ดีเล็กน้อย ดีแบบเสียเวลา และไม่รู้ว่าจะเติมเต็มก่อนที่จะตายจากโลกนี้ไปกันหรือเปล่า จะมีเวลามากน้อยเพียงใด !
ฉะนั้น หากลูกทั้งหลาย.. เป็นผู้ที่ปรารถนาความหลุดพ้นทุกข์ / เป็นผู้ที่ตั้งมั่นตั้งใจจะทำในสิ่งที่ดี พัฒนาตนเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ก็จงพากันข้าม พากันคลายความยึดติดให้ได้ **
การมีตัวมีตน เป็นเหตุของการปิดกั้น ไม่ให้เรานั้นได้มองโลกที่กว้างขึ้น
เราจะจมปลักอยู่ในโลกอันแคบ และมืดมิดของเรา
การเปิดใจให้กว้างขึ้น และหยิบเอาแต่เฉพาะสิ่งที่ดีเข้ามาเติมในใจเรา - นั่นละ จะเป็นสิ่งที่จะช่วยให้ดวงจิตของเรานั้น สว่างไสวมากขึ้นเรื่อยๆ
ฉะนั้น พระยาธรรมเอ๋ย.. บุคคลผู้ยังมีความลุ่มหลงอยู่ 3 ขั้น
ขั้นที่ 1 - ก็คือ บุคคลผู้ที่ทำดี แต่ยึดดี ถือดี
- ยึดว่า ตนดีแล้ว
- ยึดว่า ของตนถูกต้องแล้ว
- ยึดว่า เอาอย่างนี้ละ เป็นเช่นนี้ละ
เขาก็จึงยังคงหลงอยู่ ติดอยู่ กับอัตตาของความดีนั้น
แต่ลูกเอ๋ย.. ถ้าเราคลายมันไม่ออก เราก็จะอยู่แต่การทำดีขั้นที่ 1 อยู่นั่นละ !
-- มันจะพัฒนาต่อไป ให้เติบโตไปไม่ได้เลย..
พระยาธรรมเอ๋ย.. ส่วนบุคคลผู้ที่ทำดีในขั้นที่ 2.. เขาก็จะเริ่มคลายความยึดติด ยึดมั่นถือมั่นในตัวตนได้เช่นเดียวกัน
-- เขาจะมองโลกที่กว้างขึ้น
-- เขาจะยอมรับในสิ่งที่ดี ที่มีเหตุมีผล และพิจารณาตามที่เห็นตาม น้อมเข้ามาประพฤติปฏิบัติฝึกฝนตน
-- เขาจะยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นความดีอย่างกว้างขวาง และน้อมไปฝึกฝน ประพฤติปฏิบัติตน
... คนในกลุ่มนี้ ระดับนี้ ก็จะคลายความยึดติดในตนได้มากขึ้น - แม้อาจจะยังมีอยู่บ้างก็ตาม..
ส่วนคนที่สามารถประพฤติปฏิบัติตน จนถึงซึ่งระดับของการคลายความลุ่มหลง ถึงขั้นที่ 3 - ก็ย่อมแน่นอนละลูก คือผู้อยู่เหนือดี เหนือชั่ว / คือผู้ไม่ติดอยู่ในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
สักแต่ว่าทำทุกอย่าง ไปตามเหตุตามปัจจัย
ไม่เห็นความแตกต่างเกิดขึ้นบนโลกนี้
เห็นผู้หญิง ก็เหมือนผู้ชาย / เห็นผู้ชาย ก็เหมือนกันกับผู้หญิง
จะเป็นอะไรแตกต่างมากเพียงใดบนโลกนี้ - ก็เห็นเหมือนกัน
คนหรือสัตว์ สิ่งของข้าวของ หรือว่าอะไรก็ตาม เห็นแต่เพียงเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ล้วนแล้วแต่เป็นของไม่เที่ยง ไม่มีอยู่จริง
ใจของเขาจะข้ามอัตตา ในเรื่องของตัวเรา-ตัวเขา / ของเรา-ของเขา
ใจของเขาจะว่าง เมื่อว่างเขาก็จะรับได้ในทุกสิ่งที่ดี กรองเข้าไว้ สักแต่ว่า..
สิ่งที่ไม่ดี เขาก็จะกรองและวางเอาไว้ - แต่ก็ไม่ได้รังเกียจอะไร
-- จิตที่รู้ตื่น ก็จะเป็นเช่นนั้น..
ฉะนั้น พระยาธรรมเอ๋ย.. จิตที่รู้ตื่นเท่านั้นละลูก ที่จะสามารถที่จะคลายความหลงได้ ++
คนเราดูผิวเผิน อาจเหมือนมีเรื่องราวเยอะแยะมากมาย แต่เรื่องราวทั้งหลายเหล่านั้น ก็เกิดมาจากการหลงตัวหลงตน จึงมีของตน จึงมีของผู้อื่น
ฉะนั้น ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. หากลูกปรารถนาเป็นบุคคลผู้ได้ประโยชน์อันสูงสุด
จง"วางตัว วางตน ของตน "ทิ้งไป
จงมองให้เห็น หาให้เจอว่า แท้ที่จริงตัวเราก็คือ ดวงจิตดวงหนึ่งเท่านั้น..
-- และดวงจิตดวงนั้น ก็ไม่ได้มีสิ่งที่จะต้องไปยึดในตัวดวงจิตด้วย !
ดวงจิตดวงนั้น สว่างไสว รู้ตื่น
/ เป็นผู้ไม่เกิด และไม่ตาย
/ เป็นผู้ไม่หลง ไม่มีตัวมีตน
แต่สิ่งทั้งหลายที่หลงยึดอยู่เหล่านี้ คือ การหลงมาในตัวในตน และบุคคล
ผู้ยังหลงในตนของตนอยู่ ย่อมเป็นผู้ที่ไม่เห็นตามความเป็นจริง
บุคคลผู้คลายความยึดติดในตัวในตน ย่อมจะมองเห็นทุกสรรพสิ่งตามความเป็นจริง
จิตของเขาย่อมสัมผัสกับสิ่งที่ละเอียด สิ่งที่ถูกต้องตามเหตุตามผล ตามความเป็นจริงในวัฏสงสารนี้ อย่างรู้ตื่น
เช่นนี้ละ พระยาธรรมเอย..
บุคคลผู้หลง 3 ขั้น ก็คือ หลงยึดตัวยึดตน ยึดดีถือดี
บุคคลผู้คลาย ก็คือคลายตัวคลายตน คลายความยึดดีถือดี - จะได้ไม่ต้องมีอาณาเขตแห่งการต้อนรับความดี แค่เขตนี้ – ถ้าข้ามไปเขตโน้น ไม่เอา !
ของจะดีแค่ไหน ถ้ามาจากที่อื่นฉันจะไม่เอา ต้องเป็นของที่ดีจากฉันเท่านั้น..
... ถ้าเป็นเช่นนี้ เราก็จะกลายเป็นคนที่ - ทำดีแบบมีขอบเขต เอาดีแบบมีขอบเขต
มันจะเอาดีได้อย่างไรเล่า เมื่อแม้แต่การที่จะเอาดี บุคคลที่ว่าจะเอาดี - ก็ยังเอาดีอย่างแท้จริงไม่ได้ เพราะเอาอัตตา เอาตัวเอาตนมาเป็นดี
ฉะนั้น ลูกเอ๋ย.. เมื่อเราปรารถนาที่จะฝึกฝนจิตของเรา ให้กว้างขวาง ให้ถึงซึ่งความหลุดพ้นทุกข์ -- เราควรที่จะข้ามไปถึงในระดับที่ 2 ของการคลายความยึดติด ลุ่มหลง คือ
การทำใจให้กว้าง การปล่อยจิตให้ว่าง และพิจารณาทุกสิ่งทุกอย่าง สักแต่ว่า
เก็บเกี่ยวเอาสิ่งที่ดีขึ้นมา น้อมเข้ามาโดยไม่มีตัวมีตนปิดกั้น - จนไม่สามารถที่จะกรองอะไรเข้ามาเลย ไม่รับอะไรเลย ปิดหูปิดตา ไม่รับ ไม่เอาอะไรทั้งหมด !
ทีนี้ เราก็จะอยู่แต่เพียงขั้นที่ 1 นั้นไป..
ทำดีก็ยึดดี หลงดี ถือดี และก็เป็นอยู่อย่างนั้น ไม่พัฒนาตัวขึ้นมา ++
ควรที่จะพัฒนาตนให้ถึงในขั้นที่ 2 คือ มองความดีให้กว้างขึ้น และเก็บเอาแต่ของดีขึ้นมา โดยปราศจากอัตตาตัวตน หรือแม้จะมีก็เพียงเล็กน้อย - ไว้สำหรับการพิจารณาตน แล้วก็ฝึกฝนจนถึงการละความยึดมั่นถือมั่น ความหลงเหล่านั้น - ในขั้นที่ 3
จะได้เป็นดวงจิตผู้เห็นทุกสรรพสิ่งบนโลก.. สักแต่ว่า
-- จะได้ไม่หลง ไม่ยึดกันไป ++
เช่นนี้ละ พระยาธรรมเอย.. บุคคลทั้งหลาย ผู้รู้ธรรมแล้ว แต่ไม่เห็นธรรม ผู้รู้ธรรมแต่ไม่รู้ธรรม ก็คือ ผู้ติดดี หลงดีทั้งหลาย
เมื่อเห็นแล้ว รู้แล้ว -- แต่ไม่รู้.. ก็เพราะว่าปิดกั้นตนเองอยู่
เช่นนี้ละ พระยาธรรม.. ถ้าเราทำใจว่างๆ ทำใจให้กว้างๆ มองโลกให้กว้าง
ทุกสิ่งบนโลกใบนี้ ในสิ่งที่ทำความดี - ก็ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ดี และปล่อยใจว่างๆ เป็นกลางๆ
พิจารณาเอาแต่ความดี ความถูกต้อง ตามเหตุตามผลเข้ามา โดยไม่มีอัตตาตัวตน - เราย่อมสามารถลดละตัวตนของเราไปได้ และน้อมเอาสิ่งที่ดีเข้าสู่ตนได้มาก
-- ในเส้นทางสูงสุด คือ หลุดพ้นจากความทุกข์ - ก็ย่อมจะเกิดแก่เรา **
เช่นนี้ละ พระยาธรรม.. ความหลง 3 ขั้น ก็คือเช่นนี้ละลูก
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง พระพุทธเจ้าค่ะ
ลูกจะน้อมไปประพฤติปฏิบัติตาม และเผยแผ่
เพื่อที่จะได้พากันทำความเข้าใจว่า ความหลงของตนนั้น หลงอะไรอยู่ / ติดอยู่ในระดับใด / ต้องปฏิบัติแบบไหน - เพื่อที่จะได้ความดีเข้าสู่ตนให้กว้างขึ้น เลื่อนระดับความดีให้มากยิ่งๆขึ้นไป
พอจะเข้าใจเช่นนี้แล้ว พระพุทธเจ้าค่ะ
เพราะว่าบางคน อาจจะยังติดในตัวในตน ยึดมั่นถือมั่นในตัวเรา- ตัวเขาอยู่ .. ก็เลยไม่สามารถที่จะรับความดีเท่าที่ควร
เพราะลูกสังเกตมาหลายๆคน ที่เข้ามาปฏิบัติ คนที่ไม่มีอัตตาตัวตนมาก – เขาจะรับธรรมได้อย่างละเอียด และภูมิจิตเลื่อนได้ไว
คนที่มีอัตตามีตัวมีตน โดยเฉพาะผู้ที่ยอมรับได้ยากว่า การแสดงธรรมจากผู้ที่เป็นสตรี จะเป็นประโยชน์แก่ตน เพราะตนเป็นผู้ชาย หรือเป็นพระสงฆ์ - ไม่ควรรับฟังธรรมจากผู้ที่มีศีลน้อยกว่า
เขาไปติดอยู่ตัวเปลือกภายนอกแค่นั้น เขาก็เลยเข้าถึงธรรมไม่ได้เท่าที่ควร..
แต่ในความจริง บุคคลผู้ที่มีภูมิธรรมที่สูงแล้ว เมื่อเข้าสู่ลานแห่งธรรม เขาจะไม่มีผู้หญิงผู้ชาย
ไม่มีเรา ไม่มีเขา ไม่มีอะไรทั้งหมด
มีแต่เสียงธรรม ที่ลองมองให้เห็นตาม พิจารณาตาม เห็นความเป็นจริงตามธรรมเหล่านั้น และนำมาปฏิบัติ เพื่อให้จิตของตนเลื่อนขึ้นเท่านั้น
-- คนที่ติดในอัตตาตัวตนทั้งหลาย.. จะไม่สามารถที่จะฟังธรรมรู้เรื่อง พระพุทธเจ้าค่ะ..
- - -
พระพุทธองค์ :: ก็ดีแล้วละ พระยาธรรมเอ๋ย.. ที่ลูกนั้นพิจารณาถึงปัญหาต่างๆ ที่แต่ละคนฟังธรรมไม่รู้เรื่อง แล้วก็ได้หาเหตุหาผลในสิ่งเหล่านั้น
เป็นธรรมดาละลูก บุคคลทั้งหลาย.. ย่อมที่จะยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น และปรากฏชัดเจนแล้ว เช่น การประกาศธรรมที่สมบูรณ์แล้ว เมื่อถึงเวลานั้นก็จะพากันยอมรับ
-- แต่เมื่อยอมรับ.. ธรรมนั้นก็ไปไกลแล้ว
เราไม่ได้ใกล้ชิด ไม่ได้ฟัง ไม่ได้พิจารณา อย่างทุกวันนี้
เมื่อถึงเวลานั้น.. ก็จะเสียดาย
บางคนก็ต้องตายจากไปแล้ว
แต่ก็เป็นธรรมดาที่ดวงจิตทั้งหลาย ก็มักจะเป็นเช่นนั้น
แต่ก็จะต้องมีการบอก การสอน การเตือนสติกันบ้าง เพื่อไม่ให้โอกาสเหล่านั้นพลาดไป ผิดเพี้ยนไป
พระยาธรรมเอ๋ย.. เราก็มองเห็นทุกอย่างเป็นธรรมดา โดยจิตของเราไม่ได้ไปเกี่ยวไปข้องว่า ทำไมจึงไม่ฟังธรรมจากฉัน ทำไมจึงไม่ฟังตำตักเตือนจากฉัน อยู่เหนือตัวตนเหล่านั้น แล้วก็วางเฉยไป
เสร็จแล้วก็พิจารณาต่อเนื่องด้วยเรื่องที่ว่า ควรที่จะสะกิดสักหน่อยเพื่อเตือนสติ -- ก็ทำไป สักแต่ว่า ก็ดีแล้ว
บุคคลผู้ที่ยังลุ่มหลง หรือผู้ที่ยึดมั่นถือมั่นในบางกลุ่ม - ก็จะได้คลายขึ้นบ้าง
บางคนถ้าจะหลงต่อไป ก็จะได้ถือว่าได้บอกแล้ว ดีแล้วละ.. พระยาธรรม
แต่บุคคลทั้งหลายผู้ปรารถนาความดี.. เขาก็ย่อมที่จะน้อมเอาไปพิจารณาปรับปรุงแก้ไขในตน เพื่อให้ดีต่อไป..
เรื่องแห่งการขัดเกลา คัดกรองความดี ย่อมทำการเจียระไนอยู่เสมอ
ถ้าไม่สามารถผ่านด่านได้ - ก็จะอยู่แค่ขั้นตรงนี้
ถ้าสามารถที่จะผ่านด่านได้ - ก็จะข้ามไปอยู่ในอีกระดับหนึ่ง
… และก็จะละเอียดขึ้นๆ เรื่อยๆ จนถึงซึ่งการหลุดพ้นอย่างแท้จริง ++
เช่นนี้ละลูก พอจะเข้าใจบ้างแล้วหรือยังเล่า
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ ลูกพอจะเข้าใจแล้วพระพุทธเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟังนะเจ้าคะ
ลูกจะน้อมไปประพฤติปฏิบัติตาม พระพุทธเจ้าค่ะ...
สาธุ