1039. จิตพุทธะ.. ?
เรามักได้ยินว่า “จิตคือพุทธะ”
“พุทธะ” ในที่นี้ หมายความถึง “ผู้รู้” * หมายถึง “จิตผู้รู้”
เพราะจิต เป็นผู้คิด ผู้นึก ผู้ปรุงผู้แต่ง ผู้รู้สึก จึงเรียกจิตนั้นว่า.. “จิตเป็นพุทธะ”
บางท่าน. ตีความหมายผิด ว่า ..”จิตคือพุทธะ”..คือ.จิตเดิมแท้..คือจิตพระพุทธเจ้า..
จิตเดิมแท้... คือ.จิตอยู่ก่อนหน้านี้ ทุกคนมีสภาพจิตอย่างนี้ เสมอเหมือนกันไม่มีนิวรณ์ใดๆ ครอบงำมาก่อน มันใสสะอาดบริสุทธิ์ เหมือนจิตของเด็ก เรียกว่า.”ประภัสสรจิต “ เป็นจิตซื่อๆ..บริสุทธิ์..แต่ไม่ใช่จิตที่บรรลุมรรคผล ไม่ใช่จิตนิพพาน
เมื่อจิตเดิมแท้ ถูกความคิดปรุงแต่ง จิตนั้น.จึงเศร้าหมองไป .. จึงยังคงถูกอวิชชาหลอกได้..
..
***... บางท่าน ตีความหมายว่า .จิตพุทธะ คือ .จิตพระพุทธเจ้า..ทุกคนล้วนมีจิตพุทธะ
ดังนั้น....เราคือพระพุทธเจ้าทุกคน... ที่ลงมาเกิดใหม่..เพื่อจะกลับไปเป็นพระพุทธเจ้าดังเดิม.. ** ซึ่งหาใช่ความหมายเช่นนั้นไม่.****...จะกลายเป็นมิจฉาทิฏฐิได้..
***เพราะ..พระอรหันต์..พระปัจเจก.พระพุทธเจ้า..ท่านดับวิญญาณเชื้อเกิดแล้ว..แล้วจะเอาเชื้ออะไรเวียนกลับมาเกิดอีกได้เล่า.?
ตามปกติจิตย่อมอยู่เฉยๆไม่ได้ จะมีการปรุง การคิดถึงอารมณ์อดีต อนาคตเสมอ ไม่อยู่เป็นปกติ
ลักษณะที่จิตปรุงถึงอารมณ์ เช่นนี้ เรียกว่า "ธัมมารมณ์"
การที่จะให้จิตอยู่ด้วยความสงบ
จึงหาธรรมบทใดก็ได้ตามแต่จริตชอบมาเป็นเครื่องกล่อมใจ เรียกว่า "บริกรรม"
ระลึกอยู่เฉพาะภายในจิต ถ้าเป็นบท "พุทโธ"
ก็บริกรรมว่า "พุทโธๆ" เป็นต้น
อย่าปล่อยวางไปคว้าบทอื่นมาบริกรรม
จะไม่ได้อะไรเป็นผล
เมื่อบริกรรมจิตหดตัวอยู่ในความสงบแล้ว
แม้จิตจะพักสงบอยู่กี่ชั่วโมง ก็พึงปล่อยไว้อย่างนั้น
ให้ถอนขึ้นมาเอง
จิตที่หยั่งสู่ความสงบ มีลักษณะต่างกันคือ
รวมปั๊บเข้าทีเดียวบ้าง ค่อยๆเข้าโดยลำดับบ้าง
แต่เมื่อลงถึงที่แล้ว
เป็นความสงบมีอารมณ์เป็นหนึ่งเหมือนกัน
จิตสงบในขณะพักรวมอยู่ จะไม่คิดไม่ปรุงอะไร
เมื่อถอนออกมาจากความสงบแล้ว
แม้จะมีการคิดนึกธรรมดาของจิต
แต่ก็ไม่ฟุ้งซ่านวุ่นวาย เชื่องต่ออารมณ์
ทั้งเป็นไปในความสงบทุกอิริยาบถด้วย
กำหนดเวลาใด มีจุดผู้รู้
เป็นความสงบสบายอยู่โดยเฉพาะด้วย...
+++++
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
#อุปปริกขสูตร
#ว่าด้วยการพิจารณาโดยวิธีที่จิตไม่ฟุ้งซ่าน
แท้จริง พระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคตรัสไว้แล้ว
พระสูตรนี้ พระอรหันต์กล่าวไว้แล้ว ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างน
“ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุควรพิจารณาโดยประการที่
วิญญาณ(จิต)ของตนไม่ฟุ้งซ่านไม่ซัดส่ายไป
ในอารมณ์ภายนอก ไม่ติดอยู่ภายใน
จึงไม่หวาดสะดุ้งเพราะ"ไม่ยึดติด"ในอารมณ์ต่างๆ
ภิกษุทั้งหลาย ครั้นวิญญาณไม่ฟุ้งซ่าน
ไม่ซัดส่ายไปในอารมณ์ภายนอก ไม่ติดอยู่ภายใน
เมื่อภิกษุไม่หวาดสะดุ้ง เพราะไม่ยึดมั่นอารมณ์ต่างๆ
เหตุแห่งทุกข์คือชาติและความเกิดทุกข์คือชราและมรณะก็จะเกิดมีไม่ได้อีกต่อไป”
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความดังกล่าวมานี้แล้ว
ในพระสูตรนั้น จึงตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า
ภิกษุ ละกิเลสเครื่องข้อง ๗ ประการได้
ตัดตัณหาที่นำไปสู่ภพได้เด็ดขาด
มีสงสารคือชาติหมดสิ้นแล้ว
ย่อมไม่มีภพใหม่
แม้เนื้อความนี้ พระผู้มีพระภาคก็ตรัสไว้แล้ว
ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้แล
กิเลสเครื่องข้อง ๗ ประการ คือ
(๑) ตัณหา (๒) ทิฏฐิ (๓) มานะ
(๔) โกธะ (๕) อวิชชา (๖) กิเลส(๗) ทุจริต
อยู่กับรู้ ไปเรื่อยๆโยม
พอมันหลุดหายไปก็กลับมาอยู่กับรู้ใหม่..
อยู่ฐานกายรู้สึกตัวไปจนรู้สึกตัวทั่วพร้อม
จนเกิด"จิตตั้งมั่น"ขึ้นมาจนสามารถหลุดจากอุปาทาน..
มันก็จะเข้าถึงสภาวะ ว่าง "รู้" ที่บริสุทธิ์ได้..
พื้นฐานคือ..ทำความรู้สึกตัวในชีวิตประจำวัน
จนรู้สึกตัวทั่วพร้อมอยู่เสมอ..
..อันนี้เป็นพื้นฐานที่สำคัญเลยโยม
เป็นพื้นฐานสำคัญ...ที่จะนำเราหยั่ง..เข้าสู่อมตธรรม
"ธรรมชาติที่บริสุทธิ์ได้"
พระมหาวรพรต กิตติวโร
เพราะฉะนั้น จะแยกเป็นสองตัว คือ
"ตัวจิต" จิตปถุชนก็จะเป็นจิตที่มี ราคะ โทสะ โมหะ
พอสงัดจากกามและอกุศลธรรม
ก็จะเป็น"จิตที่มีสมาธิ" ฌานที่หนึ่งถึงสมาบัติทั้งแปด
ตัวจิต มันก็มีแค่นั้นแหละ "โลกียะ"
แต่"ตัวรู้"หรือ"สภาวะรู้"ของจริงเนี่ย
มันก็เป็นแค่สภาวะรู้แหละ
แต่เวลามันมีความบริสุทธิ์ถึงขีดสุด
มันจะเกิดสิ่งที่เรียกว่า รู้ตื่น เบิกบาน รู้แจ้งจ้า
ที่พูดถึงบ่อยๆถึงสภาวะที่เรียกว่า
ความสว่างไสวที่เปล่งออกมาจากตัวเอง
นั่นแหละคือประตูแห่งอมตะธรรม
ส่วนตัวจิตมันก็เป็นตัวสมาธิเท่านั้นเอง
เป็นตัวปิติ เป็นจิตเจตสิกที่ประกอบด้วยกัน
มีปิติบ้าง มีสุขบ้าง มีอุเบกขาบ้าง
มีสภาวะของอรูปบ้างที่เรียกว่า อเนชาภิสังขารบ้าง
ก็คือตัวจิตทั้งนั้น
แต่ที่สำคัญก็คือตัวรู้ที่เป็นสภาวะรู้
เพราะฉะนั้นการปฏิบัติมันก็จะเหลือแค่"สภาวะรู้"
ที่เรียกว่าธรรมอันเอก
ตรงนี้แหละ ที่จะเป็น"ทางสายเดียว"
ที่จะพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวงได้
เมื่อใดที่วางจากทุกสิ่ง ก็คือ"วางจากขันธ์ทั้งห้า"
"ตัวจิตมันก็จะดับไป"เหลือแค่ "สภาวะรู้"
อันนี้ที่เป็น"อมตะธาตุ"
มันจะเป็น"สภาวะรู้ของจริง" ที่มันไม่มีเกิดไม่มีดับ
คงสภาวะของมันเช่นนั้นเอง
ที่มันหายไปไม่ใช่ว่ามันดับ แต่เป็นเพราะว่า
"ความหลง"มันบัง !!
ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า
จิตนี้ประภัสสรมาแต่เดิม
แต่เศร้าหมองเพราะอุปกิเลสจรมา
ประดุจพระจันทร์วันเพ็ญ
งามกระจ่างกลางท้องฟ้า
ถูกเมฆหมอกเข้าบดบัง
พระจันทร์ก็อับแสง
สภาวะหลง..เข้าบดบัง..สภาวะรู้อยู่ตลอด
เป็นอย่างนั้น..ไม่ใช่ว่าตัวรู้ของจริงมันเกิดดับ
แต่เป็นเพราะความหลงมันบัง
เมื่อใดที่"สภาวะหลงหรือความปรุงแต่ง"จางคลายไป
มันก็จะเหลือแค่ "รู้" เท่านั้นเอง
ดั่งคำว่า ประดุจคล้ายเมฆหมอกมันจางคลายไป
เพราะฉะนั้นการปฏิบัติก็คือ "วาง"
พอวาง..ความปรุงแต่งความหลงก็จางคลายไป
สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือของจริง ก็คือสภาวะรู้ของจริง
ที่ไร้ตัวตน ไร้ขอบเขต เป็นสุญญตา
และเมื่อใดที่เกิดความจ้าสว่างไสวที่เปล่งออกมา
นั่นแหละคือความสว่างไสวที่เปล่งมาจากเนื้อสุดท้าย
ที่เป็นมิติสุดท้าย ก็ให้ทวนกระแสเข้าสู่ศูนย์กลาง
แล้วจะพบกับ "เนื้อธรรมที่บริสุทธิ์..นิพพานธาตุ"
สภาวะที่พ้นจากทุกข์อย่างแท้จริง
สภาวะนั้นน่ะ อวิชชาเกิดขึ้นมาไม่ได้
เป็นเนื้อธรรมที่บริสุทธิ์ เป็นบรมสุขอย่างแท้จริง
เพราะฉะนั้นการปฏิบัติก็ไปตามสเตปนี้
เบื้องต้นจะเริ่มแบบใดก็ตามก็ทวนเข้าสู่สิ่งนี้
ถ้าเราปฏิบัติ..ก็จะไปตามนี้ ช้าเร็วแล้วแต่
แต่ถ้าเราปฏิบัติให้ตรงไปเลย
ก็คือ "วาง" ก็คือ "ปล่อย" ก็คือ "ละ"
มันก็จะเข้าสู่สิ่งที่เรียกว่าเหลือแค่ "รู้"
สภาวะรู้และสิ่งนี้แหละ
เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในพระพุทธศาสนา
มันคือ..ความไม่ประมาท
มันคือ..ความไม่ยึดติด
มันคือ..โพธิปักขิยธรรมสามสิบเจ็ดประการ
มันคือ..ทั้งสมถะและวิปัสสนา
มันคือ..ทั้งวิชชาและวิมุติ
มันก็คือ..ธรรมแท้ๆที่เป็นอมตะธรรม
เป็นธรรมชาติแท้ๆที่พ้นจากขันธ์ทั้งห้า
พ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง
เข้าใจไหม? ฟังเพลินๆเท่านั้นแหละ
ใครเข้าใจก็ได้ไป ก็ปฏิบัติ
ก็ทำเหมือนเดิม .. ฝึกที่จะปล่อย ที่จะวาง
ก็เข้าสู่เนื้อธรรมเดียวกัน..เหมือนกันหมด
เบื้องต้นเราจะปฏิบัติแบบไหนก็แล้วแต่
เป็นการทวนกระแส สุดท้ายก็เหลือแค่ " รู้ "
โดย พระมหาวรพรต กิตติวโร
"พระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านพ้นแล้วจากโทษทั้งสองทางความทุกข์จึงครอบงำไม่ได้"
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
เมื่อแยกพันธะแห่งความเกี่ยวเนื่องจิตกับสรรพสิ่งทั้งปวงแล้ว จิตก็หมดพันธะกับเรื่องโศก รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส จะดีหรือเลว มันขึ้นอยู่กับจิตที่ออกไปปรุงแต่งทั้งนั้น แล้วจิตที่ขาดปัญญาย่อมเข้าใจผิด
เมื่อ"เข้าใจผิด" ก็"หลง"อยู่ภายใต้อำนาจของเครื่องร้อยรัดทั้งหลาย ทั้งทางกายและทางใจ
อันโทษทัณฑ์ทางกาย อาจมีคนอื่นช่วยปลดปล่อยได้บ้าง
ส่วนโทษทางใจ มีกิเลสตัณหาเป็นเครื่องรึงรัดไว้นั้นต้องรู้จักปลดปล่อยตนด้วยตนเอง ฯ
จิตนี้ไม่ใช่จิตซึ่งเป็นความคิดปรุงแต่ง มันเป็นสิ่งซึ่งอยู่ต่างหาก ปราศจากการเกี่ยวข้องกับรูปธรรมโดยสิ้นเชิง ฉะนั้น พระพุทธเจ้าทั้งหลาย และสัตว์โลกทั้งปวงก็เป็นเช่นนั้น
พวกเราเพียงแต่สามารถปลดเปลื้องตนเองออกจากความคิดปรุงแต่งเท่านั้น พวกเราจะประสบความสำเร็จทุกอย่าง
หลักธรรมที่แท้จริงก็คือ จิต นั่นเอง ซึ่งถ้านอกไปจากนั้นแล้วก็ไม่มีหลักธรรมใดๆ จิตนั่นแหละคือหลักธรรม
ซึ่งถ้านอกไปจากนั้นแล้วมันก็ไม่ใช่จิต จิตนั้น โดยตัวมันเองก็ไม่ใช่จิต แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังไม่ใช่ มิใช่จิต การที่จะกล่าวว่าจิตนั้นมิใช่จิต ดังนี้นั่นแหละ ย่อมหมายถึง สิ่งบางสิ่งซึ่งมีอยู่จริง สิ่งนี้มันอยู่เหนือคำพูด ขอจงเลิกละการคิดและการอธิบายเสียให้หมดสิ้น เมื่อนั้น เราอาจกล่าวได้ว่า คลองแห่งคำพูดก็ได้ถูกตัดขาดไปแล้ว และ "พฤติของจิต" ก็ถูกเพิกถอนขึ้นสิ้นเชิงแล้ว
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
โลกอันนี้เหมือนความฝัน
ชีวิตนี้เหมือนความฝัน
ระหว่างฝันนั้น
อะไรก็เป็นเรื่องเป็นราว
พอตื่นขึ้นมา
เรื่องราวทั้งหมดก็หมดไป
ระหว่างที่มีชีวิตอยู่
อะไรต่ออะไรทั้งหมด
เหมือนกับเป็นเรื่องของเรา
เป็นเรื่องของเราไปเสียทั้งนั้น
ในเมื่อตายลงไปเมื่อใด
อะไรที่ว่าเป็นของเรา
มันก็หมดไปเหมือนความฝัน
หลวงปู่แบน ธนากโร
"อวิชชา ปัจจยา สังขารา " อวิชชาเป็นเหตุ
จิตที่ไม่รู้แจ้งในจิต จิตที่ไม่แจ่มแจ้งในจิต
เป็นเหตุให้เกิดสังขารขึ้นมา
แล้วก็ไปยึดสังขาร นั้น เป็นจิต...เป็นใจ...เป็นตัวเป็นตน
สังขารมันสร้างมันปรุงมันแต่งอะไรขึ้นมา
เป็นเรา.. เป็นเรา..เป็นเรา ทั้งนั้น
จึงกลายเป็นโลกขึ้นมา
กลายเป็นโลกกลายเป็นอะไรต่อมิอะไรขึ้นมา
เนื่องจากความไม่รู้ไม่แจ่มแจ้งในจิตทั้งนั้น
รู้แจ่มแจ้งในจิตแล้ว สังขารมันปรุงมันแต่ง
มันก็เห็นชัดสังขาร
"สังขารมันปรุงมันแต่ง" ยังไงก็เห็นชัดว่า"เป็นสังขาร"
แล้วเราจะไปยึดสังขารว่า..เป็นตัวเป็นตน
เป็นเรา..เป็นเขา..เป็นไปไม่ได้
ถ้าหากว่าไม่รู้แจ้งในจิต
ตัวสังขารเป็นตน ทั้งนั้น..จะละสังขารได้ยังไง
มันก็เหมือนกับละศรีษะนี่ ใครจะ..มันละไม่ได้
ละอวัยวะมันจะละได้เหรอ..
แต่ของภายนอกมัน..บางทีไม่ใช่อวัยวะมันก็ยังไม่ยอมละ
ถ้ามี"สังขารเป็นตัวเป็นตนแล้ว"..."ละ"..ไม่ได้ดอก
สังขารมันจะว่ายังไงก็ว่าตามนั้น
เพราะ #เราเป็น #เราว่า #เราต้องการ #เราปรารถนา
************
องค์หลวงปู่แบน ธนากโร (-/\-)
"พระนิพพาน" อยู่ใกล้ที่สุด ไม่ไกล อย่าไปหาไกล "หนัง" มันห่อไว้ กระดูกมันห่อไว้
ทำลายมันออกให้หมด
"จิต" อันนี้มันก็ปิดบังมรรคผลนิพพานไว้
ทำลายจิตลงไปอีก จิตแตกสลายออกไปแล้ว
ไม่ต้องพูดถึงมรรคผลนิพพาน
ทำลายให้เป็น....ของว่าง
ยึด "ผู้รู้" ว่า "เป็นเรา" ใช้ไม่ได้ทั้งนั้น
"จิตสักแต่ว่าจิต" "ธรรมสักแต่ว่าธรรม"
ไม่ให้มันไปไหน ให้มันอยู่ใน
"กาย เวทนา จิต ธรรม"
ของสมมุติแท้ๆ ก็มี "ของจริง" อยู่ในสมมุตินั้น "จิต" เป็นตัว "สมุทัย" เป็น "ตัวอริยะสัจ"
มี "สติ" แล้ว " ศีล สมาธิ ปัญญา" ก็สมบูรณ์
ศูนย์รวมของธรรม อยู่ที่ใจ กิเลสตัณหาอยู่ในจิตเท่านั้น ไม่ได้อยู่ใน รูป เสียง.....
"ธรรม" ทั้งหลายเกิดจาก "จิต" ของเรา อยู่ที่ "จิต"
เวทนาไม่มีตัวไม่มีตน
"จิต" ของเราก็เป็นส่วนหนึ่งต่างหาก
แต่ "มันอยู่" ใน "จิตอันนี้"
หวงหนังห่อขี้ หนังห่อมูตรห่อคูต
องค์หลวงปู่แบน ธนากโร
"ตัวเราแท้สมมุติ"คือ "ตัวจิต"
"จิตแท้"ไม่มีเรื่อง คิดนึก ที่ปรุงแต่ง
"ที่ปรุงแต่ง"เป็นอาการของจิต
ธรรมมันอยู่....ตรงนี้ จึงจะเห็นธรรม
เป็นธรรมะไม่มีอาการมา อาการไป
ถ้าไม่เคยถึง....ก็ไม่มีทางรู้จัก.(จิตเดิมแท้ นิพพาน)
หลวงปู่เทศก์
จิตผู้คิด คือ สิ่งที่ถูกรู้
จิตผู้ดู คือ จิตผู้รู้
จิตผู้ดู กับ จิตผู้คิด ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน
เกิดไม่พร้อมกัน จิตผู้คิดเกิดก่อน
จิตผู้ดูเกิดตามหลัง มีสองขณะ
เกิดไม่พรัอมกัน
คนเราที่มีปัญหาความทุกข์มาก
เพราะอะไร เพราะความคิดนี้ เห็นไหม
ความคิดทำให้จิตเป็นทุกข์
เพราะเราไม่มี จิตผู้ดู
ที่จะไปเห็น จิตผู้คิด
เวลาเกิดความคิดขึ้นมา
ไม่เห็น ไม่รู้ ไม่เข้าใจ
เราก็เข้าไปอยู่กับความคิดเลย
แล้วก็ว่านี่เราเป็นผู้คิด ความคิดคือเรา
กิเลสทั้งหลาย ความโลภ ความโกรธ
ความหลง ความพอใจ ความไม่พอใจ
ความอิจฉาริษยา ความหวาดระแวง
ความวิตกกังวล ความกลัว
ความน้อยเนื้อต่ำใจ
สารพัดมาจากความคิดทั้งนั้น
ความคิดนี้เป็นต้นตอ ของความทุกข์ทั้งหลาย
เมื่อเราขาดสติ ขาดปัญญา ไม่มีจิตผู้ดู
เข้าไปอยู่กับความคิดเลย
จึงเกิดเป็นทุกข์ตรงนี้
แต่เมื่อเราเจริญสติ จิตเกิด"ผู้รู้".."ผู้ดู"ขึ้นมา
เวลาเกิด"จิตผู้คิด" ขึ้นมา จิต"ผู้ดู"คือ.."สติ"
จะเห็นทันที พอเห็นปั้บ จิตผู้คิดก็จะดับ
เกิดพร้อมกันไม่ได้
ถ้ามีจิตผู้คิดเกิดขึ้น จิตผู้ดูก็เกิดไม่ได้
ถ้ามีจิตผู้ดูเกิดขึ้น จิตผู้คิดก็อยู่ไม่ได้
เหมือนกัน ความคิดจะหยุดทำงาน
หยุดการปรุงแต่ง ล้มละลายไปเลย
ทำให้จิตผ่องใสมีความเบิกบาน
เพราะไม่ได้คิดปรุงแต่งอะไร
ถ้าเราสามารถเจริญสติ
ให้ต่อเนื่องบ่อยๆจะเกิด"จิตผู้ดู"เรื่อยๆ
เวลานี้ จะเริ่มเห็นความผ่องใสของจิต
และเมื่อไหร่ที่คิด ก็จะคิดด้วยสติ
ด้วยจิตผู้รู้..ผู้ดู จะเป็นความคิดที่เป็น
ประโยชน์ จะไม่ใช่ความฟุ้งซ่าน
เหมือนแต่ก่อนที่ยังไม่ได้ฝึก
อาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม
จากหนังสือ ปาฏิหารย์แห่งธรรม
ให้เรา "เหนือกว่ากิเลส"
มีศีล สมาธิ ปัญญา..ต้องมี "สติ"
"มีความรู้สึกตัว"อยู่เสมอ จน"มีสติเป็นปกติ"
มีสติ..เป็นธรรมชาติ
สิ่งใดเกิดขึ้น...สิ่งนั้นต้องดับ...เป็นธรรมดา..ว่างเปล่า..
"รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ถูก ต้อง" ก่อนๆ มันผ่านไปแล้ว
"อารมณ์" ที่เราเกี่ยวข้องแล้วก็ผ่านไป
"อารมณ์" ทั้งหลายสลายตัว
"..จิตว่าง.."เพราะมันเห็นอะไรไม่เป็นตัวเป็นตน
ให้มี..สติธรรม..ให้มันว่างไปหมด
"จิต"ก็เป็น "อนัตตา" .."ธรรม"..ก็เป็น "อนัตตา"
ให้มีสติ มีสติ มีสติ ให้มีสติอยู่เสมอ.." ไม่เผลอสติ "
องค์หลวงปู่แบน ธนากโร 🙇♀️🙇♀️🙇♀️
วัดดอยธรรมเจดีย์ ต.ตองโขบ กิ่ง อ.โคกศรีสุพรรณ
จ.สกลนคร
อะไรเกิดขึ้นอย่าไป"ยึดติดสิ่งที่เกิดขึ้น"นั้น
อะไร"เกิดขึ้น"...สิ่งนั้นเป็น"ของดับ"ทั้งนั้น
"มีสติ" "มีสติ" "มีสติ" อยู่กับสิ่งที่ไม่เกิด
สิ่งที่ไม่เกิดสิ่งนั้นไม่ดับ มีสติอยู่กับสิ่งที่ไม่เกิด
"ไม่เกิด"...เราจะรู้อย่างไรว่าสิ่งใดไม่เกิด
"สิ่งใดไม่เกิด"...สิ่งนั้นมันก็คือ"สิ่งที่ไม่เกิด"
ก็เหมือนกับเอาสมมุติของแผ่นดิน
"แผ่นดิน"..อะไรจะเกิด อะไรจะเกิด อะไรจะเกิด
ก็แผ่นดินนี่ แผ่นดินมันเกิดไหม..?
มันก็มีแผ่นดินอยู่อย่างนี้
"จิต"ก็มีอยู่อย่างนี้ จิตก็มีอยู่อย่างนี้
อะไรจะเกิด อะไรจะเกิด อะไรจะดับ
สิ่งนั้นเกิด สิ่งนั้นดับ สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นตายไป
แต่แผ่นดิน "แผ่นดิน"ไม่ได้ตาย
เรื่องสังขารทั้งหลายก็เหมือนกัน
เรื่องดีเรื่องชั่ว เรื่องดีเรื่องไม่ดี เรื่องดีเรื่องชั่ว
เรื่องชอบใจไม่ชอบใจ มันเกิดแล้วดับทั้งนั้น
แต่"จิต"ก็เป็น"จิต"อยู่อย่างนั้น
จึงให้สนใจสิ่งที่ไม่เกิดไม่ดับ
สิ่งที่เกิดดับอันนั้น ก็สนใจและศึกษาให้รู้ความจริง
และปล่อยวางอย่าไปยึดติด
ถ้าไปยึดสิ่งนั้น มันไม่สุด..มันยุ่ง
เพราะสังขารมันสารพัด ปรุงอยู่ตลอดเหมือนกับไฟ
ถ้าหาก "มีเชื้อ" มีเชื้อ มีเชื้อ เขาจะไหม้อยู่ตลอด
ถ้าหากว่าไม่มีเชื้อที่จะไปเสริม ไฟมันก็ดับ
การที่ว่า "ใส่เชื้อ" ใส่เชื้อ เราไปปรุงต่อเราไปเสริมต่อ
เราไปยึดอันนั้นเป็นเรา แล้วก็หา
มีการปรุง มีการเสริม อะไรต่ออะไร
ให้ได้ตามที่ต้องการ ให้ได้ตามที่เจ้าของปรารถนา
สรุปแล้ว..วุ่นวายๆ เพราะยึดติดในสังขาร "ตัววุ่นวาย"
ถ้าหากว่าไม่ไปยึดติดสังขารตัววุ่นวาย
สังขารเขาก็เป็นตามธรรมชาติ
เพราะธรรมชาติของเขาเป็นอยู่อย่างนั้น
ไม่มีใครไปยุ่งกับเขา เขาก็เป็นธรรมชาติของเขา
เหมือนกับของที่...เหมือนกับ"ไฟ"อย่างนั้น
ไม่มีใครไปยุ่งกับเขา ไฟก็จะเป็นอันตรายกับใคร
"นัตถิ สันติ ปรมัง สุขัง" ความสงบเป็นสุขอย่างยิ่ง
"ความสงบ" ก็คือ ตัดสังขารตัวปรุงตัวแต่งนั้น
"ปล่อยไป"เป็นตามธรรมชาติ
"ยัง"แต่ธรรมชาติที่เป็น "จิต" อันนี้..เป็นความสุขอย่างยิ่ง
"ยัง"แต่ธรรมชาติ.." ที่ไม่มีอะไรมาปรุงแต่ง "
*************
องค์หลวงปู่แบน ธนากโร
"จิต "..."ธรรม"...เป็น "อนัตตา"
ถ้าท่านรักษาจิต จิตก็รักษาท่านถ้า
ท่านรักษาศีล ศีลก็รักษาท่าน
การปฏิบัติธรรมสร้างคุณงามความดี เหมือนมีเกาะกันภัย
ที่มันมาทั้งร้ายทั้งดี ร้ายเราไม่หวั่นไหว ดีเราก็ไม่คล้อยตาม นี้ธรรมมะทำให้ใจมันเข้มแข็งอย่างงี้นะ
ทำอะไรอย่าให้ความอยากมันนำหน้า
อยากมากมักจะไม่สมอยาก ให้คิดเสมอเราทำหน้าที่เหมือนกินอาหาร กินพอดีให้พอเหมาะกินขาดก็ไม่อิ่ม
กินมากก็จุกพะอืดพะอม นั่นท่านจึงพิจรณาให้เหมาะสม แต่ให้ทำประจำและอย่าได้ขาดการกระทำนั่นหล่ะ..!
" รากฐานในการปฏิบัติ
ในเบื้องต้น ของการปฏิบัติธรรมนั้น
ทุกคน จะต้องมีศีล...
เป็นพื้นฐาน หรือรากฐานเสียก่อน
เพราะศีลนั้น
เป็นสิ่งอบรมกาย อบรมวาจา ซึ่งบางที
ก็จะเกิดความวุ่นวายขึ้น เหมือนกัน
เมื่อเราพยายาม จะบังคับใจ
ไม่ให้ ทำตามความอยาก
กินน้อย นอนน้อย พูดน้อย นิสัยความเคย
ชินอย่างโลก ๆ ลดมันลง ให้ได้
อย่ายอมตามความอยาก
อย่ายอมตามความคิด ของตน
หยุดเป็นทาส มันเสีย
พยายามต่อสู้เอาชนะอวิชชา ให้ได้
ด้วยการบังคับตัวเองเสมอ
นี้คือ...ศีล
เป็นรากฐานเบื้องต้น ในการปฏิบัติ."
_____________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
เป็นสิ่งที่เราต้องใส่ใจให้มาก
ว่าทำไมเส้นทางนี้ชัดเจนแล้ว
ที่พระพุทธองค์ทรงประกาศไว้
ชัดเจนแล้วไม่มีอะไรน่าสงสัย
แต่ทำไมเรายังสงสัย ไม่แน่ใจ
เพราะแรงกรรมของเรายังสูงอยู่
ถ้าเรามีความตั้งใจอย่างจริงจัง
แรงกรรมนี้แทนที่เราต้องไปเสวย
อีกหลายภพหลายชาติ
เราสามารถทำให้สั้นลงได้
เพราะเราเข้าไปลดกำลัง
ตัวรู้หรือตัวสติ
จะเข้าไปลดแรงเหวี่ยงของจิต
หรือแรงกรรม ให้มันสั้นเข้าๆ
พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสรับประกันว่า
ถ้าคนไหนได้รู้สภาวะปัจจุบันชัดๆ แล้ว
แม้แรงกรรมจะสูงขนาดไหน
ไม่เกินเจ็ดปี จิตต้องมาลง ณ ปัจจุบัน
อย่างกลางไม่เกินหนึ่งถึงสามปี
อย่างเร็วที่สุดไม่เกินหนึ่งวันถึงหนึ่งปี
มันเป็นหลักวิทยาศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ได้
เราก็ไม่ตกลงปลงใจที่จะเชื่อได้
เนื่องจากมีแรงกรรมที่ต้องชดใช้
เพราะเรามีอวิชชาอยู่
เมื่อมีอวิชชา ตัวเพลิน ตัวเผลออยู่
มันก็ต้องมีกรรมตามมา
เพราะเป็นเหตุปัจจัยของมัน
ถ้าเราไม่อยากให้มีกรรม
หรือกรรมที่สั่งสมมาเยอะแยะ
ให้หมดไปไวๆ
เราก็ต้องไปจัดการที่ตัวอวิชชา
ตัวเผลอ ตัวเพลินต่างๆ
ที่เราเพลินในรูป เสียง กลิ่น รส
ตัดกำลังเพลินให้น้อยลงมา
คำว่า "จิต" จิตอันนี้ก็ปิด ปิดอะไร ปิดอะไร..?
ก็ปิดคำว่ามรรคผลพระนิพพานนั่นเอง
ทำลายให้มันสลาย ทำลายให้เป็นของว่าง
ทำลายให้หมดให้สิ้น
มีตัวมีตนตรงไหนๆ มีอะไรเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาๆ
"เป็นตัวเป็นตน"ก็คือ"ของที่เกิดขึ้น"นั้นล่ะ
ถึงจะไม่มีตัว มีตนแต่"อันเกิดขึ้น"นั้นล่ะ"เป็นตัวเป็นตน"
เพราะ..ใจของเรานี่"เห็น" ใจของเรา"รู้"
เรียกว่าเป็นตัวเป็นตนในลักษณะที่เป็นนามธรรม
เพราะอัตตา อัตตาก็เป็นนามธรรม
แต่อันนั้นก็เป็นตัวเป็นตน
อะไรโผล่ขึ้นมาๆๆ จับหัวมันมาตัดๆ
เอาฆ้อนทุบหัวให้มันสลัด ให้มันแตก ให้พังไปเลย
ฆ้อนคืออะไร ฆ้อนคือ"สติ" ฆ้อนคืออะไร ก็คือ"ปัญญา"
สติปัญญานี้ทุบมันไม่หยุดนี่ ตลอดสาย ตลอดทุกขณะ
แม้แต่..ทุบสิ่งที่เกิดขึ้นๆ ทุบสิ่งที่ไปปรากฏขึ้น
ไอ้สิ่งที่รู้ "สิ่งที่รู้" อันนี้ก็ทุบลงไปไม่ใช่หวง
สิ่งที่รู้ สิ่งที่รู้อยู่นี้ไม่ใช่หวง
อันนี้ก็เป็น "สักกายทิฏฐิ" อันนี้ก็เป็นการหวง
ยึด"จิตตัว"เป็นเรา
ยึด"ผู้รู้" ว่าเป็นเรา.."ยึด"..
"ยึดว่าเป็นเรา" ใช้ไม่ได้ทั้งนั้น
ท่านจึงว่า..จิตสักแต่ว่าจิต ธรรมสักแต่ว่าธรรม
เห็นมั้ยล่ะ! มหาสติปัฏฐาน
จิตสักแต่ว่าจิต ธรรมสักแต่ว่าธรรม
ไม่ใช่เห็นจิตแล้วพอใจ เห็นธรรมแล้วก็สักว่าพอใจ
**********
องค์หลวงปู่แบน ธนากโร (-/\-)
ที่มาจากไฟล์เสียง "ดับที่จิต"
“การหลุดพ้น” ตามแบบของพุทธศาสนา คือหลุดพ้นจากอะไร?
“คำว่า“เรา” หรือความรู้สึกว่า“ตัวเรา”นั้น เป็นความรู้สึกของกิเลสที่เป็นเหมือนโคลนที่เข้ามาหุ้มห่อตัวเรา ที่เราได้ล้างออกเรื่อยๆ จนหมดสิ้นไป แล้วความรู้สึกว่า“เรา”หรืออุปาทานนั้นไม่มีแล้ว เท่ากับซี่กรงหักหมดแล้ว เราจึงออกมานอกกรงได้ เรียกว่าจิตหลุดออกมาได้ หรือจิตพ้นจากอุปาทาน เท่านั้นเอง หาใช่ตัวเราไม่
จิตนั้นก็ไม่ใช่ตัว“เรา” เพราะจิตนั้นไม่มีความยึดถือตัวมันเองว่า“เรา” จึงได้หลุดออกมาได้
ท่าน(พระพุทธเจ้า)จึงตรัสว่า “การหลุดพ้นนั้นมีแล้ว แต่ตัวผู้หลุดพ้นหามีไม่”
นี่แหละ คือ การหลุดพ้นตามแบบของพุทธศาสนา การหลุดพ้นตามแบบของพุทธศาสนานั้น เราที่เป็นพุทธบริษัทจะต้องเข้าใจให้ดีๆ ย่อมเป็นการหลุดพ้นอย่างเด็ดขาด ไม่มีเยื่อใยของอุปาทานเหลืออยู่ แม้แต่เล็กน้อย
การหลุดพ้นที่ไม่เด็ดขาด ยังมีอุปาทานเหลืออยู่บ้างโดยไม่รู้สึกตัวนั้น เป็นการหลุดพ้นของพวกอื่นเขา หาใช่ของพุทธศาสนาไม่
การหลุดพ้นชนิดนั้นหลุดพ้นแต่เพียงจากความยึดถือที่หยาบๆ ไม่สามารถหลุดพ้นจากความยึดถือชั้นละเอียด จะต้องทำการปฏิบัติต่อไปอีกขั้นหนึ่ง จึงจะเป็นการบรรลุถึง“นิพพาน” การพูดว่า“ตัวเรา”ในขั้นนี้ ถ้ามีพูดก็สักว่าพูด เพราะไม่มีคำ(อื่น)จะพูดเท่านั้น หาได้มีความยึดถือกอดรัดเอาสิ่งที่บริสุทธิ์นั้นมาเป็น“ตัวเรา”อีกก็หาไม่
จิตที่หลุดพ้นจากความยึดถือก็หมดทุกข์ เพราะทุกข์มีอยู่ที่จิตซึ่งมีความยึดถือเท่านั้น”
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายเรื่อง"หลักหินยาน-มหายาน"
------------------------------
กองแห่งสังขารล้วนๆ
มีแต่ "ทุกข์" เท่านั้นเกิดขึ้น แปรผัน ดับไป
"มารผู้มีบาป กล่าวกับ วชิราภิกษุณี ด้วยคาถาว่า "ใครสร้างสัตว์นี้ ผู้สร้างสัตว์อยู่ที่ไหน สัตว์เกิดขึ้นที่ไหน สัตว์ดับที่ไหน"
วชิราภิกษุณี กล่าวกับมารผู้มีบาปว่า "มารเอ๋ย ทิฏฐิของเจ้าเชื่อว่าอะไรเป็นสัตว์ กองแห่งสังขารล้วนๆนี้ บัณฑิตจะเรียกว่า"สัตว์"ไม่ได้เลย
เมื่อขันธ์ทั้งหลายมีอยู่ การสมมติว่าสัตว์ก็มีได้
เหมือนคำว่ารถมีได้ เพราะประกอบส่วนต่างๆเข้าด้วยกัน
อนึ่ง ทุกข์เท่านั้นเกิดขึ้น
ทุกข์เท่านั้น ดำรงอยู่และแปรผันไป
นอกจากทุกข์ ไม่มีสิ่งอื่นเกิดขึ้น
นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรอื่นดับไป."
วชิราสูตร
พระไตรปิฎกภาษาไทย
สงฺ. ส. ๑๕/๑๗๑/๒๒๘
----------------------------------
มีแต่ "ขันธ์ ๕" เท่านั้น มีแต่ "ทุกข์" เท่านั้น
"ภิกษุทั้งหลาย! ความเกิดขึ้น ความตั้งอยู่ ความบังเกิด ความปรากฏแห่งรูป นี้เป็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ เป็นความตั้งอยู่แห่งโรค เป็นความปรากฏแห่งชราและมรณะ
ความเกิดขึ้น ความตั้งอยู่ ความบังเกิด ความปรากฏแห่งเวทนา...แห่งสัญญา...แห่งสังขาร...แห่งวิญญาณ นี้เป็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ เป็นความตั้งอยู่แห่งโรค เป็นความปรากฏแห่งชราและมรณะ
ภิกษุทั้งหลาย! ส่วนความดับ ความสงบระงับ ความตั้งอยู่ไม่ได้แห่งรูป นี้เป็นความดับแห่งทุกข์ เป็นความสงบระงับแห่งโรค เป็นความตั้งอยู่ไม่ได้แห่งชราและมรณะ
ความดับ ความสงบระงับ ความตั้งอยู่ไม่ได้แห่งเวทนา...แห่งสัญญา...แห่งสังขาร...แห่งวิญญาณ นี้เป็นความดับแห่งทุกข์ เป็นความสงบระงับแห่งโรค เป็นความตั้งอยู่ไม่ได้แห่งชราและมรณะ"
อุปปาทสูตร
พระไตรปิฎกภาษาไทย
สํ. ข. ๑๗/๓๐/๔๓-๔๔
------------------------------
“ทุกข์นั่นแหละมีอยู่ แต่ผู้ทุกข์หามีไม่
การกระทำมีอยู่ แต่ผู้ทำไม่มี
นิพพานมีอยู่ แต่คนผู้นิพพานไม่มี
ทางก็มีอยู่ แต่ผู้เดินทางไม่มี”
( วิสุทฺธิมคฺ ๓/๑๐๑ )
-------------------------------
“ผู้ทำกรรมก็ไม่มี ผู้เสวยผลก็ไม่มี
มีแต่ธรรมทั้งหลายล้วนๆเป็นไป”
( วิสุทฺธิมคฺ ๓/๒๒๖-๗ )